ประวัติ แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ พอสังเขป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย hongsanart, 15 สิงหาคม 2006.

  1. kim_osk119

    kim_osk119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +1,598
    คิดเหมือนผมเลย
     
  2. suthamma

    suthamma ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,444
    ค่าพลัง:
    +36,792
    แม่ชีครับ..เปิดกระทู้จองจตุคามรามเทพของแม่ชีบ้างซิครับ
     
  3. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ประวัติตอนที่ 16

    คณะแม่ชีเข้าจำพรรษาที่วัดอุทัยธรรมารามในปีพ.ศ 2545 ได้ทำกิจวัตรตามปกติเหมือนที่เคยทำตอนอยู่วัดที่ภูเก็ต

    ชาวบ้านบางส่วนในบริเวณวัดอุทัยธรรมารามเริ่มรู้จักมากขึ้น มานิมนต์ไปในกิจกรรมร่วมกับพระบ้าง เช่นสวดงานศพ สวดทำบุญบ้าน เป็นต้น

    วันหนึ่งมีชาวบ้านมาหาแม่ชี โดยบอกกับพระข้างล่างว่า "เมื่อคืนฝันเห็นคนเดินขึ้นเขาวัดนี้มากมายเหมือนมีงานใหญ่ ในฝันนั้นมีผู้ชายมาบอกว่าให้พาสามีไปหา แม่ชีที่บนเขาวัดอุทัยธรรมาราม แม่ชีคนนี้จะช่วยสามีของเธอได้"

    เมื่อตื่นมาโยมผู้หญิงยังสงสัยเหมือนกันว่ามีแม่ชีมาอยู่บนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพราะกิตติศัพพ์ของเขานี้เลื่องลือในเรื่องของความเฮี้ยนมาก เป็นป่าร้างมานาน เรียกได้ว่าแม้แต่ผู้ชายหรือพระก็ยังไม่กล้าขึ้นไปอยู่ แล้วจะมีแม่ชีขึ้นไปอยู่ได้ยังไง?

    ด้วยความสงสัยประจวบกับความฝัน โยมผู้หญิงจึงพาสามีมาที่วัดเพื่อความแน่ใจ ได้รับคำตอบจากท่านเจ้าอาวาสว่า
    มีแม่ชีจากภูเก็ตมาอยู่ด้วยกัน 4 รูป โยมผู้หญิงจึงบอกว่าช่วยนิมนต์ลงมาหน่อย เพราะสามีของโยมเดินขึ้นเขาไม่ไหว

    เมื่อมีคนมาบอก แม่ชีก็ไม่ใจดำให้ผู้ใหญ่คราวพ่อคราวแม่ปืนเขาขึ้นมาหาด้วยความทรมานเช่นกัน
    เดินลงจากเขามาหาโยมผู้หญิงและสามีของโยมทันที เมื่อโยมผู้หญิงเห็นหน้าแม่ชีเท่านั้นเอง
    เธอร้องอุทานออกมาว่า"ใช่แล้ว แม่ชีคนนี้เองที่ฝันเห็นเมื่อคืน "

    แม่ชีจึงพูดแบบตลกว่า"ยังไม่ตาย ไปเข้าฝันได้แล้วหรือ?" ทุกคนจึงหัวเราะออกมา บรรยากาศการสนทนาจึงไม่เครียด

    โยมผู้หญิงเล่าอาการของสามีโยมให้ฟัง แม่ชีจึงบอกว่า

    "อาการแบบนี้ไม่อันตราย ที่คุณโยมผู้ชายเป็นแบบนี้เนื่อง
    จากตอนหนุ่มๆนั้นชอบเล่นของ เช่นพวกพระเวทย์ต่างๆ บางอย่างก็ดี บางอย่างก็ทำให้เกิดผลร้ายแก่ผู้ทำเอง

    เอาอย่างนี้แล้วกัน พยายามดูแลและให้กำลังใจกันมากขึ้นกว่าเดิมนะ หรือให้ลูกบวชถือศีลแล้วแผ่อุทิศบุญ ให้ตามกำลังของตนก็ได้"

    "ลูกผู้หญิงบวชให้ได้ไหม?"โยมผู้หญิงถาม "ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าตั้งใจและทำจริง" แม่ชีตอบ

    หลังจากนั้นมาโยมผู้หญิงก็พาลูกสาวที่เป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนประจำจังหวัดขึ้นมาบวชเป็นชีพราหมณ์ บวชได้สามวัน
    ก็สึกออกไปสอนหนังสือตามเดิม

    วันหนึ่งอาจารย์ที่มาบวชได้ขึ้นมาหาบอกว่า ตั้งแต่มาบวชและได้ปฏิบัติตามที่แม่ชีแนะนำ รู้สึกว่าพ่อดีขึ้น อาการลนลานกลัวๆทุเลาลงมาก ดูพ่อสงบลง

    อาจารย์จึงเชื่อว่าผลของการปฏิบัติทำสมาธิสามารถช่วยพ่อได้จริง
    จึงพาลูกศิษย์ที่สอนในโรงเรียนมาทำสมาธิที่วัดเป็นประจำ เด็กๆที่พามาสามารถทำสมาธิและนำไปใช้ในการเรียน
    ได้ผลเกินคาดหมาย เด็กมีสมาธิ มีสติ มีคุณธรรมจริยธรรม เชื่อฟังพ่อแม่ครูอาจารย์มากขึ้น

    ในครั้งแรกๆผู้อำนวยการโรงเรียนรวมทั้งอาจารย์ท่านอื่น ไม่เห็นด้วยที่จะพาเด็กเข้าวัดอบรมทำสมาธิ ถูกต่อต้าน
    สารพัดว่า "วัดไม่สามารถขจัดปัญหาของเด็กได้ดีเท่าในโรงเรียน" จากความพยายามของอาจารย์ท่านนี้

    ได้เริ่มจากครูอาจารย์และนักเรียนกลุ่มเล็กๆ จนสุดท้ายกลายเป็นกลุ่มใหญ่ ผลที่ได้จึงเป็นที่ประจักษ์ของหลายฝ่าย
    ทำให้เกิดโครงการนำเด็กเข้าวัดปฏิบัติธรรม " ทำสมาธิเพื่อพิชิตความโง่ " ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

    คืนวันหนึ่งในขณะที่แม่ชีทำสมาธิอยู่ เห็นพระแม่กวนอิมมาปรากฎให้เห็น ท่านบอกว่าให้แม่ชีสร้างองค์ท่านไว้บนยอดเขา

    แม่ชีจึงบอกท่านว่า ไม่มีเงินจะสร้างอีกอย่างบนเขานี้สูงการก่อสร้างจะลำบาก เจ้าแม่กวนอิมจึงบอกว่า
    "อย่ากังวลเลย จะมีคนมาร่วมสร้างจนสำเร็จ"

    หลายวันผ่านไป โยมจากสงขลามานิมนต์ให้ไปสงขลาเพื่อให้ลงทอง
    แม่ชีไม่อยากลงอีก เพราะคืนวิชากลับให้หลวงปู่ไปหมดแล้ว แต่โยมบอกว่าถ้าแม่ชีจะสร้างที่ปฏิบัติธรรมให้สำเร็จได้นั้น จะต้องทำอะไรให้ญาติโยมศรัทธาจึงจะได้เงินมาสร้าง

    แม่ชีนั่งตรึกตรองอยู่นานจึงตอบตกลง เมื่อมาพักที่บ้านโยมที่สงขลาคืนนั้นแม่ชีนั่งสมาธิทบทวนวิชาที่หลวงปู่ได้สอนเอาไว้
    จึงคิดว่า "เราจะเปลี่ยนวิธีลงทองเพื่อไม่ให้เหมือนเมื่อตอนอยู่กับหลวงปู่แล้วกัน

    วิธีลงของหลวงปู่นั้นคือเอาทองปิดที่หน้าผาก ที่ด้านหน้าอกและด้านหลัง
    จากนั้นก็มีคาถาแล้วใช้กระดาษกดทองให้หายเข้าไป แม่ชีเคยได้ยินโยมที่กรุงเทพฯคุยกันตอนที่แม่ชีไม่สบาย
    จึงลงให้โยมไม่ได้ หลวงปู่จึงให้แม่ชีเด็กลงให้แทน มีเด็กมายืนดูแล้วพูดว่า"หนูก็ทำได้ง่ายๆ"

    ตั้งแต่นั้นมาแม่ชีเด็กพยายามจะไม่ลงทองให้ใครอีก พอแม่ชีหายไข้ก็ต้องกลับมารับหน้าที่นี้เหมือนเดิม
    เมื่อคิดได้เช่นนั้นแม่ชีจึงดัดแปลงวิธีลงทองใหม่โดยใช้วิธีตบให้เข้าแทนการกด ส่วนคาถาก็เปลี่ยนใหม่เช่นกัน

    วันรุ่งขึ้นมีโยมมาลงกันมากพอสมควร แม่ชีไม่ได้ต้องการค่าครูจากโยม แต่ลูกศิษย์บอกว่าแล้วจะเงินที่ไหนมาสร้าง
    ไหนจะค่าทอง ค่าน้ำมัน เหล่านี้ต้องใช้เงินทั้งนั้น แม่ชีจึงบอกว่า หลวงปู่เคยถามว่า "ระหว่างค่าครู 48 บาท
    กับ 109 บาทเธอจะเลือกเอาอันไหน?" ตอนนั้นแม่ชีได้ตอบหลวงปู่ไปว่า
    "ครูเอาตังด้วยหรือ?"

    หลวงปู่จึงแจงว่า "ค่าน้ำมัน ค่าทอง เธอจะเอามาจากไหน?"ฟังเช่นนั้นแม่ชีจึงบอกหลวงปู่ว่า

    "ถ้าอย่างนั้นหนูเอาแค่ 48บาทแล้วกัน ค่าเหนื่อยหนูไม่คิด ส่วนลงแล้วห้ามผิดศีลข้อ 3 และลงให้เฉพาะคนมีเงินนั้น
    หนูทำไม่ได้ แล้วคนจนมีเงินน้อยจะทำอย่างไร?
    ผู้หญิงขายบริการหาเงินโดยใช้ร่างกายตัวเอง หาเงินเพื่อส่งไปให้แม่ ให้ลูกได้มีอาหารกิน ถ้าหนูไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย
    ให้เขายิ้มได้ล่ะคะ?"

    แม่ชีอธิบายให้หลวงปู่ฟัง หลวงปู่จึงบอกว่า "งั้นแล้วแต่เธอ" แม่ชีจึงบอกว่า
    "ถ้าอย่างนั้นหนูเลือกเอาวันจันทร์วันเดียวเพื่อที่จะลงให้ผู้หญิงขายบริการ" หลวงปู่จึงพยักหน้า

    หลังจากนั้นมา พวกผู้หญิงขายบริการแถวป่าตองมาเข้าคิวลงทองในทุกวันจันทร์ตั้งแต่เช้ายันค่ำเป็นประจำ

    แม่ชีได้เห็นน้ำตาของผู้ขายบริการที่ตื้นตันใจที่แม่ชีไม่ได้รังเกียจพวกเธอเลย กลับให้กำลังใจหาเงินและเก็บรวบรวมเงินไว้หลังจากนั้นก็ให้เลิกอาชีพนี้เสีย แล้วหันไปประกอบอาชีพอื่นแทน

    เมื่อเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง ลูกศิษย์จึงบอกว่า "งั้นเป็นหน้าที่ของหนูเอง หนูจะเตรียมพานให้โยมที่จะลงทอง
    นำดอกไม้มาให้อาจารย์พร้อมกับค่าลงทอง 99บาทแล้วกัน"
    แม่ชีพยักหน้ารับรู้

    วันนั้นมีญาติโยมมานั่งคอยลงทองรวมทั้งปรึกษาปัญหาไปด้วย ในนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งทำงานแบงค์ได้มานั่งคอยลงทอง
    เมื่อเจอกับแม่ชี แม่ชีก็ลงให้ปกติไม่ได้พูดและไม่ได้ถามอะไร ลงเสร็จผู้หญิงคนนี้ก็ลากลับไปทำงาน

    แม่ชีก็ลงให้กับคนอื่นเรื่อยไป ตอนพักเที่ยงผู้หญิงคนเดิมก็มานั่งคุยกับลูกศิษย์ของแม่ชี ตกเย็นหลังเลิกงานก็มาหาอีกรอบ
    ตอนนั้นคนเริ่มซาลงแล้ว ผู้หญิงคนนี้เรียกแม่ชีว่า อาจารย์และถามว่า "อาจารย์ต้องการอะไร?"

