{{หลวงพ่อคูณ257}}ศึกษาพระสมเด็จ/เบญจภาคีองค์ครู26ขุนแผนพรายกุมาร4ลพ.พรหม68พ่อท่านคลิ้ง105

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย Amuletism, 2 มกราคม 2012.

  1. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    สมเด็จเกศไชโย ๗ ชั้นนิยม


    สมเด็จเกศไชโยเป็นพระสมเด็จที่มีพิมพ์ทรงมากที่สุด เดิมเล่นหากันเพียงสามพิมพ์
    คือ เจ็ดชั้นนิยม หกชั้นอกตัน หกชั้นอกตลอด ที่เหลือเรียกว่าพิมพ์ตลก
    แต่ปัจจับันเริ่มมีการเล่นหาพิมพ์อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสามพิมพ์หลัก
    ราคาทยานสู่หลักล้านเศษ ถึงล้านต้นแล้ว

    ผมจึงขอนำเอาภาพพระสมเด็จเกศไชโย พิมพ์ต่างๆ
    มาให้ชมเปรียบเทียบเป็นข้อมูลครับ

    สมเด็จเกศไชโย ๗ ชั้นนิยม

    [​IMG]



    บทความจากเดลินิวส์ออนไลน์ เสาร์ที่ 6 สิงหาคม 2554
    ความเป็นมาของ “พระสมเด็จเกศไชโย” ผู้เขียนก็ได้อธิบายไปแล้วเมื่อฉบับวันเสาร์ที่ผ่าน วันนี้จึงขอนำท่านผู้อ่านพบกับการชี้จุดสังเกตกันเลย เพื่อจะได้ทราบพิมพ์ไหนมีข้อสังเกตที่ควรรู้เช่นไรบ้าง และก่อนจะชี้จุดสังเกตผู้เขียนขอเรียนว่า “พระสมเด็จเกศไชโย” มีการสร้างขึ้นถึง ๒ ครั้ง ดังนี้ ครั้งแรก สร้างขึ้นหลังจาก “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี” สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่เสร็จแล้วจึงสร้าง “พระพิมพ์สมเด็จเกศไชโย” ด้วยเนื้อผงขาวรูปทรง “สี่เหลี่ยมผืนผ้ายกกรอบกระจก” ที่มีทั้งพิมพ์ “๗ ชั้น ๖ ชั้น ๓ ชั้น” โดยสร้างขึ้นที่วัดระฆังแล้วนำไปบรรจุไว้ในองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่จำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ เพื่อเป็นพุทธบูชาตามคตินิยมโบราณกาลเวลาผ่านไปประมาณ ๑๐ ปี “พระพุทธรูปองค์ใหญ่” ที่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งจึงตากแดดตากฝนนานนับสิบปี ประกอบกับการก่อสร้างไม่แข็งแรงได้พังทลายลงจึงพบเห็น “พระพิมพ์สมเด็จ” ชาวบ้านที่แห่มาดูจึงหยิบฉวยเอาไปบูชาจำนวนมากครั้น “สมเด็จโต” ทราบเรื่องจึงสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นใหม่อีกพร้อมกับสร้าง “พระพิมพ์สมเด็จ” เพิ่มเติมเพื่อนำไปบรรจุไว้ในองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ เหมือนครั้งแรกเนื่องจากพระพิมพ์ที่เหลือมีไม่ครบ ๘๔,๐๐๐องค์ และอาจจะด้วยมีเวลาที่จำกัดการสร้างพระพิมพ์ขึ้นใหม่นี้ก็ยังไม่ครบจำนวนจึง นำ “พระสมเด็จวัดระฆัง” จำนวนหนึ่งไปร่วมบรรจุไว้ด้วยเพื่อให้ครบตามจำนวนดังนั้น “เนื้อ” ของ “พระสมเด็จวัดเกศไชโย” จึงมีทั้ง “เนื้อละเอียด-เนื้อแกร่ง” และ “เนื้อน้ำมัน” (ผสมน้ำมันตังอิ้วมาก)
    อ้างอิง พุทธธัสสะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2012
  2. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    สมเด็จเกศไชโย ๖ ชั้น อกตัน

    สมเด็จเกศไชโย ๖ ชั้น อกตัน

    [​IMG]
     
  3. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    สมเด็จเกศไชโย ๖ ชั้น อกตลอด

    สมเด็จเกศไชโย ๖ ชั้น อกตลอด

    [​IMG]
     
  4. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    เอกลักษณ์ด้านพิมพ์ทรงพระสมเด็จวัดเกศไชโย


    เอกลักษณ์ด้านพิมพ์ทรงพระสมเด็จวัดเกศไชโย
    มีผู้ใจดีชี้แนะไว้แล้ว ตามลิงค์ไปเลยครับ

    ��˹��͡�ѡɳ�
     
  5. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
  6. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
  7. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    ขั้นตอนการสร้างผงพระสมเด็จ

    แนวทางการสะสมพระสมเด็จและข้อมูลเรื่องเล่ามีมากมาย
    อยากให้เพื่อนๆ ได้รับข้อมูลอย่างเต็มที่แล้วไปวิเคราะห์กันต่อไป
    บทความด้านล่างเป็นของอ. พล นิลผึ้ง เป็นกลุ่มที่ยอมรับสมเด็จนอกพิมพ์
    แต่ข้อมูลที่นำมาเป็นเรื่องการสร้างพระครับ

    ส่วนประเด็นสมเด็จนอกพิมพ์ ไม่อยากอ้างถึง
    เพราะเป็นเรื่องดุลยพินิจของแต่ละท่าน ผมเองก็เชื่อว่ามีอยู่
    แต่หากต้องเสียเงินเช่าหามา ส่วนตัวอยากได้พระสากลนิยมมากกว่า
    จะได้หมดปัญหาเรื่องข้อโต้แย้ง และมีความแน่นอนว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้น
    อย่างแน่นอนในรุ่นต่อๆไป
    หากเป็นมกดกตกทอดมาก็ไม่ได้เสียหายอะไรครับ

    พระสมเด็จทำมาจากอะไรบ้าง

    การสร้างพระสมเด็จของพระพุฒาจารย์โต พระหมรังสี ท่านใช้ส่วนประกอบขององค์พระมากมายหลายอย่าง มีทั้งผงวิเศษ หรือผงสมเด็จ หรือผงกฤติยาคม เกษรดอกไม้ร้อยแปดชนิด ว่านยาและว่านมงคล สมุนไพรต่างๆ อัญมณี แร่ธาตุ พระธาตุ พระเก่าโบราณ ของวิเศษที่เป็นมงคล ก้านธูปบูชาพระรัตนตรัย ไม้มงคล ดินโป่ง หินเปลือกหอย ผลไม้ กระยาหาร ข้าวหอม ไคลเสมาไคลเสาตะลุงช้างเผือก ดินสอพอง ปูนตายซาก หมุดเงินทอง ทรายเงินทรายทอง ใบลาน น้ำอ้อย ยางไม้ น้ำมันตังอิ๊ว ผงตะไบพระทอง และของที่เหลือใช้อย่างอื่นอีก

    การทำพระสมเด็จของท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านมีวิธีการทำดังนี้

    ขั้นที่1 ท่านเอาดินสอพองจากลพบุรีถือว่าเป็นดินที่ขาวบริสุทธิ์ เอามาร่อนแยกเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากดินสอพอง ให้เหลือแต่ดินสอพองบริสุทธิ์ ปั้นเป็นท่อนพอหมาดแล้วตัดเป็นแผ่นบางๆตากแดดให้แห้งสนิท

    ขั้นที่2 เอาดินสอพองที่หั่นตากแดดแห้งสนิทแล้วเอามาบดให้เป็นผงละเอยดเอาไปตากแดดให้แห้งสนิทอีกครั้ง แล้วแยกผงแป้งดินสอพองออกไปบรรจุใส่บาตร 5 บาตรเท่าๆกัน

    ขั้นที่3 เอาดินสอพองในบาตรที่หนึ่ง บริกรรมบรรจุด้วยคาถาบท อิธเจ บาตรที่2 บริกรรมประจุด้วยคาถาบท ตรีนิสิงเห บาตรที่3 บริกรรมปรุด้วยคาถาบท ปัทมัง บาตรที่4 บริกรรมประจุด้วยคาถาบทมหาราช และบาตรที่5 บริกรรมประจุด้วยคาถาบทพุทธคุณ ท่านบริกรรมประจุด้วยคาถาทั้ง 5 บท แต่ละบาตรอยู่ตลอดเวลาด้วยตัวท่านเอง จนเห็นว่าขัลงเพียงพอ

    ขั้นที่4 เอาผงทั้ง 5 อย่าง 5 บาตรมารวมกันใส่ในบาตรใหญ่ 1 บาตร แล้วกำกับด้วยคาถา ทั้ง 5 บท อิธเจ - ตรีนิสิงเห - ปัทถมัง - มหาราช - พุทธคุณ พร้อมกันในบาตรใหญ่ เรื่องการบริกรรมคาถาทั้ง 5 บทพร้อมกันนี้ อาจารย์มงคลเล่าว่า ผู้ทำได้จะต้องมีจิตสมาธิแข็งกล้าจริงๆ ไม่เช่นนั้นจะทำให้จิตแตกกลายเป็นบ้าไปได้ บุคคลหรือพระที่ทำได้ในโลกนี้ก็มีเพียงสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น จึงทำให้ผง กฤติยาคมของท่านขลังยิ่งนัก

    ขั้นที่5 เอายอดไม้มงคลเช่นยอดตำลึง - ยอดสุดสวาท - ยอดและดอกรักซ้อน - ยอดกาหลง - ยอดทองพันชั่ง - ราชพฤกษ์ - กระแจตะนาว - ยอดใบเงิน - ทอง - นากและอื่นๆอีก เอามาตำให้แหลกละเอียดเอาน้ำพุทธมนต์ 7 บ่อ 7 รสผสมลงไปแล้วตั้นเอาแต่นำไปผสมผง 5 อย่าง แล้วปั้นเป็นแท่งชอล์คเอาไว้เขียนเลขยันต์ เรียกว่าดินสอมหาชัย

    ขั้นที่6 เอาดินสอมหาชัยไปเขียนเลขยันต์บนกระดาน แล้วลบเลขยันต์เก็บเอาผงชอล์คหรือดินสอมหาชัย ไว้เอาไปผสมน้ำคั้นยอดไม้มงคลปั้นเป็นแท่งดินสอมหาชัยใหม่ตากให้แห้ง แล้วนำมาเขียนเลขยันต์ในกระดานแล้วลบเลขยันต์เอาผงไปผสมน้ำคั้นยอดไม้มงคลอีก นำมาปั้นเป็นดินสอมหาชัย แล้วเอาไปเขียนเลขยันต์ทำอยู่อย่างนั้นหลายร้อยคาบ หลายร้อยครั้ง จนสุดท้ายผงจากดินสอมหาชัยที่มียางยอดไม้ผสมจะเกาะเป็นเม็ดกลมเวลาเขียนจะร่วนออกมาเป็นเม็ดๆเล็กๆสีขาวขุ่นๆแข็งแกร่งมาก เม็ดผงนี่แหละเรียกว่า ผงสมเด็จหรือกฤติยาคม

