จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ข่าวดี!!!
    สำหรับผู้ใช้ทางด่วน
    แต่...ไม่อยากเสียสะตังค์​


    ทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ (Toll Way)
    หรือทางด่วนมอร์เตอร์เวย์ (Motor Way)
    ต่างก็ล้วนเสียสะตังค์

    แต่ที่ว่าทางด่วนไม่เสียสะตังค์กันนั้นก็หมายถึง ทางด่วนพระนิพพาน

    ทางด่วนพระนิพพานก็คือ จิตเกาะพระ นั่นเอง


    ปล.ประกาศอย่างนี้จะโดนไหมเนี๊ยเรา แต่ก็ดูที่ตัวเจตนาเป็นหลักก็แล้วกันนะ
    เพราะมิได้โฆษณาเกินจริง แต่มีเป็นรูปธรรมให้เห็นกันจริงๆ (ในชาวจิตเกาะพระ)
    และในขณะกำลังมีผู้สนใจ(บินเกาะหมู่)
    โดยเฉพาะใน(member)ชาวจิตเกาะพระ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ไปแอบได้ยิน ได้ฟังห้อง(บินเกาะหมู่) ของชาวจิตเกาะพระ
    เผื่อจะเป็นประโยชน์กับบุคคลอื่นๆ ไม่มากก็น้อย
    ขออนุญาตเจ้าของจม. นำมาฝากเพื่อนกัลยาณมิตรในกระทู้นี้
    เพื่อธรรมาทาน
    ขอโมทนาสาธุๆ


    ตอบ21 เมษายน 2555, 4:27
    เรื่อง: ขอสมัครเข้าเรียนและเป็นสมาชิกชาว จิตเกาะพระ ด้วยคนครับ
    สวัสดีครับ ครูเพ็ญ(ขออนุญาตเรียกนะครับ)
    สวัสดีค่ะ

    ขอสมัครเข้าเรียนและเป็นสมาชิกชาว จิตเกาะพระ ด้วยคนครับ
    ยินดีค่ะ
    ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ...
    พื้นฐานในการปฏิบัติผมได้เคยฝึกมโนมยิทธิมาแล้วครับจากพระวัดท่าซุงที่ท่านมาฝึกที่ศูนย์โคราชครับ
    ยิ่งดีใหญ่ ใครมีพื้นฐานการฝึกมโนทยิทธิมาก่อนจะเข้าใจง่าย
    ครั้งแรกที่รู้สึกจิตเกาะพระได้เป็นพระสมเด็จองค์ปฐม พระวิสุทธิเทพ องค์ท่านสีทอง องค์ใหญ่มาก ต่อมาฝึกไปเรื่อยก็นึกองค์ท่านเป็นแก้วใสครับ
    แก้วใสนี่จิตเข้าถึงฌาน 3 แล้ว
    ณ.ปัจจุบันนี้นึกถึงภาพนี้ครับ
    ภาพที่คุณพนธ์ส่งมาให้ดู เป็นภาพแก้วประกายพรึกแล้ว เป็นภาพนำเข้าฌาน 4 แล้ว
    การนึก กับ การเอาจิตเห็นนี้เหมือนกันไหมครับ
    ไม่เหมือนค่ะ เริ่มแรกสตินึกถึงภาพพระก่อน เปรียบเป็นสมาธิมีองค์ 5 คือ วิตก(ฌาน 1) วิจาร(ฌาน 2) ปีติ สุข(ฌาน 3) เอกัคตา(และอุเบกขา ฌาน 4)

    การนึก คือ วิตก = สตินึก/คิด/จ้อง/มอง/ดู/จดจ่อ/ระลึก/เพ่ง ฯลฯ

    จิตเห็น คือ จิตจำภาพพระได้เองโดยไม่ต้องนึก/คิด จิตจะเห็นภาพพระอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจิตจะเป็นสมาธิเข้าฌานแล้วจิตจะลืมภาพพระไปเอง ลักษณะที่จิตเห็นภาพพระจะเป็นอาการคิดถึงหรือห่วงหาพระ ไม่ใช่นึก/คิดเหมือนช่วงแรก ๆ ระยะจิตเริ่มเห็นจะอยู่ในช่วงของวิจารเป็นต้นไป

    วัตถุประสงค์ในการทำจิตจับภาพพระหรือทำจิตเกาะพระ

    - เพื่อขอบารมีพระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ นำจิตเข้าสมาธิ นำจิตเข้าฌาน-ทรงฌาน นำจิตไปหาพระพุทธเจ้าเพื่อขอฝากดวงจิตไว้กับท่าน เรียนรู้ธรรมกับท่าน วิปัสสนาอยู่กับท่าน เพราะลำพังอาศัยจิตตนนั้นจะไม่ค่อยมีกำลังใจส่งไปถึงพระพุทธเจ้า ต้องอาศัยบารมีพระท่านนำทางดวงจิตเข้าไปให้ถึงความสงบภายใน-กายในกาย-จิตในจิต เมื่อจิตสงบจะมองเห็นพระได้ไม่ยาก โดยอาศัยสัญลักษณ์คือพระบรมฉายาพุทธลักษณ์ของท่านเป็นสื่อนำทางดวงจิตไป
    ฌาน 1 นึก/คิด/จ้อง/มอง/ดู/จดจ่อ/ระลึก/เพ่ง ฯลฯ
    ฌาน 2 จำได้/นึกเห็น/นึกรู้/ติดตา/ติดใจ/คิดถึง/ห่วงหา/อาทร/ห่วงใย ฯลฯ
    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-8#post5990951

    ฌาน 3
    ภาพพระที่เป็นแก้วจะเกิดเป็นนิมิตขึ้นเอง เมื่อท่านสามารถจับภาพพระทรงฌาน 1-2 ได้คล่องแล้ว
    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-9#post5991301

    ฌาน 4
    ใครที่นึกภาพประกายไม่ออกลองประยุกต์ดูนะ ภาพที่ได้จะเป็นคล้าย ๆ ภาพพระที่เป็นแก้วติดเก็จเพชรแล้วมีแสงไฟส่องจนสะท้อนเป็นประกายวูบวาบ แพรวพราว หรือระยิบระยับ ลองดูภาพเหล่านี้แล้วนึกให้เกิดที่องค์พระหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของพระที่จิตเกาะอยู่นะ
    http://palungjit.org/threads/จิตพร้อม-รับภัยพิบัติ.334019/page-9#post5992550

    บางครั้งก็นึกถึงองค์ท่านที่อกเวลาสวดมนต์หรือในชีวิตประจำวันเท่าที่ได้นึกถึงองค์ท่าน บางครั้งก็นึกถึงไว้ในศีรษะตอนนั่งสมาธิควบคู่ไปกับรู้ลมหายใจไปด้วยครับไม่รู้แบบนี้ถูกต้องไหมครับ
    ทำถูกแล้วค่ะ ช่วงแรกจะเป็นนึก/นึกถึงพระ สามารถทำควบคู่กับรู้ลมหายใจได้ค่ะ แต่ไม่ต้องนึกบริกรรมเดี๋ยวจิตจะสับสน

