อย่าชะล่าใจเกินไปนะครับ ช่วยกันดูแลด้วย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย namitta, 22 ธันวาคม 2011.

  1. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517
    อย่าชะล่าใจเกินไปนะครับ ภัยของพระศาสนา

    มองดูให้รอบคอบ

    คนที่ไม่ศึกษาธรรมแต่ ถือตัวว่าพุทธ มีอยู่ทั่วไป
    คนที่นับถือศาสนาพุทธ สักแต่ว่าถือ แต่ตื่นข่าว เห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้าของพระเยซูว่าดีมีเยอะนะครับ

    คนที่มองว่า "เชื่ออะไรก็ได้ที่ทำให้กรุรวย และโชคดีได้ กรุเอาทั้งนั้น โดยไม่สนใจจริยธรรม" มีเยอะ

    พระพุทธองค์ทรงฝากพระศาสนา และพระสัทธรรมนี้ให้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา คอยดูแล อย่าให้เสื่อมสูญ อย่าให้ผิดเพื้ยน
    เพื่อหวังให้ ลูกหลานเราจะได้บุญอันเยี่ยมนี้ ในอนาคต

    อย่าเห็นแก่ตนเอง หรือมองในด้านเดียวเลยครับ
    โปรดอย่าทำให้เหล่าวิญญาน ที่จะมาเกิดในอนาคต ต้องเสียผลที่พึงจะได้นี้เลย อย่าให้เค้าต้องพบเจอแต่ อสัทธรรม ของลัทธินอกรีต นอกรอย ไม่เกิดบุญที่ดี นี้เลย
     
  2. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    ถูกต้องแล้วครับ...เห็นด้วย
     
  3. freycaballero

    freycaballero สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +18

    เห็นด้วยอย่างมากครับ เราต้องช่วยกันสุดกำลัง เพื่อลูกหลานในอนาคตของเราจะได้เกิดมาพบเจอกับ พระพุทธศาสนาที่ไม่มีการบิดเบือนอย่างเเท้จริง
     
  4. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    อีกอย่างลองศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าและเยซู ดูดี ๆ สิ จะพบว่าพระพุทธเจ้าดีกว่ามากมาย ในทุก ๆ ด้าน จะให้ผมอธิบายออกมาก็ได้ครับ หรือท่านใดจะอาสาอธิบายก็ได้ เชิญ ผมจะเข้ามาคอยดูอยู่เสมอ ๆ เพราะผมไม่อยากจะใช้คำหยาบคายในการเขียน หรือพิมพ์ เดี๋ยวบางคนที่ไม่รักพระพุทธศาสนาจริง ๆ หรือตามืดบอดเพราะพวกนอกศาสนาพุทธมันจะกล่าวว่าเอาได้ครับ
     
  5. freycaballero

    freycaballero สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +18
    พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548

    ให้คำจำกัดความของพุทธศาสนิกชนไว้ว่า

    พุทธศาสนิกชน แปลว่า คนที่นับถือพระพุทธศาสนา

    พุทธศาสนิกชน หมายถึงคนที่ตกลงใจน้อมรับนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำตัวประจำชีวิต ยินดีที่จะปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เต็มใจที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมคือ เว้นจากการทำความชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้หมดจดจากกิเลส ด้วยการบำเพ็ญบุญในพระพุทธศาสนา เช่น ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาเพื่อขัดเกลา อบรม บ่มเพาะกาย วาจา ใจให้งดงามเรียบร้อย ให้สงบนิ่ง และให้พ้นจากความเศร้าหมองต่างๆ

    พุทธศาสนิกชน ที่พึงประสงค์คือผู้ปฏิบัติตนให้เป็นผู้รู้ ผู้ฉลาด ตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่งมงาย ไม่ประมาทมัวเมา ไม่หลงไปตามกระแสกิเลส

    วันนี้ลองหันกลับมามองตัวเองอีกครั้ง ว่าเรายังเป็นพุทธศานิกชนอยู่จริงหรืออย่างเเค่ปากว่า?
     
  6. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    ผมว่าประวัติพระเยซูน่าเศร้ากว่าอีกนะครับ ต้องถูกตรึงตายบนไม้กางเขนชดใช้ความบาปของพวกเราทุกคน
    เกิดก็ไม่ได้เกิดในที่เลอเลิศ ยังต้องมาพร่ำสอนศาสนาให้ผู้คนทราบกันอีก ดวงวิญญาณของท่านคงเศร้ามากเลยทีเดียว
     
  7. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517
    คุณคิดว่า การตายของรับบีเยซูจะชดใช้บาปได้ จริงๆเหรอครับ

    บาปในความหมายของยิวและคริสต์ คือบาปที่เกิดจากการไม่เชื่อฟังพระเจ้าของเค้า นับดูจริงๆ สังเกตในไบเบิล เทียบได้กับ แถน ผีฟ้า ที่ต้องการเครื่องสังเวยนั่นแหละครับ

    แต่บาปบุญในความเชื่อของพุทธคือ กรรม เกิดจากการกระทำ ของเราเองทัั้ง ในกาย ในใจ ในวาจา การพูด
    เมื่อทำแล้ว ผลมันเกิดในอนาคต รอทันที
    แต่ เราถูกกิเลสบัง
    เนื่องจาก
    อวิชชามาบังคับให้เกิด ให้โง่

    กรรมนี้จึงทำแล้ว ไม่ว่าอะไร ทั้งดี ทั้ง เลว ทั้งกลางๆ ต่างส่งผล โผล่กันแย่งชิงแสดงผลของมัน กันเป็นว่าเล่น
    ผลของมัน บางครั้งก็ส่งผล
    ต่อเนื่อง
    ให้เกิดกรรมใหม่อีก
    ให้หยุดกรรมใหม่อีก
    ให้เบนไปอีกทางอีก

    พระพุทธองคื สอนให้เชื่อกรรม ผลของมันด้วย และเชื่อว่า กรรมเป็นของตนเองเป็นปัจเจกแสดง ผลของมันเอง

    แต่จะแสดงผลเป็นวิบากออกมา มันมี เงื่อนไข อยู่ 4 อย่าง
    คือ

    คติ
    การเกิด เกิดในตระกูลไหน ต่ำสูง พ่อแม่ดี หรือไม่

    อุปธิ
    เกิดมาด้วยร่างกาย และสุขภาพยังไง มีบุญได้บวชในพระศาสนา แต่ร่างกายพิการ ขาดเงื่อนไข ให้ได้บวช ผลบุญที่จะให้บวชก็ยกยอดไปชาติหน้า แทน ...ฯลฯ

    กาละ
    ในช่วงไหน เกิดในช่วงสงคราม ก็ย่อมอดอยาก อยู่ในช่วงบ้านเมืองสงบสุข เศรษฐกิจดี ตกต่ำยังไงก็มีข้าวกิน มีงานให้ทำ

    ปโยคะ
    ความเพียร กระทำ ว่าถึงพร้อมรึยัง เหมือนเด็กคนนี้มีบุญว่าสอบผ่าน แต่มันไม่มีอะไรในหัวไปสอบ ทำอะไรก็ไม่พร้อม ปากกาก็ไม่ได้เอาไป แล้วก็ไม่เขียนข้อสอบ ไม่กาลงไป เงื่อนไขกฏแห่งกรรมให้สอบผ่านไม่ครบ ยังไงก็ไม่ให้ผล ต้องยกยอดไป และโดนแทรกแซงด้วยกรรมอื่นๆ