    ขั้นที่7 ท่านเอาผงกฤติยาคมไปบรรจุไว้ในบาตรและบริกรรมพระคาถาดังกล่าวมาแล้วกำกับตลอดทุกวัน เป็นเวลานานๆ จนท่านมั่นใจว่าขลังดีแล้ว จึงเอามาผสมเนื้อพระและมวลสารอื่นตำผสมทำเป็นเนื้อพระเอาไปพิมพ์พระต่อไป

    ในเรื่องแท่งดินสอที่ปั้นแล้วนำมาลบเลขยันต์
    ตำราหลายเล่มระบุว่่า เมื่อลบผงวิเศษจากยันต์ประเภทแรกแล้ว
    นำกลับมาปั้นใหม่ เพื่อเขียนยันต์ประเภทที่สอง และทำแบบเดียวกันจนครบห้าครั้ง
    อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาหาข้อมกันต่อไปครับ
     
  8. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    ราคาพระสมเด็จกลุ่มนักสะสมพระสมเด็จ


    บทความพระสมเด็จวัดระวัง
    อ้างอิง ลำพูนพระเครื่อง
    นานาทัศนะนะครับ

    “พระสมเด็จวัดระฆัง” ที่ได้รับการยกย่องจากนักอนุรักษ์และนักสะสม “วัตถุโบราณ” ให้เป็น “จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง” และ “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม” ที่วงการนักอนุรักษ์และนักสะสมให้ความนิยมเป็น “ยอดพระ” รองลงมาจาก “พระสมเด็จวัดระฆัง” เนื่องจากสร้างและปลุกเสกโดย “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี” ราคาค่านิยมในองค์ที่สมบูรณ์ ราคาพระเครื่องวันนี้จึงต้องว่ากันตั้งแต่หลัก “ล้าน” จนถึง “หลายล้าน” จึงจะมีสิทธิได้ครอบครอง
    “ยอดพระ” ทั้งสองตระกูล มีนักสะสมที่ทำการสะสมพระ “ผิดเพี้ยน” ไปจากนักสะสมยุคเก่าบัญญัติไว้มากขึ้นทุกขณะจนสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
    ๑. “นักสะสมพระสมเด็จกลุ่มมาตรฐาน” นักสะสมกลุ่มนี้จะอนุรักษ์และสะสมเฉพาะพระสมเด็จ “ของแท้” ที่เป็น “มาตรฐาน” และวงการนักสะสมส่วนใหญ่ยอมรับซึ่งได้แก่บรรดา “เซียนพระ” พร้อม “นักจัดหา” ที่มีชื่อเสียงและคร่ำหวอดในวงการซึ่งส่วนมากจะเป็น “นักสะสมรุ่นเก่า”
    ๒. “นักสะสมพระสมเด็จกลุ่มทางเลือก” นักสะสมกลุ่มนี้เป็น “นักสะสมกลุ่มเล็ก ๆ” (ประมาณร้อยกว่าคน) ที่พยายามนำ “พระเก๊” มาโปรโมชั่นว่าเป็น “พระแท้” ทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์พร้อมจัดทำหนังสือ ออกเผยแพร่แถมด้วยการ “ประกาศซื้อ” ตามที่พวกเขากำหนดขึ้นเองส่วนการกำหนดราคาก็อยู่ในขั้นสูงเอาการคือตั้งแต่ “หลักหมื่น” ถึง “หลักแสน” ซึ่งนักสะสมกลุ่มนี้แหละที่เป็น “อันตราย”ต่อวงการและนักสะสมรุ่นใหม่ในอนาคต จึงน่าเป็นห่วงจริง ๆ
    ๓. กลุ่มนักสะสมพระสมเด็จแบกับดิน นักสะสมกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็น “นักหาของฟลุก” คือจะเสาะหา พระสมเด็จตามแผงพระที่นำมาขายในลักษณะ “แบกับดิน” (ที่ท่าพระจันทร์และสวนจตุจักรมากที่สุด) เพราะมีการซื้อขายในราคาถูกตั้งแต่ “หลักสิบ” ถึง “หลักร้อย” โดยนักสะสมกลุ่มนี้ไม่เป็นอันตรายต่อวงการมากนักเพราะ “พระสมเด็จ” ที่นำมาขาย “แบกับดิน” นี้เนื้อหาและรูปทรงพิมพ์ยังห่างไกลจาก “ของแท้” อยู่มากผิดกับ “กลุ่มทางเลือก” ที่คัดเฉพาะ “พระสมเด็จ” ที่มีเนื้อหาและพิมพ์ทรงคล้าย “ของจริง”
    ด้วยเหตุนี้การศึกษา “พระสมเด็จ” ที่เป็น “มาตรฐาน” จึงต้องใช้ “ความละเอียด” และ “ความรอบคอบ” เป็นสำคัญ เพราะทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินไทย “ของแท้” มักจะดูง่าย ซึ่งผิดกับ “ของเก๊” ที่มักจะดูยากจึงขอฝากนักสะสมหน้าใหม่นำเป็น “ข้อเตือนใจ” จะได้ไม่หลงกลนักสร้าง “พระเก๊” ที่ทำให้เสียเงินเสียทองแล้วยังทำให้เจ็บใจอีกด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2012
  9. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    สมเด็จเกศไชโย ๗ ชั้น ไหล่ตรง

    สมเด็จเกศไชโย ๗ ชั้น ไหล่ตรง

    [​IMG]
     
  10. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    “พระสมเด็จวัดระฆัง” ปฐมบทแห่งพระเก๊ ตอนที่ 1/10

    “พระสมเด็จวัดระฆัง” ปฐมบทแห่งพระเก๊ 
    โดยนายรู้ลึก แสนชัดลึก  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
     
    บทความที่ 1
    ฉบับที่แล้วเนื้อที่ “รู้ไว้ไม่เสียเปรียบ” ตรงนี้นำวัตถุมงคล “จตุคามรามเทพ” รุ่น “ยอดมงคล” ที่เป็น “ของเก๊” ออกมาตีแผ่ก็เพียงเพื่อจะบอกทุกท่านที่ “อ่านความจริง...อ่านเดลินิวส์” ได้รู้ได้ทราบว่านักสร้าง “ของเก๊” ยังมีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงของประเทศไทยและอยู่ได้อย่าง “ลอยนวล” อีกด้วยหากมี “วัตถุมงคลใด” ขายดีก็จะสร้าง “ของเก๊” ออกขายให้ “ผู้ไม่รู้” ตกเป็นเหยื่อกระผม “นายรู้ลึก แสนรู้ชัด” จึงได้แต่เห็นใจ “ผู้ไม่รู้” ที่ตกเป็นเหยื่อก็เพราะมี “ความศรัทธา” คิดว่าเป็นของแท้เป็นเหตุให้พวกหากินบน “ความทุกข์” ของ ผู้อื่นฉกฉวยโอกาสสร้าง “ของเก๊” ออกขายเพราะทำรายได้แบบง่าย ๆ เนื่องจาก “กฎหมายไทย” ที่จะลงโทษพวกสร้าง “ของเก๊” ไม่มีหรือมีก็ “น้อยนิด” พวกสร้างของเก๊จึงระบาดทุกวงการค้าขายไทย กระผมจึงได้แต่บอกว่าต้องปล่อยให้ “กฎแห่งกรรม” ลงโทษกันไปเอง
     
    เมื่อพูดถึงเรื่อง “กฎแห่งกรรม” แล้วเลยขอหยิบยกเรื่องนี้มาพูดต่อเพราะจากกระแสนิยม “จตุคามรามเทพ” ที่ปรากฏในรอบ “ครึ่งปีแรก” ที่ผ่านมาถือเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า “อุปนิสัย” ของคนไทย “ส่วนใหญ่” นิยมในเรื่อง “เครื่องรางของขลัง” และสิ่งที่เป็นเรื่อง “ลี้ลับ, อภินิหาร, มหัศจรรย์พันลึก” รวมทั้งการ “อ้อนวอนขอ” ต่อ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ดังที่ “เป็นข่าว” ให้เห็นอยู่เสมอ ๆ อย่าง “การกราบไหว้” สิ่งที่คิดว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “สิงสถิตอยู่” เช่น “จอมปลวก, ต้นไม้แปลก ๆ” และ “สัตว์ทุกชนิด” ที่เกิดมาประหลาดอย่าง “ปลาไหลเผือก, เต่าเผือก ฯลฯ” เป็นต้น ซึ่งแรก ๆ ผู้เขียนคิดแต่เพียงว่าเป็น “ความเชื่อ” เฉพาะสังคมของคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านที่ “ห่างไกลความเจริญ” เท่านั้นหากเป็นสังคมของคนกลุ่มใหญ่ ๆ ที่เจริญแล้วคงจะไม่มีปรากฏ

    แต่เอาเข้าจริงจากปรากฏการณ์กระแสนิยม “จตุคามรามเทพ” ทำให้เห็นชัดสังคมของคนในเมืองใหญ่ ๆ ที่เจริญแล้วมีเทคโนโลยีทันสมัยเป็นปัจจัยหลักของการดำรงชีพก็ยังมี “ความเชื่อ” กับสิ่งมหัศจรรย์พันลึกเช่นกันแล้วแพร่ระบาดขจรขจายกลายเป็น “กระแสฮิต” กันไปเลยจึงแสดงให้เห็นถึง “แนวความคิด” ของคนไทยส่วนใหญ่ยังมี “ความเชื่อ” กับเรื่องราวที่ไม่อาจพิสูจน์ได้อยู่ดีอย่างในกรณี “จตุคามรามเทพ” ที่ผู้เขียนขอกล่าวว่าคนไทยยัง “ห่างไกล” กับ “หลักธรรม” ทาง “พระพุทธศาสนา” ที่มีความลึกซึ้งและละเอียดอ่อนอยู่มากโดยจะเห็นได้ว่า หากเข้าใจในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วผู้เขียนเชื่อว่าจะไม่ถูก “คนอื่น” ต้มตุ๋นกับการนำของเก๊มาขายให้แน่นอนเพราะเรื่องของ “วัตถุมงคลไทย” นั้นในสมัยโบราณ “ไม่มีการซื้อขาย” อย่างในปัจจุบันเนื่องจาก “คนโบราณ” มีความเชื่อในเรื่องของ “กฎแห่งกรรม” ที่แม้จะมีเรื่องของ
    “ไสยศาสตร์” เข้ามาให้เชื่อบ้างแต่ก็เป็นเรื่อง “รองลงมา” ซึ่งผิดกับสมัยนี้คนส่วนใหญ่กลับเชื่อเรื่อง “ไสยศาสตร์” มากกว่าเรื่องของ “กฎแห่งกรรม”     