    ก็ตามอ่านกระทู้ที่เว็บพลังจิตครับ โมทนาบุญ กับคุณครู คุณภู และสมาชิกทุกคนด้วยนะที่ให้การช่วยเหลือในการยกจิตในครั้งนี้
    ยกบุญให้หมดเลยค่ะ รับไปเลย ไปนิพพานด้วยกันชาตินี้แหละ ไม่ต้องรอชาติไหนแล้ว พระท่านมาบอกทางด่วนให้แล้ว ตามกันขึ้นไปเลย
    ปล.ฝากคุณครูช่วยเคี่ยวเข็ญจิตดวงนี้ให้ถึงฝั่งเอาแบบจัดหนักๆเลยครับ
    โอเค ขอให้ส่งการบ้านทุกวันนะคะ เนี่ยหนักแล้ว ^^

    เพราะตอนนี้ยังเป็นแบบหวานเจี๊ยบอยู่ครับ โลภ โกรธ หลง ยังอยู่ครบครับ แต่ก็รู้สึกจะเบาจากแต่ก่อนบ้างครับ
    นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพยายามรักษาศีลห้าให้ได้ทุกวัน ถ้าวันไหนทำผิดพลาดพลั้งเผลอไป ก็ให้ขอขมาพระรัตนตรัย แล้วปรับปรุงศีลข้อนั้นให้ดีขึ้น ให้ทบทวนศีลห้าข้อทุกวัน ว่าวันนี้ผ่านข้อไหน/ไม่ผ่านข้อไหน ขั้นแรกนี้ยังไม่ต้องนึกถึงศีลละเอียด เอาแค่ศีลห้าปกติก่อน ทำให้ผ่านก่อน

    ช่วยเล่าเรื่องการทำสมาธิหน่อยค่ะ ทำได้ขนาดไหน เข้าถึงฌานไหน ทำได้ทุกวันหรือไม่ นำอาทิสมานกายขึ้นไปหาพระข้างบนได้หรือไม่ หรือการปฏิบัติธรรมที่คุณถนัดมีอะไรบ้าง หรือมีอะไรเพิ่มเติมก็เล่ามาได้เลยค่ะ

    พี่เพ็ญ

    ปล. ขออนุญาตส่งให้รุ่นพี่ชาวจิตบุญทั้งหลายด้วยนะคะ เผื่อท่านจะให้ธรรมะเพิ่มตามประสบการณ์ของท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 เมษายน 2012
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ##ธรรมาทาน##

    เมื่อ 21 เมษายน 2555, 11:21,
    เขียนว่า:
    อ่านเวปจิตพร้อมรับภัยพิบัติ พบกับหัวข้อ จิตเกาะพระ ได้พยายามทำตาม เพิ่งเริ่มค่ะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ ยังจับพระได้เล็กน้อย จิตฟุ้งซ่านประจำ มักจับพระได้แวบเดียว ทำอย่างไรจิตจะนิ่ง จับพระได้นานขึ้นค่ะ รบกวนด้วยค่ะ

    ตอบ22 เม.ย. 55
    แนะนำสมาชิกจิตเกาะพระ-คุณ"""
    เริ่มต้นให้น้อมจิตกราบพระรัตนตรัย ตั้งใจรักษาศีลห้าทุกวัน ทบทวนศีลห้าข้อทุกวัน วันไหนขาดตกบกพร่องข้อใดให้ปรับปรุงให้ดีขึ้น ปรับปรุงแล้วยังไม่ดีขึ้นก็ให้ปรับปรุงอีกจนกว่าจะดีขึ้น เบื้องต้นนี้ยังไม่ต้องนึกถึงศีลละเอียด รักษาศีลห้าข้อตามปกติให้ผ่านก่อน
    เมื่อเริ่มต้นทำจิตจับภาพพระเป็นธรรมดาว่าจะยังจับไม่ได้นาน เพราะจิตเรายังไม่นิ่ง จิตยังไม่เป็นสมาธิ จิตจึงยังมีฟุ้งซ่าน เรามาทำจิตเกาะพระกันก็เพื่อระงับความฟุ้งซ่าน ทำจิตให้เป็นสมาธิ ทำให้จิตนิ่ง
    เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลหรือเครียดกับการทำจิตจับภาพพระ เพราะการทำจิตจับภาพระนี้เน้นสบายจิตอย่างเดียวค่ะ ถ้าจับภาพพระแล้วเครียด อันนั้นผิดวิธีค่ะ

    ใหม่ ๆ ก็ให้เลือกรูปที่เราชอบ ดูไปเพลิน ๆ เมื่อเลิกดูภาพก็ให้นึกถึงท่านบ่อย ๆ นึกได้ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน หรือแม้ขณะนั่งทำสมาธิก็สามารถนำภาพท่านไปนึกถึงด้วยก็ได้ค่ะ ไม่มีอะไรผิด แต่เน้นสบายจิตเป็นใหญ่ค่ะ ถ้าจิตไม่ชอบดูภาพไหน ก็ให้ตัดทิ้งไป อย่างไปบังคับจิตให้ดู เดี๋ยวจิตจะเครียด

    เบื้องต้นลองทำดูนะคะ แล้วช่วยส่งการบ้านทุกวันด้วยค่ะ แต่ถ้าไม่สะดวกส่งการบ้านทุกวันก็อย่าหายไปนานนะคะ เดี๋ยวจิตจะว้าเหว่
    พี่เพ็ญ

    ปล. ขออนุญาตส่งให้รุ่นพี่ชาวจิตบุญทั้งหลายด้วยนะคะ เผื่อท่านจะให้ธรรมะเพิ่มตามประสบการณ์ของท่าน
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ###ธรรมาทาน###

    เมื่อ 21 เมษายน 2555, 14:42, เขียนว่า:
    การบ้านค่ะ ก่อนนอนสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิเป็นปกติ มีปีติโยกน้อยๆ เลยสวดในใจแล้วลืมตานึกจับพระค่ะ เห็นแต่ไม่ชัด ก็นั่งไปเรื่อย จนสวดมนต์เสร็จ นั่งสมาธิต่อ หลับตา จับพระ ทีแรกเห็นภาพที่มองมาทังวัน สักพัก เห็นท่านเปนท่านั่ง เห็นภาพรวมทั้งองค์ แต่ไม่ชัด นั่งไปอีก เห็นแค่เท้าท่านตั้งแต่เข่าลงมา สีขาวๆ เห็นบ้างหายไปบ้าง บางทีก็เห็นเป็นภาพในหลวงตอนทรงผนวช ออกจากสมาธิก็นอนค่ะ รู้สึกตัวก็หยิบมือถือมามองภาพพระ แต่มักตะลืมตาจับได้ดีกว่าหลับตา หลับตานี่ต้องหลับแบบชิลๆจริงๆ ตั้งใจมากๆนี่ตากระยุกกระยิก มืดๆทุกที ค่ะ สังเกตว่าหากจับภาพองค์ท่านได้ขณะนั่งสมาธิจะนิ่งไวกว่าเดิม จบการบ้านวันที่ 20-4-55 ค่ะ

