หลวงปู่หล้า สนทนาธรรม กับหลวงปู่บุญฤทธิ์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 13 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. สูญเปล่า

    สูญเปล่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +0
    ผลไม้ก็เก็บตอนที่ยังไม่สุกมากเพื่อบรรจุไปขายไม่ใช่เหรอครับ
    เมื่อไปถึงมือผู้บริโภคก็สุกพอดี
    ถ้าไปเก็บตอนสุกก็งอมพอดีตอนไปถึงมือผู้บริโำภค
    ความพอดีเราก็ต้องพิจารณาไม่ใช่เหรอครับ
     
  2. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    แนะนำให้ไปซาวน่าครับ :cool:

    เดี๋ยวกิเลสสุกเอง
     
  3. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    นั้นล่ะ คือสิ่งที่ผมถามในแง่ของการปฏิบัติ อะไรคือ การเพียรเผากิเลส
    ทุกคนเจอ คำนี้ แต่เอาใช้กับตัวเอง ได้พอดีไหม
    เพราะทุกคนวิธีการไม่เหมือนกัน แต่การภาวนามีเวลาเท่ากัน
    อะไร คือสิ่งที่ำทำให้เห็นผลเร็ว
     
  4. สูญเปล่า

    สูญเปล่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +0
    เวลาขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อเอาไว้ใช้
    บางที่น้ำบาดาลก็อยู่ลึก บางที่ก็ตื้น
    แตกต่างกันไป นักปฏิบัติก็เช่นกัน
    บางท่านก็รู้ได้เร็วบางท่านก็รู้ได้ช้าแตกต่างกันครับ
    เหมือนการขุดบ่อบาดาลต่างสถานที่กัน
    บางที่ขุดแป็บเีดียวก็ถึงน้ำแล้ว
    บางที่ก็ต้องขุดอยู่นานเพราะต้องขุดให้ลึกถึงจะมีน้ำ
    พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่านักปฏิบัติมี 4 ประเภท
    แต่ถ้าจะให้เร็วเท่าที่จะทำได้คือการปฏิบัติต้องไม่หลงทาง
    จะไม่หลงทางได้ ก็ต้องมีครูอาจารย์ที่ท่านเชี่ยวชาญรู้จริงเห็นจริงครับ
     
  5. สูญเปล่า

    สูญเปล่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +0
    ส่วนเรื่องการเพียรเผากิเลส
    ถ้าเรายังไม่แยกว่าอะไรคือกิเลสอะไรคือเรา
    เราก็เพียรเผากิเลสไม่ได้ครับ
    เพราะไม่รู้อะไรคือกิเลส คือเรา
     
  6. สูญเปล่า

    สูญเปล่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +0
    ผลไม้ส่งออกเค้าอาบรังสีเอาครับ
     
  7. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    เป้าหมายเดียวกัน แต่ประเด็นอาจจะกว้างไป จนไหลกันไม่หยุด...
    ตั้งแต่หน้า1-9 ...ถือมานะคนละนิด..

    เข้ามาชมทัศนะครับ


    .
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เห็นมานะก็เห็นปิติ

    ใช้มานะให้เป็นประโชยน์
    หากยังเป็นผู้ฝึกฝนอยู่ ก็มีด้วยกันทั้งนั้น


    สำคัญตนว่าเหนือเขา ( อวด) ก็มีกิเลสอยู่
    สำคัญตนว่าเสมอเขา (นี่ก็อวดเหมือนกัน) ก็มีกิเลสอยู่
    สำคัญตนว่าด้อยกว่าเขา (ข่มตัวเอง) ก็มีกิเลสอยู่

    จะถ่อมตัว
    จะอวดตัว
    จะยกตัว
    เรียกว่าก็มีกิเลสอยู่ ไม่ต่างกัน น้ำหนักเท่ากัน
    ใช้ให้เป็นประโยชน์มองแบบกลางๆ จึงชื่อว่า เริ่มมีแวว :cool:
     
  9. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    อภัยทานเป็นทานอันสูงสุดเพราะละซึ่งกิเลสด้วยปัญญาได้แล้ว
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ดี!! กล่าวได้ดี