    กฏแห่งกรรมมนุษย์ ที่พระพุทธองค์สอนไว้ ท่านสอนมาจากตัวคนจริงๆ จิตจริงๆ และมุมมองของ ชะตาชีวิต วิถีการดำเนินขีวิตจริงๆ

    ไม่ได้อ้างเอามาจากตำราดั้งเดิมของพราหมณ์ หรือไปแปลงมาจากพราหมณ์
    เหมือนรับบีเยซู ที่เอามาจากคัมภีร์โทราห์ของยิว พระเจ้าก็องค์เดียวกัน แต่แปลงจนยิวไม่ยอมรับ และใส่ความให้ โดนตรึงกางเขน
    สาวกยังอ้างมาเฉยเลยว่า เพื่อชดใช้ ล้างบาปมนุษย์ทุกคน ทั้งๆที่ ในไบเบิล เขียนเชิดชูชาวยิว มาช่วยชาวยิว มาเพื่อชาวยิว พระเจ้าก็ของยิว ไม่ได้ของคนทั้งโลกซะที่ไหน


    ผู้สรางโลกในชนเผ่าไท คือ แถน พระยาแถน ฟ้าแถน นี่หละ ไม่ใช่ยโฮวา หรืออัลเลาะห์ หรือบาอัล

    เสียดายที่เผ่าไทเรา รวมตัวกันไม่ติด ชอบแบ่งฝักฝ่าย แถมโดนรุกรานจากจีน อีก ไม่งั้นเราอาจมีศาสนาใหม่ มีพระเจ้าของคนทั้งโลก คือ แถนเจ้าฟ้าก็ได้
    ส่วนศาสดา คือผู้ที่สื่อกับท่านได้ หรือตะก่อนเรียกกันว่า ผู้ทรงผีฟ้า รวบรวมคำสอนเป็นคัมภีร์ เผยแพร่ออกไปว่า คือคัมภีร์พระยาแถน ผู้สร้างสวรรค์และโลกมนุษย์ก็ได้
     
  8. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    คุณลักษณะสามประการของผู้รักษาพระพุทธศาสนา

    โดย...พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
    คัดบางตอนจากหนังสือ จากสุขในบ้าน สู่ความเกษมศานติ์ทั่วสังคม

    สภาพความเสื่อมนี้ในปัจจุบันญาติโยมพูดกันมาก เพราะมีข่าวร้ายต่าง ๆ มากมาย เรื่อง อย่างนี้พระสงฆ์ก็ควรจะเอามาพูดบ้าง ไม่งั้นญาติโยมพูดฝ่ายเดียวจะกลายเป็นนินทาพระ แต่ถ้าพระเอามาพูดบ้างในฐานะที่เป็นผู้รู้เรื่องทางธรรม พูดในทางแนะนำและหาทางแก้ปัญหา ก็จะได้มีทางช่วยกันให้รู้จักวางใจได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อเรื่องร้าย ๆ และปัญหาเกิดขึ้น พระจำเป็นต้องเอามาพูดให้โยมรู้ว่า ความเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร มีทางแก้ไขอย่างไร เราจะได้ช่วยกันป้องกัน และที่จริงนั้นตัวเราเองก็มีหน้าที่ด้วย เพราะว่า ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน เรามีหน้าที่ช่วยกันป้องกันพระศาสนา

    อย่างวันสองวันนี้ก็ได้ข่าวอีกแล้วรายใหม่ อาตมาเองก็ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ แต่ท่านมหา และหลวงลุงท่านก็อ่านและท่านเล่าให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่งไปหลอกร้านค้าเพชร เอาเพชรไปแล้วไม่จ่ายเงินให้แก่เขา จำนวนเป็นล้าน ๆ บาท และขอประทานอภัยก็ไปทำศิวลึงค์นำไปแจกในต่างประเทศ พอฟังหรืออ่านข่าวพระประพฤติอย่างนี้แล้ว โยมก็อาจจะพูดว่าพระไม่ดี พระเสียหาย พระหลอกลวง พระเหลวไหล ไม่น่านับถือ จากพระไม่ดี ก็เลยพาลพาโลต่อไปว่าพระพุทธศาสนาไม่ดี แล้วก็จะไม่นับถือพระ จะเลิกนับถือพระพุทธศาสนา

    ที่จริงนั้น พระพุทธศาสนาเป็นของเรา ไม่ใช่เป็นของพระองค์นั้น เพราะว่าคนที่จะมีสิทธิเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา นั้นจะต้องเป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ของชาวพุทธอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นพระก็ต้องเป็นพระที่ประพฤติปฏิบัต ิและทำหน้าที่ของพระอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เป็นคฤหัสถ์ที่ทำหน้าที่ของชาวบ้านอย่างถูกต้อง ถ้าเราทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนถูกต้อง เราเองนี่แหละเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา

    ในทางตรงข้าม พระก็ตาม ญาติโยมก็ตาม แม้จะประกาศตนเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง ทำตัวเหลวไหล ก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา ควรจะระแวงว่าเป็นคนร้ายที่แฝงซ่อนเข้ามาหาประโยชน์จากพระศาสนา ที่เรียกกันว่าเข้ามาปล้นศาสนา

    เพราะฉะนั้น พระที่ประพฤติเลวทรามเหล่านั้นเราไม่ถือว่าเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา โยมจะต้องไม่มองว่าเป็นพระประพฤติชั่ว โยมจะต้องมองว่าคนชั่วเข้ามาทำลายพระศาสนา ถ้าเราวางใจให้ถูกต้องอย่างนี้แล้วพระศาสนาก็จะดีขึ้น เราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อพระศาสนา อย่าถือธุระไม่ใช่ อย่ายกสมบัติของเราให้เขาไป

    อาตมาเคยเปรียบเทียบบ่อย ๆ ว่า ถ้ามีโจรเข้ามาปล้นบ้าน แล้วเรายกสมบัติให้โจรไปเลย อย่างนี้ถือว่าวิปริตใช่ไหม ที่ถูกนั้นเราต้องรักษาทรัพย์สมบัติของเรา แต่ที่เป็นกันเวลานี้เราก็ทำวิปริตกันอยู่โดยไม่รู้ตัว คือ ทั้ง ๆ ที่พระศาสนานี้เป็นของเรา แต่พอมีโจรคือคนที่แฝงตัวมาในเพศของพระประพฤติไม่ดีทำเสียหาย เป็นโจรปล้นศาสนา พอมีโจรเข้ามาปล้นพระของเราอย่างนี้ แทนที่เราจะช่วยกันรักษาพระศาสนาของเรา เรากลับยกศาสนาให้โจรไปเสียนี่ อย่างนี้เขาเรียกว่ายกสมบัติให้โจร เพราะฉะนั้นการทำอย่างนี้ เรากำลังทำผิดพลาด ต้องทำใจให้ถูกต้อง เราต้องรักษาพระพุทธศาสนาของเรา ดูให้ดี ปัญหาอยู่ที่คนร้าย หรืออยู่ที่ตัวเรา

    พระพุทธเจ้าทรงระวังมากในเรื่อง อามิสไพบูลย์ และ ธรรมไพบูลย์ ทรงเตือนให้เตรียมสร้างธรรมไพบูลย์ไว้ให้พร้อมและ ให้ไม่ประมาทในเวลามีอามิสไพบูลย์ เช่น ก่อนที่จะปรินิพพานพระองค์ก็ได้ทรงวางเงื่อนไขไว้ว่า ต้องให้พุทธบริษัททุกฝ่ายมีคุณสมบัติ อย่างน้อย ๓ ประการ จะเป็นพระคือภิกษ ุหรือภิกษุณีก็ตาม เป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ทุกคนควรจะมีคุณสมบัติ ๓ ประการต่อไปนี้ จึงจะถือว่ามีธรรมไพบูลย์ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ยืนยาวได้

    พระพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไข ๓ ประการนี้ไว้ในตอนจะรับอาราธนาปรินิพพาน มีเรื่องว่ามารมาอาราธนาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ตรัสว่าจะยังไม่ปรินิพพาน และพระองค์ก็ทรงวางเงื่อนไขไว้สามประการ ต่อมาครั้งสุดท้ายมารก็มาอาราธนาอีกโดยทวงว่า เงื่อนไขที่พระองค์ได้ทรงวางไว้นั้นสมบูรณ์แล้ว ขอนิมนต์ปรินิพพานได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงสำรวจดู ปรากฏว่าเงื่อนไขที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ๓ ประการ ครบแล้วจริง พระองค์ก็เลยรับอาราธนาปรินิพพาน แล้วทรงปลงพระชนมายุสังขาร คือตกลงพระทัยว่าจะปรินิพพาน ในที่นี้สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าการปลงพระ ชนมายุสังขาร ก็คือเงื่อนไข ๓ ประการนี้ ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ว่า

    พุทธบริษัททุกประเภท คือทั้ง ๔ พวก จะต้องมีความสามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้ พระองค์จึงจะปรินิพพาน มิฉะนั้นพระองค์ก็จะต้องทำหน้าที่ของพระศาสดาต่อไป หมายความว่าพระองค์ทรงฝากพระศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ที่มีความสามารถ ๓ ประการ ความสามารถ ๓ ประการนี้มีอะไรบ้าง

    ๑.ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาจะต้องรู้หลักธรรมเข้าใจคำสั่งสอนของพระองค์แล้วนำไปปฏิบัติได้ถูก ต้อง พูดสั้น ๆ ว่า รู้คำสอนและปฏิบัติได้ถูกต้อง

    ๒.ให้สามารถยิ่งกว่านั้นอีก คือ นอกจากรู้เข้าใจปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเองแล้ว ยังนำไปบอกกล่าวชี้แจงสั่งสอนคนอื่นได้ด้วย คนที่จะไปบอกกล่าวแนะนำสั่งสอนชี้แจงคนอื่นได้นั้น

    (๑) จะต้องมีความสามารถที่จะแนะนำสั่งสอน และ
    (๒) ต้องมีน้ำใจประกอบด้วยเมตตากรุณา บางคนถึงจะมีความสามารถแต่ไม่มีน้ำใจกรุณา ก็ไม่ใส่ใจที่จะสอนก็ไม่ได้ผล เหมือนกัน จึงต้องมีทั้งน้ำใจ ต้องมีทั้งความสามารถ แล้วก็เอา ธรรมไปแนะนำสั่งสอนแก่คนอื่นต่อไป

    ๓.ข้อสุดท้ายว่า ถ้ามีการจาบจ้วง คำว่าจาบจ้วงนี่เป็นภาษาโบราณ หมายความว่ามีการกล่าวร้ายต่อพระศาสนา หรือมีการสั่งสอนลัทธิที่ผิดจากธรรมผิดจากพระวินัยขึ้น ก็สามารถกล่าวแก้ ชี้แจงกำราบได้ เรียกว่ากำราบปรับวาทได้

    เงื่อนไขคุณสมบัติของพุทธบริษัท ๓
    ประการนี้เราจะต้องเอามาใช้เกณฑ์มาตรฐานสำหรับสำรวจตรวจสอบพุทธศาสนิกชนว่า จะสามารถรักษาพระศาสนาได้หรือไม่ เพราะว่าเมื่อตรัสหลักการ ๓ ประการนี้ก็เท่ากับว่า พระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพาน ได้ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้แก่เราแล้ว ถ้าพุทธศาสนิกชนไม่มีคุณสมบัติ ๓ ประการนี้แล้วก็จะรักษาศาสนาของพระพุทธเจ้าไว้ไม่ได้ พระพุทธศาสนาก็ต้องเสื่อมแน่นอน

    เราไม่ต้องไปคำนึงมากนัก เรื่องพระที่ประพฤติเสียหายอะไรนั้นเป็นเรื่องรองลงไป คุณสมบัติ ๓ อย่างของตัวเราเองนี้แหละสำคัญกว่า เรื่องพระประพฤติเสียหายทำไม่ดีนั้น ถ้ามีขึ้นมาเราถือว่าเป็นโจร เป็นคนร้ายเข้ามาทำลายพระศาสนา เราก็ต้องช่วยกันรักษาพระศาสนา เพราะพระศาสนานี้เป็นสมบัติส่วนรวมของเรา แต่ถ้าเราไม่มีคุณสมบัติ ๓ อย่างนั้น โจรจะเข้ามาหรือไม่ เราก็จะรักษาพระศาสนาไว้ไม่ได้ ดีร้ายตัวเราอาจจะกลายเป็นโจรไปเสียเอง แต่ถ้าเรามีคุณสมบัติสามประการนี้แล้วเราก็รักษาพระศาสนาของเราไว้ได้ ขอทวนอีกครั้ง

    ๑.รู้เข้าใจธรรมวินัย และปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง
    ๒.มีความสามารถและเอาใจใส่ที่จะบอกกล่าว ชี้แจงสั่งสอนธรรมแก่ผู้อื่น
    ๓.เมื่อมีลัทธิคำสอนที่ผิดพลาดแปลกปลอมขึ้นมาก็สามารถกล่าวชี้แจงกำราบได้

    สามประการนี้แหละเป็นธรรมไพบูลย์ ซึ่งจะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เพียงแต่เราปฏิบัติถูกต้อง ธรรมก็ไพบูลย์อยู่ในตัวเราแล้ว เมื่อเราเอาไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่นให้รู้และปฏิบัติกันกว้างขวางยิ่งขึ้น ธรรมก็ไพบูลย์กว้างขวางออกไปทุกที แม้จะมี คำสอนอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นมาก็ชี้แจงแก้ไขได้ อุปสรรคก็หมด ไป นี่แหละเป็นธรรมไพบูลย์ที่แท้จริง .


    http://www.snr.ac.th/sakyaputto/article2.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2011
  9. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ขอลบหนึ่งอันนะ เนื้อหาคล้ายกันแหละค่ะ
    ตอนแรกนึกว่าโพสต์ไม่ไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2011
  10. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    อยู่ดีๆ ทำไมท่านผู้ร่วมสนทนาจึงไปหยิบยกเอาศาสดาของศาสนาอื่นมาเปรียบเทียบละคะ ไม่เห็นมีต้นเรื่องอันควรต้องชี้แจงกำราบเลย

    ถ้ามีกระทู้ไหนเข้าข่ายลัทธิปลอมแปลงสอนผิดแผก ก็ไปว่ากันในกระทู้นั้นไม่ดีกว่าหรือคะ
    หรือไม่ถ้าจะตั้งกระทู้ใหม่ ก็ชี้แจงแสดงที่มาด้วยว่ามีลัทธิใดปลอมแปลงผิดแผก จะได้คุยกันถูกทาง อยู่ดีๆ แวะไปเปรียบเปรยศาสดาของศาสนาอื่นเขา ไม่น่าจะเข้าข่ายการดูแลปกป้องศาสนาพุทธนะคะ

     
  11. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517


    รวมไปถึงการชักชวนเข้ารีตของศาสนาคริสต์โดยเฉพาะนิกายโปรแตสแตนท์ด้วยครับ และศาสนาอื่นด้วย
    การสอนแบบ สร้างการอัศจรรย์ ให้ คนไทยที่นับถือพุทธเพียงปาก ไปหลงเชื่อ และสร้างภาพพจนให้ศาสนาพุทธ และพระสงฆ์ ว่าครำครึ งมงาย