    ตอบ 22 เมษายน 55
    ขออภัยค่ะคุณปูที่ตอบช้า
    ที่คุณปูบอกเล่ามาทั้งหมดพี่ขอสรุปรวมที่ฉบับนี้นะคะ

    1. วันแรกจิตสับสนเพราะจับทั้งภาพพระและบริกรรม เราต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ อันที่จิรงจับภาพพระก็คือบริกรรม บริกรรมก็คือจับภาพพระ เป็นวิตกเหมือนกันค่ะ สมาธิมีองค์ 5 วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตา
    2. วันที่ 2 วางอารมณ์หนักเกินไป จิตยังสับสนอยู่
    3. วันที่ 3 เริ่มทำได้ดีแล้วค่ะ จิตเริ่มจับภาพพระได้แล้ว แต่ขอให้ทิ้งคำบริกรรมไปเลยค่ะ ไม่ต้องไปบริกรรมแล้ว ให้จับภาพพระแทน ภาพที่คุณปูบอกเล่ามาเรียกว่าพระวิสุทธิเทพองค์แก้วใส ที่บอกเล่ามานั้นทำถูกแล้วค่ะ จิตเห็นภาพอย่างไรให้ดูไปตามนั้น อย่าไปบังคับจิต เน้นสบายจิตเป็นใหญ่ค่ะ ที่สรุปมานั้นถูกต้องแล้วค่ะ เมื่อจิตเป็นสมาธิจิตจะละกิเลสออกไปเรื่อย ๆ อย่างที่คุณปูเล่ามานั้นถูกแล้ว ใหม่ ๆ ภาพจะไม่ชัดก็ไม่เป็นไร ให้เพียรมองไป
    4. จะลืมตาจับภาพพระหรือหลับตาก็ได้ค่ะ แล้วแต่ถนัด ที่บอกว่าหลับตาแล้วจับภาพพระไม่ได้ หนังตาเต้น เพราะคุณปูไปเพ่งที่หนังตามากเกินไป อารมณ์จึงหนัก ให้หลับตาแบบสบาย ๆ ค่ะ เวลาจะดูภาพขณะหลับตาให้นึกในใจแทน อย่าไปเพ่งที่เปลือกตา

    ขอสรุปค่ะว่าให้ทิ้งคำบริกรรม ดูภาพพระอย่างเดียว ดูไปตามที่จิตเห็น ไม่บังคับจิต วางใจให้เป็นกลาง ดูภาพพระไปด้วยอารมณ์สบาย ผ่อนคลาย และขอให้มีสติตามรู้อาการและอารมณ์อยู่เสมอ ตอนนี้จิตเริ่มจับภาพพระติดแล้ว ให้พยายามทำจิตเกาะพระ(จับภาพพระ)ให้ได้ทั้งกลางวัน/กลางคืน ปฏิบัติต่อไปค่ะได้ผลอย่างไรส่งการบ้านเข้ามาให้ต่อเนื่องนะคะ อธิบายรายละเอียดของอารมณ์ ฌาน และจิต เข้ามาด้วย ขอให้น้อมจิตแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย รักษาศีลห้าให้ได้ทุกวัน ปรับปรุงศีลที่บกพร่องให้ได้ทุกวัน

    ขอให้เจริญพรและเจริญสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ
    พี่เพ็ญ

    ปล. ขออนุญาตส่งให้รุ่นพี่ชาวจิตบุญทั้งหลายด้วยนะคะ เผื่อท่านจะให้ธรรมะเพิ่มตามประสบการณ์ของท่าน
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น้องดัชตื่นรึยัง???
    มาเข้าเวรแทนพี่ภูหน่อย
    พี่ภูจะไปเสวยบรรทมแย๊ววว

    ทำงานไปด้วย นั่งส่งธรรมะไปด้วย
    เรียกว่า...ยิงปืนนัดเดียว....

    ได้ทั้งลูกนก ลูกหว้า ลูกวิทย์.....อิอิ
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ใครส่งเธอมาอีกนะ
    เจออีกคนละ นักรบไร้ดาบ แห่งกองทัพธรรม

    นักรบไร้ดาบในที่นี้ หมายถึงเอาสติปัญญาไปรบราฆ่าฟันกับกิเลสตน
    ถ้าเปรียบสมัยนี้ก็คือ นักวางแผน(ฝ่ายพลเรือน) หรือเสนาธิการ(ฝ่ายทหาร)

    มีผู้ใดเคยฟังธรรมะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำบ้าง ท่านกล่าวว่า...
    ตำราไม่ต้องไปอ่าน ไปท่องให้มันมากนักหรอก ให้ดูจิตเยอะๆ
    เพราะธรรมะที่เราจะได้กันนั้น มันอยู่ข้างในจิตตนเอง มิใช่ที่ไหน หรือที่ใคร


    สวัสดี และ ขอบคุณ คุณพี่ภูมากกเลยค่ะ
    หนูหลงทางมาค่ะ อิๆๆ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครส่งหนูมานี้ ยังงงๆ อยู่เหมือนกันว่ามาได้ไง
    แหม..ไปปรมาจารย์มาอธิบายคำว่า นักรบไร้ดาบ แห่งกองทัพธรรม แล้วมัน โดนจ่ายย..จังเลยค่ะ แถมยังให้ความรู้ความกระจ่างแก่นักรบน้อยด้อยปัญญาอย่างหนูเพิ่มขึ้นด้วย ตอนนี้หนูตามอ่านข้อความในกระทู้จนตาลายแล้วค่ะ เดี๋ยวหนูต้องส่งเมล์ไปรายงานตัวกับหัวโจ๊ก เอ๊ย..กับหน้าหน้า(แก๊ง) พี่เพ็ญแล้วค่ะ ขอถามนิดส์ค่ะ พี่ภู หนูก็อยู่ ตปท.นะค่ะ อยู่แคนาดาค่ะ ที่แคนาดาจะเป็นยังไงบ้างค่ะ มีที่ปลอดภัยตรงไหนหนอ..แคนาดาเนี่ย แล้วอีกอย่างค่ะ พี่ภู เมื่ออาทิตย์ก่อนเกษก็ได้คุยๆ กันเรื่องภัยพิบัติกับน้องที่ทำงาน มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เค้าพูดขึ้นมาว่า ถ้าเราเชื่อว่าภัยพิบัติจะเกิดขึ้นจริง ถ้ายังงั้น เรากลับเมืองไทยจะไม่ดีกว่าเหรอ จะได้ไปอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว ตรงนี้เกษตอบเค้าไม่ได้เลยค่ะ แต่ในใจเกษบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง เกษเข้าใจความหมายของน้องเค้าคือว่า ถ้าภัยพิบัติจะเกิดขึ้นจริง ทรัพย์สมบัติใดๆก็ไม่มีความหมายแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีหน้าที่การงานมีกิจการที่ต้องทำต้องรับผิดชอบที่นี้ ก็จะไม่เอาแล้ว อะไรประมาณนี้นะค่ะ
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    มาถูกทางแล้วครับ อันดับแรก กำลังใจและความตั้งมั่นต้องมีก่อน ตั้งเป้าหมายด้วยใจจริงๆ แล้วอย่างอื่นจะตามมา