    เห็นแก่ผู้สั่งสมบารมี

    ให้เป็นไปตามบารมีของท่าน

    แต่โปรดฟังไว้อีกอย่าง เราไม่ได้ทำเพราะเห็นแก่ใคร
    ทุกคนย่อมมีบารมี เป็นสมบัตของตน ไม่จำเป็นจะต้อง
    ให้ใครมาช่วยรักษา
     
  11. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    เกิดดับแล้วไง ไม่เกิดดับแล้วไง ทำลายลงแล้วไง มันเหนือกว่าหรือดีกว่าผู้อื่นหรืออย่างไร ไม่ว่าจะทำอะไรอันว่าด้วยธรรมต่อให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอภิญญาญาณหากแต่เมื่อถึงวาระหนึ่ง ซึ่งเกิดความอุปโลกเข้าครอบงำแล้วว่า ตนดีกว่า ด้อยกว่า อยู่อย่างนี้ หมดสิทธิ์เลยที่จะรู้ว่าจิตเดิมคืออะไร แล้วยิ่งมาโม้ว่าได้ฌาน 4 ฌาน 8 มาแล้วบ้างก็จำใส่กะลาหัวไว้เลยว่า นั่นแหละขนาดคิดว่ามีฌานสมาบัติดีแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าตนเองติดอยู่ข้องอยู่ และลองพิจารณาดูถ้าเราไม่ได้มีฌานสมาบัติอะไรเลยละ ไม่มีอภิญญงอภิญญาอะไรเลยละ แล้วที่เราๆท่านๆพูดกันอยู่นี่...มันคืออะไร...เกิดจากสิ่งใด...แต่คงไม่ใช่ปัญญาในทางพุทธศาสนาแน่นอน เพราะพุทธศาสนาสอนว่า การไม่ถือโกรธเพราะเข้าใจ การไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้ใดก็เพราะเข้าใจ การทำกองบุญกองกุศลอันใด ก็เพราะเข้าใจ ดังนั้นคนที่อยู่ทางตรงข้ามจากกองบุญกองกุศลก็คือ เขาไม่เข้าใจแม้จะอ่านหรือจำตำราพระไตรปิฎกมาได้ทั้งหมด 84000 กว่าๆพระธรรมขันธ์ได้ก็หาได้รู้เรื่องราวและซึมซับแม้แต่จะเข้าใจอะไรๆที่เป็นจริงได้เลย ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ของบางอย่างมันต้องรอเวลาเข้าใจว่าต่างคนก็ต่างมีใจเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน แต่ต้องพึงนึกไว้ว่า ตราบเมื่อยังไม่ถึงพระนิพพานจิตยังไม่พ้นพันธนาการของกิเลส มันก็จะขึ้นๆลงๆอยู่เสมอ มีผิดมีถูกเคล้ากันไป หากเข้าใจในข้อนี้ก็น่าที่จะให้อภัยกันได้นี่นา...และเพราะลักษณะนิสัยหรือวาสนาของคนที่บางทีไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูด หรือง่ายๆคือพูดไม่คิด นั่นเพราะบางครั้งเขาคิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่า มันก็จะย้อนไปสู่ลักษณะข้างต้น ก็อย่าไปถือสา เพราะว่าลองพิจารณาดูแล้วมันก็อาจเป็นลักษณะนิสัยของเขาเป็นวาสนาของเขาเป็นกรรมของเขา ไม่ว่าใครๆก็ตามหรือนามสมมุติใดๆก็ตามในที่นี้..
     
  12. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ก็ดีแล้วอาจารย์ท่านก็คงจะภูมิใจที่ได้ศิษย์ดีๆอย่างท่าน เพราะนั่นก็คือความจริง ความดีของตัวเองหากรักษาเอาไว้ไม่ได้และไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนไฉนเลยจะอาจเอื้อมไปรักษาความดีของผู้อื่น...ผู้สั่งสมบารมีท่านอื่นๆก็ควรพึงเข้าใจในข้อนี้เช่นเดียวกัน
    สาธุคั๊บ
     