    แม่ชีมองหน้าและยิ้มให้พลางพูดว่า "ต้องการนิพพาน" ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาในทันใดว่า
    "ดี งั้นอ้อยจะส่งอาจารย์ไปนิพพานเอง" (ปัจจุบันอ้อยจึงเป็นเป็นลูกศิษย์มือขวาของแม่ชี)

    แม่ชีชำเลืองมองหน้าคนพูดแล้วยิ้มให้

    เมื่อลงทองเสร็จแม่ชีก็กลับวัด ลูกศิษย์โทรกลับมาว่าได้ช่างปั้นเจ้าแม่กวนอิมและมีญาติโยมได้พร้อมใจกันร่วมบริจาคเงิน
    เพื่อสร้างเจ้าแม่กวนอิมให้เสร็จสมบูรณ์ ฟังแล้วรู้สึกพอใจในขั้นหนึ่ง จึงเดินไปยืนหามุมที่จะสร้างเจ้าแม่กวนอิม

    เดินหามุมอยู่สักพักมีเสียงกระซิบที่ข้างหูบอกว่าให้หยุดอยู่ตรงนั้นแล้วหันหน้าไปทางขึ้นเขา แม่ชีจึงปักไม้ตรงนั้นทันที

    เมื่อได้ที่อันเหมาะแล้ว จึงโทรฯเตรียมงานสร้างและวางศิลาฤกษ์กับลูกศิษย์ต่อไป

    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤษภาคม 2007
  4. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...
    ประวัติตอนที่17

    วันวางศิลาฤกษ์ มีญาติโยมมาร่วมกันมากพอสมควร ทำให้เห็นน้ำใจของญาติโยมที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา
    เมื่อมีงานอันเป็นมงคล ความศรัทธาย่อมหลั่งไหลอย่างท่วมท้น นี่แหละหนาที่เขาว่า "น้ำไม่ไหลขึ้นที่สูง"

    แต่ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าของแม่ชีนั้นช่างตรงกันข้ามเสียจริง น้ำอันงดงาม ใสสะอาดพุ่งสู่เบื้องบนยอดเขา วัดอุทัยธรรมารามจนเจิ่งนอง และไหลเป็นทิว
    นั่นคือ "น้ำใจ"

    ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ อุบาสก อุบาสิกา และแม้แต่พระภิกษุสงฆ์ ต่างทะยอยกันเดินขึ้นบนยอดเขา อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เนื้อที่ 6ไร่กว่าๆ คับแคบไปในพริบตา พิธีเสร็จสิ้นลงด้วยความสุขใจของหลายๆฝ่าย

    และมีเรื่องกล่าวขานกันไปไกลทั่วพัทลุงและจังหวัดข้างเคียง ถึงเรื่องความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในพิธีนี้

    จากนั้นการก่อสร้างพระแม่กวนอิมก็เริ่มขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ วัดอุทัยธรรมารามจึงคึกครื้นขึ้นอีกครั้ง

    พิธีเบิกเนตรพระแม่กวนอิมได้ถูกจัดขึ้น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดมาเป็นเกียรติฝ่ายคฤหัสถ์และเป็นประธานมอบของที่ระลึกที่แม่ชีจัดให้ เพื่อขอบคุณญาติโยมที่บริจาคเงินมาร่วมสร้างจนสำเร็จ

    ฝ่ายสงฆ์ก็มีท่านเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าอาวาสวัดต่างๆมาร่วมพิธีกันอย่างคับคั่ง รวมทั้งญาติโยมจากทั่วสารทิศ ตั้งแต่นั้นมาสำนักปฏิบัติธรรม
    ควนนาโหนดจึงเป็นที่รู้จักของญาติโยมทั่วไป

    กุฏิและอาคารที่ใช้ประกอบกิจกรรมต่างๆเริ่มผุดขึ้นโดยลำดับ มีการอบรมผู้ปฏิบัติธรรมและนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ

    ผู้ใหญ่บ้านได้เชิญแม่ชีบรรยายธรรมยามเช้าทุกเสาร์และอาทิตย์ครั้งละ 1ชั่วโมง เรื่อยมา

    พ่อของแม่ชีได้มีโอกาสมาอยู่ที่ปฏิบัติธรรมตอนเป็นพระอยู่ระยะหนึ่ง แม่ชีจึงกล่าวกับท่านว่า
    "หลวงพ่อ หลวงปู่เป็นพระที่ดีจริง ท่านเป็นพระอรหันต์จริง หลวงพ่ออย่าโกรธท่านเลย หนูเข้าใจแล้วว่า
    ทำไมท่านจึงต้องทำแบบนั้น ถ้าวันนั้นท่านไม่ทำอย่างนั้น หนูคงไม่มีวันนี้แน่นอน ท่านสอนให้หนูอย่าหลงติด
    ในโลกธรรม8 คือมีลาภ ก็ต้องมีวันเสื่อมจากลาภ มียศ ก็ต้องมีวันเสื่อมจากยศ มีสรรเสริญ นินทา ทุกข์และสุข
    หนูเพิ่งเข้าใจ เวลาที่ผ่านมามันทำให้หนูแกร่งขึ้น เป็นตัวของตัวเอง ดังที่หลวงปู่เคยสอนเสมอว่า ให้ทำตนและสร้างตน
    ให้เป็นตน "


    หลวงพ่อนั่งฟังอย่างสงบ ท่านอยู่ที่วัดอุทัยธรรมารามได้อาทิตย์กว่าก็กลับอยุธยา เพื่อลาสิกขาจากเพศสมณะ
    เพราะครบกำหนด 3 ปีดังที่ให้สัจจะกับหลวงปู่ไว้

    แม่ชีก็ทำหน้าที่สอนและบรรยายธรรม รวมทั้งเป็นที่พึ่งที่ปรึกษาให้กับญาติโยมบางคนที่หาทางออกให้ชีวิตไม่ได้

    ชีวิตประจำวันมีทั้งหวือหวาตื่นเต้น ราบเรียบสลับกันไป จนเข้าพรรษาอีกครั้ง คราวนี้แม่ชีเข้ากรรมฐานในระหว่าง เข้าพรรษา 15 วัน ไม่พบใครเก็บตัวเงียบในกุฏิ

    ขณะนั่งสมาธิอยู่นั้นรู้สึกว่ามีใครเรียก จึงกำหนดดูเมื่อรู้ว่า
    มีเหตุการณ์อะไรจึงเปิดโทรศัพท์โทรไปหาลูกศิษย์ที่เป็นพยาบาลปลดเกษียณแล้วบอกว่า "เด็กคนนี้แม่ชีขอ
    อย่าส่งโรงพยาบาลประสาทและอย่าให้กินยาหรือฉีดยานะ"
    ลูกศิษย์จึงบอกว่า "ถ้าติดต่ออาจารย์ไม่ได้จะพาปุกไปหาหมอฉีดยา"
    แม่ชีจึงกล่าวต่อว่า
    "อาการแบบนี้ท่านเรียกว่าวิปลาสทางธรรม ไม่บ้าหรอก เป็นเหมือนแม่ชีตอนอยู่กับหลวงปู่นั่นแหละ ไม่เป็นอะไรหรอก
    รอแม่ชีออกจากกรรมฐานก่อนแล้วกัน"

    หลังจากครบกำหนด แม่ชีจึงถามหาผู้หญิงที่ชื่อปุก ลูกศิษย์จึงพามาหา
    ปุกคือชื่อของผู้หญิงที่จะโดนจับฉีดยาแก้โรคบ้า นั่งมองหน้าแม่ชีอยู่ห่างๆ ไม่เข้ามาใกล้เหมือนคนอื่น

    ขณะนั้นมีโยมยื่นมือมาให้แม่ชีดูลายมือให้ (ต้องออกตัวก่อนว่าไม่ได้เป็นหมอดูลายมือนะ แค่มือใหม่หัดขับเท่านั้นเอง)

    แม่ชีแกล้งทายลายมือโยมที่ยื่นมือมาให้ดูแล้วชำเลืองมองปุก เท่านั้นเองเธอพลุ่งตัวปาดเข้ามานั่งอยู่เบื้องหน้าแม่ชี
    ในทันใดพลางแบมือยื่นมา ที่แท้ก็แพ้หมอดูลายมือนี่เอง แม่ชีจึงบอกว่า
    "เข้ากรรมฐานดีกว่า ถ้าไม่มาจะตายนะ"

    พูดเสร็จก็มองหน้า เธอก็ตอบรับปากอย่างไม่ต้องคิดเช่นกัน แม่ชีจึงบอกให้เธอมาเข้ากรรมฐานสัก 7 วัน

    ระหว่างที่เข้ากรรมฐานนั้นแม่ชีจะลงไปสอบอารมณ์ที่ห้องกรรมฐานทุกวัน จนวันที่6 แม่ชีจึงให้ออกจากห้องกรรมฐาน
    มากวาดใบไม้แถวกุฏิของแม่ชีโดยไม่ให้พูดกับใครเลย ยกเว้นแม่ชีเท่านั้น ปุกทำตามทุกอย่าง

    เมื่อถึงตอนสอบอารมณ์
    ปุกเล่าให้ฟังว่า "หนูปฏิบัติมา6วันแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย จึงคิดว่าการทำสมาธิปฏิบัติธรรมแล้วเห็นโน่น
    เห็นนี่จึงมีไม่จริง และแม้แต่อาจารย์ก็คงเห็นไม่จริงเช่นกัน"
    ปุกเล่าให้ฟังเช่นนั้น แม่ชีจึงหัวเราะ

    "งั้นคืนนี้เธอปฏิบัติใหม่ทำอย่างที่บอกนะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน" พูดจบแม่ชีก็ออกมาจากห้องกรรมฐาน

    รุ่งเช้าปุกออกจากห้องกรรมฐานขึ้นมาที่ห้องของแม่ชีมาเล่าว่า "เมื่อคืนทำสมาธิอย่างที่อาจารย์แนะนำแล้ว
    เห็นหลวงปู่มายืนอยู่ที่ปลายเท้าแล้วยิ้มให้หนู รวมทั้งเห็นอะไรต่ออะไรอย่างที่อาจารย์บอกจริงๆ นึกว่าจะไม่เห็นอะไร
    เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นหนูจะไม่เชื่อเลย แต่นี่เป็นอย่างที่อาจารย์สอนจริงๆ หนูกราบอาจารย์ค่ะ"

    ว่าแล้วปุก ก็ดึงเท้าของแม่ชีไปกราบ(ปัจจุบันปุกเป็นลูกศิษย์มือซ้ายของแม่ชี)

    หลังจากนั้นปุกจะมาที่วัดเป็นประจำหลังจากว่างจากงานที่ทำ

    พ่อของแม่ชีเริ่มเจ็บออดๆแอดๆ ไปหาหมอๆก็บอกว่าไม่มีอะไร พ่อกังวลไปเองเท่านั้น
    ให้ยาบำรุงรักษาเส้นประสาทและเส้นเลือดฝอยมาทาน

    วันหนึ่งแม่ชีกลับไปอยุธยา มีโอกาสได้คุยกับพ่อซึ่งแม่ชีเรียก
    ท่านว่า "เตี่ย "เหมือนเมื่อครั้งท่านยังไม่ได้บวช จึงบอกพ่อว่า "ลองให้หมอเอ็กซเรย์ตรงลำไส้สิ มันดำๆนะ"

    พ่อจึงตอบว่า "หมอตรวจแล้วไม่เจออะไร"

    "งั้นเตี่ยไปบอกหมอแล้วกันว่า แม่ชีให้ตรวจใหม่ ดูตรงปลายกระเพาะ
    ที่เชื่อมต่อกับลำไส้หน่อยเถอะ แม่ชีว่ามันเป็นมะเร็งนะ"

    พ่อทำตามที่แม่ชีบอก เพราะท่านเห็นแม่ชีนั่งดูและนั่งรักษาให้โยมมาหลายคน เมื่อครั้งอยู่กับหลวงปู่ที่ภูเก็ต

    หมอหัวเราะขำกลิ้ง พลางกล่าวกับพ่อว่า
    "คุณลุง ผมเป็นหมอยังต้องใช้เครื่องช่วยตรวจเลย แม่ชีไม่ได้ใช้อะไร จะรู้ดีกว่าหมอได้ยังไง?"