    เรารักท่าน เราคิดถึงท่าน ท่าก้อจะอยู่กับเรา

    อย่าเกร็ง อย่าเครียด ทำใจเบาๆ สบายๆ ผ่อนคลาย แต่ไม่ลืมท่านนะ

    เคยทำอะไรแบบไม่เครียดป่ะ...นั่นแหละ
    รักท่าน คิดถึงท่านแบบไม่เครียดนะครับ

    มีอะไรสอบถามได้นะครับ<!-- google_ad_section_end -->

    ขอบคุณมากนะค่ะ คุณวิทยานิพนธ์ ยินดีที่ได้รู้จักกัลยาณมิตรใหม่ค่ะ
    งั้นเกษขอรบกวนถามเลยนะค่ะว่า ภาพพระที่เราดูเนี่ย เป็นภาพพระอะไรก็ได้ใช่มั้ยค่ะ คือ เป็นภาพพระพุทธรูป ภาพเจ้าแม่กวนอิม ภาพหลวงปู่โต ภาพ ลพ.ฤาษีลิงดำ ภาพ ลป.มั่น ฯลฯ หรือว่า ต้องเป็นภาพพระสมเด็จองค์ปฐมฯ เท่านั้นค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]


    จะใครอีกหล่ะ!
    นอกเสียจากหนึ่งพระองค์ กับอีกหนึ่งองค์แห่งจอมยุทธธรรม แห่งโลกพระนิพพาน
    สมเด็จองค์ปฐม กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำสิครับ ถามได้
    ก็เธอเป็นลูก เป็นหลานของท่านยังไม่รู้ตัวอีกหรือ???
    เดี๋ยวถ้าเธอเกาะพระได้เมื่อไหร่ ให้เธอไปถามท่านเองนะ โดยเฉพาะท่านพ่อ(สมเด็จองค์ปฐม) อย่ามาถามพี่ภูตอนนี้นะ เดี๋ยวไม่หนุก

    แหม๊! พูดมาได้ว่า นักรบน้อยด้อยปัญญา
    อย่าเพิ่งไปดูถูกตนเองนะ
    เธอนี่แหล่ะ! หาตัวจับยากนะจะบอกให้(ที่พูดถึงนี่จิตของเธอนะ เดี๋ยวรอแป๊บนึง) รอเธอตามหาดวงจิตของตนเจอก่อน เดี๋ยวเธอก็รู้

    เจอแล้ว พบแล้ว น้องเกษ หรือเกศแก้วจุฬามณี (พี่ภูนึกไปโน้น)
    (พระบรมธาตุเ้จดีย์เกศแก้วจุฬามณี สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือ พระธาตุอินทร์แขวน หรือพระบรมธาตุเจดีย์วัดเกตุการามฯ)

    อ๊าว! ที่แท้เธออยู่บนหัวพี่ภูนี่เอง รัฐอะไร?
    แต่ถ้าอยู่รัฐต่อไปนี้ก็แล้วไปQuebec Ontario Manitoba Saskatchewan Alberta,

    น้องเกษเอ๋ย! เธอคิดว่ายังมีที่ไหนในโลกนี้ปลอดภัยอีกหรือ???
    นอกเสียจาก ภายในจิตของตนเอง อันเป็นโลกทิพย์
    ขอให้เธอรีบเร่ง ขยันหมั่นเพียรกันตอนให้ไว ในเมื่อพระท่านได้จัดสรรให้เธอเป็นผู้รอดแล้ว อย่ามัวอ่อยอิ่งพิรี้พิไรกันอยู่นะ รีบบำเพ็ญเพียรเข้า
    วิชาจิตเกาะพระนี้พี่ภูก็ได้จากสมเด็จองค์ปฐมนี่แหล่ะ!
    รีบปฎิบัติไวๆ จิตจะได้เกาะพระติดแนบแน่น โน้นแหล่ะเธอค่อยสบายแล้ว

    เธอกับเพื่อนเธออย่าเป็นกระต่ายตื่นตูม ตระหนกตกใจกันนะ
    ขอเปลี่ยนจากตื่นเต้น ตื่นตูม ตระหนกตกใจ ให้มาเป็นตระหนัก ตระเตรียมทั้งกายและจิตกันนะ
    แต่จะต้องนั่งนับหนึ่งกันใหม่ก็คือ
    สติหนึ่ง
    จิตสอง
    สติปัญญาสาม
    เอาแค่สามนี้กันให้รอดก่อน แต่ถ้าใครไม่มีสามอย่างนี้ครบนะ อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นบ้า เป็นบอ
    แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ ตายไปดีกว่าไหม๊? เพราะตนเองก็ยังดูแลตนเองไม่เลย แล้วเราจะไปดูแลใคร หรือถ้าญาติหรือคนที่รู้จักเรา แต่พวกเขาตายกันไปหมดแล้ว

    (จบกัน)

    ปล.ขอให้เธอส่งการถี่ๆหน่อย และระหว่างก่อนส่งนะ ขอให้เธอจับตัวนี้ให้ดีๆก็คือ พยายามจดจำอาการ อารมณ์ของจิตให้ทัน ให้ได้
    และตัวที่จะจับได้นั้นก็คือ สติตนเอง
    แค่นี้นะ

    เมื่อก่อนครูเพ็ญดื้อมั๊กๆ คือให้ทำจิตเกาะพระก็ไม่เอา ท่านบอกว่าทำไม่ได้
    (ครูเพ็ญพูดว่า)..."ใครจะมารู้ดีกว่าจิตครูเอง"... นั่น! เก่งซะด้วยนะ...อิอิ
    (ขอเผยความลับกลางสภาหน่อย เพื่อธรรมาทาน)
    จนผมถอดใจแล้ว แต่อีกใจก็นึกสงสารด้วย อยากให้ครูทำได้เหมือนเรา เพราะท่านเป็นครูสอนธรรมะพี่ภูด้วย ก็เลยต้องเดือดร้อนถึงสมเด็จพ่อฯ พี่ภูขออาราธนาบารมีท่านให้ไปช่วยยกจิตครูเพ็ญ โอ้โหปฎิหาริย์เกิดขึ้นกับครูเพ็ญนับตั้งแต่วันนั้นเป็นมา
    แต่ถ้าใครอยากรู้ไปถามไถ่เอากันเองนะ....จบข่าว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 เมษายน 2012
  11. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    อ่านแล้ว อภิมหาโมทนาสาธุด้วยค่ะ กับทุกคนที่พบพระและกำลังพบพระค่ะ (จิตนี้ยิ่งใหญ่นักหนา)
     