  13. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ผมไม่อาจเอื้อม แต่กล่าวเพราะรู้สึกปลื้มใจกับท่านอาจารย์ ที่มีศิษย์ดีๆอย่างท่าน ที่เคารพสักการะระลึกคุณท่านอยู่เสมอ มันสืบเนื่องจาก...
    อนุโมทนาสาธุจริงๆครับ
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..............อย่างน้อย มันก็เป็น วัฒนธรรม หรือ คุณธรรม แบบโลกโลก ที่ สมัยนี้มันเสื่อมลงเร็ว โดยคนกระทำก็ไม่รู้ตัวว่าทำให้เสื่อม(นึกว่าทำให้ดี) เลยลืมกำหนดรู้ และ ไม่รักษากริยา....ความเสื่อมมันเลยเร็ว....ก้ อาจต้องย้อนไปอ่าน กุศลกรรมบถ ใหม่ เพื่อทวนความจำ....เหมือนอาณิกสูตร ที่ว่าด้วย ความเสื่อมแห่งพระสัทธรรม เหมือนเอาลิ่มไม้ใหม่ตอกลงไปในเนื้อไม้เก่า วันหนึ่ง เนื้อไม้เก่าก็หมดไป เหลือแต่เนื้อไม้ใหม่ มาแทนที่....ตราบใดที่ อาณิกสูตรยังอยู่....ก็ จะยังมี การสะกิดเตือนอยู่ จน วันนั้น...:cool:
     
  15. ลมไหว

    ลมไหว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +9
    บอกไปตรงๆเลยว่า หลวงปู่หล้า วิปัสสนาญาณยังไม่แจ้ง เล่นแง่เล่นมุมมากทำไม
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    หลวงปูหลุย จนฺทสาโร

    พระอริยเจ้าจิตของท่านแนบสังขารในอวัยวะสังขารของท่านแปรอยู่เสมอ

    รู้ทั้งเกิดและดับ ทุกวาระจิตไม่มีเผลอ และท่านรู้เท่าสังขารทุกส่วน จึงเรียกท่านมีสติอันไพบูลย์


    คือมีสติเต็มที่ ฉะนั้นภายในจิตท่านไม่มีนึกคิดในทางที่ผิด และท่านไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง

    เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่มีโทษ ท่านรู้แจ้งอริยสัจอยู่ทุกเมื่อทุขณะวิธีแก้บ้า

    คือให้ชำนิชำนาญ อนุโลมปฏิโลมของจิต ทวนกระแสเข้าจิตเดิม

    วางอุเบกขาต่ออารมณ์ทั้งหลาย ๑

    สำคัญว่านิมิตทั้งหลายเป็นอาการของจิตนั้น ๑

    เป็นของไม่เที่ยง ๑

    ให้ยกเป็นธรรมาธิษฐานในนิมิตนั้นสอนจิต ๑

    อย่าสำคัญนิมิตทั้งหลายเป็นของดี ๑ อาการเหล่านี้แต่ละอย่างๆ

    ล้วนแต่แก้นิมิตบ้าทั้งนั้น หลักสำคัญแก้ได้ด้วยไตรลักษณ์ลบล้างนิมิตทั้งหลายได้

    *****************

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ
    และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ
    และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้
    ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล
    จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้

    อ่านที่นี่
    ^
    ^
    ชัดๆขนาดนี้แล้ว โดยไม่ต้องตีความใดๆเลย

    พระอริยสาวกย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ

    คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕

    (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    แล้วหลวงพ่อพุธท่านก็ปฏิเสธเรื่องจิตเกิดดับด้วย

    ส่วนอันนี้มาจากหนังสือหลวงพ่อพุธ การฝึกอบรมกัมมัฏฐานภาคปฏิบัติ หน้า8 เทศน์วันที่17 เมษายน 2521 ลองอ่านดูว่าที่เขาเรียกกันว่าดูจิตเกิดดับๆนี่ตรงกับหลวงพ่อพุธหรือไม่

    "ท่านลองคิดดูซิว่าจิตคนเรานี้มันมีโอกาสที่จะดับได้ไหม ถ้าหากว่าจิตมันดับแล้วเราปฏิบัติกันนี้ จะเอาอะไรไปบรรลุคุณธรรม ในเมื่อว่าจิตมันดับแล้วเราก็ตายเท่านั้นเอง แต่ต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่เป็นอย่างนั้น