    แถมการบิดเบือนพระไตรปิฎก เช่นว่า คริสต์พวกโปรแตสแตนท์พยายามสร้างข่าวลือ แบบสื่อ โดยอ้างว่า พระไตรปิฏกบอกไว้ว่า พระศรีอาริย์จะมาโดยจะมีผมสีทอง เป็นยิว และทำปาฏิหาริย์ ถูกตรึงกางเขน พยายามอ้างว่าให้เหมือน รับบีเยซูที่สุด

    อิสลาม ก็บอกว่า พระศรีอาริย์จะมาเกิด ในทะเลทราย ขี่อูฐ

    บาอัล ก็บอกว่า จะมาเป็นพระในรูปแบบของเค้า หาอ่านได้ใน หนังสือที่แปลขาย เมื่อ ปี สองปีก่อน
    ไม่ต่างอะไรกับพวกฮินดูสายไวษณนิกาย ที่อ้างว่าพระพุทธเจ้า คืออวตารของพระนารายณ์เลย


    ตอนนี้ ใกล้กึ่งพุทธกาล กึ่งพุทธกาลจริงๆคือ ปี พศ. 2558


    ทุกๆ ประมาณ 500 ปี จะเกิดลัทธิความเชื่อ หรือศาสนาใดศาสนาหนึ่งมา เสมอๆ ในประวัติศาสตร์

    คริสต์มาเมื่อประมาณ พศ.483
    อิสลามมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 1153
    และหลายๆ ลัทธิศาสนา ....
    ใกล้กึ่งพุทธกาล ปี 2556- 2557 ให้ระวังเอาไว้ในเรื่องพระศาสนา นะครับ
    หลัง 2558 ไปแล้ว ถึงจะคล้ายกับเริ่มต้นใหม่



    ใครที่ชอบบอกว่า อย่าไปว่าสาสนาอื่น ขอให้ไปอ่านที่นี่
    ����ѵ���ʵ����оط���ʹ����Թ���� - Dhammathai.org
    ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา อย่าลืมว่า คนศาสนาอื่นเค้าดูถูกศาสนาพุทธว่ายังไง ดูถูกพระพุทธเจ้าว่ายังไง

    บาทหลวงศาสนาคริสต์ บุกมาตำพระธาตุเขี้ยวแก้วที่ศรีลังกา


    เกือบทุกศาสนาที่มีพระเจ้า ที่นิยมๆ กันเช่น
    คริสต์ ถึงกับมีบทบัญญัติในคัมภีร์ว่า ใครที่ไม่เชื่อ ในรับบีเยซู พระเจ้า เข้าสู่นรกอย่างเดียว ทำดีแค่ไหน แต่ถ้าใจไม่ยอมรับพระเจ้า รับบีเยซู ตกบึงไฟนรกแน่นอน
    อิสลาม ถึงกับมีบัญญัติว่าใครไม่นับถืออิสลาม ตกนรกสถานเดียว
    ก๊อปเอามา
    บทความเรื่องนรกนี้นำมาจากหนังสือ "หนทางแห่งการรอดพ้นจากไฟนรก" เขียนโดย อัลดุลกอเดรฺ บิน อะหฺมัด อัลไซน์ แปลโดย อิสมาแอล เซะวิเศษ ขอให้อัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีแก่ท่านเหล่านี้ด้วย
    นรก
    ลักษณะของนรก
    คำนิยาม
    นรกเป็นสถานที่สำหรับการลงโทษ ที่อัลลอฮฺทรงเตรียมไว้แก่ผู้ปฏิเสธและผู้ทำความผิด ผู้ที่เข้านรกจะถูกครอบงำด้วยความอับอาย และขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง และพวกเขาจะไม่พบผู้ช่วยเหลือแต่ประการใดเลย อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
    “พวกเขามิได้รู้ดอกหรือว่า แท้จริงผู้ใดที่ฝ่าฝืนอัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ แน่นอนสำหรับเขานั้นคือไฟนรกญะฮันนัมโดยที่เขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นแหละคือความอัปยศอันใหญ่หลวง” (9 : 63)
    รายชื่อนรก
    1. อัน นารฺ (2 : 39) ไฟ(นรก)
    2. อัล ญะฮีม (79 : 36) เปลวไฟ(ไฟนรก)
    3. บิ ซัลมะซีรฺ (2 : 126) จุดหมายปลายทางแห่งความเลว(ที่พักแห่งความหายนะ)
    4. บิ ซัลมิฮาด (2 : 206) เตียงนอนอันชั่วช้า
    5. อัส ซะอีรฺ (42 : 7) สถานทีที่เลวร้ายที่พวกเขาถูกพาไป
    6. บิ ซัลวัดดุเมารุด สถานที่ที่นำมาของความหายนะ
    7. ซู อุดดารฺ (11 : 25) บ้านที่ร้ายกาจ
    8. ดารุลบาวารฺ (14 : 28) บ้านแห่งความหายนะ
    9. บิ ซัลกอรอรฺ (14 : 29) สถานที่พักที่เลวร้ายที่จำต้องอยู่
    10. ญะฮันนัม (78 : 21-26) นรก
    11. อัส สะมูม (15 : 27) ลมที่เผาจนไหม้เกรียม
    12. ลาฎ (70 : 15) เปลวเพลิง
    13. ซะกอรฺ (74 : 26-30) ไฟนรก
    14. อัล ฮาวียะฮฺ (101 : 8-11) หลุมที่ไม่มีก้นหลุม
    15. อัล หุฏอมะฮฺ (104 : 4-9) ไฟที่แตกกระจายเป็นเปลวเพลิง
    นรกได้ถูกเตรียมไว้แล้ว
    นักวิชาการมุสลิมมีความเห็นว่า ความจริงนรกและสวรรค์มีอยู่แล้วในปัจจุบันนี้ และจะไม่มีวันสาปสูญ อัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกรได้ตรัสไว้ว่า
    "และพวกท่านจงกลัวไฟนรกที่ได้เตรียมไว้แล้วแก่เหล่าผู้ปฏิเสธ" (3 : 131)
    นรกมี 7 ประตู
    นรกเป็นที่พำนักของผู้ทำบาปหลายประเภท แต่ละจำพวกของผู้ทำบาปจะมีประตูไปสู่นรก ผู้ที่ตามอิบลีส(ชัยตอน) มีประตูของพวกเขาเองที่อัลลอฮฺทรงเตรียมไว้สำหรับพวกเขาแล้ว อัลลอฮฺทรงตรัสว่า
    "และแท้จริงนรกญะฮันนัม แน่นอนคือสัญญาของพวกเขาทั้งหมด มันมีเจ็ดประตู สำหรับทุกประตูมีส่วนที่ถูกจัดไว้แล้ว" (15 : 43-44)
    บรรดาผู้ไม่ศรัทธาจะถูกขับลงนรกเป็นกลุ่ม และเมื่อพวกเขาถึงนรกประตูนรกจะเปิดออก อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า
    "และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกไล่ต้อนสู่นรกเป็นกลุ่ม ๆ จนกระทั่งเมื่อพวกเขามาถึงมัน ประตูทั้งหลายของมันจะถูกเปิดออก ยามเฝ้าประตูของมันจะกล่าวแก่พวกเขาว่า บรรดาร่อซูลจากพวกท่านมิได้มายังพวกท่านเพื่อสาธยายสัญญาณต่าง ๆแห่งพระเจ้าของพวกท่านแก่พวกท่าน และกล่าวเตือนพวกท่านถึงการพบในวันนี้ของพวกท่านดอกหรือ ? พวกเขากล่าวว่ามีครับ แต่ว่าพระประกาศิตแห่งการลงโทษเป็นที่คู่ควรแล้วแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา" (39 : 71-72)
    นรกครอบอยู่บนเขา
    ประตูนรกจะปิด และไฟนรกจะครอบอยู่บนผู้ไม่ศรัทธาซึ่งจะถูกล้อมรอบด้วยไฟ
    "ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อสัญญาณต่าง ๆ ของเรา พวกเขาคือพวกฝ่ายซ้าย บนพวกเขานั้นมีไฟนรกครอบคลุมอยู่อย่างมิดชิด" (90 : 19-20)
    อัลลอฮฺทรงจุดไฟด้วยพระองค์เอง ไฟนี้จะลุกลามจนถึงหัวใจ และจิตใจของพวกเขา ไฟนี้จะอยุ่ใกล้ชิดกับเขาในทุกๆด้าน และปิดกั้นเขาเอาไว้ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเขาได้ และไม่มีผู้วิงวอนให้กับเขาได้ ภายในนั้นเขาถูกล่ามอยู่กับเสา เช่นเดียวกับสัตว์ที่ถูกล่าม โดยไม่มีการให้เกียรติแต่ประการใด
    "มิใช่เช่นนั้น แน่นอนเขาจะถูกโยนลงไปในไฟนรก (อัลฮุเฏามะฮฺ) และอะไรเล่าที่ทำให้เจ้ารู้ได้ว่า ไฟนรก (อัลฮุเฏาะมะฮฺ) นั้นคืออะไร? คือไฟของอัลลอฮฺที่ถูกจุดให้ลุกโชน ซึ่งมันจะลุกไหม้เข้าไปในหัวใจ แท้จริงมันจะลุกไหม้คลุมบนพวกเขาอย่างมิดชิด อยู่ในสภาพของเสาสูงชะลูด" (104 : 4-9)