    พ่อจึงขอร้องให้หมอตรวจใหม่ หมอก็ตรวจตามที่พ่อขอร้อง เมื่อเช็คตรงที่แม่ชีบอกไว้ หมอนั่งนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่
    จึงหันมาบอกกับพ่อว่า

    "คุณลุงโชคดีจังที่มีเวลาอยู่ได้อีกนานกว่าบางคนเสียอีก หมอว่า6 เดือนคงจะเพียงพอ
    ที่คุณลุงจะรีบทำอะไรที่ยังไม่ได้ทำนะ เวลาที่เหลือจะทำอะไรก็รีบทำซะ"

    พ่อจึงถามหมอตรงๆว่า "ผมเป็นอะไร?" "มะเร็งขั้นสุดท้าย แต่รักษาได้โดยการให้เคมีบำบัด
    และก็ทำสมาธิอย่างที่ลูกสาวลุงบอกนั่นแหละ เอาเป็นว่าผมนัดให้เคมีเลยแล้วกัน"

    จากนั้นมาพ่อก็ไปให้เคมีบำบัดตามที่หมอนัดเป็นประจำ

    งานวันไหว้ครูของแม่ชีนั้น พ่อไม่ได้มาเพราะติดให้ยาเคมี พ่อไม่ได้บอกแม่ชีว่าหมอให้เคมี คงมีแต่แม่ที่มาในงานคนเดียว

    พิธีไหว้ครูเสร็จแม่ชีก็ก้มลงกราบเท้าแม่ให้ลูกศิษย์ดู ด้วยหวังให้ลูกศิษย์จะได้ระลึกถึงคุณของบิดามารดาที่เลี้ยงดูเรามา
    จนเติบใหญ่ ไม่ว่าลูกจะเป็นใครก็ตาม ลูกก็ยังคงเป็นลูกทุกขณะ
    ฉะนั้นการกราบบิดามารดา จึงควรอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็น
    เพศไหน และสถานะไหนด้วย งานนั้นทั้งพระทั้งแม่ชีต่างน้ำตาซึมไปตามๆกัน

    หลังจากนั้นแม่ชีก็กลับมาอยุธยากับแม่ เห็นพ่อแล้วแปลกใจว่าทำไมพ่อผอมลงๆ จึงถามว่า

    "หมอให้ยาอะไรกับเตี่ย ทำไมกินแล้วคลื่นไส้อยู่เรื่อย ผมก็บางลง"

    พ่อจึงบอกว่า "พรุ่งนี้ต้องไปให้เคมีอีกหนึ่งครั้งก็พอแล้ว"

    แม่ชีจึงถามว่า "หมอให้คีโมเตี่ยหรือ?" พ่อบอกว่า "ไม่ใช่ มันเป็นยาเคมี ไม่ใช่คีโมอย่างที่หนูบอกนะ"พ่อตอบกลับมา

    แม่ชีจึงกล่าวว่า "แม่ชีบอกเตี่ยแล้วว่า ถ้าเป็นมะเร็งอย่าให้เคมีหรือคีโมนั่นแหละ อันเดียวกัน แม่ชีจะรักษาเตี่ยเอง แต่นี่ให้เคมีแล้วรักษาลำบาก"

    พ่อจึงบอกว่า "ช่างมันเถอะหมอบอกว่าจะอยู่ได้อีก 6 เดือน ไม่เป็นไรเตี่ยยอมรับได้" พ่อพูดแบบปลงๆ
    แม่ชีจึงบอกว่า "เตี่ยเอ๋ย...หมอบอก 6 เดือน แม่ชีให้แค่ 2 เดือนเท่านั้น" พ่อยิ้มแต่สีหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด แม่ชีสงสารพ่ออย่างจับใจ

    จากนั้นแม่ชีก็กลับพัทลุง ไม่นานแม่โทรมาบอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาลภูมิพล พ่อพักรักษาตัวอยู่สองสามอาทิตย์ เพื่อรอผ่าตัดเนื่องจากก้อนเนื้อใหญ่บดบังลำไส้

    ตอนนั้นแม่ชีมีกิจมากจึงไม่ได้ไปดูแลพ่อ คงมีแม่และพี่สาวคนโตดูแล
    พ่อจะโทรมาหาแม่ชีและบอกว่า "ชีเอ้ย!!!เอาเตี่ยไปรักษาที่สงขลาได้ไหม ที่นี่มันแย่จริงๆ"
    แม่ชีจึงไปรับพ่อมารักษาและผ่าตัดที่โรงพยาบาลสงขลา โดยมีลูกศิษย์ที่เป็นหมอและพยาบาลช่วยเป็นธุระจัดการให้ทุกเรื่อง

    เมื่ออาการของพ่อดีขึ้นจึงพามาพักที่บนยอดเขา ที่แม่ชีพักอยู่ ระหว่างนั้นดูอาการของพ่อทรุดลงมาก ดูแล้วว่าอายุขัยของพ่อเริ่มน้อยลงแล้ว

    "จึงคิดว่าจะทำอย่างไรดีที่จะให้พ่อตายอย่างมีความสุขและสงบ"

    ระหว่างนั้นแม่ชีได้ทำการอบรมเด็กนักเรียนที่ขึ้นมาบนเขาเกือบทุกวัน พ่อจึงมีโอกาสได้ฟังแม่ชีสอนเด็กทุกวัน

    บางวันออกจากห้องไม่ได้ท่านก็จะนอนฟัง แม่ชีเปิดเครื่องขยายเสียงให้ท่านได้ยินชัดเจน หรือบางวันก็เปิดซีดีบรรยายธรรม
    ให้ฟัง

    บางวันท่านก็ออกมานั่งฟังแม่ชีสอนนักเรียน หลังจากสอนเสร็จแม่ชีก็จะเข้ามานั่งคุยกับท่านทุกวัน
    บางวันพ่อปวดแผลมาก นอนไม่ได้อีกทั้งร้อนในกายพุ่งขึ้นหัว แม่ชีและแม่ต้องคอยเอาผ้าเย็นมาเช็ดหัวให้ท่านอยู่บ่อยครั้ง

    อาการของพ่อทรุดลงโดยลำดับ เริ่มมีอาการท้องเสีย ทานอาหารไม่ได้ เจ็บปวดตามร่างกายมากขึ้น ท่านทนไม่ได้จึง
    บอกกับแม่ชีว่า

    "ชีเอ้ย...ช่วยรักษาพ่อเหมือนที่หนูรักษาให้กับคนอื่นหน่อยสิ"
    แม่ชีนั่งนิ่งอยู่นานจึงเอ่ยขึ้น

    "ได้...แต่เมื่อหนูรักษาพ่อเสร็จหนูก็เสร็จเลย"เมื่อแม่ชีพูดเช่นนั้น พ่อจึงบอกว่า

    "งั้นไม่ต้องแล้วกัน หนูยังต้องช่วยคนอีกมากมาย ยังไงเตี่ยก็ไม่รอดอยู่แล้ว"

    พ่อต้องนั่งงอตัวและเอาศรีษะซบลงกับหมอน ดูแล้วทรมานมาก แม่ชียืนมองท่านด้วยความสงสาร อยากจะกอดท่านไว้ เป็นการให้กำลังใจ แต่ไม่กล้าทำ คงยืนดูอยู่อย่างนั้น

    โปรดติดตามตอนต่อไปคราวหน้า

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤษภาคม 2008
  5. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...
    ประวัติตอนที่ 18


    เมื่อเห็นอาการของพ่อเริ่มทรุดลง เนื่องจากพ่อมีอาการทรมานจากพิษของมะเร็ง นี่แหละคือผลพวงของการสูบบุหรี่มาก

    และดื่มเหล้าจัดเมื่อครั้งยังหนุ่มของพ่อ แม่ชียืนมองท่าน ใจก็ปลงไปด้วย เพราะเมื่อครั้งยังเด็กก็เคยเห็นความทรมานแบบนี้
    จากปู่หรืออากง

    มาตอนนี้ก็นึกถึงตัวเองเหมือนกัน เพราะก่อนบวชตัวเองก็คลุกคลีอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาตลอด และแม้ตอนนี้มันก็ส่งผลกับร่างกายของแม่ชีเช่นกัน

    เมื่อเห็นพ่อทรมานจึงบอกให้ท่านทำสมาธิ ท่านก็บอกว่า "ปวดอย่างนี้จะทำได้อย่างไร"

    แม่ชีจึงจดบทสวดมนต์ของโพชฌังโค ให้ท่านสวด ท่านก็สวดเสียงดังลั่นที่ปฏิบัติธรรมทุกวัน สวดไปปากก็ร้อง"โอยๆๆ"
    สลับกันไปอยู่อย่างนี้ ฟังแล้วก็อดขำท่านไม่ได้


    มีญาติฝ่ายพ่อมาเยี่ยมรวมทั้งลูกศิษย์ของแม่ชีก็มาให้กำลังใจพ่อเกือบทุกวัน แม่ชีทำหน้าที่เป็นทั้งหมอและพยาบาล
    ไปในตัว คือมีหน้าที่ดูแลล้างแผล หายาหลายชนิดมาให้ท่านกิน เพื่อหวังว่าความเจ็บปวดจะบรรเทาบ้าง ทุกเย็นก็จะเข้ามาคุยธรรมะให้พ่อฟัง


    วันหนึ่งแม่กลับไปบ้านที่อยุธยา แม่ชีจึงทำหน้าที่ดูแลและนอนเฝ้าพ่อ จึงรู้ได้ว่า แม่ช่างมีความอดทนเสียจริง
    อดหลับอดนอนเป็นเดือนในการเฝ้าพ่อ ทั้งๆที่ตอนพ่อดีๆ แม่มักจะทะเลาะกับพ่อเป็นประจำ อยากจะไปจากกันตลอดเวลา


    บางครั้งฟังแล้วก็อดกระเซ้าแม่ว่า "ถ้าเตี่ยไม่ดี ทำตัวงี่เง่า ก็ทิ้งไปซะก็สิ้นเรื่อง ยิ่งไม่สบายอย่างนี้ มาดูแลทำไม
    ไปหาแฟนใหม่ซะก็สิ้นเรื่อง"
    แม่ชีพูดแล้วก็หัวเราะ

    แม่จึงบอกว่า"เคยร่วมทุกข์กันมา พอเจ็บป่วยจะทิ้งกันไป เดี๋ยวจะว่าไม่มีน้ำใจ"
    "ตกลงรักกันหรือเกลียดกันนะเนี่ย?"
    แม่ชีย้อนถาม แม่หัวเราะแทนคำตอบ

    ขณะนี้แม่ชีนั่งมองพ่อแล้วหดหู่เสียจริง ในใจก็คิดว่า
    "พ่อเอ๋ย!!! พ่อคงไม่รอดแน่แล้ว ลูกช่วยพ่อไม่ได้
    ก็ขอให้พ่ออย่าทุกข์ทรมานเลย"


    อยู่ๆพ่อก็พูดกับแม่ชีว่า "ชีเอ้ย พ่อคงไม่รอดแน่แล้ว พ่อจะไปตายที่บ้าน"

    จากนั้นพ่อก็ถามต่อว่า
    "เตี่ยติดอะไรเอาไว้บ้าง ช่วยบอกหน่อย เตี่ยจะได้รีบทำ" แม่ชีจึงบอกพ่อว่า
    "ให้พ่อซื้อธงถวายแล้วกัน"

    วันรุ่งขึ้นแม่ชีจึงให้น้องไปซื้อธงธรรมจักรและธงชาติมาให้พ่อ และจะนิมนต์ให้พระมารับถวายธงจากพ่อ

    แต่พ่อห้ามไว้พลางบอกว่า "ไม่ต้องหรอก พ่อจะถวายธงกับลูกนั่นแหละ เกิดมาตั้งแต่เล็กจนโต
    และแม้แต่บวชเป็นพระมายังไม่รู้ธรรมะเลย ได้ลูกของตัวเองสอนให้รู้ ให้เข้าใจธรรมะก็ตอนนี้"


    พูดจบพ่อก็ยกธงขึ้นท่วมหัวและคลานลงมาจากเตียงนอน ด้วยอาการเหนื่อยล้า หมดแรงซวนเซเพราะร่างกายผอมลงมาก

    แม่ชีต้องกระโดดลงจากเก้าอี้เพื่อประคองท่าน พ่อกลับพูดว่า
    "ไม่ต้องลงจากเก้าอี้หรอก วันนี้พ่อขอกราบลูกของตัวเอง
    นับว่าเป็นมงคลสำหรับเตี่ยแล้ว"


    แม่ชีจึงลงนั่งคุกเข้าต่อหน้าท่าน พ่อถวายธงแก่แม่ชีแล้วก้มลงกราบแม่ชีซึ่งเป็นลูกของท่าน
    ถึง 3 ครั้งด้วยกัน แม่ชีรับธงที่พ่อถวายให้ด้วยมืออันสั่น ก้อนอะไรไม่รู้มันวิ่งขึ้นมาจุกที่หน้าอกและคอน้ำตาเริ่มเอ่อที่ขอบตา

    แม่ชีอนุโมทนาบุญให้พ่อด้วยเสียงอันสั่นเครือเจือด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาจากเบ้าตา โดยไม่ได้ตั้งใจ

    เมื่อกล่าวจบ พ่อก็รับคำว่า "สาธุ สาธุ สาธุ "เสียงดัง

    หลังจากนั้นแม่ชีก็ส่งพ่อกลับอยุธยา ตอนนั้นบนเขาที่แม่ชีอยู่ยังไม่มีกระเช้าสำหรับนั่ง คงมีแต่ไม้กระดานหนึ่งแผ่นที่แขวนไว้บนสลิง

    เวลาลงก็จะเหวี่ยงลงและเบรคด้วยเบรคเท้า แม่ชีและน้องอุ้มพ่อจากกุฏิมานั่งไม้กระดาน ให้ท่านจับเชือกที่ผูกไว้ จากนั้นไม้กระดานแผ่นนั้นก็ถลาลงมายังเบื้องล่างของภูเขา พ่อลงมาถึงพื้นด้วยความปลอดภัย โดยมีแม่ชีวิ่งตามดูท่านลงมา


    หลังจากนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษา แม่ชีจึงเข้ากรรมฐาน 9วันช่วงนั้น พี่สาวต้องส่งตัวพ่อเข้าโรงพยาบาลอย่างรีบด่วน
    เพราะพ่อล้มในห้องน้ำ มีเลือดไหลออกมามากกว่าปกติ แม่ติดต่อแม่ชีไม่ได้เพราะปิดมือถือ

    ขณะที่แม่ชีนั่งกรรมฐานอยู่นั้น อยู่ๆพ่อก็มาในนิมิตด้วยชุดโรงพยาบาล เมื่อเห็นพ่อในนิมิตเช่นนั้นแม่ชีก็รู้ได้ทันทีว่า
    เกิดอะไรกับพ่อ

    พ่อมานั่งข้างๆแล้วบอกว่า "ชีเอ้ย!!!ฝากแม่ด้วยนะ"

    แม่ชีรับปากพ่อทันทีจึงถามพ่อด้วยความตกใจ "เตี่ยตายแล้วหรือ?"