    อาการที่จิตดับนี้ ผมขอเสนอมติความเห็นเพื่อเป็นแนวพิจารณาสำหรับท่านทั้งหลายดังนี้ครับ โดยปกติคนเรานั้น เรามีกายกับใจ หรือในที่นี้ขอสมมติว่าจิต พระอาจารย์องค์นั้นสอนว่าให้จิตดับ ทำจิตให้ดับ เรามีกายกับจิต โดยปกติมันอาศัยกันติดต่อกับโลกภายนอกโดยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ทีนี้เมื่อเรามาบริกรรมภาวนา มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา บริกรรมภาวนาจนจิตสงบ เป็นขณกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ โดยลำดับ เมื่อจิตเข้าถึงอันปปนาสมาธิแล้ว ตามหลักปริยัติท่านก็ว่าจิตเข้าสู่ความเป็นหนึ่งคือ เอกัคคตา เมื่อจิตประกอบด้วย เอกัคคตากับอุเบกขา อันนี้ท่านเรียกว่าจิตเป็นอัปปนาสมาธิ จิตในตอนนี้ละเว้นจากการรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ มันยังเหลืออยู่แต่ใจที่สงบนิ่ง อยู่ในจุดเดียว จุดนั้นอยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่ไหน จุดนั้นก็อยู่ที่นั่น จิตก็อยู่ที่จิตนั้นเอง ไม่ส่งกระแสออกมารับรู้อารมณ์อื่นๆในภายนอก มีแต่จิตตัวเดียวนิ่งอยู่ ตั้งเห็นอยู่แล้วมีความสว่างไสวอยู่ ไม่ได้รู้ทารงตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ แม้แต่ใครจะมาทำเสียงให้ดังขึ้นสักปานใดในขณะนั้น ผู้ภาวนานั้นจะไม่มีความรู้สึกเกิดขึ้น นี่ตามความเข้าใจของผมเข้าใจว่าดังนี้ คำว่าจิตดับมันหมายถึงว่าดับอย่างนี้ อันนี้เรียกว่าจิตดับในขั้นสมถกรรมฐาน

    ทีนี้จิตดับในขั้นวิปัสสนากรรมฐาน หมายถึงจิตที่รับผู้อารมณ์อยู่ แต่หากไม่มีปฏิกิริยาใดๆเกิดขึ้น ตาเห็นรูปสักแต่ว่าเห็น หูฟังเสียงสักแต่ว่าได้ยิน จมูกได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรสก็สักแต่ว่ารู้รส กายถูกต้องสัมผัสก็สักแต่ว่าถูกต้องสัมผัส ใจนึกคิดก็สัแต่ว่านึกคิด แต่มันปราศจากความยินดียินร้าย คืออิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ จิตดำรงตนเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม เรียกว่า มัชฌิมา คือ มันไม่มีความยินยินร้าย อันนี้จิตดับกิเลส แต่ตัวจิตเองไม่ได้ดับ มันยังมีอยู่ สภาวะที่ตั้งจิตผู้รู้ยังมีอยู่ นี่ผมขอเสนอแนะความคิดเห็นของผมตามที่ได้ประสบการณ์มา เพื่อเป็นแนวทางพิจารณาของบรรดาท่านทั้งหลาย"

    ***********************

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จิตนี้มีดวงเดียว : ปุจฉา วิสัชนา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

    ปุจฉา วิสัชนา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

    ที่ห้อง ธรรมาบดี กระทรวงอุตสาหกรรม

    วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2542 เวลา 08:30 - 09:00 น.

    โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 000469 โดยคุณ : พัลวัน [ 1 ต.ค. 2542 ]

    เนื้อความ :

    (หมายเหตุ เช้าวันที่ 1 ตุลาคม 2542 ได้ไปยืนรอหลวงปู่ที่หน้ากระทรวงอุตสาหกรรม เลยมีโอกาสได้สนทนากับท่าน ก่อนรับประเคนอาหารครับ ทั้งหมดมาจากความจำครับ ไม่ได้จด ก็พยายามเรียบเรียงจากความจำให้ใกล้เคียงที่สุดครับ อย่าถือเอาไปเป็นเอกสารอ้างอิงครับ)