    ลิ้งค์ สังคมธรรมะออนไลน์,หนังสือธรรมะ,หนังสือธรรมะแจกฟรี - นรกในคัมภีร์ของศาสนาอิสลาม

    คนเดี๋ยวนี้ อะไรที่ทำให้กรุได้ประโยขน์เอาหมด แม้กระทั่งทรยศใจตนเอง ทรยศศรัทธาตนเอง ทรยศประเทศชาติ ทรยศศาสนา
     
  12. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    namitta รูปภาพใต้ชื่อนี้รูปอะไรหรือครับ
     
  13. changthai

    changthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +515
    นานาจิตตังเรื่องแบบนี้ ผู้เห็นความสว่างย่อมไม่กลัวเมฆบัง
     
  14. suriyawibool

    suriyawibool Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +25
    พิจารณา...มหาพิจารณา...
    พิจารณา...มหาพิจารณา...
     
  15. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    เพราะอย่างนี้นี่เล่า สงครามศาสนาจึงเกิดขึ้น
    เพราะคนในศาสนาแต่ละศาสนานั่นเองที่ทำให้โลกไม่สันติสุข
    คนแต่ละศาสนาควรพิจารณาให้ดี พระธรรมที่เป็นทางสว่าง สะอาด สงบ จะมีประโยชน์อะไรถ้าคนต้องมารบราฆ่าฟันกัน ถ้างั้นคงไม่มีใครสูงส่งไปกว่าใคร

    เจ้าของกระทู้ลองพิจารณาอีกมุมหนึ่งด้วย คนไทยนับถือหลายศาสนา ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องตอบโต้กันไปมาด้วยความรุนแรง มันควรจะอยู่ทีว่าพิจารณาสิ่งดีงามของความเป็นศาสนาร่วมกันต่างหาก

    ประเด็นของศาสนาและการเมืองจุดไฟให้คนทะเลาะกันได้ทุกที
    ในอีกมุมหนึ่งเหมือนเราปกป้องความเชื่อความศรัทธาของเราเอง
    แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจเข้าทางคนที่ชอบยุแหย่ให้เกิดการนองเลือด วุ่นวาย เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง เข้าทำนอง แ่บ่งแยกเพื่อปกครอง
     
  16. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    คนแต่ละคนมีอิสระในการเลือกนับถือศาสนา
    แค่ไม่ก้าวก่าย ทำลาย หรือตั้งป้อมเป็นศัตรูกันก็น่าจะพอ
    ถ้าต่างใส่ใจเรียนรู้ธรรมร่วมกัน แบบแสวงจุดร่วมก็ยิ่งดี
    ทางไหนดี คนแต่ละคนจะเลือกเองให้เหมาะสมแก่ตน
    ดีใจที่เกิดบนแผ่นดินไทย ที่ให้อิสระภาพในการนับถือศาสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2011
  17. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ถ้าคุยกันแบบนี้ได้ น่าจะดีนะ