    คือในสมัยโบราณคนไทยจะไม่นำพระเครื่องหรือพระพุทธรูป “เก็บไว้ในบ้าน” ต้อง “เก็บไว้ตามวัด” เพราะถือเป็นของ “ดีงาม” และ “บริสุทธิ์ผุดผ่อง” พร้อมเป็นของ “ศักดิ์สิทธิ์” ที่ไม่ควรอยู่ในบ้านเว้นแต่หากมี “ศึกสงคราม” จึงจะไปนำมาพกพาติดตัวเพื่อเป็น “ขวัญกำลังใจ” พร้อม “คุ้มครอง” ในยามออกศึกสงครามและหลังเสร็จศึกสงครามแล้วหากมี “ชัยชนะ” ก็จะนำไปเก็บไว้ “ในวัด” เช่นเดิมเนื่องจากการ “สร้างพระ” ในสมัยโบราณสร้างขึ้นเพื่อ “แจกจ่าย” แก่  ผู้ออกศึกสงครามหรือแม้กระทั่งท่านเจ้าประคุณ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต   วัดระฆัง) ที่สร้าง “พระสมเด็จวัดระฆัง” ที่ปัจจุบันองค์งาม ๆ มีมูลค่าหลาย ๆ ล้านบาทก็สร้างขึ้นเพื่อ “แจก” แก่ญาติโยมที่ไปมาหาสู่ท่านเพื่อเป็นเครื่อง “ยึดเหนี่ยวจิตใจ” และยึดมั่นในการทำความดีตามครรลองของพระพุทธศาสนาโดยไม่มี “การซื้อขาย”
     
     ดังนั้นพระเครื่องในรูปแบบ “พระสมเด็จวัดระฆัง” จึงมีราคามหาศาลที่เริ่มมีการซื้อขายหลังจากที่ท่าน “มรณภาพ” ไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ต่อมาได้เกิด “อหิวาตกโรค” (ชาวบ้านยุคก่อนเรียกว่าโรคห่า) ระบาดไปทั้งฝั่งพระนครและธนบุรีก่อให้มี “คนตาย” มากมายและช่วงนั้นก็มีชาวบ้านผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่    ละแวก “วัดระฆัง” ฝันไปว่า “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต” มาเข้าฝันบอกให้นำ “พระสมเด็จวัดระฆัง” ของท่านไปอาราธนาทำเป็น “น้ำพระพุทธมนต์” ให้ผู้ที่ป่วยเป็น “โรคห่า” ดื่มกินก็จะหายจากโรคได้ชาวบ้านผู้นั้นจึงนำทดลองดูตามที่ฝัน ปรากฏว่าสามารถรักษาโรคได้ตั้งแต่นั้นมา “พระสมเด็จวัดระฆัง” จึงมีชื่อเสียงโด่งดังและเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งพร้อมกับ “ผู้ที่ไม่มี” ก็พยายามเสาะหาให้ได้จึงกลายเป็นการซื้อขายกันในที่สุดและมีราคาแพงในปัจจุบัน
     
    และจากที่ “พระสมเด็จวัดระฆัง” มีราคาแพงนี่เองจึงมีการ “ทำเก๊” ออกมาตั้งแต่เมื่อร่วมร้อยปีแล้วดังนั้นบางองค์ที่ทำรูปแบบและการผสมเนื้อได้ “ใกล้เคียงของแท้” พอมาถึงวันนี้ก็จะมีอายุร่วมร้อยปี “พระองค์นั้น” ก็กลายเป็น “ของแท้” ไปโดยปริยายจึงถือได้ว่า “พระสมเด็จวัดระฆัง” คือปฐมบทของการสร้างพระเก๊ที่ “วัตถุมงคลดัง” ในยุคต่อ ๆ มาจึงมีพระเก๊รวมทั้ง “จตุคามรามเทพ” ก็ไม่เว้นที่ผู้เขียนขอบอกว่าไม่นาน “กฎแห่งกรรม” จะตามราวีพวกที่ชอบสร้างของเก๊ออกหลอกชาวบ้านชัวร์.
     
  11. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    สมเด็จเก๊เก่า แยกได้หรือไม่

    พระสมเด็จเก๊ร้อยปี แล้วจะแยกเยอะพระเก๊/แท้ได้อย่างไร

    ต่อคำถามนี้ หากถามเซียนพระ ผมเคยได้รับคำตอบที่น่าสนใจคือ
    พระเก๊เก่าฝีมือหยาบ ไม่ค่อยน่ากลัว แม้เนื้อพระจะเก่าก็จริง
    แต่เนื้อหาในมวลสารไม่ใกล้เคียง หรือลักษณะพิมพ์ทรงจะผิดเพี้ยนจากของจริงไปมาก
    เนื่องจากยุคก่อนพระไม่มีราคามากนัก ก็เลยเก๊หยาบๆ เป็นส่วนใหญ่
    นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เซียนพระยุคหลัง จะไม่ยอมรับพระผิดพิมพ์
    หรือนอกมาตรฐานเลย และตีเก๊ทั้งหมด แม้รู้สึกว่าเนื้อหาความเก่าจะใกล้เคียงก็ตาม
    อีกทั้งยุคก่อนสื่อไม่แพร่หลาย คนที่ไม่อยู่ในวงการก็ไม่เคยเห็นของจริงอยู่แล้ว
    ก็แค่ใช้ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ชวนเชื่อประทับลงบนพระ
    ทั้งที่สมเด็จของแท้จะหลังเรียบทุกองค์ ก็ยังมีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก

    พระเก๊ใหม่ ฝีมืออาจจะน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำ
    เพราะมีวิวัฒนาการทำให้ดูเก่า สร้างคราบต่างๆ
    ใช้ความพยายามมากขึ้น เพราะพระมีราคาสูง
    กรณีนี้ต้องพยายามดูความเก่าให้เป็น
    และคิดถึงข้อเท็จจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์ในกระบวนการสร้าง
    และอายุของพระเป็นสำคัญ
     
  12. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    “พระสมเด็จวัดระฆัง” ปฐมบทแห่งพระเก๊ 2/10


    บทความที่ 2
    ในฉบับที่แล้วได้กล่าวถึงความเป็นมาของความนิยม “พระเครื่อง” ของคนไทยที่กล่าวถึงอย่างคร่าว ๆ ว่า “คนไทย” มีความนิยม  “พระเครื่อง” กันอย่างไรพร้อมทั้งมีการสร้าง “พระปลอม” กันอย่างไรและ “อะไร” เป็นเหตุจูงใจให้มีการ “ปลอมแปลง” พระเครื่องกันโดยเหตุแห่งการปลอมแปลงพระเครื่องก็คือ “ขายได้ราคา” ซึ่งการขายได้ราคานี้ก็เพราะมีการ “ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน” นั่นเองโดยตามคำบอกเล่าของบรรดา “ปรมาจารย์พระเครื่อง” หลาย ๆ ท่านที่ระบุว่าการสะสมพระเครื่องใน “สมัยก่อน” ยังไม่มี “ธุรกิจการค้า” เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเช่นในปัจจุบันดังนั้นการ “แลกเปลี่ยนพระเครื่อง” ในสมัยนั้นจึงเป็น “เรื่องหลัก” ของการสะสมคือใครชอบใจ “พระองค์ใด” ของ “วัดใด” หรือจาก “กรุใด” และ “พระเกจิอาจารย์รูปใด” ก็สามารถนำพระเครื่องที่มีอยู่ไป “แลกเปลี่ยนกันได้”
     
    ซึ่งนั่นคือระยะเริ่มแรกของการสะสมพระเครื่องของ “นักสะสมสมัยก่อน” โดยใช้ระบบการแลกเปลี่ยน (Barter System) ที่มีความเป็นไปในทำนองเดียวกันกับการ “แลกเปลี่ยนสินค้า” โดยทั่วไปของ “มวลมนุษยชาติ” ในยุคที่ตลาด “การเงิน การคลัง การธนาคาร” ยังไม่เฟื่องฟูเหมือนปัจจุบันซึ่งในระยะแรก ๆ ที่เรียกว่า “ยุคอรุณรุ่ง” มนุษย์เราจะนำสินค้าที่มีในท้องถิ่นหรือผลิตได้ด้วยตัวเองไป “แลกเปลี่ยน” กับผู้ที่มีสินค้าอื่น ๆ ที่ตนเองไม่มีในท้องถิ่นหรือที่ตนเองผลิตไม่ได้ซึ่งระบบนี้เป็นที่ยอมรับกันในยุค “เริ่มแรก” ของการติดต่อซื้อขายสินค้ากระทั่งต่อมาเมื่อระบบ “การเงิน” เริ่มเข้ามามีบทบาทในฐานะเป็น “สื่อกลาง” ของการแลกเปลี่ยนสินค้าแล้วการแลกเปลี่ยนสินค้าในยุค “เริ่มแรก” จึงค่อย ๆ “ลดบทบาท” ลงเพราะมีการนำ “การเงิน” มาแลกเปลี่ยนแทน
     
    “พระเครื่อง” ก็เช่นกันในระยะเริ่มแรกของการสะสมบรรดา “เซียนรุ่นเก่า” ส่วนใหญ่จะ “ให้กันฟรี ๆ” แต่หากพระเครื่องที่ให้กันฟรี ๆ นั้นมี “คุณค่า” เพราะหายากก็จะนำ “พระเครื่อง” ชนิดอื่นมาแลกเปลี่ยนกันมากกว่าที่จะมาตั้งราคาซื้อขายดังเช่นปัจจุบัน และเมื่อสังคมพระเครื่องขยายตัวมีผู้คนหันมาสนใจมากขึ้นประกอบกับเริ่มหายากขึ้น เนื่องจากต่างคนต่างเก็บจึงเริ่มมีการซื้อขายกันด้วย “เงินตรา” เช่นเดียวกันกับสินค้าอื่น ๆ ดังนั้นนักสะสมพระเครื่องยุคปัจจุบันจึงกล้าที่จะ “ซื้อขายกัน” โดยไม่กระดากอายหรือขวยเขินดังเช่นผู้คนในสมัยก่อนที่จะใช้คำว่า “เช่า” หรือ “ปล่อย” แทนคำว่า “ซื้อ” หรือ “ขาย” และจากที่ไร้ความกระดากอายนี่เองต่อมาจึงแปรสภาพกลายเป็น “ไม่เกรงกลัว” ต่อการที่จะนำ “ของปลอม” มาหลอกขายกันตามที่ผู้มี “จิตสำนึกอันดี” บอกว่านั่นคือ “บาป”
     