    ปุจฉา : หลวงปู่ครับ เมื่อเรารู้สึก โมโห โกรธ เศร้าหมอง เหล่านี้เป็นอาการของจิต ไม่ใช่จิตใช่มั้ยครับ

    วิสัชนา : จิตนี้มีดวงเดียว ความเศร้าหมองเป็นอกุศล เมื่อจิตถูกครอบงำด้วยอารมณ์อันเป็นอกุศล ก็เศร้าหมอง จิตเองโดยปกตินี้ มันก็เลื่อมใสอยู่ ต่อเมื่อมีกิเลสมันมา ก็ทำให้เศร้าหมอง

    ปุจฉา : ทุกวันนี้ ผมเองก็เห็นอาการ โมโห โกรธ ยินดี ยินร้าย และเห็นรอยต่อของมันด้วย เช่นเห็นภาพในใจ แล้วก็เกิดความยินดียินร้าย ตรงรอยต่อตรงนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

    วิสัชนา : จิตนี้มีดวงเดียว เมื่อมันเห็นอารมณ์ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทนอยู่ได้ยาก รู้ความเป็นจริง มันก็ละไปเอง โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อจิตรู้ก็ละมันไปเอง เมื่อละไปได้ ก็ไม่มีอุปาทาน

    ปุจฉา : พระอรหันต์ เมื่อละสังขารแล้วสูญมั้ยครับ

    วิสัชนา : หมด ไม่มีอะไรเหลือ นิพพานนั้นพระพุทธเจ้าตั้งชื่อขึ้นเพื่อเรียกให้คนเข้าใจ จิตที่ละ โลภะ โทสะ โมหะ นั่นคือนิพพาน นิพพานไม่มีในโลกนี้หรือโลกไหนๆ ที่เราคิดๆกันไปก็เพราะเราติดในสมมุติ ติดในบัญญัติ จิตที่ไม่มี โลภะ โทสะ โมหะ นั่นแหละคือจิตที่เป็นนิพพาน แต่นิพพานมีอยู่นะ เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง

    ปุจฉา : ที่ว่า จิตประภัสสรนี้เป็นอวิชชา ผมไม่เข้าใจครับ

    วิสัชนา : จิตนั้นปกติแล้วมันก็ผ่องใส เลื่อมใส อยู่ของมันทั้งนั้น ไม่ว่าจะจิตของคนธรรมดา หรือว่าจิตของพระอรหันต์ แต่ว่า จิตของคนธรรมดามันไม่มีปัญญา ดังนั้นจึงเศร้าหมองเมื่อกิเลสจรมา เราจึงต้องหมั่นอบรมให้มีปัญญา

    ปุจฉา : ขันธ์ทั้ง 5 ของพระอรหันต์ ต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกัน มันเป็นอย่างไรครับ

    วิสัชนา : (หลวงปู่เลยเล่าเรื่องให้ฟัง) ในสมัยหนึ่ง มีช่างทำแก้ว เจียระไนแก้วฝีมือดี วันหนึ่งนิมนต์พระไปฉันอาหารที่บ้าน แต่ไม่รู้ว่าพระนั้นเป็นพระอรหันต์ ในวันนั้นพระราชาก็เอาลูกแก้วมาให้เจียระไน ตนเองทำกับข้าวอยู่ มือเลยเปื้อนเลือด ลูกแก้วนั้นก็พลอยเปื้อนเลือดไปด้วย ช่างทำแก้วนั้นได้รับลูกแก้วมา ก็เอาลูกแก้ววางไว้ทั้งๆ ที่มือเปื้อนเลือด นกกระสาเห็นลูกแก้วที่เปื้อนเลือดก็นึกว่าเป็นก้อนเลือด ก็เลยมากินกลืนลงท้อง พอช่างทำแก้วมาหาไม่เห็น ก็คิดว่าพระที่นิมนต์มาที่บ้านเป็นผู้เอาไป แต่พระปฏิเสธ ช่างทำแก้วไม่เชื่อก็ทุบตีพระอรหันต์นั้น