    พ่อไม่ได้พูดอะไร จากนั้นภาพนิมิตของพ่อก็หายไป แม่ชีรีบถอนออกจากสมาธิทันที
    เปิดโทรศัพท์ไปหาแม่ พอแม่รับสายแม่ก็บอกว่า"เตี่ยตายแล้ว" แม่ชีจึงบอกแม่ว่า"รู้แล้ว เตี่ยมาหา"

    พ่อของแม่ชีสิ้นใจด้วยอาการสงบของสังขาร เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2547

    จากนั้นแม่ชีก็บอกให้แม่จัดงานศพพ่อก่อน แม่ชียังออกจากกรรมฐานไม่ได้ เพราะยังไม่ครบกำหนด โดยให้น้องชายขึ้นไปช่วยแม่ก่อน

    แต่พอนั่งพิจารณาแล้วจึงคิดว่า จะลากรรมฐานก่อนน่าจะดีกว่า
    เสร็จงานพ่อแล้วค่อยมาเข้าใหม่ จึงตัดสินใจลากรรมฐานชั่วคราว เตรียมของสำหรับงานศพพ่อทันที


    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  6. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อนุโมทนาค่ะ เรื่องราวช่างน่าติดตามเหลือเกิน
     
  7. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,181
    กลับมาได้อ่านทีเดียว 3 ตอนรวดเลย
    อิอิ
     
  8. ligore

    ligore เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +5,807
    เพิ่งไปเกาะยอไปร่วมงานพุทธาภิเษกพระ
     
  9. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ประวัติตอนที่ 19

    งานศพพ่อถูกจัดขึ้นที่อยุธยา มีญาติพี่น้องเพื่อนพ้องทั้งฝ่ายพ่อฝ่ายแม่และฝ่ายลูกๆมากมาย นับเป็นพันๆคน
    ศพพ่อถูกเผาเป็นผุยผงเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2547 เวลา 16.00น. แม่ชียืนมองกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาจากปล่อง
    ด้วยอาการสงบ "ลาทีคุณพ่อเอ๋ย หลับให้สบายเถิด" เหลียวหันไปมองแม่ว่าท่านจะมีอาการเสียใจหรือไม่?

    แม่มีอาการสงบเช่นกัน แม่บอกกับลูกๆว่า "ไม่ต้องไว้ทุกข์นะ คนตายไปดีแล้ว คนเป็นจะมาทุกข์กันทำไม?"

    แม่ชีจึงสาธุกับแม่ที่ท่านรู้สัจธรรมของชีวิต ไม่ยึดติดกับประเพณีบางอย่างที่ถือครองกันมาแบบผิดๆ

    รุ่งเช้าได้นำกระดูกพ่อมาบ้านบางส่วน นำไปลอยน้ำบ้าง บางส่วนแม่ชีขอมาเพื่อจะนำไปทำเป็นตะกรุด
    ให้ลูกๆหลานๆสวมใส่ หลายคนท้วงติงว่าเอากระดูกพ่อมาแขวนคอนั้นไม่ดี แม่ชีจึงอธิบายว่า

    "กระดูกของพ่อแม่นั้นย่อมเป็นมงคลกว่ากระดูกของสัตว์เดียรัจฉานมากมาย พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก
    แล้วไฉนจะเกิดผลร้ายกับลูกได้ล่ะ?"

    คนท้วงติงจึงกล่าวว่า "ไม่มีใครเขาทำกัน"

    แม่ชีกล่าวต่อไปว่า"แล้วสิ่งที่เขาทำนั้นมันถูกหรือไม่เล่า?"คนท้วงติงนิ่งไม่ตอบ แม่ชีจึงกล่าวอธิบายต่อว่า

    "บางสิ่งที่ทำต่อๆกันมา บางอย่างก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เพียงทำตามกันมา นี่แหละที่พระพุทธองค์ทรงเตือน
    ชาวกาลามะถึง 10 ประการ นั่นคือ
    -อย่าเชื่อในเรื่องที่เล่าหรือที่ทำกันสืบๆต่อกันมาอย่างไม่มีมูลหรือไม่มีเหตุผล
    -อย่าเชื่อเพราะเป็นตำนานเล่าขานกันมา
    -อย่าเชื่อเพราะเป็นตำราหรือเป็นคัมภีร์
    -อย่าเชื่อเพราะเป็นปรัชฌา
    -อย่าเชื่อเพราะสิ่งนั้นต้องใจหรือถูกใจเรา
    -อย่าเชื่อเพราะมองแล้วน่าจะเป็นอย่างที่ตนเห็น หรือที่ตนคิด
    -อย่าเชื่อเพราะคาดคะเน หรือประมาณเอาเอง
    -อย่าเชื่อเพราะเป็นคนที่น่าเชื่อถือ
    -อย่าเชื่อเพราะยกย่องให้เขาเป็นครู
    -อย่าเชื่อเพราะเห็นว่าเป็นนักบวช เป็นพระหรือเป็นสมณะ

    เมื่อแม่ชีกล่าวจบผู้ท้วงติงจึงกล่าวต่อว่า "ทำแบบแม่ชีว่ามานั้นมันก็ดีอยู่หรอก แต่เขาจะว่าเอา"
    แม่ชีจึงถามว่า"เขาไหนกัน? ไม่ใช่เพราะเขาหรือที่ทำให้คนเราโง่เขลาและกลัวจนไม่กล้าทำอะไรที่ดีในชีวิตเลย"

    แม่ชีพูดแล้วก็หันไปมองหน้าผู้ท้วงติงพร้อมกับกล่าวต่อ
    "ในหลวงทรงสอนพระเทพฯว่า อย่ากลัวเขานะลูก หากสิ่งที่ทำนั้นดีจริง ก็จงทำไป อย่ากลัวเขาให้งานของเราเสีย"

    เมื่อแม่ชีพูดจบผู้ทวงติงจึงพยักหน้า เป็นอันว่ายุติการสนทนาในเรื่องของกระดูกพ่อ
    คืนนั้นทุกคนพักที่บ้าน ขณะนั่งคุยกันอยู่นั้นแม่ชีจึงบอกว่า "แม่...เตี่ยมา"

    เท่านั้นเองไฟดวงที่อยู่ตรงกลางของบ้านได้ค่อยๆหรี่ลงจนดับสนิทดวงเดียว คงเหลือดวงอื่นที่ไม่ได้ดับ หลายคนที่อยู่ในนั้นต่างกระโดดกอดกันเกลียว

    แม่ชีจึงให้น้องชายขยับหลอดไฟดูว่า หลอดไฟขาดหรือเปล่า? เมื่อขยับดูไฟก็ยังไม่ติด
    ขณะนั้นกลิ่นน้ำมันใส่ผมโชยมาเข้าจมูกของทุกคน แม่ชีจึงพูดต่อว่า" กลิ่นน้ำมันใส่ผมที่เตี่ยชอบใส่นั่นเอง"
    แม่จึงพูดบ้างว่า"ไปดีเถอะไม่ต้องห่วง ถ้าอยากช่วยก็บอกหวยให้แล้วกัน"พูดแล้วแม่ก็หัวเราะ

    แม่ชีจึงบอกแม่ว่า"เตี่ยให้ 12 หรือ 21 "เมื่อพูดจบไฟดวงที่ดับก็สว่างขึ้นมาเหมือนเดิม ทุกคนต่างโล่งอกกันไปตามๆกันทีเดียว

    คืนนั้นพวกลูกศิษย์ต่างพากันมานอนเบียดเสียดรวมกันในห้องของแม่ชีกันหมดทุกคน เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
    หลายคนบวชแล้วก็ยังกลัวผี ขนาดเป็นคนรู้จักกันดี "เมื่อตายไปดันกลัวเสียนี่"
    ทำให้นึกถึงโยมคนหนึ่งมาหาที่วัด ร้องไห้ฟูมฟายคิดถึงสามีที่ตายไปเหมือนใจจะขาด แม่ชีจึงถามว่า
    "รักมากหรือ? " โยมผู้หญิงสารภาพว่า "รักมากค่ะ สามีเป็นคนดีไม่น่ามาตายจากกันไปเร็วเลย"
    แม่ชีจึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นแม่ชีจะบอกสามีที่ตายไปแล้วให้ไปหาโยมคืนนี้นะ"
    โยมผู้หญิงรีบเช็ดน้ำตารีบพูดเร็วปรือว่า "อย่านะคะ อย่ามา"
    "ทำไมล่ะ? ก็คิดถึงและรักมากไม่ใช่หรือ?" "อย่ามาเลยไม่เอาหรอก ก็ตายไปแล้วนี่" โยมรีบตอบ
    "อ้าว!!!ก็ไหนบอกว่าคิดถึง พอจะให้มาหากลับปฏิเสธ อย่างนี้หมายความว่าอย่างไรล่ะ?"
    คิดแล้วก็อดขำไม่ได้ คนเราก็เป็นเช่นนี้กันเกือบทุกคน

    เมื่อเสร็จกิจของพ่อแล้ว แม่ชีก็กลับพัทลุงเข้ากรรมฐานต่อ เข้าคราวนี้บอกลูกศิษย์ว่าไม่ต้องส่งอาหารและน้ำ
    แม่ชีจะไม่ทานอาหาร 3 วัน ขณะทำสมาธิอยู่นั้น พ่อมานั่งข้างๆแล้วพูดว่า
    "ชีเอ้ย...มาอดข้าว อดน้ำอย่างนี้ทำไมกัน เดี๋ยวร่างกายจะแย่นะ แล้วจะดูแลแม่รวมทั้งคนอื่นๆได้ยังไง?"
    แม่ชีตอบพ่อไปว่า "แม่ชีกำลังฝึกความอดทนของร่างกาย
    และจิตใจต่างหาก พ่ออย่ากังวลเลย หนูชินเสียแล้ว" สนทนากับพ่ออยู่ครู่ใหญ่ พ่อก็หายไป

    รุ่งเช้าฝนตกหนัก แม่ชีก็ยังคงนั่งทำสมาธิอยู่เช่นเดิม วันนี้ไม่เห็นพ่อมาหาเลย นึกสงสัยว่าพ่อไปไหน

    จึงกำหนดดู เห็นผู้ชายแต่งตัวเหมือนลิเกเดินถือแฟ้มในมือ แม่ชีจึงเรียกท่านให้หยุดก่อน "ท่านจะรีบไปไหนกัน"
    "เรากำลังจะรีบไป วันนี้มีการพิพากษาโทษคนทำผิด" แม่ชีจึงขอตามไปดูด้วย ท่านที่แต่งตัวคล้ายลิเกรีบห้ามทันที
    "อย่าเลย" "เอาเถอะท่าน แม่ชีไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอก แต่ขอไปด้วยแล้วกัน" ท่านที่แต่งกายคล้ายลิเกจึงกล่าวว่า
    "งั้น...ตามใจแล้วกัน"

    พูดจบเหมือนโกหกไม่ปาน อะไรจะขนาดนั้น แม่ชีมายืนอยู่ในที่ๆคุ้นตามาก นั่นคือที่พิพากษาโทษผู้กระทำผิด เปรียบเหมือน
    ศาลในโลกมนุษย์นั่นแหละ ที่นี่ที่หลวงปู่เคยใช้แม่ชีมาบ่อยครั้ง จึงทำให้คุ้นตา

    ขณะที่ยืนอยู่นั้นมีเสียงเชื้อเชิญของใครบางคนดังมา "แม่ชี เชิญนั่งสิ" แม่ชีหันไปทางเสียงที่เชื้อเชิญทันที
    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  10. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...
    ประวัติตอนที่ 20


    เสียงที่เชื้อเชิญให้นั่งนั้นฟังดูคุ้นๆใครบางคน แม่ชีหันไปตามเสียงนั้น
    "สวัสดีค่ะท่าน" แม่ชียกมือไหว้พร้อมทั้งกล่าวทักทาย ผู้ชายที่นั่งอยู่บน
    บัลลังล์ใหญ่
    ใส่มงกุฎไว้บนศรีษะ ไม่ได้ใส่เสื้อแต่มีสร้อยสังวาลพาดอยู่บนบ่าทั้งสอง ใบหน้าหล่อกว่าดาราเป็นไหนๆ
    มีหนวดประปรายเหนือริมฝีปาก รูปร่างสูงใหญ่ขาวสะอาดสะอ้าน ชวนมอง แม่ชียืนตะลึงอยู่พักใหญ่ จนผู้ชายคนนั้นต้องกล่าวเชิญให้นั่งเป็นครั้งที่สอง

    เมื่อทุกอย่างพร้อม การพิพากษาโทษเริ่มขึ้นจากผู้หญิงร่างบาง มองดูรู้ได้ว่าเป็นลูกครึ่งไทยผสมจีน
    เสียงผู้ชายที่นั่งบนบัลลังล์ร้องถามหญิงร่างบางว่า "ชื่ออะไร?" "ชื่ออารีรัตน์เจ้าค่ะ"

    ผู้ชายที่นั่งบนบัลลังล์พูดสวนกลับด้วยเสียงอันดังว่า "ไม่มีชื่ออารีรัตน์ เจ้าชื่อเดิมว่าอะไร?"