    ดังกรณีของวัตถุมงคลชุด “จตุคามรามเทพ” ที่ยังเป็นปัญหาในปัจจุบันที่ผู้เขียนได้นำเสนอมาก็ “หลายครั้ง” พร้อมเตือนกันมาก็ “หลายหน” และบอกใบ้ “ให้ระวัง” จตุคามรามเทพรุ่นที่สร้าง กันอย่างมโหฬารหลาย ๆ รุ่นที่การสร้างไม่มีการ “ประกอบพิธี” หรือหากมีก็ทำกันเพียงเพื่อ “หลอกผู้คน” ด้วยการนำ “กล่องเปล่า” ที่ภายในบรรจุ  “ก้อนอิฐก้อนดิน” เพื่อให้ดูว่ามี “จตุคามรามเทพ” ที่สร้างเสร็จแล้วอยู่ภายในทั้งที่ “ความจริง” ยังสร้างไม่เสร็จแล้วจึงลำเลียง “กล่องบรรจุก้อนอิฐก้อนดิน” เข้าไปในพิธีให้ดูว่าได้ทำการปลุกเสกแล้วซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นกับ “จตุคามรามเทพ” รุ่นใหม่ ๆ นับร้อยรุ่นจึงเข้ากับตำราที่ว่า “น้ำขึ้นต้องรีบตัก” ของทั้ง “นักสร้างพระ” ที่ “รับจอง” ไว้มากและ  “โรงงานสร้างพระ” พร้อม “โรงงานทำกล่องพระ” ที่รับงานไว้จน “ล้นมือ” จึงทำงานที่รับไว้ไม่ทันตามกำหนด “พิธีปลุกเสก” หรือบางรุ่นที่สร้าง “ทันกำหนด” แต่วัตถุมงคลก็ขาดความสวยงามเนื่องจาก “เร่งปั๊ม” กันนั่นเองและอีกหลาย ๆ สิบรุ่นที่สร้างออกมาไม่ตรงกับ “รูปแบบ” ตามที่ทำการโฆษณาไว้จึงเป็นปัญหาให้มีการร้องเรียนต่อ    “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” มากมายหลายร้อยรุ่นและรุ่น “รวยล้นฟ้า” ก็โดนเป็นรุ่นล่าสุดและการโดนล่าสุดนี้ไม่ใช่การ “ร้องเรียน” เหมือนรุ่นก่อน ๆ แต่เป็นการโดน “ฟ้องศาล” ที่ “นครศรีธรรมราช” กันเลยด้วยข้อหาหนัก “ฉ้อโกง” ตามที่เป็น “ข่าวหน้าหนึ่ง” ไปเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา 
          
    ไม่รู้เป็นอะไรว่าจะพูดถึงเรื่องการสร้าง “พระสมเด็จเก๊” แท้ ๆ แต่ก็วกไปพูดถึง “จตุคามรามเทพ” จนได้ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะมีการสร้างที่ “เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค” มากเกินไปชนิดเห็นผู้บริโภค “เป็นวัวเป็นควาย” ไปซะหมดเลยอดไม่ได้ที่จะต้อง “พูดถึง” จึงขอหันมาพูดถึงการสร้างพระสมเด็จเก๊กันอีกที
         
    ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “พระสมเด็จวัดระฆัง” ได้ชื่อว่าเป็น “สุดยอดพระเครื่อง” จนได้รับสมญานามว่า “จักรพรรดิพระเครื่อง” เพราะนักสะสมทุก ระดับต่างใฝ่ฝันที่จะได้เป็น “เจ้าของ” เนื่องจากเป็นพระเครื่อง “ค่านิยมสูง” ที่สืบทอดกันมาช้านานตั้งแต่ยุค “อรุณรุ่ง” ของการสะสมพระเครื่องเมืองไทยเพราะ “เชื่อมั่นในพุทธคุณ” ที่ลือเลื่องแล้ว “รูปแบบ” ที่ท่านเจ้าประคุณ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)” จัดสร้างขึ้นที่ว่ากันว่าพัฒนา “แบบพิมพ์” มาจาก “พระสมเด็จอรหัง” ของท่านเจ้าประคุณ “สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสวโร)” ให้สวยงามขึ้นด้วยเหตุนี้ “พระสมเด็จวัดระฆัง” จึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและแน่นอนธรรมชาติของสิ่งที่ได้รับ “ความนิยม” ก็จะมีราคาในการแลกเปลี่ยนซื้อขายที่สูงขึ้นเป็นลำดับแล้วในที่สุดก็จะมี “ของปลอม” รวมไปถึง “ของเทียม” พร้อม “ของเลียนแบบ” ที่พวกไม่หวั่นบาปสร้างกันออกมามากมาย “หลายฝีมือ” ที่ถึงวันนี้บรรดา “เซียนพระ” ต่างก็ยอมรับว่า “พระสมเด็จวัดระฆัง” เป็นพระเครื่องที่ถูกสร้าง “ปลอม” และ “เทียม” พร้อม “เลียนแบบ” มากสุดที่เรียกได้ว่า “มากกว่า” พระเครื่องจากทุก “ตระกูล” และทุก “สำนัก” เลยทีเดียว.
     
  13. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    สมเด็จเกศไชโย ๗ ชั้น หูประบ่า

    สมเด็จเกศไชโย ๗ ชั้น หูประบ่า

    [​IMG]
     
  14. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    “พระสมเด็จวัดระฆัง” ปฐมบทแห่งพระเก๊ ตอนที่ 3/10


    บทความที่ 3
    ความนิยม “พระสมเด็จวัดระฆัง” ที่สร้างขึ้นโดยท่านเจ้าประคุณ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรฺหมฺรังสี)” ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “นักสะสมพระเครื่อง” ต่างนิยมกันทุกระดับชั้นโดยเฉพาะนักสะสมหน้าใหม่ที่เริ่มเข้าสู่วงการทั้งที่ทราบดีว่าเป็น “ของดีที่ล้ำค่าและหายากยิ่ง” เนื่องจากเป็น “พระสมเด็จ” ที่สร้างด้วย “เนื้อผงวิเศษ” และสร้างมานานกว่าร้อยปีจึงมีไม่น้อยที่   “แตกหักเสียหาย” ปัจจุบันพระสมเด็จวัดระฆังที่สร้างโดยสมเด็จโต “องค์ที่สภาพดีสมบูรณ์” จึงมีให้เห็นไม่มากนักประกอบกับเป็นที่ต้องการของ “นักสะสม” จึงทำให้มีราคาที่ “แพงขึ้นและแพงขึ้น” ถึงกระนั้นแม้จะแพงแสนแพงและมีราคานับ “สิบ ๆ ล้าน” ผู้ที่มี “อันจะกิน” ก็ยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อนำมาครอบครองด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการสร้าง “ของปลอม” ออกมา “มากที่สุด” และ “หลายฝีมือ” ชนิดนักสะสมรุ่นเก่าระบุว่าเป็นพระสมเด็จที่มีการสร้างปลอมออกมา “มากที่สุดในโลก”
     
    และจากที่ผู้เขียนเป็น “นักสะสม” ที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้าความเป็นมาและเป็นไปของ    “พระยอดนิยม” ทุกตระกูลโดยเฉพาะ “พระสมเด็จวัดระฆัง” จึงทราบดีถึงความเป็นมาและเป็นไปอีกทั้งมีเพื่อนพ้องที่เป็น “นักสะสม” ทั้งอาชีพและสมัครเล่นหลายสิบคนนำพระสมเด็จวัดระฆังมาให้ตรวจสอบอยู่เสมอซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น “ของปลอม” แทบทั้งหมดจะมี “ของแท้” อยู่บ้างก็น้อยมากชนิดเรียกได้ว่าใน “หนึ่งพันองค์” จะมีของแท้อยู่แค่    “องค์เดียว” เท่านั้นแต่ก็มีเรื่องเล่าที่เพื่อนผู้หนึ่งถ่ายทอดมาให้ฟังว่า “มีอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และมีฐานะขั้นเศรษฐีผู้หนึ่งเป็นผู้ที่ชื่นชอบ “พระสมเด็จวัดระฆัง” มากจึงใช้เวลาเสาะหาพระสมเด็จที่ชื่นชอบตามสนามพระบ้าง และตามบ้านที่มีคนมาส่งข่าวว่ามีสมเด็จวัดระฆัง พร้อมทำการเช่าทุกองค์ที่เห็นมีความเก่าเข้าตาตัวเองส่วนจะ “แท้หรือเก๊” ไม่สนใจหากชอบเป็นเช่าไว้ทันทีหมดเงินหมดทองไปก็มากจึงได้พระสมเด็จมากว่าร้อยองค์เลยทีเดียว ต่อมาหลังจากสะสมไว้นับร้อย ๆ องค์แล้ววันดีคืนดีก็เชิญ “เซียนพระ” ที่รู้จักกันดีและมีความรู้เรื่องพระสมเด็จดีมาช่วยตรวจสอบว่าที่เช่าไว้ทั้งหมดมี “ของแท้” สักกี่องค์ปรากฏว่าในจำนวนพระสมเด็จที่เช่าไว้แบบเหวี่ยงแหนั้นมี “แท้” อยู่องค์เดียวนอกนั้นเป็น  “ของปลอม” ทั้งสิ้นจึงนับว่าอดีตข้าราชการผู้นี้ยัง    “โชคดี” ที่ได้ครอบครองของแท้ที่แม้จะแค่องค์เดียวก็ทำให้คุ้มกับที่ไปเดินเสาะหา ท่านอดีตข้าราชการผู้นี้จึงรู้ชัดว่าการปลอมแปลงพระสมเด็จวัดระฆัง “มีมานานแล้ว” แต่บางคน (ที่อวดรู้ดี) กลับบอกว่ามีการปลอมแปลงตั้งแต่สมัยที่ “สมเด็จโต” ท่านยังมีชีวิตอยู่โน่นเลยซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนขอแจงว่าเป็นเรื่องของ “คนอวดรู้” เท่านั้นเพราะในความเป็นจริง “เป็นไปไม่ได้” เนื่องจากสมัยที่ “สมเด็จโต” ยังมีชีวิตอยู่ “การซื้อขาย” พระเครื่อง “ยังไม่มี” อีกทั้งท่านสร้างพระสมเด็จขึ้นมาก็เพื่อ “แจกฟรี” ไม่ได้สร้างมาเพื่อ     “จำหน่าย” เหมือนยุคปัจจุบันกระทั่งหลังจากท่าน   ละสังขารแล้วต่อมาพระสมเด็จของท่านได้สร้าง         “ปรากฏการณ์” ให้คนรุ่นหลังได้ประจักษ์กับกรณีเกิด “โรคอหิวาตกโรคระบาด” ตามที่ได้กล่าวถึงในฉบับที่แล้ว “พระสมเด็จ” ของท่านจึงเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วไปและมีการเสาะแสวงหาที่ต้องมีการใช้เงินแลกเปลี่ยนจึงจะได้มาครอบครอง
     