    [SIZE=+2]พระเยซูกับพระพุทธเจ้า[​IMG][/SIZE]
    [SIZE=-1]พระสันติสุข สฺนติสุโข –แปล [/SIZE]
    <table align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="300"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center">[SIZE=-2]Noli me tangere, ca. 1450
    Fresco, 166x125 cm
    Museo di San Marco, cell 1, Florence[/SIZE]</td> </tr> </tbody></table> <table align="left" border="0" cellpadding="2" cellspacing="0" width="70"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFF8F0" width="70">[SIZE=+5][/SIZE]</td> <td align="center" width="10">
    </td> </tr> </tbody></table> ทสนทนาต่อไปนี้ เป็นการสนทนาระหว่าง ติช นัท ฮันห์ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานิกายเซน กับบาทหลวง แดน เบอริแกน นักบวชในพระคริสตศาสนานิกายเยซูอิต ทั้งสองต่างเป็นผู้ที่ได้ต่อสู้และเรียกร้องเพื่อสันติภาพ ความสงบของมวลมนุษย์ โดยยึดหลักทางศาสนธรรมเป็นเกณฑ์ การสนทนาได้กระทำขึ้น ณ สำนักงาน Vietnamese Peace Buddhist Delegation บทสนทนาดังกล่าวเป็นบทหนึ่งในบรรดาหลาย ๆ บทที่รวบรวมตีพิมพ์ในหนังสือ The Raft is not the shore
    .... .... .... ....​
    นัท ฮันห์ : ผมคิดว่า การได้มองลึกลงในดวงตาของศาสดาที่แท้พระองค์หนึ่ง มีค่าเสียยิ่งกว่าการศึกษาคัมภีร์ และคำสั่งสอนของพระองค์ตั้งร้อยปี ในตัวของพระองค์ ท่านได้รับแบบอย่างแห่งการตรัสรู้ และแบบอย่างของชีวิตโดยตรง ในขณะที่จากสิ่งอื่น ท่านจะได้รับก็เพียงแต่เงา ซึ่งอาจจะช่วยอะไรท่านได้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่โดยตรงดังที่พระพุทธตรัสว่า "คำสอนของตถาคต เป็นเพียงพ่วงแพ อันช่วยนำเธอข้ามไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง หาใช่ความจริงสูงสุดไม่ เธอไม่ควรหลงบูชาอยู่"
    เบอร์ริแกน : เออ, ท่านจะมองลงลึกในดวงตาของพระเยซู หรือพระพุทธเจ้าด้วยวิธีการอย่างไร?
    นัท ฮันห์ : วิธีการอย่างไร? ไม่มีคำว่าวิธีการหรอก มันคงเหมือนกับถามว่าผมมองดูท่านด้วยวิธีการอย่างไร? ผมมองดูกิ่งไม้ด้วยวิธีการอย่างไร ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "วิธีการมอง" แต่อยู่ที่ตัวบุคคลผู้ทำการมอง เพราะถ้าหากท่านเอาของสิ่งหนึ่งมาวางไว้ต่อหน้าผู้คน และก็มีคนมากมายพากันมาดูของสิ่งเดียวกันนี้ คนเหล่านั้นกลับเห็นไปคนละอย่าง มันมิได้ขึ้นอยู่แต่เพียงวัตถุที่ท่านนำมาแสดง แต่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและแก่นสารของบุคลผู้มองด้วย ดังนั้นเมื่อท่านได้สัมผัสความจริงโดยตรง ท่านย่อมมีโอกาสมากในการเจาะทะลุถึงตัวความจริง มากกว่าเมื่อท่านมีเพียงภาพปรากฏของความจริงเท่านั้น นั่นเป็นผังเมืองหาใช่ตัวเมืองจริง ๆ ไม่ นั่นเป็นร่มไม้ หาใช่ต้นไม้ไม่ นั่นเป็นคำสอนหาใช่องค์ศาสดาหรือตัวชีวิตไม่ ผู้ที่มีโอกาสมองเห็นลึกลงไปในดวงตาของพระพุทธเจ้าและพระเยซู แต่ไม่สามารถแลเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูนั้น ผมคิดว่าเป็นความสิ้นหวังเลยทีเดียว
    เรามีเรื่องราวในวรรณกรรมทางพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ที่กล่าวถึงผู้คนที่พากันหลั่งไหลมาจากแดนไกล ด้วยความหวังว่า พวกเขาจักได้เห็นพระพุทธเจ้า แต่พวกเขากลับไม่สามารถเห็นพระองค์ ทั้งนี้เนื่องมาจากวิธีการที่พวกเขารับและสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ประสบในระหว่างทางนั่นเองเป็นเหตุ คนพวกนี้เมื่อพบหญิงผู้ต้องการความช่วยเหลือ แต่เขากลับลนลานที่จะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ผมจึงกล่าวว่า การที่ท่านจะสามารถเห็นพระพุทธเจ้าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองมากทีเดียว
    เบอร์ริแกน : น่าตระหนกใจว่า จะมีทัศนะทำนองนี้มากมายสักเพียงใด ในระหว่างวิถีการดำรงชีวิตวัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ทำให้หวนระลึกถึงเหตุการณ์อันระทึกใจในวันพิพากษา ซึ่งกล่าวไว้ในตอนท้ายแห่งพระคัมภีร์ของมัดธายเมื่อองค์พระเยซูตรัสว่า "ขอลาขาด" ต่อคนพวกหนึ่ง เพราะคนพวกนี้ไม่นำข้าวน้ำมาถวายพระองค์ ไม่นำเสื้อผ้ามาถวายพระองค์ และไม่มาเยี่ยมเยียนพระองค์ในคุก คนเหล่านั้นจึงพากันท้วงว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำผิดต่อพระองค์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร" และพระองค์จึงตรัสว่า "เจ้าได้กระทำผิดต่อพี่น้องผู้ยากจนของเรา ช่างเลวทรามเหลือเกิน ขอลาขาดกันที"
    นั่นยังเป็นคำถามอันลึกซึ้งสำหรับผมอยู่ดีว่า ท่านประสบกับดวงตาของพระเยซูและของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? บางทีอาจเป็นคำถามของคนไม่ประสีประสา ผมยังคิดว่า หากผู้ใดสามารถหายใจเอาความวิเวกของพระเยซูไว้ในชีวิตได้แล้ว อะไรบางอย่างจะอุบัติขึ้น พระองค์ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของพระองค์อยู่กับความวิเวก หากเพียงแต่ผู้ใดสามารถเดินทางไปสู่ทะเลทรายพร้อมกับพระองค์ หรืออยู่ในคุกร่วมกับพระองค์ ในระหว่างสัปดาห์อันศักดิ์สิทธิ์ หรือเข้าถึงความเงียบของพระองค์คราวที่อยู่ต่อหน้าของพิเลตและเฮโรด พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะตอบคำถามของคนทั้งสอง ซึ่งที่แท้ก็เป็นการตอบในลักษณะหนึ่งนั่นเอง สำหรับผมแล้วดูเหมือนว่าเหตุการณ์นั้นเป็นการประจันหน้ากันอย่างลึกซึ้ง เป็นชั่วขณะซึ่งเลยพ้นไปจากความจำเป็นที่ต้องเจรจาโต้ตอบกันยืดยาว ผมมักระลึกถึงความหมายของพระดังเช่นตัวท่าน หรือท่านเมอร์ตัน หรือพระหนุ่ม ๆ ซึ่งเราได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับมรณกรรมของท่านเหล่านั้นอยู่เป็นประจำ ท่านเหล่านี้แหละเป็นบุคคลผู้ได้ประสบกับดวงตาของพระเยซูหรือของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยผ่านความรู้ซึ้งถึงความเงียบสงบในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