    ผู้หญิงร่างบางตอบอย่างตะกุกตะกักว่า "ชื่อเดิมนั้นคือ กิมลั้ง ตอนหลังมาเปลี่ยนเป็นอารีรัตน์เจ้าค่ะ"
    "ตายเพราะสาเหตุอะไร?"
    "สามีมีเมียใหม่ ดิฉันจึงตรอมใจและฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ"

    "ฆ่าตัวตายเป็นบาปหนัก รู้แล้วยังกระทำ โทษทัณฑ์ของเจ้าคือความทุกข์ ความเจ็บปวด เจ้าต้องรับโทษตามนั้น
    เมื่อหมดโทษเจ้าจะได้ไปเกิดตามเผ่าพันธุ์ของเจ้า"

    สิ้นเสียงของชายที่นั่งบนบัลลังล์ ร่างของผู้หญิงก็อันตธานหายไป

    คนต่อไปเป็นผู้ชายร่างผอมบาง ไม่เห็นหน้าชายผู้นั้น เห็นแต่ข้างหลัง ซึ่งแม่ชีก็ยังคงนั่งฟังคำพิพากษาด้วยอาการสงบ
    "เจ้าชื่ออะไร?" "สุชาติ ตนุพันธ์ครับ" เสียงชายร่างผอมตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและแผ่วเบา

    ขณะนั้นแม่ชีไม่ได้สนใจฟังเท่าไร ชายผู้นั่งบนบัลลังล์หันมามองแม่ชี แล้วหันกลับไปถามชายผู้นั้นต่อ

    "ก่อนตายเจ้าทำอะไรไว้?" "ลูกสาวบวชเป็นแม่ชีให้ทำสมาธิ และสวดมนต์บทที่ว่า โพชฌังโค สะติสังขาโต ฯ"
    ชายผู้นั้นกล่าวเสียงดังฟังชัดมากขึ้น

    "ดีมาก เป็นกุศลแท้ๆ " หลังจากนั้นชายผู้นั่งบนบัลลังล์กระแทกเสียงถามต่อ
    " แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ ทำอะไรที่ไม่ดีมาบ้าง?"

    ชายร่างผอมนิ่งเงียบ ชายที่นั่งบนบัลลังล์จึงพูดต่อ "เจ้าทำผิดมหันต์ ด่าพระ ด่าเจ้า โทษทัณฑ์นี้หนักหนาสาหัสนัก"

    แม่ชีหันกลับมาเพ่งดูชายร่างผอมที่หันหลังให้ทันที ที่ได้ยินว่า "ด่าพระ"

    เพราะตอนที่พ่อบวชและยังไม่ได้บวชเป็นพระ ท่านชอบด่าว่าพระเป็นประจำอยู่แล้ว พระบางท่านก็เป็นอย่างที่พ่อว่ากล่าว
    บางท่านก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    เมื่อพิจารณาดูแล้วว่าใช่พ่อของตัวเอง จึงลุกขึ้นยืนยกมือขออนุญาตชายที่นั่งบนบัลลังล์ทันที
    "ท่านเจ้าค่ะ แม่ชีขออนุญาตเจ้าค่ะ" "นั่งลงก่อนแม่ชี"
    ชายที่นั่งบนบัลลังล์ติงให้แม่ชีนั่ง

    จากนั้นท่านก็ร้องบอกให้ชายร่างผอมหันมามองแม่ชี ชายร่างผอมหันมามองแม่ชีตามคำสั่ง
    "ชี" เสียงชายร่างผอมร้องเรียก แม่ชีน้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มทันที

    ชายที่นั่งบนบัลลังล์เตือนสติแม่ชีว่า "แม่ชีมีอะไรจะกล่าวหรือไม?"

    แม่ชีจึงหันมาทางชายที่นั่งบนบัลลังล์ พร้อมกับยกมือขึ้นพนมไหว้อย่างนอบน้อม พลางกล่าวว่า
    "แม่ชีเพียรพยามสร้างคุณงามความดีเพื่อให้เกิดเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ อานิสงส์นี้ช่วยพ่อของตัวเองไม่ได้เลยหรือ?"

    "เราปรารถนาให้เจ้าทำเช่นนั้น จงใช้ปัญญาของเจ้าทำการอันสำคัญเถิด" เสียงชายที่นั่งบนบัลลังล์กล่าวอย่างผู้ใจดี
    น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน
    ทำให้แม่ชีมีกำลังใจมากขึ้น จึงยกมือขึ้นประนมด้วยความตั้งใจพร้อมกับกล่าวว่า

    "ด้วยเดชอานุภาพแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    อันหาค่าประมาณมิได้ ด้วยเดชะบุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้าแม่ชีณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ได้เพียรกระทำและสร้างให้มี

    ให้เกิดขึ้นมาโดยลำดับ จงหล่อหลอมเป็นหนึ่ง พึงบังเกิดแก่นายสุชาติ ตนุพันธ์ ผู้เป็นบิดาแห่งข้าพเจ้า ขอท่านจงได้รับ
    บุญนี้โดยสมบูรณ์ ครบถ้วน พ้นทุกข์นับตั้งแต่บัดนี้เทอญฯ "


    เมื่อแม่ชีกล่าวจบ เสียงของพ่อแม่ชีกล่าวรับ สาธุ สาธุ สาธุเสียงดังลั่นสนั่นในที่นั้น
    เหมือนมีแสงสว่างพวยพุ่งออกจากมือของแม่ชีที่ประนมอยู่นั้น แล้วพุ่งเข้าครอบร่างของพ่อทันที
    ทันใดนั้นร่างที่ผอมบาง ได้กลายเป็นร่างที่เปร่งปรั่ง เป็นประกายสีทองอร่ามตา สวมชฎาบนศรีษะ แต่งกายคล้ายพระยาแรกนาขวัญ
    เสียงชายที่นั่งบัลลังล์กล่าวว่า "ดีแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าจงขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์"

    แม่ชีหันไปไหว้ชายที่นั่งบนบัลลังล์อีกครั้ง พร้อมทั้งกล่าวลาท่านด้วยความปิติ
    เมื่อถอนออกจากสมาธิฝนก็หยุดตกพอดี อากาศเย็นสบาย ทำให้จิตใจของแม่ชีสดชื่นขึ้นมาก

    "เป็นสุขแล้วพ่อเอ๋ย" นั่งคิดๆดูก็นึกอิจฉาพ่อของตัวเองไม่ได้ ไม่ต้องทำอะไรมากก็สบาย ได้ขึ้นสวรรค์

    คงเหลือตัวเราที่ยังจะต้องเจอกับอุปสรรคอีกนานับประการ คนตายช่างเป็นสุขกว่าคนเป็นอีกนะ
    อดภูมิใจลึกๆไม่ได้ว่า

    "เราเป็นลูกผู้หญิงแถมพ่อเคยเกลียดมาก รวมทั้งเป็นลูกที่ไม่เอาไหนในสายตาของท่าน
    กลับเป็นคนที่ช่วยท่านได้ในบั้นปลายของชีวิตและแม้แต่ล่วงลับไปแล้ว
    คงเหลือแม่อีกที่จะต้องดูแลต่อไป "


    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!(bb-flower(bb-flower
     
  11. dont_worry

    dont_worry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +1,221
    สาธุ อนุโมทนามากๆเลยค่ะ
    อ่านแล้วรู้สึกปลื้มใจไปด้วย ได้ตอบแทนพ่อแม่แบบนี้นี่...คุ้มจริงๆเลยค่ะ
     
  12. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    อนุโมทนา ประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งไหนแล้วท่านแม่ชี
     
  13. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...
    ประวัติตอนที่ 21

    หลังจากเสร็จภาระกิจของพ่อแล้ว แม่ชีก็ถอนออกจากสมาธิ มายืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง มองเห็นแม่ชีที่เป็นลูกศิษย์คนหนึ่ง
    จึงเรียกให้มาหาพร้อมกับบอกว่า

    "หิวน้ำ ขอน้ำกินหน่อย" ลูกศิษย์ช่างแสนดีมีน้ำใจกับคนอื่นเสียจริง บอกกับแม่ชีว่า
    "อาจารย์อย่าเพิ่งกินน้ำเลย พรุ่งนี้อาจารย์จะออกจากกรรมฐาน ค่อยกินพรุ่งนี้แล้วกันนะ หนูไม่อยากได้บุญคนเดียว
    อยากให้คนอื่นได้ด้วยค่ะ"
    เป็นงั้นไป

    แม่ชีหัวเราะและขำลูกศิษย์ที่พูดอย่างนั้น พลางคิดว่า
    "มันอยากให้คนอื่นได้บุญ
    ด้วยคิดว่าอาจารย์ออกจากกรรมฐานแล้ว ใครได้ถวายน้ำจะได้บุญมากกว่าใคร เออแน่ะ...มันไม่คิดว่าอาจารย์อาจจะหิวน้ำตายไปก่อนที่จะได้กินน้ำในวันพรุ่งนี้ก็ได้"
    โธ่เอ้ย...เวรกรรม

    นี่เป็นความเข้าใจผิดทีเดียว อย่างว่าแหละ หลายครูหลายคนสอนมาอย่างนั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้คนเราเลือก
    ทำในสิ่งที่ควรทำในปัจจุบันก่อน บุญจะได้หรือไม่ได้นั้นไม่สำคัญ สำคัญที่คนขอน้ำกิน เพราะหิวและกระหายน้ำ

    หากไม่ได้น้ำกินในเวลานั้น บางคนอาจสิ้นใจตายเพราะขาดน้ำเลยก็มี แม่ชีจึงปิดประตูแล้วเดินไปหยิบน้ำกินเองซะเลย
    คิดในใจว่า

    "โธ่เอ๋ย!!! ใครสั่งใครสอนวะ ว่าขอน้ำกินแล้วไม่ให้กิน ให้รอพรุ่งนี้ มันโง่หรือแกล้งโง่ หรือคิดว่าฉลาดกันนะ"

    เช้าวันรุ่งขึ้นแม่ชีโกนหัวห่มผ้าออกจากการเข้ากรรมฐาน มีลูกศิษย์มารอถวายของกันมาก เห็นแล้วก็นึกสงสาร
    ทุกคนที่ต้องเดินขึ้นเขาหลายขั้นบันได อุตส่าห์สละเวลาขับรถกันมาจากที่ไกลๆแต่เช้าตรู่
    เพื่อจะได้ถวายอาหารและปัจจัยกับแม่ชี ด้วยหวังอานิสงส์โดยแท้ มีทั้งคุณหมอ พยาบาล ครูอาจารย์และแม้แต่คนที่มาไม่ได้
    ก็ยังอุตส่าห์โทรศัพท์มาขอพร ทำให้นึกถึงคำของพ่อที่อวยพรให้แม่ชีในวันคล้ายวันเกิดว่า "ขอให้ลูกอยู่ในศีล ในธรรม เป็นคนดีตลอดไปนะลูก"

    "พ่อเอ๋ย!!! ลูกคนนี้ไม่เคยลืมคำที่พ่อเคยสั่งสอน ลูกจะเป็นคนดีอยู่ในศีลในธรรมจนตราบเข้าพระนิพพาน"

    เขียนถึงตอนนี้แล้วทำให้นึกถึงเพลงของนายเท่ห์ ที่ร้องเอาไว้ได้ไพเราะและมีความหมายมาก ขอนำมาเขียนให้อ่านแล้วกัน

    "เหงาทุกครั้งที่คิดถึงพ่อขึ้นมา พ่อจ๋า...ตอนนี้พ่ออยู่ไหน ก่อนเคยมีพ่อคอยปรึกษา ปลอบโยนเป็นกำลังใจ
    แต่พ่อจากไป อย่างไม่มีวันกลับมา

    เคยดูแลและทำให้พ่อผ่อนคลาย อุ่นใจ...ทุกครั้งที่สบตา อยากตอบแทนพระคุณกว่านี้ ที่พ่อได้เลี้ยงลูกมา
    แต่พ่อคงล้า เหนื่อยนักก็พักผ่อน

    แม้วันนี้พื้นดินกลบหน้าพ่อไป ลูกยังจำทุกคำที่พ่อเคยสั่งสอน ด้วยแววตาหวังดี คอยเป็นห่วงและอาทร
    วันนี้พ่อนอนหลับให้สบาย

    เป็นคนดีอย่างที่พ่อเคยบอกมา พ่อจ๋า...ไม่ว่าพ่ออยู่ไหน อยากให้รู้ว่าลูกคนนี้ ซาบซึ้งและยังภูมิใจ
    เกิดชาติไหน...ขอให้เป็นลูกพ่อ..."