    แต่ที่มี “ผู้รู้” บางท่านบอกว่าการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังปลอม “มีมานานแล้ว” อันนี้ผู้เขียนก็พออนุโลมได้เพราะสินค้าทุกชนิดหากมีการ “ซื้อง่ายขายคล่อง” ก็จะมีการสร้าง “ของปลอม” เพื่อมาร่วมวงการซื้อขายด้วยดังนั้นผู้เขียนจึงพอสรุปได้ว่า “พระสมเด็จปลอม” ที่สร้างปลอมอย่างจริงจังก็ประมาณหลังจาก “สมเด็จโต” ท่านละสังขารไปแล้วนั่นละเนื่องจากช่วงนั้น “พระเครื่อง” เริ่มเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วไปอีกทั้งในช่วงที่เกิดสงครามบรรดา “ทหาร” ที่ต้องออกรบต่างเสาะหาของดีมาคุ้มครองทั้งนั้น  และเมื่อ “รอดตาย” หรือปลอดภัยจากสงคราม  จึงเชื่อว่า “พระเครื่อง” ที่แขวนอยู่ในคอช่วยคุ้มครองตั้งแต่นั้นมาพระเครื่องจึงเริ่มมี “ราคาซื้อขาย” กันมากขึ้นเป็นลำดับและเมื่อมีการซื้อขายกันจึงมีการสร้าง “ของปลอม” ออกมาขายด้วยเพราะ “ได้เงินง่าย” บาปบุญคุณโทษเป็นอย่างไรมองไม่เห็น อย่างเช่น “พระกริ่งปวเรศปี ๓๐” ที่ราคาวิ่งทะลุเพราะนักสะสมนิยม มากก็มีนักสร้างของปลอมสร้างออกมาขายทันทีรวมทั้ง “จตุคามรามเทพ” ช่วงที่กระแสเริ่มแรงนอกจากบรรดากลุ่ม “นายทุน” รวมทั้งนักสร้างพระอาชีพและสมัครเล่นต่างเฮโลหันมาสร้างกันร่วม “พันรุ่น” แล้วยังมีนักสร้าง “ของปลอม” สร้างออกมาผสมโรงแบบทันทีทันควันเช่นกัน
           
    โดยเฉพาะ “พระสมเด็จวัดระฆัง” นอกจากมีการปลอมแปลงแบบ “ธรรมดา ๆ” แล้วยังมีการปลอมแปลงที่เรียกว่า “อุปโลกน์” คือบรรดา “พระสมเด็จที่มีการฝังเพชรฝังพลอย, พระสมเด็จที่มีก้างปลา (ปลาทู) ฝังไว้ที่ด้านหลัง, พระสมเด็จแจวเรือจ้าง, พระสมเด็จที่มีพระบรมรูปรัชกาลที่ห้าอยู่ด้านหลังและมีเพชรมีพลอย” รวมทั้ง “พระรูปเหมือนสมเด็จโตที่มีพระสมเด็จแปะตามลำตัว” แถมมีการเล่านิยาย (น้ำเน่า) ประกอบการหลอกขายแก่ผู้ที่ “มีสมองเป็นคนแต่กลับชอบให้คนด้วยกันจูงจมูกไปกินหญ้า” ว่าเป็น “สมเด็จพิมพ์พิเศษ” ที่สมเด็จโตสร้าง  ถวายแก่ “เจ้าคนนายคน” เพื่อแจกแก่ “ข้าราชบริพาร” ดังนั้นพระสมเด็จ “พิมพ์พิเศษ” นี้จึงเป็นพิมพ์ที่ “พิเศษจริง ๆ” คือชาวบ้านทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ “ไม่มีโอกาสพบเห็น” นั่นเองนี่ละที่เรียกว่าเป็นการปลอมพระสมเด็จแบบ      “อุปโลกน์” แต่ขอโทษที “ยังมีคนเชื่อ” ซะด้วยซี
     
  15. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    “พระสมเด็จวัดระฆัง” ปฐมบทแห่งพระเก๊ ตอนที่ 4/10



    บทความที่ 4
    ด้วยเหตุนี้ “พระสมเด็จฝังเพชรฝังพลอย” รวมทั้ง “พระสมเด็จก้างปลา, พระสมเด็จแจวเรือจ้าง, พระสมเด็จหลังพระบรมรูปเหมือนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕”   จึงเป็นการปลอมแบบ “อุปโลกน์” ขึ้นมาว่าเป็นท่านเจ้าประคุณ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺม  รังสี)” สร้างขึ้นในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านซึ่งเรื่องนี้หาก “ท่านผู้อ่าน” พิจารณาให้ดีแล้วจะพบ “ข้อเท็จจริง” ตรงที่ว่าท่านเจ้าประคุณ “สมเด็จพระ   พุฒาจารย์ (โต)” หากจะทำการสร้าง “พระสมเด็จ” ท่านจะสร้างด้วย “ปูนเปลือกหอย” ผสมกับ “น้ำมันตังอิ้ว” และ “ผงพุทธคุณ” ที่ท่านจัดทำขึ้นเองผสมกับ “ผงพระกรุ” ยุคเก่า ๆ เท่านั้นอย่างเช่น   “พระซุ้มกอกำแพงเพชร” เป็นต้น
        
    ดังนั้นเรื่องของ “พระสมเด็จวัดระฆัง” พิมพ์ประหลาด ๆ เหล่านี้หากเป็นบรรดา “เซียนใหญ่, เซียนมือฉมัง” ที่มีความชำนาญแล้วต่างทราบดีว่าเป็นการปลอมพระแบบ “อุปโลกน์” จึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงซึ่งผิดกับบรรดา “เซียนหน้าใหม่” หรือ “นักสะสมหน้าใหม่” ที่ใฝ่ฝันอยากจะได้ “พระสมเด็จวัดระฆัง” มาครอบครองนี่สิ “น่าเป็นห่วงมาก” เพราะพวกเขาเหล่านี้มักจะหลงเชื่อใน        “นิยายน้ำเน่า” ที่บรรดา “นักขายของเก๊” นำมาเล่าเรื่องยาวประกอบการขายเพราะมีอุทาหรณ์มากมายให้เห็นกันมาแล้ว อย่างเช่นสมัยที่ผู้เขียนยังเรียนหนังสืออยู่ต่างจังหวัดได้เห็น “อาเสี่ย” ผู้หนึ่งแขวน “พระสมเด็จวัดระฆัง” รุ่นที่มีการ “ฝังเพชรฝังพลอย” พร้อม “ตลับทอง” กับสร้อยคอทองคำ   “เส้นโตเท่าโซ่รถไฟ” โชว์อวดโก้หรูโดยเฉพาะในเวลาที่มีงาน “เทศกาล” รวมทั้ง “งานแต่งงาน” หรือ “งานบุญ” ต่าง ๆ ก็ยิ่งมักจะแขวนโชว์ออกนอกเสื้อให้คนเห็นว่าเป็นผู้มี “พระสมเด็จ” เนื่องจากมีการเล่าขานเลื่องลือไปทั่วว่า “พระสมเด็จวัดระฆังฝังเพชรฝังพลอย” ของอาเสี่ยผู้นี้ “หายากมาก” และประเมินค่าไม่ได้อีกด้วยเพราะเป็น “พิมพ์พิเศษ” ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โตสร้างถวาย “ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕” จึงเป็นพระที่มีเฉพาะ “ในรั้วในวัง” เท่านั้นดังนั้น “คนภายนอก” จึงยากที่จะได้เห็น
         
    ซึ่งครั้งนั้นผู้เขียนยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมแต่ก็สนใจ “พระเครื่อง” อีกทั้งความรู้เรื่องพระเครื่องในช่วงนั้นก็มีแค่ “งู ๆ ปลา ๆ” เลยมีความเชื่อว่าเป็น   “เช่นนั้นจริง” จึงทำการจดจำไว้แบบติดหูติดตามาตลอดเพราะได้ยินได้ฟังทั้งจากคำบอกเล่าและคำร่ำลือถึงสรรพคุณของพระสมเด็จวัดระฆัง “พิมพ์พิเศษ” จึงทำการศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำราหนังสือพระเครื่องเล่มเก่า ๆ หลายเล่มแต่ก็ไม่เห็นมีข้อมูลของ “พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์พิเศษ” ที่ว่านี้เลยจึงได้แต่เก็บเอาความข้องใจและกังขาไว้เสมอมากระทั่งมีโอกาสได้เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯจึงอาศัยเวลาหลังเลิกเรียนทำการศึกษาพระเครื่องอย่างจริงจังโดยเฉพาะที่สนามพระ “ท่าพระจันทร์” เพราะอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนเป็นนักศึกษา อีกทั้งที่สนามพระท่าพระจันทร์จัดเป็น “สนามพระ” ที่มีมาตรฐานบรรดา “เซียนใหญ่” ในยุค ๒๐ ปีที่แล้วมักจะไปรวมตัวเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายกันที่นั่นเป็นประจำที่นี่เองผู้เขียนจึงได้ “หูตาสว่าง” และได้คำตอบที่ไม่ต้องไปหาจากที่ใดอีกคือที่ “สนามพระท่าพระจันทร์” แห่งนี้ได้พบเห็น     “พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์พิเศษ” ดังกล่าววางขายตามแผงริมฟุตปาธสนามพระท่าพระจันทร์หลายต่อหลายแผงจึงทำการสอบถามจากบรรดา “เซียนใหญ่” ระดับปรมาจารย์วงการพระที่สะสมพร้อมแลกเปลี่ยนซื้อขายเฉพาะ “พระแท้” ก็ได้คำตอบว่านั่นคือ “ของเก๊” ที่มีคนทำขึ้นมาขายในราคาไม่แพงมากส่วนเหตุที่มีคนนำไปหลอกขายกันได้ง่าย ๆ ก็เป็นเพราะ “พระสมเด็จวัดระฆัง” ที่เป็น “ของแท้” มีสนนราคาที่สูงเป็น “หลักล้านบาท” จึงเข้าทางพวกนักสร้างพระเก๊โดยทำการ “อุปโลกน์” พระเก๊ให้เป็นพระแท้ดังเช่น “พระสมเด็จต่าง ๆ” ที่เอ่ยมาข้างต้น
        