  12. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    มาส่งการบ้านคะ
    จริง ๆ ก็เคยได้มโนแล้ว ฝึกดูภาพพระอยู่บ่อย ๆ ช่วงนั้น ประมาณ 3 ปี ที่แล้ว ทั้งหลวงปุ่ดู่ หลวงพ่อฤาษี สมเด็จองค์ปฐม แต่ก็ห่างหายไปตามหน้าที่การงานที่รัดตัว พอได้มาอ่านกระทู้นี้อีกทีก็เลย อะเราลืมไปได้ไง ปฏิบัติแบบไม่สม่ำเสมอแบบนี้ซิถึงได้ไม่ก้าวหน้า ก็เลยฝึกจับภาพพระใหม่ได้ 2 วันแล้วคะ
    วันที่ 1 ก็มองรูปสมเด็จองค์ปฐม เดินไปจับภาพพระไป จับได้แป๊ป ลืมท่านซะแล้ว พอรุ้ตัวก็กลับมาจับภาพพระใหม่ ภาพก้เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ คะ สีก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน สีทอง สีขาว สีเงินวิ้ง ๆ
    วันที่ 2 รู้สึกลืมตาตื่นก็ภาพพระมาก่อนเลย แปรงฟัน ล้างหน้า นั่งมอเตอร์ไซด์ ก็จับภาพท่านทุกครั้งที่ระลึกได้คะ ใส่บาตรก็ระลึกว่าใส่บาตรของพระองค์ท่าน ระลึกถึงท่านแบบเบาๆ สบาย ๆ บ่อย ๆ
    ชอบรูปที่น้องคิมนำมาให้ชมเหมือนกันคะ มองท่านแล้วรู้สึกเย็น ๆ สบาย ๆ ดีคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37 KB
      เปิดดู:
      51
  13. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะ พี่ภู พี่เพ็ญ คุณดัชนี คุณวิทย คุณคิม และทุกท่าน พอดีไปต่างจังหวัดมาค่ะ เลยไม่ได้เข้ามาส่งการบ้านเลย ขออภัยด้วยนะค่ะ
    ก่อนอื่นต้องรายงานก่อนว่า วันนั้นกำลังเดินทาง รู้สึกได้ว่าสมเด็จพ่อไปดูแลด้วยเนื่องจากเห็นพระองค์อยู่บนฟ้าเหนือรถเราตลอดทางเลย หลังจากได้ทำตามที่พี่เพ็ญบอกเรียบร้อยแล้วเห็นพระองค์ยิ้มให้ด้วย ตรงนี้ทราบอยู่คนเดียวมิกล้าเอ่ยวาจาบอกใคร แต่ก้อแอบปิตินะค่ะ
    สองสามวันมานี้ รู้สึกว่าตอนนอนทำสมาธิอยู่ ตรงสันจมูกและหว่างคิ้วจะมีอาการเหมือนจะถูกดูด มันหน่วงๆๆบอกไม่ถูกค่ะ แต่ก็ช่างมัน ไม่ต้องไปสงสัยอะไร ทำสมาธิเกาะพระองค์ไปเรื่อยๆๆจนหลับ
    มาตามอ่านข้อความดีดีที่ชี้แนะ และอยากบอกว่า ตอนนี้ตามอารมณ์ตนเองทันมากขึ้นเรื่อยๆๆ ปล่อยวางได้มากขึ้น ตัดกิเลสได้ดีขึ้น ถามว่าเตรียมใจแล้ว ก็ต้องเตรียมตัว เหมือนกัน ใช่ป่าวค่ะ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มีคนถามเยอะมากคือ วิธีการทำจิตเกาะพระ
    และจิตอยากไปอยู่พระนิพพาน


    คนที่กลัวความตายกันจริงๆ ก็ต้องกลัวการเกิดด้วย

    ดวงจิตที่จะไปพระนิพพานกันนั้น ใจจะต้องไม่เป็นห่วง หรือยึดเรื่องใดๆทั้งสิ้น
    คือเริ่มต้นละร่างกายตนให้ได้เสียก่อน
    เพราะที่จริงแล้ว ร่างกายของเราก็แค่ที่เป็นอยู่อาศัยของดวงจิตเรา(ชั่วคราว)กันเท่านั้น
    เหมือนเราไปพักโรงแรม ถึงเวลาเที่ยงก็เช็คเอ๊าท์ คืนห้องให้กับเจ้าของโรงแรมไป
    ร่างกายคนเราก็เหมือน อีกไม่นานเดี๋ยวก็ต้องตาย
    เมื่อตายไปแล้ว เราก็ต้องส่งธาตุทั้งสี่กลับคืนสู่โลกธรรมชาติเขาไป
    (ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหล่ะ! แต่ความเป็นจริงแล้ว แค่พูดปั๊บแล้วทำกันได้เลย อันนั้นไม่ใช่แล้ว
    งั้นก็คนมีดวงตาเห็นธรรมกันเยอะแล้วสิ! เพียงแต่ต้องไปผ่านการทำจิตเกาะพระกันก่อน
    ไปเข้ากระบวนการกำจัดกิเลสตนให้ได้ก่อน โดยการดูจิต การเข้าไปให้ถึงจิตตนเองก่อน
    หรือการนำสติตามดู ตามรู้จิตกันก่อน)

    ไม่ใช่ว่าเรากำลังทำจิตเกาะพระกันอยู่ณ.ขณะนี้ จะได้ไปพระนิพพานกันเดี๋ยวนี้ อย่าเพิ่งเข้าใจกันผิดนะ
    เพราะดวงจิตที่จะไปพระนิพพานนั้น ต้องเป็นจิตที่ปราศจากกิเลสทั้งปวง
    จิตเกาะพระ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นการทำสมาธิชนิดหนึ่ง
    เพราะเป็นด่านแรกที่จะนำพาดวงจิตไปสู่พระนิพพานกันได้
    มันจะมีขบวนการกำจัดกิเลสหยาบไปจนถึงกิเลสละเอียดกันก่อน แต่ผมไม่ได้พูดถึงกัน
    ที่ไม่พูดเพราะเดี๋ยวสำหรับผู้ปฎิบัติกันได้แล้ว เดี๋ยวจะต้องรู้กันทีหลังทุกคนอยู่แล้ว
    ถึงพูดกันไปตอนนี้ไม่มีประโยชน์เพราะ ถึงพูดไปก้ไม่เข้าใจกันอยู่ดี
    นี่ไงถึงบอกว่าให้ไปพิสูจน์กันเอง ลองทำดูกันเอง
    แต่ไม่ใช่ฝึกมโนยิทธิกันนะ แต่ถ้าใครเคยฝึกมโนยิทธิกันมาก่อน อันนี้จะง่าย