    ฟังเพลงนี้แล้วใจมันหวิวๆชอบกล เพราะตอนที่แม่ชีเฝ้าไข้ดูแลพ่อแทนแม่นั้น แม่ชีได้บอกกับพ่อว่า
    "ต่อไปนี้เราไม่ต้องเจอกันและก็จะไม่เจอกันอีกแล้วนะพ่อ"

    ที่พูดเช่นนั้นแม่ชีจะขอถึงพระนิพพาน ฉะนั้นก็ไม่ต้องกลับมาเกิดเจอะเจอกันอีกต่อไป พ่อจะเข้าใจหรือไม่นั้นแม่ชีก็ไม่รู้
    แต่พูดไปแล้วท่านหันมามองหน้า

    วันนั้นลูกศิษย์หน้าชื่นตาบานที่ได้ทำบุญทำกุศล บ้างก็สนทนาธรรม บ้างก็ขอให้ทำอะไรที่เป็นศิริมงคลให้
    ท้องฟ้าที่อึมครึมกับสว่างไม่มีเมฆหมอกดำมาบดบัง ลมพัดเย็นสบาย เสียงการ้องจ้าเหมือนทักทายปนกับเสียงจักจั่น
    หริ่งเรไร บรรยากาศตอนนั้นช่างสบาย ทำให้หลายคนได้ผ่อนคลายกันถ้วนหน้า

    วันเวลาผ่านไป แม่ชีก็ยังคงทำหน้าที่สอนธรรม ให้คำปรึกษา เช่นเคย เมื่อว่างเว้นจากงานก็จะทำสมาธิอยู่ตลอด
    จนถึงการทำบุญ 100วันของพ่อ แม่ชีกับลูกศิษย์ทั้งมือขวาและมือซ้ายรวมทั้งคนอื่นๆ ได้ไปรวมตัวกันที่อยุธยา
    บำเพ็ญงานบุญตามธรรมเนียมประเพณีดังที่ทำกันมา จากนั้นลูกศิษย์มือซ้ายและมือขวาก็กลับสงขลา

    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
  14. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...
    ประวัติตอนที่ 22

    หลังจากนั้นน้ำท่วมอยุธยา เมื่อน้ำลดลงแล้วแม่ชีก็กลับขึ้นไปเยี่ยมแม่ โดยมีน้องชายเป็นสารถีขับรถให้เหมือนเดิม
    มีแม่ชีตามไปด้วย 3 คน โยมอีก 2 คน วันนั้นทุกคนอยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือแต่ว่าคนขายยังไม่มา แม่ชีกลัวว่าจะเลยเพล

    อีกทั้งอยากกินเหมือนกัน จึงพายเรือล่องตามน้ำลงมาไกลจากบ้านมาก เรือก็ลำเล็ก นั่งกันมา 3 คน ขอบเรือปริ่มน้ำ
    เรียกว่าห้ามขยับตัว ถ้าขยับตัวน้ำจะเข้าเรือมาก และอาจจมลงได้

    พายเรือมาไกล หิวก็หิว น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาก็วนดูแล้วน่ากลัวจริงๆ มันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เรือก็ลำเล็ก ใจหายเหมือนกัน

    เมื่อเห็นเรือยนต์ลำใหญ่แล่นมาด้วยความเร็ว มีลูกคลื่นลูกใหญ่หลายลูกโค้งมาแต่ไกล ตอนนั้นคิดในใจว่า
    "ตายแน่แล้ว สงสัยเรือคงจมแน่นอน คนที่นั่งมาด้วยในเรือก็ดันว่ายน้ำไม่เป็น
    แถมยังไม่เคยนั่งเรืออีกด้วย ทุกคนตกใจ"

    แม่ชีก็ตะลึงไปชั่วขณะ สุดท้ายสลัดความตกใจทิ้งไปโดยฉับพลัน เพราะชีวิตของสองคนในเรือสำคัญกว่า
    พ่อแม่เด็กอุตส่าห์ฝากฝังลูกสาวคนเดียวให้มาช่วยงานเรา ถ้ามาตายในน้ำคราวนี้ พ่อแม่เด็กคงจะสาปแช่งแม่ชีแบบไม่
    ต้องผุดต้องเกิดเป็นแน่
    เมื่อคิดได้โดยฉับไวเช่นนั้น จึงร้องบอกทุกคนให้นั่งนิ่งๆ ทำตัวตามสบาย อย่าเกร็ง จับขอบเรือไว้
    ให้ผ่อนตัวตามลูกคลื่น ไม่ต้องช่วยพายเรือ แม่ชีจะพายเรือเอง จากนั้นแม่ชีก็หันหัวเรือไปทางลูกคลื่น ปล่อยให้เรือลอย
    ไปตามกระแสน้ำ ไม่พายงัดเหมือนเพลงที่ร้องเอาไว้หรอก... จนลูกคลื่นบางเบาและกลับสู่ความเป็นปกติ

    ทุกคนโล่งอกโดยเฉพาะแม่ชีนั้นโล่งเหมือนยกภูเขาออกไปมากกว่าใคร จากที่อยากกินก๋วยเตี๋ยว บัดนี้หมดความอยากลงโดยฉับพลัน เพราะความอยากนี่เองที่เกือบทำให้หลายคนตาย เพราะความอยาก

    อยากจะกินโดยที่ไม่คิดว่ามันอันตราย เฮ้อ!!! โล่งอก
    สุดท้ายหมดความอยาก จึงหันหัวเรือพายกลับบ้าน ระหว่างพายทวนน้ำมานั้น เหนื่อยเหลือเกิน น้ำก็ไหลแรง
    ทุกคนช่วยกันเอามือกวนน้ำเพื่อให้เรือแล่น เรือก็แล่นฝ่าน้ำมาด้วยความทุลักทุเล

    จนกระทั่งมาเจอเรือขายก๋วยเตี๋ยวจอดขายอยู่
    อ้าว!!! เมื่อกี้พายผ่านมาทำไมไม่เห็นล่ะ? โธ่!!! ให้พายผ่านไป
    เจอกับคลื่นเกือบตาย แหม!!! มาจอดขายอยู่ตรงนี้เอง
    เอาละ...ผ่านเหตุการณ์ตื่นเต้นมา เกือบหมดความอยาก
    เจอก็ดีแล้ว สั่งกินเบิ้ลทุกคนเลย อร่อยสุดๆ กินเสร็จนึกถึงอีกหลายชีวิตที่รออยู่ที่บ้าน จึงสั่งหลายห่อหลายถุง มีทั้งต้มจืด ต้มยำครบครัน

    กินเสร็จจึงช่วยกันพายเรือทวนน้ำต่อไป "เหนื่อยเหลือเกินกับการพายเรือทวนน้ำเนี่ย"ดูเวลาแล้วก็เลยเพลไปนานโข

    พายเรือทวนน้ำยังไม่ถึงสักที มองไปข้างหน้า ปากก็ปลอบคนในเรือว่า "ใกล้ถึงแล้ว อีกสองโค้งเท่านั้นเอง"

    ยิ่งพายออกแรงมากเท่าไหร่ เรือก็ไม่ขยับ "โอย...เหนื่อยแล้วนะ จะขึ้นฝั่งก็ไม่ได้" ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงพูดออกมาเสียงดังว่า

    "เตี่ย...ช่วยด้วยหนูหมดแรงแล้ว " เท่านั้นเองเหมือนมีลมพัดทวนน้ำขึ้น ทำให้พายเรือได้เร็วขึ้น แปลก!!! แต่จริง

    พายไปสักพัก หมดแรงอีกแล้ว ใครที่เคยพายเรือทวนน้ำคงจะเข้าใจว่ามันเหนื่อยแค่ไหน ส่วนคนที่ไม่เคยพายเรือ
    ก็นึกถึงตอนที่ถ่ายไม่ออกนั่นแหละ แหม!!!มันสุดพรรณาเลยทีเดียว

    เจอกับอุปสรรคก็ไม่ทำให้แม่ชีย่อท้อ พายไปปากก็พูดต่อว่า

    "ถ้าข้าพเจ้าจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดและได้เข้าพระนิพพาน
    ก็ขอให้เรือแล่นทวนน้ำได้โดยไวเถิด"พูดจบทุกคนต่างจ้ำพายลงน้ำอย่างเมามัน เหมือนพวกที่แข่งเรือนั่นแหละ
    ฮึดจ้ำฮึดๆๆๆๆ เรือแล่นฉิวเหมือนปลิวลมเลย ตอนนั้นแม่ชีดีใจมาก "เออนะ...เราจะบรรลุธรรมขั้นสูงและได้เข้านิพพาน ดังปรารถนาก็คราวนี้แหละ"

    เรือแล่นมาสักพัก ทุกคนเริ่มล้าอ่อนแรง พลันสายตาแม่ชีเหลือบไปเห็นต้นไม้ใหญ่ที่ถูกน้ำท่วมจนมิดต้น
    คงโผล่เหลือยอดไม้และกิ่งก้านบางส่วน ดูแล้วก็สวยและร่มรื่นดี จึงบอกทุกคนว่า "พักที่ต้นไม้นี้ก่อนแล้วกัน หายเหนื่อยแล้วค่อยพายต่อไป" แม่ชีจึงหันหัวเรือเข้าหากิ่งของต้นไม้ทันที

    หัวเรือเสียบเข้าหว่างกางกิ่งไม้ แม่ชีจึงบอกให้ลูกศิษย์ขึ้นไปนั่งพักบนกิ่งไม้ก่อน
    เดี๋ยวจะวิดน้ำออกจากเรือแล้วจะขึ้นไปนั่งพักด้วย ทันใดนั้นลูกศิษย์ลื่นจากกิ่งไม้
    ทำให้เรือถอยออกจากกิ่งไม้โดยลูกศิษย์ได้โหนกิ่งไม้เอาไว้ทัน ดูแล้วก็อดขำไม่ได้ ทุกคนต่างหัวเราะปนกลัวๆ

    ก็คิดดูแล้วกันอีกขาหนึ่งเหยียบอยู่ในเรือที่ถอยห่างจากต้นไม้ อีกขาหนึ่งเหยียบอยู่บนกิ่งไม้ โหนตัวอยู่อย่างนั้น
    น้ำก็เข้าเรือมากขึ้น โคลงเคลงๆ แม่ชีจึงบอกให้ทุกคนตั้งสติไว้ใจเย็นๆ ให้ลูกศิษย์ที่โหนตัวอยู่นั้น เอาขาดึงเรือให้เข้าไปจนเรือ
    เข้ามาใกล้ต้นไม้ ฉับพลันหัวเรือก็หมุนออก เหวี่ยงเอาท้ายเรือที่แม่ชีนั่งอยู่เข้าไปเทียบระหว่างกิ่งไม้ทันที

    เรือไม่โคลงเคลงอีกเลย ทุกคนจึงบอกให้แม่ชีขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ แม่ชีขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้โดยไม่เปียกน้ำและไม่เป็นอันตรายอะไรเลย

    หันไปมองลูกศิษย์ที่โหนตัวอยู่บนกิ่งไม้ จึงดึงเรือเข้าไปรองรับให้เหยียบและดึงตัวมาบนกิ่งไม้ได้อย่างปลอดภัย
    ส่วนลูกศิษย์อีกคนก็นั่งวิดน้ำออกจากเรือ เรือไม่จมไม่มีใครตกน้ำ ปลอดภัย แต่ยังกลับบ้านไม่ได้

    แม่ชีและลูกศิษย์นั่งมองน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก มองเสร็จต่างก็หันมามองหน้ากัน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังไม่หายจางไป
    ไม่รู้ว่าจะกลับบ้านอย่างไร นี่ก็ใกล้เวลาที่จะกลับพัทลุงกันแล้ว ยังไม่มีวี่แววของการกลับได้เลย ก๋วยเตี๋ยวที่ซื้อมาฝาก
    อีกหลายคนเริ่มเย็นตามเวลา นั่งคิดไปก็ถอนหายใจตามไปเฮือกใหญ่

    ฉับพลันทุกคนต้องหันไปมองตามเสียงเรือยนต์ที่แล่นมาด้วยสายตาฉายแววความหวังครั้งสุดท้าย

    โปรดติดตามตอนต่อไปคราวหน้า
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2007
  15. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ประวัติบางตอนนั้นอาจจะอธิบายให้กระจ่างกว่านี้ไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้เขียนได้เช่นกัน เรียกได้ว่า "ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่คนพูดและเขียนความจริง อาจตายเร็วกว่าปกติได้จ้า...