    นัท ฮันห์ : เมื่อผมกล่าวถึงการมองลึกลงในดวงตาของพระพุทธเจ้านั้น ผมนึกถึงพระพุทธเจ้าในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งแวดล้อมด้วยบรรยากาศพิเศษ ผมตั้งข้อสังเกตว่า มหาบุรุษทั้งหลายย่อมนำเอาบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์มาพร้อมกับพระองค์ด้วย และเมื่อเราแสวงหาพระองค์ เราย่อมรู้สึกถึงสันติสุข ความรักและความกล้าหาญ
    อาจเป็นไปได้ว่า เพียงแต่การปรากฏกายของพระองค์ก็สามารถอธิบายสิ่งนี้ได้ มีภาษิตจีนกล่าวว่า เมื่อคนดีมาจุติ น้ำในแม่น้ำและเหล่าพืชพรรณต้นไม้บนภูเขาในละแวกนั้น ย่อมกลับกลายใสสะอาดขึ้น และเขียวขจีขึ้น นี่เป็นวิธีการที่ชาวจีนพูดถึงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำเนิดขึ้นในเวลาเดียวกับประสูติกาลของผู้มีบุญ
    ในพระพุทธศาสนา เราพูดถึง "กรรม" ในฐานะเป็นผล หรือเป็นเหตุ เหตุแห่งกรรมคือตัวผู้กระทำ และผลแห่งกรรมคือสิ่งที่ท่านได้รับอันเป็นผลรวมที่เกิดจาก การกระทำ ความคิด และความเป็นอยู่ทั้งหมดของท่าน ดังนั้นกรรมผลาก็คือผลแห่งกรรมนั่นเอง กรรมผลาประกอบขึ้นด้วยสองส่วน : ส่วนแรกถึงตัวท่านเอง และส่วนที่สองคือสิ่งที่แวดล้อมตัวท่านอยู่ เมื่อท่านมาอยู่ร่วมกับเราสักหนึ่งชั่วโมง ท่านก็นำสิ่งแวดล้อมที่ว่านี้มาด้วย เป็นรัศมีอย่างหนึ่งซึ่งแผ่ออกมาจากตัวท่านเอง เหมือนกับเวลาที่ท่านนำเทียนไขเข้ามาในห้องนี้ แท่งเทียนอยู่ ณ ที่นั้น พร้อมกับแสงสว่างจากเทียนซึ่งท่านนำเข้ามาด้วย
    เมื่อเมธีผู้หนึ่งอยู่ ณ ที่นั้น และเราได้นั่งใกล้ท่าน เราจะรู้สึกโปร่งเบา รู้สึกถึงความสงบ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงกล่าวว่า หากท่านได้นั่งใกล้พระเยซู และมองดูดวงตาของท่าน แต่ยังไม่อาจแลเห็นพระองค์จึงนับว่าเป็นความสิ้นหวัง เพราะในกรณีเช่นนี้ ท่านมีโอกาสมากที่จะเห็นพระองค์ ยิ่งกว่าเมื่อท่านอ่านจากคำสอนของพระองค์เสียอีก แน่นอน หากพระองค์มิได้อยู่ ณ ที่นั้น คำสอนของพระองค์ก็เป็นสิ่งดีที่สุดรองลงมา
    เมื่อผมได้อ่านหรือถือพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นของพุทธหรือคริสต์ก็ตาม ผมพยายามระลึกอยู่เสมอถึงความจริงที่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูตรัสอะไรออกมา พระองค์ย่อมตรัสสิ่งนั้นกับคนบางคนหรือกับคนบางเหล่า ผมควรเข้าใจถึงสถานการณ์ในขณะที่พระองค์กำลังตรัสอยู่นั้นด้วย เพื่อที่จะเข้าถึงพระองค์ยิ่งไปกว่าเพียงแต่รับเอาคำสอนของพระองค์มาเป็นคำ พูดเฉย ๆ ถ้าหากผมมีเรื่องหนึ่งที่เล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง ผมย่อมสามารถเล่าเรื่องนั้นให้เด็กฟังได้ด้วยเช่นกัน แต่ผมจะต้องเล่าเรื่องนั้นให้เด็กฟังในลักษณะที่ต่างออกไป ทั้งนี้มิใช่เพราะผมต้องการทำเช่นนั้น แต่เพราะผมกำลังอยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ ต่างหาก ดังนั้นเรื่องของผมจึงเป็นไปในลักษณะหนึ่งโดยปริยาย ผมเชื่อว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสหรือสั่งที่พระเยซูตรัสนั้น ยังไม่สำคัญเทียบเท่ากับ "วิธีการ" ที่พระพุทธเจ้าหรือพระเยซูตรัสสิ่งนั้นออกมา หากท่านสามารถจับเคล็ดอันนี้ได้ ท่านก็จะเข้าไปใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูได้ แต่หากท่านพยายามจะวิเคราะห์ความหมายอันลึกซึ้งของคำต่าง ๆ โดยไม่รู้ถึงลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ผมคิดว่าท่านจะพลาดอย่างง่ายดายมาก ไม่เพียงแต่พลาดประเด็นเท่านั้น แต่พลาดเรื่องของมนุษย์ไปเลยทีเดียว ผมคิดว่านักเทววิทยามีแนวโน้มที่จะลืมการเข้าถึงด้วยวิธีการนี้ด้วยซ้ำ
    เบอร์ริแกน : เรื่องนี้สะดุดใจผม เมื่อคราวฝึกอบรมพระคาธอลิก ผมเคยพบกับนักเทววิทยาพวกนี้ ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับพวกเขาดี เพราะผมไม่มีความเข้าใจในตัวเขาเหล่านั้นเลย มีผู้ทรงคุณวุฒิคนหนึ่งซึ่งเคบพบกันในลิฟท์ ผมทราบว่าเขากำลังแสดงปาฐกถาไปทั่วประเทศ ในหัวข้อเรื่อง "ทัสนะเกี่ยวกับความรักในพระคัมภีร์ใหม่" ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่จะพูดเรื่องทัศนะเกี่ยวกับความรัก ผมคิดว่าเขาควรพูดเรื่องความรักในพระคัมภีร์ใหม่ แทนที่จะพูดเรื่องทัศนะเกี่ยวกับพระเจ้า ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องโน้น ผมคิดว่าเหตุผลข้อหนึ่งอันเป็นอุปสรรคอันลึกซึ้งในหมู่นักศึกษาที่เข้ามาฝึก อบรมก็คือ ไม่มีบรรยากาศใด ๆ รอบตัวของพวกเขาที่กล่อมให้เขากลายมาเป็นคริสเตียนได้เลย แต่บรรยากาศกลับส่งเสริมให้ผู้เข้าฝึกอบรมกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางคริสต ศาสนามากกว่า และการเป็นคริสเตียนกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญทางคริสตศาสนานั้นแตกต่างกันมาก เป็นธรรมดาอยู่เองที่การอบรมเช่นนี้ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มันไม่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของผู้เข้าฝึกอบรม ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงถอนตัวออกไป นักศึกษาปฏิเสธที่จะรับการบวช หลายคนยังอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ไม่มีความสุข และไม่ได้รับความพึงพอใจ
    แต่สำหรับผมแล้ว ดูเหมือนว่าหากอาจารย์สอนคริสตศาสนาคนใดสามารถดำรงชีวิตของเขาอยู่ได้อย่าง ราบรื่น ปราศจากความรู้สึกรบกวนใด ๆ ในระหว่างช่วงสิปปีหลังสงครามเวียดนามแล้วละก็ อาจารย์ผู้นี้ย่อมนำแต่ความหลงผิดมาสู่ผู้เข้าฝึกอบรม อย่างน้อยที่สุดเขาคงจะเสนอตัวอย่างที่ใช้ไม่ได้ของคนจำพวกที่กล่าวแต่เพียง เรื่อง "ทัศนะเกี่ยวกับพระคัมภีร์ใหม่" แทนที่จะเข้าถึงบรรยากาศจริงในตอนนั้น ๆ ของพระเยซู นับเป็นเรื่องเพ้อเจ้ออย่างร้ายกาจ ทั้งผมมิได้คิดว่านั่นเป็นความล้มเหลวทางความคิดด้วย เพราะความคิดเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเช่นกัน สิ่งที่ผมกำลังเอาใจใส่อย่างจริงจังก็คือ สภาพความเป็นจริงเกี่ยวกับพระเยซูซึ่งถูกบดบังไป ในขณะที่ข้อบิดเบือนทั้งหลายแหล่เกี่ยวกับพระองค์ปรากฏขึ้นมาแทนที่ และข้อบิดเบือนข้อแรก ก็คือการที่พวกนักเทววิทยาพากันสอนเรื่อง "ทัศนะเกี่ยวกับพระเยซู"