    แต่ในเบื้องต้นเราต้องรักษาศีลให้ครบบริบูรณ์(ศีล5เป็นอย่างต่ำ) หรือถ้าใครสามารถรักษาอธิศีลก็ยิ่งดีใหญ่
    เพราะเวลาเราเจริญสติภาวนาก็จะได้ไม่ติดขัด(เจริญในจิตก่อน จึงค่อยเจริญในธรรม)
    (โดยเลือกเจริญกรรมฐานมาปฎิบัติเพียงหนึ่งกอง ซึ่งกรรมฐานมีทั้งหมด 40กอง)
    หรือนำจิตเกาะพระที่ผมแนะนำไปนี้ ก็จะดีมาก
    เพราะวิธีนี้เป็นทางลัดเข้าสู่พระนิพพานกันโดยตรง แต่ต้องทำให้สำเร็จกันนะ

    จิตเกาะพระนั้น เป็นแค่อุบายทำให้จิตนิ่ง จิตสงบ จิตเป็นสมาธิ หรือเป็นสมาธิมากไปจนถึงจิตทรงฌานสูง
    และด้วยจิตที่ทรงฌานสูงนั้นจะไปช่วยตัดกิเลสหยาบไปถึงละเอียดของตนได้ โดยที่ตนเองก็ยังไม่รู้สึกตัว
    เพียงขอให้ผู้ปฎิบัตินำความลังเล สงสัยกันก่อนถึงจะเข้าใจกัน เพราะการที่เราจะเข้าไปให้ถึงกระแสจิตตนนั้นมิใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับผู้ปฎิบัติเอาจริงๆจังๆ

    แต่ถ้าจิตผู้ใดเกาะพระได้ในระยะแรก ก็จะเกิดอาการปิติก่อน และประคองปิติอย่างนี้ไปเรื่อยๆก็เท่ากับจิตเป็นสมาธิแล้ว แต่ถ้าใครมีปิติมาก หรือเวทนามาก เพียงให้เรามีสติกันเยอะๆก่อน ปิติหรือเวทนามากๆนั้นจะค่อยเบาบางลงไป
    และจิตที่เกาะพระติดเองแล้ว จิตจะทรงสมาธิ จิตทรงฌาน โดยบางที่เราเองก็ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำไป
    ว่าจิตของตนเองนั้นกำลังเข้าฌานอยู่ สำหรับผู้ปฎิบัติใหม่ๆ เมื่อมาถึงกันตรงนี้แล้ว เราอาจจะมีอาการ
    หรือรู้สึกว่าเหมือนเราจะง่วงนอน ทั้งๆที่เมื่อคืนก็นอนเต็มอิ่ม อะไรประมาณนั้น
    ผู้ปฎิบัติค่อยๆทำความเข้าใจกันไปเรื่อยๆ หรือต้องคอยเกาะครูไปเรื่อยๆ อันนี้จะดีมากๆ

    อานิสงส์จากจิตเกาะพระนั้นมีมาก
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติทำกันเก่งแล้ว แต่ถ้ามีอะไรติดขัดก็ให้ทูลถามพระพุทธเจ้าโดยตรง
    และตรงนี้แหล่ะที่ท่านจะพบธรรมะภายในจิต ในจิตของตน และก็พบตถาคตที่ว่านี้ได้
    เพราะจิตถ้านิ่งมากก็สามารถสัมผัสได้3ทาง เช่น ทิพยจักษุ ทิพพโสต หรือสื่อจากจิตโดยตรง
    แต่ละท่านจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่ว่ามีของเก่าอะไรมา

    เมื่อสามารถปฎิบัติมาถึงกันตรงนี้แล้วก็พอจะบอกตนเองได้ว่า ระดับจิตของอยู่ตรงไหน
    แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ให้ไปทูลถามพระพุทธเจ้า
    แต่จริงๆแล้วไม่ใช่หน้าที่ใครที่จะไปรับรองจิตของคนอื่นๆได้ แต่ชาวจิตเกาะพระเป็นได้แค่เพียงผู้ชี้แนะแนวทางการปฎิบัติให้ถูกทาง และรับรองจิตให้เพียงชั่วคราวกันเท่านั้น
    เพราะผู้ที่จะมาทำหน้าที่รับรองดวงจิตของคนก็คือ พระพุทธเจ้า(เท่านั้น)
    เมื่อผู้ปฎิบัติมาถึงกันตรงนี้แล้ว เดี๋ยวท่านจะมารับรองด้วยพระองค์เอง โดยทางนิมิต หรือด้วยตาเนื้อก็แล้วท่านนะ

    เพราะจิตเกาะพระนี้ เรากำลังมาทำความเข้าใจจิตของตนเอง โดยผ่านสติของเราเอง
    ขอให้ทุกท่านปฎิบัติได้ ปฎิบัติถึง และปฎิบัติให้สำเร็จกันนะ
    แล้วท่านจะพบกับอัศจรรย์แห่งจิตตนเอง

    ขอเล่าเรื่องย่อๆให้ฟังกันเพียงเท่านี้ก่อน
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับคุณครูเพ็ญ
    ครูน่ารัก แถมใจดี มีเมตตาสูง
    ขอขอบพระคุณที่ยังมีเวลา และอุตส่าห์แอบๆเข้ามาตอบให้

    ขอบคุณจริงๆ
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อารมณ์สักเพียงแต่ว่ารู้ สักเพียงแต่ว่าเห็น​


    เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ ต.ค. ๒๕๓๖ เพื่อนของผมท่านเล่าให้ผมฟังว่าท่านไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น โดยให้เหตุผลว่า ในเมื่อตาเราไปเห็นหมา แล้วจะไม่ให้จิตยอมรับว่าเป็นหมาได้อย่างไร หลวงพ่อฤๅษีท่านก็เมตตาสอนว่า

    ๑. "ไอ้เรื่องตากระทบรูป มันเป็นธรรมดาที่จิตต้องรับรู้ตามตาที่เห็นว่าเป็นหมา จุดนั้นไม่ผิดนะ คือมีสติรับรู้ตามอายตนะสัมผัสว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่รู้ไม่ได้มันต้องรู้ แต่สักเพียงแต่ว่ารู้ เห็นเพียงสักแต่ว่าเห็น อะไรเป็นอะไร แต่คุมอารมณ์ของจิตไม่ให้ปรุงแต่งในสิ่งนั้น ๆ คือ ไม่ให้คิดฟุ้งซ่านจนเกิดอารมณ์ชอบใจ-ไม่ชอบใจนั่นเอง"

    ๒. "เพื่อนของผม ท่านปั่นจักรยานมาเห็นขี้วัวก็หลบ แต่กลิ่นของขี้วัวเข้าจมูก ก็คิดว่ากลิ่นก็ไม่เที่ยง แต่กลิ่นก็ยังไม่หายไป ก็คิดต่อไปว่า ที่กลิ่นไม่หายไป เพราะสัญญาติดตามเวทนาของกลิ่นขี้วัว ไม่ชอบใจในกลิ่นที่เหม็น นั่นแหละหากเวทนาไม่เกิด สัญญาก็ไม่เกิด หรืออารมณ์ ๒ พอใจกับไม่พอใจก็ไม่เกิด หลวงพ่อท่านก็สอนต่อไปว่า เห็นขี้ก็ต้องรู้ว่าขี้ ตากับจมูกมันรายงาน อย่างนี้เรียกว่า มีสติกำหนดรู้ตามความเป็นจริง แต่ถ้าเห็นขี้นึกว่าข้าว นี่ซิมันยุ่ง สติไม่ดี แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้าเป็นหมา มันเห็นขี้เป็นข้าวหรืออาหารอย่างดี ยิ่งขี้คน หมาชอบนัก"