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มิถุนายน 2007
  16. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...
    ประวัติตอนที่ 23

    ทุกคนหันไปมองตามเสียงเรือยนต์พร้อมกัน ในใจของแม่ชีนั้นภาวนาอยู่เสมอขอให้เรือผ่านมาสักลำ
    เพราะอย่างน้อยยังมีหวังที่จะกลับบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อเรือยนต์ผ่านโค้งมา ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าอันไกลนั้น
    ทำให้ทุกคนรวมทั้งแม่ชีต้องยกมือขึ้นร้องไชโยพร้อมกัน เพราะผู้ที่นั่งอยู่ในเรือลำนั้นคือ น้องชายและแม่ชีผู้เป็น ลูกศิษย์นั่นเอง

    วันนั้นทุกคนจึงได้กลับบ้านโดยไวเพราะเรือยนต์ไม่ใช่เรือพายซะแล้ว เดชะบุญจริงๆที่น้องชายมีปัญญา
    เห็นแม่ชีกลับมาช้าเพราะพายเรือไปไกล อีกทั้งน้ำก็ไหลเชี่ยวมาก ถ้าไม่ได้น้องชายในคราวนั้น ทุกคนคงต้องร้องเพลง
    "รอต่อไป" แน่นอน

    เมื่อกลับมาถึงพัทลุง แม่ชีนั่งทบทวน ไตร่ตรอง พิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น จึงกระจ่างในธรรมมากยิ่งขึ้น

    "เราจะไปนิพพานโดยขาดผู้ร่วมส่งและสนับสนุนนั้นไม่ได้ ลูกศิษย์และญาติโยมนี่เอง ที่จะเป็นสะพานให้เราก้าวเดินไปถึงจุดหมายปลายทาง

    และเมื่อนั้นเราจึงจะหันกลับมาจูงมือพวกเขาให้เดินไปกับเรา หรือเดินตามเราได้ เมื่อกำลังของเรายังไม่มากพอ เราจะช่วยเขาได้อย่างไร?"

    สรุปว่าตกนิพพานซะแล้ว ยังไปไม่ถึงดวงดาว เฮ้อ...

    ฉะนั้น การปลีกหลีกหนีจึงไม่ใช่หนทางที่ดีแล้วล่ะ? เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม่ชีจึงตัดสินใจศึกษาองค์ธรรมตามภาษาที่ง่ายๆ และสั่งสอน ชักจูง ชักชวน ชักนำ บุคคลให้หันมาปฏิบัติธรรม ฝึกฝนจิต เพื่อพัฒนาชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุข ทุกข์น้อยลง สร้างคนพร้อมกับสร้างที่ปฏิบัติธรรมเพื่อรองรับคนไปด้วย

    ในบางคนก็ต้องล่อด้วยของชอบใจ คือวัตถุมงคลก่อน แล้วค่อยสอนธรรมะให้

    ฉะนั้นตามโรงเรียนจึงส่งเด็กทั้งเกเรและไม่เกเรมาให้แม่ชีอบรม เกือบทั้งจังหวัด และแม้แต่ที่ไกลๆแม่ชีก็ยินดีไปสอนให้ โดยไม่หวังแก่สินจ้างรางวัล ขอเพียงให้คนที่สอนไป นำกลับไปใช้ในชีวิตประจำวัน และส่งผลที่ดีแก่คนรอบข้างบ้าง แม้ว่ามันจะน้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำและไม่มีดีเลย

    ชื่อเสียงของแม่ชีกระจายไปพอประมาณ เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็เกิดขึ้นอีกสารพัด ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาของโลก

    หากเป็นเมื่อก่อน แม่ชีคงหวั่นไหวมากกว่าเวลานี้ แต่ปัจจุบันประสบการณ์และเวลาได้ช่วยให้แม่ชี แกร่งกล้าทางจิตใจมากขึ้น ทำให้หวั่นไหวน้อยลง ชีวิตดำเนินไปทุกวัน สบายใจบ้าง ปวดหัวบ้าง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา
    มีคนอิจฉา นินทา สรรเสริญเยินยอ เจ็บไข้ได้ป่วยทางร่างกายก็บ่อยครั้ง

    จนเริ่มเบื่อพัทลุงแล้ว ลูกศิษย์จึงถวายที่ๆเชียงใหม่แถวๆฝางให้ เพื่อจะได้สร้างเป็นที่ปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ จึงดำเนินการสร้างกุฏิไว้หนึ่งหลังพร้อมทั้งห้องน้ำ ที่นั่นเป็นเนินเขา รอบด้านมีสวนส้มมากมาย อากาศก็เย็นสบาย

    แม่ชีจึงไปจำพรรษาที่ฝาง ในระหว่างอยู่ที่นั่นก็ช่วยกันกับลูกศิษย์ถางหญ้าและตัดตอไม้

    ขณะตัดตอไม้อยู่นั้น แม่ชีก็พูดสอนลูกศิษย์ไปด้วยว่าต้องสับตอไม้อย่างไรมันจึงจะถึงโคนและรากได้เร็ว แต่พอมองดูแล้ว " แหม..ทำไมตอมันมากจังแล้วจะสับหมดหรือนี่ "แม่ชีพูดเสียงดัง
    ลูกศิษย์จึงผสมโรงด้วยว่า "จริงครับอาจารย์ ดูสิรากของตอมันยาวแถมเลี้ยวและก็พันกันยุ่งไปหมดแล้ว"

    "นั่นน่ะสิ...ตอเยอะอย่างนี้สับยากและเสียเวลาสับอีกนานแน่เลย" แม่ชีตอบ ลูกศิษย์ต่างหันมามองแม่ชี แล้วพูดว่า "ตกลงอาจารย์กำลังพูดถึงตออะไร" แม่ชีหัวเราะเสียงดังลั่นป่า

    "ตอแหลไง แหม!!!มาอยู่ที่นี่วันแรกก็เจอตอซะแล้ว ตอแหลกันทั้งบ้านเลย เฮ้อ..."

    พูดจบแม่ชีก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

    อยู่ที่ฝางไม่นาน ก็กลับลงมาที่พัทลุง โดยให้ลูกศิษย์อยู่ที่นั่น 3-4 คน ขณะเดินทางอยู่ลูกศิษย์โทรเข้ามาบอกว่า

    "พออาจารย์ออกมามีผู้ใหญ่บ้านและนายอำเภอ พาชาวบ้านมาในที่
    มากล่าวหาว่าแม่ชีบุกรุกป่าสงวน"

    แม่ชีจึงถามว่า "มากันกี่คน" ลูกศิษย์ตอบกลับมา " เกือบ 30 คน เขาให้หนูเซ็นต์รับในบันทึกประจำวันด้วย"

    "อ่านหรือยังว่าเขาเขียนว่าอย่างไร?" แม่ชีถาม

    "อ่านแล้วหลายคนบอกว่าให้เซ็นต์ไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ"


    แม่ชีกลับมาถึงพัทลุงลูกศิษย์อีกคนโทรมาบอกว่า"เกิดเรื่องใหญ่แล้วอาจารย์ ผมอ่านบันทึกนั้นแล้ว เขาเขียนว่าอาจารย์บุกรุกป่าสงวนนะ ตอนนั้นผมไม่กล้าบอก เพราะเขาห้ามไว้ ผมจึงต้องเงียบไว้ก่อน"

    ฟังลูกศิษย์พูดเช่นนั้น แม่ชีถึงกับอุทานออกมาว่า "นั่นไง... ว่าแล้วเชียวมันต้องออกมาในรูปแบบนั้น เฮ้อ!!!"

    ทำได้ก็เพียงถอนหายใจเท่านั้น ตกลงพรรษานี้โดนข้อหาบุกรุกป่าอีกแล้ว เวรกรรมจริงๆ

    ขึ้นเชียงใหม่อีกครั้ง เพื่อจะเคลียร์ปัญหา ไปขอดูบันทึกประจำวันที่ผู้ใหญ่บ้าน โอ้...แม่นแล้ว แม่ชีณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ ได้ทำการบุกรุกและจับจองที่ป่าสงวน มีการปลูกสร้างตัวอาคารถาวรโดยไม่ได้ขออนุญาต มีความผิดตามกฎหมาย
    โดยมีพยานเซ็นต์รับรองด้วยกัน 4 คน อ่านบันทึกแล้วอึ้งไปเหมือนกัน

    " ตกลงลูกศิษย์มันรักอาจารย์ของมันอย่างไรกันนี่ มันเชื่อคนอื่นไม่ให้บอกอาจารย์แต่ให้เซ็นต์รับความผิด เออแน่ะ...
    มันกล้ายอมให้อาจารย์ติดคุกหรือนี่" แม่ชีต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกแล้ว

    "ปัดโธ่เอ้ย...ทำไมลูกศิษย์ฉันมันซื่อบื้อกันนักนะ หรือว่าเราสอนมันไม่เป็น ตกลงเราก็ซื่อบื้อกว่าน่ะสิ"


    สรุปว่ามีการเคลียร์กับปัญหา จนลุล่วงผ่านไปด้วยดี เป็นอันว่าทางเมืองฝางต้องการค่าส่วย แบ่งกันกินตามลำดับ นำป่ามาขายให้กับคนที่อื่น ไม่มีหลักฐานการซื้อขาย ลูกศิษย์ที่ถวายให้ ส่งเงินมาตลอด เงินก็วอดวายไปกับป่าสงวน แม่ชีก็เลยโดนแจ็คพอตเละ รับการถวาย สร้างอะไรลงไป ก็หายไปในพริบตา โถ...เวรกรรมอีกแล้ว

    หลังจากนั้นมาแม่ชีไม่เคยไปเหยียบเมืองฝางอีกเลย ตอนหลังได้ข่าวว่า หลังจากที่แม่ชีกลับพัทลุง ได้เกิดน้ำท่วม ภูเขาถล่ม ทางขาดทั้งๆที่ไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนเลย พวกที่ร่วมกันกินป่าและเงินของแม่ชี
    ก็โดนเด้งกันไปเป็นแถว เวรกรรมอีกแล้ว "ลาแล้วเมืองฝาง ทำไมนะต้องไปอยู่ที่นั่น เพิ่งมารู้ว่าเกิดจากกรรมเก่านั่นเอง"

    อยู่ที่พัทลุงก็ตั้งหน้าตั้งตาสอนและอบรมนักเรียน รวมทั้งญาติธรรมเรื่อยมา มีลูกศิษย์นำที่ดินมาถวายหลายราย แต่ทุกที่ก็มีปัญหาทั้งนั้น " แหม!!! ไอ้ที่ดีๆ ทำไมไม่มีใครนำมาถวายบ้างนะ เอาแต่ที่มีปัญหามาให้ เฮ้อ!!!เก็กซิมจริงๆ"

    คืนหนึ่งขณะที่ทำสมาธิอยู่นั้น ตาหมอโล้มานั่งหัวเราะเยาะแม่ชี พลางพูดว่า
    "ไอ้ชี มึงจะทิ้งกูไปได้ยังไง กูไม่ให้มึงไปหรอก เห็นไหมไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ต้องอยู่ที่นี่แหละ" เสียงชายที่ชื่อตาหมอโล้นั้นพูดสำเนียงใต้ออกมาอย่างผู้มีชัย

    แม่ชีจึงตอบกลับไปว่า "ให้เป็นผีเฝ้าที่นี่ ไม่เอาด้วยหรอก ทำไมมาดึงไว้อยู่ได้ ไม่อยากอยู่แล้ว เบื่อรู้ไหม?"

    "เฮ้ย...อย่าเพิ่งไปเลย ถ้ามึงไปจากที่นี่เมื่อไหร่ เขานี้ก็พังน่ะสิ" ฟังตาหมอโล้พูดอย่างนั้น แม่ชีจึงนิ่งเงียบ

    เป็นอันว่าแม่ชียุติการไปสร้างที่ปฏิบัติธรรมที่อื่น คงหยุดอยู่แค่นั้น

    วันหนึ่งขณะนั่งคิดอะไรเพลินๆ มีเสียงเรียกที่หู จึงกำหนดดู เห็นพระท่านหนึ่งดูคุ้นตาว่าเคยเห็นที่ไหนกัน?