    ฉะนั้นจึงขอบอกผู้ที่กำลังสนใจศึกษาเรื่อง “พระสมเด็จแท้เก๊” เป็นอย่างไรนั้นในความเป็นจริงแล้วมีหลักพิจารณาที่ง่ายมากคือการเปรียบเทียบ “ข้อเท็จจริง” ทางประวัติศาสตร์โดยหยิบยกเอา     “ช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต” ช่วงนั้นเป็นช่วงต้นรัชสมัยของ     “รัชกาลที่ ๕” ที่ พระองค์ยังทรงเป็น    “พระยุวกษัตริย์” แล้วท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตจะสร้าง      “พระสมเด็จหลังพระบรมรูปรูปเหมือนรัชกาลที่ ๕” ที่พระพักตร์ทรงไว้   “พระมัสสุ” (หนวด) ได้อย่างไรนี่คือ “ความเป็นจริง” ดังนั้นที่มีการสร้างออกมาจึงล้วนแต่เป็น      “ของเก๊” โดยบรรดา “นักปลอมพระ” จะทำการถอดพิมพ์ด้วยการอาศัย “เหรียญพระบรมรูปรูปเหมือนรัชกาลที่ ๕” ที่ผลิตจากต่างประเทศใน  “ช่วงกลาง” ของรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ (ทรงไว้พระมัสสุ) จึงขอให้คุณผู้อ่านตรองให้ถี่ถ้วนก็จะทราบดีว่า “พระบรมฉายาลักษณ์” ที่ทรงไว้พระมัสสุนั้นเป็นช่วงที่เจ้าประคุณ “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต” ถึงแก่มรณภาพแล้วข้อนี้จึงเป็น “พิรุธประการสำคัญ” ของนักอุปโลกน์พระสมเด็จวัดระฆังที่เป็น “ของปลอม” ให้เป็น “ของแท้” ได้อย่างดี
        
    จากที่กล่าวมาเป็นเพียง “ส่วนหนึ่ง” ของขบวนการสร้าง “พระสมเด็จวัดระฆังปลอม” ที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวไว้แล้วในตอนก่อน ๆ ว่า “พระสมเด็จวัดระฆังเป็นพระเครื่องที่มีการปลอมออกมาขายกันมากที่สุดในโลก” ก็เนื่องจากเหตุ “พระสมเด็จวัดระฆัง” มีค่านิยมสูงที่สุดจนได้รับการขนานนามว่า “จักรพรรดิพระเครื่อง” ประกอบกับมีราคาเช่าหากันด้วยราคา “หลักล้าน” อีกทั้งในบรรดานักสะสมทั่วไปต่างเชื่อกันว่าใครมี (ของแท้) อยู่ในครอบครองถือว่าเป็นผู้มี “วาสนา” อีกด้วย.
     
  16. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    “พระสมเด็จวัดระฆัง” ปฐมบทแห่งพระเก๊ ตอนที่ 5/10



    บทความที่ 5
    นับตั้งแต่ “พระสมเด็จวัดระฆัง” ได้รับความนิยมอย่างสูงจึงส่งผลให้เป็น “พระเครื่อง” ที่มีราคา “แพงที่สุด” ในบรรดา “พระเครื่องไทย” จึงทำให้ “นักสะสม” ทำการเสาะแสวงหาเพราะคิดว่าอาจจะฟลุกได้ “ของดี” ที่ราคาถูกกับเขาบ้างทั้งที่ต่างก็ทราบกันดีแล้วว่า “สุดหายาก” แต่ก็ยังมีการ “ตั้งความหวัง” กันไว้ ทั้งนี้เนื่องจาก “ตัว อย่าง” เคยมีมาแล้วคือ “ได้ของฟลุก” จากการที่เด็ก (ติดยา) ขโมยของพ่อมาขายหรือ “รับซื้อของโจร” ที่ไปโจรกรรมกันมา แต่บังเอิญ “โจร” เป็นผู้ไม่รู้ “คุณค่า” จึงนำไปขายในราคาถูกไม่กี่ร้อยไม่กี่พันตามประสา “ของร้อน” ดังนั้นหากได้มา      “แบบฟลุก” ตามที่กล่าวมานี้ก็หมายถึงจะเป็นผู้มีรายได้นับ “ล้าน ๆ” แบบง่าย ๆ นั่นเอง ผู้เขียนจึงถือว่านี่ก็คือ “เสน่ห์” อีกประการของ “พระสมเด็จวัดระฆัง” ดังนั้นไม่ว่า “เซียนระดับไหน” ทั้งเก่าและใหม่จึงพยายามเสาะหาจนถึงขั้นมีการ “ว่าจ้างโจร” ไปทำการ “ขโมย” หรือหากขโมยยากก็ทำการ “ปล้นจี้” เพื่อชิงเอา “พระสมเด็จวัดระฆัง” ก็เคยมีปรากฏมาแล้ว “มากราย” ด้วยกัน
     
    ในตอนที่แล้วได้หยิบยกเรื่องการปลอมพระสมเด็จวัดระฆังแบบ “อุปโลกน์” ซึ่งจัดว่าได้ผลใน “ระดับหนึ่ง” ของขบวนการ “นักต้มตุ๋น” เพราะสามารถใช้เล่ห์เพทุบายรวมทั้ง “ลมปาก” สร้าง “นิยายน้ำเน่า” ให้ผู้คนเชื่อถือได้ซึ่งปัจจุบันเท่าที่ผู้เขียนเจอะเจอมามี “มากราย” ทีเดียวที่เชื่อ “นิยายน้ำเน่า” ที่ขบวนการนักต้มตุ๋นเหล่านี้เสกสรรปั้นแต่งขึ้นเพราะหาเงินได้แบบง่าย ๆ นั่นเอง และเมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้เขียนอ่านเจอ “สารคดี” ในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งที่เสนอเรื่องราวการ    “เสวนาเชิงวิชาการ” เกี่ยวกับ “พระสมเด็จวัดระฆังเก๊” แบบ “อุปโลกน์” โดย “นักวิชาการชื่อดัง” ผู้หนึ่งทำการตั้งธงชื่อเรื่องการเสวนาว่า     “เพื่อค้นหาความจริง” เกี่ยวกับยอดพระราคาแพงนี้ แต่ปรากฏว่า “นักวิชาการ” ท่านนี้กลับทำในสิ่งที่ “ไม่ถูกต้องนัก” คือหากทำการเสวนาผลงานทางด้าน “วิชาการ” ด้วย “พระสมเด็จวัดระฆัง” ที่เป็น “ของแท้” แล้วผู้เขียนก็จะขอ “อนุ โมทนาสาธุ” ด้วยเพราะถือเป็นการให้ “ความรู้” แก่ผู้คน แต่ปรากฏว่านักวิชาการท่านนี้กลับใช้ “พระสมเด็จเก๊” มาทำการเสวนาเชิงวิชาการ (ที่ฟังแล้วดูดีน่าเชื่อถือกว่าบรรดาเซียนใหญ่ที่สังคมบางส่วนต่อต้านว่าขายพระกิน) ซึ่งจะด้วย “เจตนา” อันใดนั้นไม่อาจทราบ แต่ที่ผู้เขียนสนใจก็คือ “เป็นห่วง” อนาคตของการสะสม “พระสมเด็จวัดระฆัง”    มาก เพราะหาก “นักวิชาการ” ที่มีดีกรีเป็นถึง       “อาจารย์” ใน “มหาวิทยาลัย” มาทำการเสวนาเชิงวิชาการด้วย “พระสมเด็จวัดระฆังเก๊” แต่ระบุว่า “แท้” นั้นมันน่าเป็นห่วง “นักสะสมรุ่นใหม่” คือในอนาคตพวกเขาเหล่านี้จะสะสม “พระสมเด็จวัดระฆัง” กันอย่างไร จึงขอฝาก “สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย” ผ่านตรงนี้ด้วย อย่าให้มีการ    “เบี่ยงเบน” พระเก๊ให้เป็น “พระแท้” กันเลยเพราะผู้ที่จะรับกรรมก็คือ “ลูกหลาน” ของเรานั่นเอง
     
    บรรทัดนี้นอกเรื่องไปถึง “จตุคามรามเทพ” กันสักนิดเพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจกัน เพราะ  “วัตถุมงคลไทย” ไม่ว่าจะเป็น “พระกรุพระเกจิ” หากได้รับความนิยมแล้วก็จะมีการ “ปลอม” ออกมาหลอกขายกัน “ทุกยุคทุกสมัย” แม้กระทั่ง “จตุคามฯ” ที่แม้จะเป็น “วัตถุมงคลใหม่” แต่พอได้รับความนิยมอย่างมากนอกจากทำการสร้างออกมามากมายเป็น “ประวัติการณ์” ของการสร้างวัตถุมงคลแล้วยังมีการ “ปลอม” มากอีกด้วย โดยเฉพาะ “จตุคามฯ” รุ่นดัง ๆ ที่ล่าสุด “นักปลอมพระ” จะนำ     “ของปลอม” ที่ยังมีเหลืออีกมากเพราะ “ขายไม่ออก” เนื่องจาก “คนรู้ทัน” กันแล้วไปทำการ “ศัลยกรรมใหม่” โดยวิธี “ปัดทอง” จากนั้นใช้ “สารเคมี” ทำผิวพระรวมทั้งผิวปัดทองให้ดู “เก่าขึ้น” เหมือนกับวัตถุมงคลมีอายุที่ดูแล้วมีลักษณะคล้ายกับมี “คราบ กรุจับ” บนผิววัตถุมงคล รวมทั้งผิวการปัดทองซึ่ง     ก็สามารถ “ตบตา” ผู้คนทั่วไปได้ แต่หากเป็น      “เซียนพระ” แล้วพอใช้กล้องส่องพระก็จะดูออก จึงขอให้ “ท่านผู้อ่าน” พิจารณาให้ดีจะได้ “ไม่เสียเปรียบ” ต่อการสะสม
           