    ๓. "เพื่อนผมท่านเอาเรื่อง อาหาเรปฏิกูลสัญญามาพิจารณา หลวงพ่อท่านสอนพระว่า ก่อนจะบริโภคอาหารให้พิจารณาหาความจริงของอาหารก่อน โดยอาศัยหลักอายตนะสัมผัส ๑๒ มีภายนอก ๖ ภายใน ๖ เมื่อกระทบกัน จิตเราต้องรู้ แต่ให้ทรงอยู่ในอารมณ์สักแต่ว่า ไม่ปรุงแต่งธรรมนั้นต่อให้เกิดอารมณ์ ๒ คือ พอใจหรือไม่พอใจ อย่างนี้แหละมิใช่ปรุงแต่งธรรม แต่เป็นธัมมวิจยะ หลวงพ่อท่านบอกว่า เอ้อ ใช่อย่างนั้นน่ะถูกแยกความคิดให้มันออกอย่างนี้จึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ห้ามจิตไม่ให้คิดเลย เพื่อกัน ความฟุ้งซ่าน อันนี้มันผิด จิตมันต้องคิดตามอารมณ์ของมัน แต่คิดให้เป็น ธัมม วิจัย ไม่ใช่คิดอย่างชอบใจ-ไม่ชอบใจ สร้างกิเลส-ตัณหา-อุปาทานให้เกิด ไอ้ตัวรู้ว่าอะไรเป็นอะไร นั่นคือสติ-สัมปชัญญะ ไม่ใช่อายตนะกระทบกับอะไร กูไม่รู้ อันนั้นไม่เป็นเรื่อง จิตไม่มีสติอย่างนี้เขาไม่ใช้ เข้าใจให้ถูกต้องด้วย"

    ๔. "แยกอย่างนี้ รู้อย่างนี้ คุมอารมณ์ให้มีสติตามนี้ การปฏิบัติจะง่ายยิ่งขึ้น"

    จากนั้น สมเด็จองค์ปฐมท่านทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนรายละเอียดของอารมณ์สักแต่ว่าให้ดังนี้

    ๑. "เป็นอย่างไรเจ้า ปฏิบัติธรรมมาตั้งนาน เพิ่งจักรู้ว่าคำว่า สักเพียงแต่ว่ารู้ สักเพียงแต่ว่าเห็นนั้นเป็นไฉนหรือ"(ก็ยอมรับว่าโง่จริงๆที่ไม่เข้าใจ)

    ๒. "การรู้ก็ดี การเห็นก็ดี คือ จิตมีสติกำหนดรู้ เห็นไปตามความเป็นจริง และพิจารณาไปเป็นธรรมดาในสิ่งนั้นๆ จุดนี้นับว่าประเสริฐ กล่าวคือ จิตมีความเป็นบัณฑิต ไม่หลงใหลไปกับรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส-ธรรมารมณ์ อารมณ์ไม่เกาะติด เพราะเห็นสภาพสิ่งสัมผัสเหล่านั้นว่าไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา จิตก็ไม่ยึดเกาะสิ่งสัมผัสเหล่านั้นมาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ สร้างความพอใจ-ไม่พอใจให้เกิดความรุ่มร้อนแก่จิต นี่แหละคือคำว่า รู้สักเพียงแต่ว่ารู้ เห็นเพียงสักแต่ว่าเห็น"

    ๓. "ซึ่งต่างกับทรชนคนพาล จิตหวั่นไหวไปกับอายตนะสัมผัส รู้เห็นสิ่งใดมิได้ขบคิดถึงความเป็นจริง สร้างอารมณ์ตลอดเวลา ด้วยความรู้ไม่เท่าทัน สภาวะธรรม นั้น ๆ เยี่ยงนี้ตถาคตไม่สรรเสริญ เพราะไม่ใช่หนทางสงบ ไม่ใช่หนทางนักพรต ที่จักบำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าถึงมรรค ถึงผลแห่งพระนิพพาน"

    ๔. "เหตุแห่งอารมณ์ รู้สักเพียงแต่ว่ารู้ เห็นสักเพียงแต่ว่าเห็น จงนำมาปฏิบัติให้จริงจัง จิตอย่าได้คลายจากการกำหนดรู้ในอารมณ์นี้ เพราะจักเป็นที่ตั้งแห่งความสันโดษ ยังจิตให้สงบเป็นสุขได้โดยแท้"

    ๕. "ขอยกตัวอย่างกรณีหนึ่งขึ้นมา อุปมาอุปไมยให้เจ้าได้ใช้เป็นแนวทางกำหนดวางอารมณ์ รู้สึกเพียงแต่ว่ารู้ เห็นเพียงสักแต่ว่าเห็น อย่างเห็นรูปคนหรือสัตว์ที่สวยสดงดงามก็ดี จิตมีสติยอมรับตามรูปที่เห็นนั้นๆแต่ชั่วขณะจิตเดียวก็พิจารณาไปถึงความจริงแห่งธาตุฐานแห่งรูปนั้น ๆ เห็นธาตุ ๔ อาการ ๓๒ กระจ่างชัด เห็นทุกข์ของการเสวยรูปนั้นตามความเป็นจริง จิตเกาะอยู่ในวิปัสสนาญาณ ให้เกิดอารมณ์สุขสงบ เป็นการปรามจิตไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน หลงใหลในรูปที่เห็นนั้น ๆ ซึ่งอารมณ์ฝ่ายหลังเป็นอกุศล เพราะถูกความโง่เข้ามาบดบังจิต"


    �������ѡ���§��������� �ѡ���§����������
     
  17. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก ส่งผลต่อการตัดสินใจของสิ่งมีชีวิตบนโลก

    การวิจัยทางจิตวิทยาพบว่าพายุแม่เหล็ก มีผลอย่างยิ่งกับอารมณ์ของผู้คน
    อารมณ์ของผู้คนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการใช้ดุลยพินิจและความเสี่ยงการรับรู้ (เช่นฉันควรซื้อหรือควรขาย ... )

    ตลาดหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบจากพายุสนามแม่เหล็ก
    จากการศึกษาของ Federal Reserve Bank ของแอตแลนตา, แอนนา Krivelyova และ Cesare Robotti
    พบความสัมพันธ์ระหว่างพายุแม่เหล็ก กับประสิทธิภาพการลงทุนในตลาดหุ้น

    หากเราสังเกตุได้ถึงความผิดปรกติของตลาดหุ้น อันเนื่องมาจากการตัดสินใจผิดพลาดของผู้ลงทุน
    ก็อาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลก ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนก็เป็นได้