    อ๋อ...หลวงพ่อฤาษีลิงดำ นั่นเอง แม่ชีก้มกราบท่าน

    ท่านก็เมตตาพูดกับแม่ชีว่า "เวลาเธอลงทองให้เขียนยันต์เกราะเพชรลงไปในแผ่นทองด้วยสิ"

    แม่ชีตอบว่า "ยันต์เกราะเพชรนั้นหลายตัวและเขียนยากด้วยเจ้าค่ะ"

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำพูดต่อว่า " ไม่ยากหรอก เขียนแค่นี้เอง" ว่าแล้วท่านก็เขียนให้แม่ชีดู

    ยันต์นั้นจึงกลายมาเป็นยันต์ประจำตัวของแม่ชีมาจนถึงทุกวันนี้ และแม่ชีก็ได้ใช้เขียนอักขระลงในแผ่นทอง ก่อนลงและตบให้ญาติโยมเกือบทุกครั้ง

    มานั่งนึกดูแล้ว คงจะเหมือนอย่างที่หลวงปู่เคยบอกว่า "วันข้างหน้าจะมีคนอื่นมาสอนเธอแทนปู่ต่อไป"

    จริงอย่างที่หลวงปู่พูดจริงๆ เพราะหลังจากออกมาจากวัดของหลวงปู่ มาอยู่ที่พัทลุง แม่ชีได้เจอกับพระหลายท่านในนิมิต เช่น หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่ศุข และแม้แต่ครูอิสลาม ท่านมาสอนวิชาและการปฏิบัติ รวมทั้งถามเป็นปริศนาธรรมให้ขบคิดมากมาย

    หลังจากไปไหนไม่ได้จึงลุยสอนต่อไป และได้ลงเรียนต่อเพื่อหาความรู้
    อีกอย่างอยากรู้ว่าการเรียนในสมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันหรือไม่?

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2007
  17. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    เคยเข้ามาอ่านเมื่อตอนต้นๆ
    เผลอลืมไปหน่อย ผ่านมา 23 ตอน แล้ว ไวจัง
    เรื่องราวของแม่ชี น่าอ่าน ศึกษา และติดตามมาก
    ให้คติธรรม นำมาเตือนตนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโลกธรรมแปด
    ขอกราบโมทนาเป็นอย่างยิ่ง

    ขอกราบแม่ชี ด้วยกาย วาจา ใจ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2007
  18. คนเก่า

    คนเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,355
    ค่าพลัง:
    +15,055
    โมทนาสาธุครับ

    ได้ทราบว่าพระอาจารย์ได้เมตตานำเอาตัวอย่างนี้ไปใช้เป็นตัวอย่างอบรมพระลูกศิษย์ น่าโมทนายินดีกับธรรมทานนี้นัก
     
  19. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ประวัติตอนที่ 24

    สอนธรรมะสไตล์คนรุ่นใหม่ ไม่เชย คนแก่ก็ชอบใจ ปีนเขากันขึ้นมา
    อยู่ๆพระที่เคยเมตตาให้อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่คนละแห่ง นึกและคิดอย่างไรไม่ทราบได้ เพราะปกติแม่ชีจะนำใบประกาศนียบัตรในการอบรมนักเรียน
    ไปให้ท่านเซ็นต์ แหม...อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไร สอนก็ไม่ได้สอน เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย แถมยังได้เงินเดือน

    ส่วนแม่ชีเหนื่อยกันแทบตาย ค่าน้ำลายยังไม่มีใครให้เลย แถมยังต้องควักเงินของตัวเองจ่ายให้อีก เก็กซิมจริงๆ

    ทำอย่างนี้มา 3 ปี อยู่ๆไม่รู้ว่าพระท่านเป็นอะไร เขียนด่าแม่ชีขึ้นมาซะนี่ (ไม่อยากบรรยายมาก ผ่านดีกว่า)

    แค่นี้ยังไม่พอ ยังไม่สะใจท่าน ป่าวประกาศว่าแม่ชีไม่จ่ายค่าไฟ (แหม...มุสาฯนะอย่างนี้น่ะ) ฟังแล้วโกรธมาก คิดในใจว่า ( นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเครื่องแบบรองรับอยู่ ฮึ่ม...ได้ตะบันกันแหลกราญแน่ เราก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน
    ปัดโธ่!!!แต่ดันใส่ผ้าไม่เหมือนกันซะนี่ )
    "เรารึจ่ายค่าไฟให้ทั้งวัดตั้งแต่มาอยู่ ไม่เห็นคิดมากเลย มีงานศพก็ไม่เคยได้ค่าไฟ หัววัดเก็บเงียบ แล้วเอาเงินไปไหนกันจ๊ะ..." (พูดแล้วฉุน)

    องค์กร องค์การอะไรไม่เห็นมีใครมาช่วยให้การสนับสนุน เวลามีผู้ใหญ่มาหาเรา เสนอหน้ามารับความดีความชอบกันจัง

    เฮ้อ...นี่แหละคน (ควายกับหนูปนกันมันจึงวุ่นวาย) แต่ช่างเถอะ อุปสรรคย่อมทำให้ชีวิตมีคุณภาพเสมอ แม่ชีคิดอย่างนี้เสมอมา และก็ปลอบใจตนเองทุกวัน

    วันหนึ่งขณะเดินทางมาสงขลา ลูกศิษย์โทรมาบอกว่า "อาจารย์...การไฟฟ้ามายกหม้อไฟไปแล้ว บนเขาไม่มีไฟใช้"

    แม่ชีจึงถามว่า "อ้าว!!! ให้ค่าไฟไป แล้วทำไมมายกหม้อไฟไปล่ะ?"
    ลูกศิษย์บอกว่า "เจ้าอาวาสข้างล่าง บอกว่าให้เขาตัดไฟไปเลย ดัดสันดานพวกชีมัน จะได้ไม่มีไฟใช้" "อ้าว!!!พูดหมาๆอย่างนี้ได้ยังไง"
    แม่ชีเริ่มทำเสียงฉุนอีกแล้ว ตกลงวันนั้นแม่ชีควนนาโหนดดังไปทั้งจังหวัดพัทลุง เพราะเรื่องถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทันทีว่า แม่ชีตีกับพระ


    ผู้ว่าฯส่งปลัดอำเภอมาเจรจากับเจ้าอาวาส แล้วท่านปลัดก็โทรศัพท์มาคุยกับแม่ชีว่า "ผมเป็นปลัดมาจนป่านนี้ยังไม่เคยเจอพระนิสัยแบบนี้เลย แม่ชีเสียเปรียบเขาแล้วล่ะ เอาอย่างนี้ผมจะเรียนให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ แต่ตอนนี้แม่ชีจะรับจ่ายค่าไฟทั้งหมดได้ไหม?"
    แม่ชีจึงถามว่า "เท่าไหร่ค่ะ?"

    " ห้าพันกว่าบาท ถ้าตกลงผมจะสั่งเจ้าหน้าที่ไฟฟ้านำหม้อไฟฟ้ามาติดให้ทันที ข้างบนเขาจะได้มีไฟใช้ ผู้หญิงทั้งนั้นอันตราย ถ้าไม่มีไฟใช้น่ะครับ"
    "ตกลงค่ะ ห้าพันกว่าบาทเอง แต่ก่อนแม่ชีจ่ายมามากกว่านี้อีกยังไม่บ่นเลยค่ะ"

    ไม่ใช่ว่าแม่ชีรวยหรือมีเงินมากอะไรหรอก อาศัยที่ยอมและทนเหนื่อยในการหาเงินมาสร้างทั้งวัตถุและบุคคลก็เท่านั้นเอง

    เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นทำให้แม่ชีเบื่อคนใส่ผ้าเหลืองเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนะ ยังศรัทธาพระหลายท่านที่ทำหน้าที่ของตน โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยและลำบาก ส่วนคนที่ใส่ผ้าเหลืองและทำตัวเป็นกาฝากก็มีเยอะ แต่ช่างเถอะ
    "ใครทำอย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น" ก็ยังนึกขอบคุณเจ้าอาวาสที่ไม่มาไล่ลงเขา และยังไม่ปิดทางขึ้นเขาด้วย

    แม่ชีคิดเอาว่า "ท่านคงเสียหน้าตา ที่ใครมาก็เดินขึ้นมาบนเขาหมด" เพราะท่านเคยบอกกับแม่ชีว่า "เวลาโยมมาหาเธอ ให้เขามาหาฉันบ้างสิ" แม่ชีก็บอกให้โยมไปคุยและนำของไปถวายพระท่านบ้าง โยมก็ไปตามที่บอก หลังจากกลับมา ทุกคนมักพูดด้วยวาจาเดียวกันว่า "เป็นพระบ้าอะไรวะ อยู่อย่างนั้นแหละ"

    ไม่รู้ว่าพระท่านพูดอะไร จากนั้นก็ไม่มีใครไปหาท่านเลย

    เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทำให้แม่ชีคิดหนัก คงอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้วเป็นแน่ อีกอย่างเวลาที่แม่ชีไม่อยู่มักจะมีปัญหาทุกครั้ง เวลาที่แม่ชีอยู่ไม่เห็นมีอะไร? "หรือว่าเราดุเหมือนหมา" คิดแล้วก็ขำเหมือนกัน เฮ้อ!!!

    นี่จึงเป็นชนวนให้ต้องหาที่ใหม่ ในใจคิดว่าจะอยู่ที่ไหนดีนะ ฉับพลันมีเสียงพูดขึ้นมาว่า "มึงคิดจะไปอีกแล้ว"

    แม่ชีจึงตอบกลับไปว่า "อยู่ก็มีแต่ปัญหา แล้วจะอยู่ทำไม?"
    "มึงอยู่เฉยๆเถอะเดี๋ยวกูจัดการเอง"
    "จะจัดการได้ยังไงร่างกายก็ไม่มี ขนาดบอกให้ไปจัดการกับไอ้พวกขุดเขา ยังทำอะไรไม่ได้เลย มาตอนนี้บอกให้อยู่เฉยๆอีก มันจะเฉยได้ยังไง?" แม่ชีเถียงออกไป

    เสียงที่พูดอยู่เมื่อตะกี้หยุดไปพักใหญ่ แล้วก็ส่งเสียงมาว่า "เออ...จริงของมึง กูไม่มีร่างกาย แล้วจะทำอะไรได้เท่ามึงวะ"

    "เอาละ...ช่วยเป็นกำลังใจ เป็นแรงใจให้ก็พอ o.k ไหม?" แม่ชีพูด

    จากนั้นแม่ชีก็โทรเล่าเรื่องให้ลูกศิษย์ฟัง ทุกคนจึงลงความเห็นว่าหาที่อยู่เพื่อสอนใหม่เถอะ ลูกศิษย์อีกคนจึงขอถวายที่ๆรัตภูมิให้ 16 ไร่เศษ ครั้นไปดูไปปรับพื้นที่แล้ว เห็นว่าใช้เงินมากพอดู อีกทั้งลำบาก น้ำไฟยังไม่มี อันตรายสำหรับผู้หญิงทั้งหมด จึงเบนเข็มมาที่เกาะยอ กับหาดใหญ่

    แม่ชีมาดูที่เกาะยอ เห็นแล้วชอบแต่ไม่มีเงินซื้อเพราะแพงเอาการทีเดียว ลูกศิษย์จึงนัดคุยกับเจ้าของที่

    เมื่อแม่ชีลงจากรถเดินมา คุณโยมเจ้าของที่น้ำหูน้ำตาไหล บอกขายให้แม่ชีโดยไม่มีมัดจำ และไม่มีกำหนดเวลาของการจ่ายเงิน

    แม่ชีจึงถามว่า "เพราะอะไรจึงขายให้ทั้งๆที่แม่ชีไม่มีเงินเลย แต่ว่าชอบที่นี้"

    คุณโยมบอกว่า "ที่ดินนี้มีคนมาขอซื้อหลายรายแล้ว แต่พอถึงเวลาจะขายฉันไม่ขายให้ซะอย่างนั้น"

    "เพราะอะไรล่ะ?"

    "โยมเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาส ผู้เป็นเจ้าของที่นี้จะต้องมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง เจ้าที่ๆนี่มาบอกฉันว่าจะมีคนชุดขาวมาขอซื้อที่ดินแปลงนี้ ให้ฉันขายไปโดยให้ผ่อน ไม่ต้องคิดดอกเบี้ยด้วย"

    ตกลงแม่ชีขอซื้อที่ดินแห่งนี้ โดยมีผีเจ้าที่ยืนต้อนรับกันหน้าสะหลอนเป็นแถว

    เมื่อกลับมาที่พัทลุง ขณะเดินขึ้นเขา ลมพัดโชยมากระทบกาย ทำให้เย็นชื่นใจ

    ม่ชีจึงพูดว่า "ไม่ต้องมาทำให้หลงใหลใฝ่ฝันที่นี่อีกนะ เบื่อขี้หน้าทั้งคนและทั้งผีแล้ว"
    มีเสียงตอบมาว่า "มึงจะทิ้งพวกกูจริงหรือ?"

    "ไม่ทิ้งกันหรอก แค่เพียงเปลี่ยนสถานที่พักใจให้คลายเครียดบ้างก็เท่านั้นเอง ยังวนเวียนอยู่แถวนี้บ้าง ไม่ทิ้งกันแน่นอน ช่วยกันบ้างแล้วกันนะ อย่าให้เหนื่อยอกเหนื่อยใจมากกว่านี้อีกเลย จะหาที่นิพพานแล้ว" พูดเสร็จก็หัวเราะ

    ลูกศิษย์หันมามอง คงคิดว่าอาจารย์บ้าไปแล้วมั้ง หัวเราะคนเดียว

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2007
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    มานั่งเฝ้าติดตามอ่านอย่างใกล้ชิดครับ
    แถวหน้าๆ พอมีที่เหลือมั๊ยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...