    อีกวัตถุมงคลที่ “ของปลอม” มีระบาดมากและนาน มาแล้วอีกด้วยก็คือ     “พระสมเด็จจิตร ลดา” หากท่านผู้อ่านเคยไปเดินดูวัตถุมงคลที่สนามพระ “ท่าพระจันทร์” (ตรงบริเวณทางเดินเท้าเข้าสนาม) นอกจากจะได้เห็น    “พระเก๊” วางขายกันเกลื่อนปะปนกับ      “พระแท้” ที่เป็นพระใหม่ (รวมทั้งจตุคามรามเทพ) แล้วจะเห็นมี        “กล่องพระกำมะหยี่” สีเลือดหมูเก่า ๆ ซีด ๆ และ “บนกล่องพระ” จะมี “พญาครุฑชุบทอง ซีด ๆ” (เหมือนของเก่า) ถ้าหยิบขึ้นมาเปิดดูก็จะมี “พระสมเด็จจิตรลดา” อยู่ภายในและเป็นพระที่มีอายุทีเดียววางขายกันเกลื่อนเช่นกัน ซึ่งนั่นก็คือ    “พระสมเด็จจิตรลดาเก๊” ที่พวกไม่กลัวบาปสร้างออกมาหลอกขายแก่ “ผู้ไม่รู้” เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วการ “พระราชทาน” พระสมเด็จจิตรลดาของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นั้นเป็น  ที่ทราบกันดีในหมู่ผู้ที่ได้รับพระราชทานว่า “พระ องค์” จะพระราชทานแก่บุคคลที่ทรงมีพระราชวินิจฉัยแล้วว่า “สมควรพระราชทาน” เท่านั้นและจะพระราชทานเป็นการ “ส่วนพระองค์” โดยไม่มีพิธีเป็นทางการแต่อย่างใด อีกทั้งจะ “พระราชทาน” เฉพาะ “องค์พระ” ที่ไม่ได้ห่อหุ้มหรือบรรจุไว้ในกล่องเช่นกัน ดังนั้นหากพบเห็น “พระสมเด็จจิตรลดา” บรรจุไว้ภายในกล่องกำมะหยี่ดังกล่าวข้างต้นแล้วอย่า “ข้องแวะ” เด็ดขาดเพราะของมี “คุณค่า” จะไม่มีผู้ใดนำมาวางขายเกลื่อนแบบนี้แน่นอน “เราเตือนแล้ว” อย่า   แชเชือนจะได้ไม่ “เสียเปรียบใคร”.
     
  17. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    สมเด็จเกศไชโย ๗ ชั้น แข้งหมอน

    สมเด็จเกศไชโย ๗ ชั้น แข้งหมอน

    [​IMG]
     
  18. โอ๋สะพาน

    โอ๋สะพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    2,494
    ค่าพลัง:
    +3,973
    คนเสียสละแบบนี้หายากครับ ชื่นชมจากใจจริง :cool::cool::cool:
     
  19. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    “พระสมเด็จวัดระฆัง” ปฐมบทแห่งพระเก๊ ตอนที่ 6/10


    บทความที 6
    เหตุที่ “พระสมเด็จวัดระฆัง” ถูกยกย่องให้เป็น “จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง” เพราะนอกจากเป็น “ยอดพระเครื่อง” ที่ได้รับความนิยมสูงสุดแล้วยังเป็นพระเครื่องที่ “นิยมกันมาช้านาน” นับร้อยปีด้วยเหตุนี้กระบวนการผลิต “พระสมเด็จวัดระฆังปลอม” จึงมีการผลิตออกมาช้านานเช่นกันและในตอนที่แล้วผู้เขียนได้นำเสนอการผลิตพระสมเด็จวัดระฆังปลอมแบบ “อุปโลกน์” ที่มีทั้ง “พิมพ์แจวเรือจ้าง, พิมพ์หลังก้างปลา, พิมพ์หลังพระบรมรูปรัชกาลที่ ๕, พิมพ์ฝังเพชรฝังพลอย” ซึ่งล้วน
    แต่เป็นกลเม็ดเด็ดพรายของการทำมาหากินของบรรดา “นักต้มตุ๋น” ที่ “สิ้นคิด” เพราะยอมให้คำว่า “มิจฉาชีพ” เข้ามาสิงสู่อยู่ในตัวเอง
     
    นอกจากนี้ในสมัยก่อนยังมีเรื่องเล่ากันว่า “การปลอมพระสมเด็จวัดระฆัง” มีการลงทุนกันถึงขั้นนำ “ชิ้นส่วน” ของ “พระสมเด็จวัดระฆังแท้” มา “บดเป็นผง” จากนั้นนำไปโรยเคลือบผิวของ
    “พระสมเด็จวัดระฆังปลอม” ที่พวกมันผลิตขึ้นมาเพื่อเวลาใช้กล้องส่องพระแล้วจะเห็นว่า “ผิวพระสมเด็จวัดระฆังปลอม” องค์นี้ผิวเป็น “เนื้อแท้” ซึ่งการปลอมด้วยวิธีนี้ก็สามารถตบตาคนได้ระดับหนึ่งโดยเฉพาะ “นักสะสมหน้าใหม่” ที่เอาแต่เชื่อ “เขาเล่าว่า” แต่หากเป็น “นักสะสมมือเก่า” แล้วฝีมือการปลอมแบบนี้บอกได้ว่า “ยังห่างไกล” และการลงทุนปลอมแบบนี้ในช่วงหลัง ๆ ก็ต้อง “ยุติ” ไปโดยปริยายเพราะการจะหา “ชิ้นส่วน” ของ “พระสมเด็จวัดระฆังแท้” มาบดเป็นผงในยุคนี้นั้น “หายากแล้ว” หรือหากมีราคาก็สูงเกินกว่าพวก “นักปลอมพระ” จะซื้อหามาลงทุนได้จึงเลิกราไปโดยปริยาย
     
    ส่วนขบวนการ “ปลอมพระสมเด็จฯ” ที่นับได้ว่าเป็นการปลอมแบบ “เป็นล่ำเป็นสัน” ก็เคยมีเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๘-๒๕๒๙ ด้วยการ “สร้างข่าว” ถึงเรื่องราวของ “พระสมเด็จ” ที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณ “สมเด็จพระ  พุฒาจารย์ (โต วัดระฆัง)” โดยขบวนการสร้างข่าวได้ระบุว่ามีการนำไปบรรจุกรุ “ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง” ตามแต่จะหา “วัด” หรือ “กรุ” ที่เหมาะ ๆ มาหลอกลวงกันโดยกรุที่มีการประโคมโหมข่าวจน “โด่งดัง” มากที่สุดในยุคนั้นก็คือพระสมเด็จ “กรุถ้ำสิงโตทอง” เพราะนอกจากทำการสร้างข่าวแล้วยังมีการนำ
    มาโฆษณาขายใน “นิตยสารพระเครื่อง” หลาย ๆ ฉบับ แถมขายในราคา “องค์ละเป็นพันบาท” อีกด้วยสร้าง “ความร่ำรวย” ให้กับผู้นำมาขายตาม ๆ กันแต่สุดท้ายเมื่อมีการ “พิสูจน์ความจริง” ก็พบว่า “พระสมเด็จกรุนี้” ที่อ้างว่าสร้างโดย “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต วัดระฆัง)” ที่แท้ก็คือ “พระปลอม” ที่
    ผู้สร้างนำมายัดเยียดว่าเป็น “ของเก่า” แถมยังมีการพยายามให้ “งานประกวดพระเครื่อง” บรรจุเข้าไปมีส่วนใน “รายการประกวด” กับเขาด้วยแต่ได้รับการ
    “ปฏิเสธ” จาก “ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทย” ที่มีนักสะสมอาวุโส “มนัสชัย เจริญพลนภาชัย” หรือ “ช่าง สะพานพุทธ” เป็นประธานชมรมฯ และเป็นผู้ที่รัก
    “ความจริงพร้อมความถูกต้อง” อีกท่านหนึ่งในวงการ (ช่วงนั้นสมาคมผู้นิยมพระเครื่องและพระบูชาไทยยังไม่ได้จัดตั้ง) จึงไม่ยอมให้มีการบรรจุ “พระสมเด็จฯกรุถ้ำสิงโตทอง” เข้าไว้ในรายการประกวด “ทุกงาน” ผลที่ตามมาก็คือ “พระสมเด็จกรุนี้” ได้ถูกลบออกไปจากวงการตั้งแต่บัดนั้น
     
    “ผู้เขียน” จึงขอคารวะดวงวิญญาณของนักสะสมอาวุโส “ช่าง สะพานพุทธ” (เสียชีวิตด้วยโรคชรา) ที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับ “ขบวนการพระเก๊” เพราะท่านคือผู้จรรโลงพระเครื่องไทยโดยแท้จริงและก่อนหน้านั้นซึ่งอยู่ในช่วงที่มีการ บูรณปฏิสังขรณ์ “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม”หรือ “วัดพระแก้ว” และ “พระบรมมหาราชวัง” และเป็นช่วงที่บรรดา “นายช่างสิบหมู่” จาก“กรมศิลปากร” กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้นและหามรุ่งหามค่ำเพื่อบูรณะซ่อมแซม “วัดคู่บ้านคู่เมือง” อันสำคัญของประเทศไทยให้ทันกับงาน“ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์” ที่จะเวียนมาบรรจบครบ “๒๐๐ ปี” ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ก็มี “ขบวนการปลอมพระสมเด็จ” ได้ทำการผลิต “พระสมเด็จปลอม” ออกมาอีกแถมผลิตออกมามากมายหลายพิมพ์นับตั้งแต่ “พิมพ์มาตรฐาน” และ “ไม่มาตรฐาน” ไปจนถึง “พิมพ์รูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์โต” จากนั้นเริ่มทำการ “ปล่อยข่าว” แบบเงียบ ๆ ค่อยเป็นค่อยไปว่ามีการพบ “พระสมเด็จ” บน “เพดานพระอุโบสถวัดพระแก้วมรกต” จึงเรียกว่า “พระสมเด็จกรุวัดพระแก้ว” ที่จัดสร้างโดย “สมเด็จโต” เพื่อถวาย “รัชกาลที่ ๕” โดยเฉพาะ
     
    ปรากฏว่ามี “คนปัญญาเบา” หลงเชื่อเพราะได้รับ “ความร่วมมือ” จากสื่อพระเครื่องที่เป็นนิตยสาร “แนวลวงโลก” ช่วยประโคมโหมข่าวด้วยการเสนอเรื่องราวและ “ประวัติความเป็นมา” อย่างยืดยาวพร้อมเล่าเรื่อง “อภินิหาร” ที่ “กุขึ้นเอง” แบบพิสดารพันลึกยิ่งกว่านวนิยาย “ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า” เสียอีกนอกจากนั้นยังมีการ “จำแนกพิมพ์” และ “เนื้อหา” ออกไปมากมายแล้วจบลงด้วยการทำการ “โฆษณาขาย” ในราคาสูงทีเดียวคือ “องค์เป็นหมื่น” อีกต่างหากและ “ขายได้” ซะด้วยเพราะมีคนหลงเชื่อนับร้อยรายเช่นกันนอกจากนี้ “ขบวนการปลอมพระสมเด็จรุ่นนี้” ยังมีความพยายามที่จะ “บรรจุ” เข้ารายการประกวดพระเครื่องเหมือน “กรุถ้ำสิงโตทอง” เช่นกัน แต่ก็ได้ท่าน“อดีตประธานชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทย” ผู้ล่วงลับไปแล้ว “ช่าง สะพานพุทธ” สกัดกั้น “ไม่เล่นด้วย” ก็เลย “หมดราคาไป” แต่กระนั้นก็ยังมี “นักสะสมหน้าใหม่” ที่เพิ่งเข้าวงการถูกปั่นหัวอยู่เนือง ๆ “ผู้เขียน” จึงขอย้ำผ่านตรงนี้อีกหน “เราเตือนท่านแล้ว” กรุณาเชื่อสักนิด “ไม่ผิดหวังชัวร์”.
     