    เมื่อถึงเวลานั้นเราจึงต้องยึดหลักปฎิบัติที่ได้เคยฝึกฝนมาก่อนหน้า เพื่อเป็นเกาะคุ้มกันจิตใจเราให้ผ่านอุปสรรคนี้ได้ต่อไป

    เนื้อหาบางส่วนอ้างอิงจาก www.wallstreetwatchman.com

    หัวข้อน่าสนใจ

    - การฝึกสมาธิเบื้องต้น

    - ฝึกสมาธิเบื้องต้น (มีรูป)

    - การฝึกสมาธิเบื้องต้น (ขั้นตอนโดยละเอียด)

    - การฝึกสมาธิแบบราชโยคะโดยคร่าวๆ (ต่อยอดจากแบบเบื้องต้น)

    - วิธีฝึกจิตแบบง่ายๆ

    - จิตที่ระแวงย่อมหวั่นไหว

    - วิธีฝึกจิตให้ทรงตัว
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สันตติของอารมณ์ ในขณะจิตหนึ่ง ๆนั้นเป็นอย่างไร

    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ ต.ค. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอน เพื่อนของผมในเรื่องนี้ไว้ดังนี้

    ๑. "ขณะเจริญพระกรรมฐาน หากพิจารณาไปจิตเครียดขึ้นมา ก็จงวางอารมณ์พิจารณา เปลี่ยนมาเป็นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก กำหนดภาพพระเป็นกสิณนิมิต แทนการเห็นอาทิสมานกายอยู่เบื้องหน้าพระบนพระนิพพาน จงทำจิตให้เป็นสุขผ่องใส เพราะอยู่ต่อหน้าพระจอมไตรองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ กำหนดรู้ไว้ แม้ร่างกายจักตายไปในขณะนั้น จิตก็ย่อมเข้าสู่พระนิพพานอย่างแน่นอน"

    ๒. "อย่าลืม เวลาใดที่กำหนดภาพพระนิพพานอยู่ เวลานั้นจิตไม่ห่วงร่างกาย ลืมความคิดถึงร่างกายในชั่วขณะนั้นๆ"

    ๓. "ขอให้สังเกตอารมณ์ของจิต จักเกาะติดหรือคิดถึงสิ่งใด สิ่งหนึ่งได้ แค่อย่างเดียวในขณะจิตนั้นๆ แต่เนื่องจากขณะจิตหนึ่งนั้นเร็วมาก แค่พุท ไม่ทันโธ บุคคลผู้มีความประมาทก็ตั้งสติกำหนดรู้ขณะจิตหนึ่งนั้นไม่ทัน"

    ๔. "การปล่อยอารมณ์ฟุ้งซ่าน ถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ จึงรู้สึกว่ามันปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเป็นราว จนดูเป็นที่ผันผวนของอารมณ์ยิ่งนัก นี่ก็เป็นสันตติ เพราะแยกขณะจิตหนึ่ง ๆ นั้นไม่ออก เรื่องราวทั้งหมดจึงประดังประเดเข้ามาเสมือนกระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลติด ๆ กันมา สติไม่ทันกำหนดรู้ ก็แยกเหตุที่เกิดขึ้นกับอารมณ์ในขณะนั้นไม่ถูก ยิ่งใจร้อน ก็ยิ่งไหวหวั่นไปกับเหตุที่เกิดขึ้นมาก แต่ถ้าหากใจเย็น มีสติสัมปชัญญะ กำหนดรู้อารมณ์ที่เข้ามากระทบจิตในขณะจิตหนึ่ง ๆ การกำหนดรู้ก็จักดึงเหตุที่เข้ามากระทบจิตให้ช้าลง จนสามารถรู้ได้ว่า ในขณะจิตหนึ่งนั้น ๆ จิตกำลังเสวยอารมณ์อะไร"

    ๕. "จุดนี้คือ พยายามแยกสันตติ คือ เห็นสันตติของอารมณ์ในขณะจิตหนึ่ง ๆ จักต้องใจเย็น ๆ จึงจักเห็น แต่ถ้าใจร้อนก็จักไม่เห็นสันตติของจิตนั้น เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว จนบุคคลไม่เคยฝึกจิต จักกำหนดรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย เหตุการณ์ใดกระทบกระเทือนใจมาก เหตุการณ์เหล่านั้นเกิด ๆ ดับ ๆ อยู่ในอารมณ์ของจิตกี่ครั้งกี่หน บุคคลผู้นั้นก็ไม่รู้ ยังคงทำจิตให้จมปลักอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ จัดว่าเป็นผู้โง่เขลาอย่างแท้จริง"

    ๖. "พวกเจ้าทั้งหลาย เข้ามาถึงธรรมในธรรม จิตในจิตแล้ว ตถาคตจึงตรัสแสดงธรรมให้พวกเจ้าได้รู้ว่า พึงกำหนดรู้อารมณ์ของจิตในขณะหนึ่ง ๆ ซึ่งเป็นธรรมปัจจุบันที่พึงจักจำแนกกิเลส ให้หลุดพ้นไปจากจิตได้"

    ๗. "จุดนี้เป็นการปฏิบัติอันละเอียดอย่างยิ่ง พึงจักกระทำให้ได้เพื่อความพ้นทุกข์ ในสภาวธรรมที่ครอบงำจิตนั้นๆ แยกสันตติทางอารมณ์ให้ออก จิตจักเสวยทุกขเวทนาก็ตัดสันตตินั้นให้ขาด ด้วยยกกรรมฐานแก้จริตนั้นๆ จิตจักเสวยสุขเวทนาในทางด้าน โลกียวิสัย ก็ตัดสันตตินั้นให้ขาดด้วยกรรมฐานแก้จริตเช่นกัน จิตจักเสวยธรรมวิมุติ ก็พึงกำหนดรู้ หากเหตุเพิ่มกำลังให้กับจิต อันเป็นการส่งเสริมความดีในมรรคปฏิปทาปฏิบัติ จนได้ผลเข้าถึงธรรมนั้น ๆ ได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตรัสมาเยี่ยงนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม" (ก็รับว่าเข้าใจ)

    ๘. "ถึงจุดนี้ พยายามตัดความสนใจในจริยาของคนอื่นให้มาก ๆ งานฝึกฝนการรู้จิตนั้น จักต้องทำให้ได้ตลอดเวลา จึงไม่สมควรให้จิตเสียเวลา เพราะเรื่องของคนอื่นให้มากนัก ยกเว้นการเกี่ยวเนื่องด้วยเหตุที่จำเป็นอันหลีกเลี่ยงไม่ได้"


    �������ѡ���§��������� �ѡ���§����������
     
  19. ไดมอนด์

    ไดมอนด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +150
    ตอนเริ่มจับภาพสมเด็จองค์ปฐมค่ะแต่หลังจะมีภาพพระอจนะที่วันศรีชุม สุโขทัย แทรกเข้ามาตลอดและชัดเจนมาก ต้องทำไงดีค่ะ
     
  20. ไดมอนด์

    ไดมอนด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +150
    พิมพ์ผิด วัดศรีชุมค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...