    แม้ว่าพระจะรู้ว่านกกระสากินไปก็ตาม แต่ไม่ตอบ ด้วยกลัวว่าจะทำให้นกกระสานั้นถูกฆ่า ฝ่ายภริยาช่างทำแก้ว ก็พยายามที่จะห้ามมิให้ทำร้ายพระ ด้วยเห็นว่า พระองค์นี้มีความเป็นอยู่ดี (หมายถึงเรียบร้อย สงบเสงี่ยม) ช่างทำแก้วเห็นพระอรหันต์องค์นั้นไม่ตอบ ก็เลยเอาเชือกมาพันรอบศีรษะ (แบบขันชะเนาะ) แล้วขันเชือกให้แน่นเข้าๆ จนกระทั่งบีบให้ ลูกตาหลุดออกมาพร้อมเลือด นกกระสาเห็นลูกตาที่หลุดกระเด็นออกมีเลือด ก็เห็นว่าเป็นก้อนเลือด ก็กระโดดเข้ามาจะจิกกิน

    ในขณะนั้นเอง ช่างทำแก้วก็กำลังจะเตะพระอรหันต์องค์นั้นพอดี เลยพลาดไปถูกนกตาย พระอรหันต์เห็นดังนั้นจึงว่า ให้คลายเชือกออกแล้วจะบอก พอช่างทำแก้วคลายเชือกออก พระอรหันต์องค์นั้นก็บอกว่า ลูกแก้วที่ว่านั้นอยู่ที่นกที่ถูกเตะตายไปเมื่อตะกี้นี้ ช่างทำแก้วผ่าออกดูเห็นว่าเป็นจริง ก็ตกใจ รู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว

    แต่พระอรหันต์องค์นั้น ได้เข้าฌานแล้วเหาะกลับไปอยู่ในที่ของท่าน แล้วเข้านิพพานในที่นั้น หลวงปู่เหรียญท่านกล่าวต่อว่า จิตของพระอรหันต์นั้น เด็ดขาด แล้วว่า นกกระสาตัวนั้น ตายแล้วไปเกิดเป็นลูกของภริยา นางภริยาช่างทำแก้วตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ ส่วนนายช่างทำแก้วนั้นตายไปแล้วตกนรก

    ผมจบคำสนทนากับหลวงปู่เพียงเท่านี้ครับ และจากการที่ผมอ่านทบทวน ผมเชื่อว่า บางทีอาจจะทำให้เกิดความสงสัยอีกมากมายในธรรมที่นำมาเสนอครั้งนี้ แต่สำหรับผมเองแล้ว ผมยืนยันว่า ธรรมที่หลวงปู่แสดงนั้น ทำลายตัวสงสัยที่ผมมีไปได้มากๆ ครับ จนปัจจุบันนี้ยังไม่มีตัวสงสัยตัวไหนผุดออกมาครับ หากอ่านดูแล้วแปลกๆ ใจเชื่อไม่ลง ก็ขอให้ถือเสียว่า หลวงปู่ท่านแก้สงสัยให้ผมก็แล้วกันครับ

    จากคุณ : พัลวัน [ 1 ต.ค. 2542 ]

    จบกระทู้บริบูรณ์

    **********************
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  20. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603
    .


    ...จิตนั้นเที่ยงมีดวงเดียวเดิมประภัสสรอยู่แล้ว

    ...จิตเกิดดับสลับกันไป ไม่สิ้นสุด

    ...จิตก็คือจิต เป็นปรมัตธรรมอย่างหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรประการใด


    คำถามคือ จะทำอย่างไรกับ"จิต" จะพัฒนารักษาจิต หรือ จะปล่อยวางจิต...?

    ถ้าเห็นเป็นจิตหนึ่ง จิตเดิมแท้ จิตประภัสสร รักษาจิตไว้ ก็แสดงว่าท่าน....................

    ถ้าเห็น จิตไม่เที่ยง เกิดดับสลับกันไป ปล่อยวางจิต ก็แสดงว่าท่าน....................

    สำหรับผู้ที่ยังตอบคำถามไม่ได้ ยังลังเลสงสัยอยู่ ก็แสดงว่าท่าน....................


    ตอบคำถามกันเองตามแต่ภูมิจิตภูมิธรรม ไม่มีการตัดสินว่าถูกหรือผิดและไม่มีคะแนนให้



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2012

แชร์หน้านี้

Loading...