  20. captainzire

    captainzire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,551
    ค่าพลัง:
    +2,822
    “พระสมเด็จวัดระฆัง” ปฐมบทแห่งพระเก๊ ตอนที่ 7/10


    บทความที่ 7
    (ต่อจากฉบับที่แล้ว) ในฉบับที่แล้วได้ทิ้งท้ายไว้ด้วยเรื่องการปลอม “พระสมเด็จกรุวัดพระแก้วมรกต” เกิดขึ้นในช่วงที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์ “วัดพระแก้วมรกต” ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒๔ โดยพบขณะที่ทำการบูรณะ “หลังคาพระอุโบสถวัดพระแก้วมรกต” จึงเรียกกันว่า “พระสมเด็จกรุวัดพระแก้วมรกต” ซึ่งตามที่ผู้เขียนสาธยายมาก็ล้วนแต่เป็น       “ข้อมูล” ที่บรรดา “นักปลอมพระ” กุข่าวขึ้นมาทั้งสิ้นด้วยการแต่ง “นิยาย” เป็นการประกอบการขายเพื่อให้ “เหยื่อ” หลงเชื่อซึ่งก็ถือว่า “ได้ผล” ในระดับหนึ่งเพราะมี “คนหลงเชื่อ” มากมายทีเดียวเนื่องจาก “แก๊งปลอมพระ” แก๊งนี้มันเล่นเล่านิยายจนเลยเถิดโดยบังอาจแอบอ้าง “เบื้องสูง” เพื่อให้การหลอกขาย “ของปลอม” ที่พวกมันสร้างขึ้นดู “สมจริงสมจัง” มากขึ้น
           
    ทั้งนี้ก็เพราะการปลอมพระ “สมเด็จกรุ    วัดพระแก้วมรกต” ครั้งนี้มีการสร้างออกมาหลากหลายพิมพ์ รวมทั้ง “พระสมเด็จสายรุ้ง” ที่บางพิมพ์ก็มี “๕ สี” และบางพิมพ์ก็มี  “๗ สี” ที่ดูแล้วคล้ายกับ  “พระสมเด็จ” ของ “หลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง” ยังไงยังงั้น นอกจากนี้พวกแก๊งปลอมพระชุดนี้ยังตั้งชื่อ พระสมเด็จสายรุ้งที่ว่านี้เสีย “โก้หรู” คือเรียกขานว่า “พระสมเด็จพิมพ์เบญจรงค์” บ้าง “พระสมเด็จ  สัตตรงค์” บ้าง รวมทั้ง “พระสมเด็จจตุรงค์” และ  “พระสมเด็จไตรรงค์” ไปโน่นเลยโดยอาศัยตรงที่     “พระสมเด็จปลอม” ชุดนี้มีความ “สวยงาม” อีกทั้งเฉดสีก็มี “หลายสี” ในองค์เดียวกันดังกล่าวข้างต้น
     
    ซึ่งหากจะอธิบายให้ชัดก็คือคล้ายกับการเรียก “จตุคามรามเทพ” ที่เป็น “เนื้อก้นครก” นั่นเองซึ่งก็คือ “ที่มา” ของการเรียกชื่อเหมือนกันแต่    “ขอโทษ” แม้จะพยายามผลักดัน “ของปลอม” ให้เป็น “ของแท้” เช่นไร แต่ก็ผลักดัน “ไม่ได้” เพราะของปลอมก็คือ “ของปลอม” วันยังค่ำ นอกจากนี้แล้ว “พระสมเด็จปลอม” ชุดนี้ยังมี “พิรุธ” ให้จับได้อีกหลายประการ เช่นนอกจากปลอมพระสมเด็จ       “พิมพ์มาตรฐาน” ทั้งของ “วัดระฆัง” และ “บางขุนพรหม” แล้วยังปลอมพิมพ์ “รูปเหมือนสมเด็จโตรุ่น ๑๐๐ ปี” ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ พร้อมทั้งรุ่น “๑๐๘ ปี” ที่สร้างเมื่อปี ๒๕๒๓ และ ๒๕๓๓ แค่นั้นไม่พอยังทำการปลอมพิมพ์ “รูปเหมือนหลวงปู่เทพโลกอุดร” ออกมาอีกด้วย เพราะแก๊งปลอมพระชุดนี้     “มองการณ์ไกล” ว่าสามารถ “ทำเงิน” ให้พวกมันได้  “อิ่มหมีพีมัน” ได้แน่นอนนั่นเอง
     
    ทั้งหมดที่บรรยายมานี้คือ “พิรุธ” ที่ทำให้นักสะสมพระอาชีพ “จับได้” และ “ไล่ทัน” เพราะการสร้าง “พระสมเด็จปลอม” ชุดนี้แล้วทำการสร้างข่าวแบบอ้างอิงว่าเป็น “พระสมเด็จกรุวัดพระแก้วมรกต” และเป็นพระสมเด็จที่ “สมเด็จ (โต วัดระฆัง)” สร้างขึ้นมาเพื่อถวาย “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”  ดังนั้น “คนภายนอก” จะไม่มีใครทราบนอกจากพวก     “แก๊งปลอมพระ” เท่านั้นที่ทราบ ซึ่งนั่นก็คืออีก “หนึ่งพิรุธ” ของแก๊งปลอมพระชุดนี้ เพราะใน “ความเป็นจริง” แล้วพระสมเด็จปลอมชุดนี้ทำการสร้างขึ้นเมื่อ ปี ๒๕๒๕-๒๕๓๐ นี้เอง โดยอาศัยช่วงที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์ “วัดพระแก้วมรกต” และ “พระบรมมหา ราชวัง” ระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒๔ มาอ้างอิง   ซึ่งหากท่านผู้อ่าน “อ่านความจริง...อ่านเดลินิวส์” ทราบถึงมูลเหตุแห่งการ “บูรณปฏิสังขรณ์” วัดพระแก้วมรกตแล้วก็จะทราบดีว่า
     
    “ก่อนการฉลองสมโภชพระนครที่ครบ    ทุก ๕๐ ปี ก็จะมีการบูรณปฏิสังขรณ์ “วัดพระแก้วมรกต” และ “พระบรมมหาราชวัง” ก่อนทุกคราวตามประเพณีที่คุณ “ศุทธิวิทย์ กิจไชยพร” นำเรื่องราวเหรียญ “พระแก้วมรกตหลัง ภ.ป.ร.” ที่สร้างเป็น “ที่ระลึก” ในคราวฉลองพระนครครบ “๒๐๐ ปี” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ ตรงเนื้อที่ “มุมนี้มีดีอวด” ประจำฉบับ “ทุกวันอาทิตย์” โดยเนื้อหามีว่า “ก่อนการฉลองพระนครครบ “๕๐ ปี” ในปี พ.ศ. ๒๓๗๕ ของ “รัชกาลที่ ๓” ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา “พระเจ้าน้องยาเธอฯ” เป็นแม่กองคุมงานบูรณะวัดพระแก้วมรกตก่อนการฉลองพระนคร และต่อมาในรัชสมัย “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๕ ก่อนการฉลองพระนครครบ “๑๐๐ ปี” ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาแม่กองเพื่อควบคุมงานบูรณะปฏิสังขรณ์เช่นกัน 
     
    จากตรงนี้เองที่เป็น “จุดสำคัญ” ของการจับ “พิรุธ” แก๊งปลอมพระสมเด็จวัดพระแก้วมรกตคือ “หากท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต วัดระฆัง)” ทำการสร้าง “พระสมเด็จกรุวัดพระแก้วมรกต” ขึ้นถวาย “พระบาทสมเด็จ  พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” จริง แล้วไฉนพระสมเด็จชุดนี้จึงรอดพ้น “สายตา” ของบรรดานายช่างที่ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระแก้วมรกตถึง “๒ ครั้ง ๒ ครา” คือครั้งแรกคราวที่กรุงรัตนโกสินทร์ครบ “๑๐๐ ปี” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๕ และครั้งที่สองครบ “๑๕๐ ปี” ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เพราะตามบันทึกประวัติศาสตร์ “การบูรณะวัดพระแก้วมรกต” ก่อนการฉลองพระนครในทุก “๕๐ ปี” จะเป็นการบูรณะครั้งใหญ่ที่ถือเป็นประเพณีสืบมา
     
    ดังนั้นจึง “เป็นไปไม่ได้” ที่ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต วัดระฆัง)” จะทำการสร้าง “พระสมเด็จวัดพระแก้วมรกต” แล้วบรรจุไว้บนเพดาน โบสถ์พระแก้วมรกตตามที่ “แก๊งปลอมพระสมเด็จ” ชุดนี้สร้างนิยายน้ำเน่ามาหลอกลวงกัน
     
    จากจุดนี้เองวงการ “พระเครื่อง” จึงไม่ยอมรับ “พระสมเด็จวัดพระแก้วมรกต” เข้าไว้ใน   สารบบของ “การสะสม” เพราะหากวิเคราะห์ด้วย     “หลักการ” ตามที่ผู้เขียนบรรยายมาก็เพียงพอต่อการ  “ชี้ชัด” ได้ว่าเป็นการ “สร้างปลอม” ขึ้นมาพื่อ “เจตนา” หลอกขายนักสะสมที่โง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้น ฉะนั้นหากไม่อยากตกเป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญาแล้วถ้ามี   “มนุษย์ตนใด” นำพระสมเด็จกรุวัดพระแก้วมรกตมาท้าพิสูจน์จะด้วย “หลักอะไร” รวมทั้งหลัก “วิทยาศาสตร์” แล้วจงรู้ไว้เถอะว่า “ท่านกำลังถูกมันหลอกลวง” ฉะนั้นก่อนที่จะถูกมันหลอกเอาต้องไล่ “ตะเพิดมันไปซะก่อน” ดีที่สุด หรือหากไม่อยาก “มีเรื่อง” ก็อย่าไปข้องแวะแล้วท่านจะ “ปลอดภัยไร้กังวล” ทุกกรณี.
     

แชร์หน้านี้

Loading...