    และก็มีข้อบิดเบือนในทำนองนี้อย่างอื่น ๆ อีก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย รวมทั้งความผิดแปลกธรรมดาของพระเยซูด้วย สำหรับผมแล้วสิ่งนี้ดูเหมือนว่าเป็นสัญลักษณ์ของความแตกแยกระหว่างคนแต่ละรุ่น ขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมแท้นั้นได้สูญสิ้นไปแล้ว คนรุ่นใหม่ซึ่งมีความเห็นไปคนละทาง ก็ยังคงรับเอาเปลือกกระพี้บางอย่างของพระเยซูไว้ได้ แต่ก็ไร้ความหมายเต็มที ทั้งนี้เพราะภาคแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีตะวันตกทั้งหมด คือองค์พระเยซู พระองค์มิสูญหายไปโดยสิ้นเชิงได้ แต่สิ่งที่คนรุ่นใหม่รับเอามาอย่างฉาบฉวยนั้น เป็นเพียงบางส่วน และบิดเบือนไปจากเดิมจนกระทั่งว่า เมื่อเขามองไปที่พระเยซู เขาก็ลืมนึกถึงโลก แต่นั่นท่านรู้ไหม? คนเหล่านั้นไม่แตกต่างไปจากอาจารย์ที่ให้การอบรมแก่พวกเขาเท่าใดนัก อย่างน้อยที่สุดพอจะกล่าวได้ว่า อาจารย์พวกนี้สนใจแต่ทัศนะเกี่ยวกับพระเยซู และก็ลืมนึกถึงโลก (เสียงหัวเราะ) คนรุ่นใหม่อาจจะไปไกลกว่าเรื่องความคิดบ้าง แต่คนทั้งสองรุ่นต่างก็กำลังกระทำการรุนแรงต่อพระเยซู
    นัท ฮันห์ : พูดถึงความรุนแรงแล้ว พระพุทธเจ้าประสูติในสังคมซึ่งความรุนแรงปรากฏน้อยกว่าในสังคมที่พระเยซูประสูติ แต่หากท่านได้อ่านพระคัมภีร์ฝ่ายพุทธแล้ว ท่านจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงเฉียบขาดมากทีเดียว ปฏิกิริยาที่พระองค์มีต่อประเพณีฝ่ายพระเวท เป็นแบบถอนรากถอนโคน พระองค์ทรงปฏิเสธเนื้อหาทั้งหมดของพระเวททัศนะแห่งอาตมัน หรือตัวตน เป็นศูนย์กลาง เป็นแก่นของฝ่ายพระเวทและอุปนิษัท แต่คำสอนของพระพุทธเจ้า วางอยู่บนพื้นฐานของทัศนะแห่งอนัตตา อนัตตาเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับตอบโต้ ไม่ใช่เพราะอนัตตาเป็นเรื่องสำคัญ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นเป็นหลักคำสอนของพระองค์ แต่คำสอนเรื่องนี้เริ่มบัญญัติขึ้น ในฐานะที่เป็นปฏิกิริยาต่อสู้กับความหยุดนิ่งของชีวิตภายในสังคมสมัยของพระองค์ และถึงขนาดนั้น พระองค์ก็ยังไม่ถูกตรึงกางเขน ชาวอินเดียไม่กระทำเช่นนั้น แต่ผมเชื่อแน่ว่า หากพระพุทธเจ้าประสูติในสังคมที่พระเยซูประสูติแล้วละก็ พระองค์จะต้องถูกตรึงกางเขนด้วยเช่นกัน
    อีกเช่นกัน ท่านอาจคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงกระทำตรงกว่าพระคริสต์ในแง่ของการต่อสู้ แต่นั่นไม่เป็นความจริงเลย นี่เป็นเพียงเพราะว่า ในสภาพแวดล้อมของพระองค์วิถีทางอย่างอื่นเป็นไปได้กว่า กลับมาดูที่พระเยซู เราจะเห็นความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่เผชิญหน้ากับสังคมเช่นนั้น ทั้งพยายามที่จะทำลายลักษณะของชีวิต ลักษณะของความเป็นอยู่ ซึ่งหาใช่ชีวิตไม่ ถ้าหากขาดความเข้าใจในเรื่องสภาพแวดล้อมแล้ว ท่านก็มองไม่เห็นความเป็นจริงอย่างถ่องแท้
    พระพุทธเจ้าทรงเริ่มด้วยความคิดเรื่องความไม่มีตัวตน ซึ่งแท้ที่จริงก็เป็นปฏิกิริยาต่อต้านกับความเชื่อในสมัยของพระองค์นั่นเอง แต่พุทธศาสนิกเป็นอันมากเข้าใจว่า ความไม่มีตัวตน อนัตตานี้เป็นรากเหง้าของสัจธรรมทั้งมวล ในกรณีเช่นนี้ พวกเขากำลังเข้าใจว่ามรรควิธีเป็นเป้าหมาย เห็นพ่วงแพว่าเป็นฝั่ง เห็นนิ้วชี้ขึ้นฟ้าเป็นดวงจันทร์ จะต้องมีอะไรบางอย่างที่มีความหมายมากกว่าอนัตตา ซึ่งไม่ติดอยู่กับความเชื่อทั้งอนัตตาและอัตตา หลักอัตตาที่ประชาชนในสมัยพุทธกาลเคยเชื่อถือนั้น เป็นต้นเหตุอันแท้จริงที่ก่อให้เกิดความอยุติธรรม ความโง่เขลา และความหยุดนิ่งภายในสังคม สังคมที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย เต็มไปด้วยระบบแบ่งชั้นวรรณะ ชีวิตที่อยู่ภายใต้อำนาจของพวกพราหมณ์ การปฏิบัติต่อวรรณะจัณฑาล การผูกขาดการสอนทางด้านจิตวิญญาณ โดยบุคคลผู้เสพสำราญอยู่กับสภาพทางวัตถุอันเลิศลอย และเป็นบุคคลซึ่งไม่มีคุณลักษณะลึกซึ้งทางจิตวิญญาณเลย คนพวกนี้ห่างไกลที่สุดจากสัจธรรม แต่เขาก็ยังแอบอ้างตนเองว่าเป็นตัวแทนแห่งสมบูรณภาพ
    ด้วยเหตุนี้ ศาสนาพุทธจึงเป็นมรรควิธีแห่งการต่อสู้แบบหนึ่ง พุทธศาสนาหาได้พยายามที่จะแสดงสัจธรรมออกมาในรูปแบบของคัมภีร์ไม่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อพุทธศาสนิกหลงติดยึดพระคัมภีร์ แม้จะเป็นพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาก็ตาม จึงถือว่าเป็นการขบถต่อพระพุทธเจ้า คนรพวกนี้ไม่สามารถมองเห็นพระพุทธเจ้าได้เลย ในวัชรสูตรมีพุทธดำรัสตอนหนึ่งว่า "หากเธอพยายามมองดูตถาคตโดยอาศัยรูปและเสียงแล้ว เธอจะไม่เห็นตถาคตเลย" ผมคิดว่า "เสียง" ในที่นี้หมายถึงพระคัมภีร์ ตลอดจนการติดยึดพระคัมภีร์และการติดยึดในทัศนะด้วยเช่นกัน
    ผมจำได้ว่า มีนักเรียนผู้หนึ่งถามผมเกี่ยวกับท่าปัทมาสนะ (ท่าดอกบัว) ว่าเป็นท่านั่งสมาธิที่สมบูรณ์แบบหรือไม่ ผมตอบว่า เรื่องท่านั่งสมาธิที่สมบูรณ์แบบนั้นไม่น่าตั้งเป็นปัญหาขึ้นมา ไม่มีความจำเป็นในการคิดค้นท่านั่งสมาธิที่สมบูรณ์แบบขึ้น แต่ผมก็หวังว่า หากเขาต้องการ เขาก็สามารถคิดค้นท่านั่งสมาธิขึ้นมา โดยไม่ต้องเลียนแบบท่าของชาวจีนและชาวญี่ปุ่น
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูกร เธอคิดว่ามีเอกลักษณะ มีเอกลักษณะอันเที่ยงแท้อยู่ในสรรพสิ่ง แต่ตถาคตกล่าวว่าสรรพสิ่งย่อมว่างเปล่า เอกลักษณะเช่นนี้หาได้ปรากฏอยู่ไม่ หากเธอมองหาเอกลักษณะอันเที่ยงแท้ของเก้าอี้ ตถาคตกล่าวว่ามันเป็นของว่างเปล่า" แล้วหลังจากนั้นศาสนิกก็เริ่มบูชาความคิดเรื่องอนัตตา พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "หากเธอเชื่อในความไม่มีตัวตนของเก้าอี้ ย่อมเหลวไหลมากกว่าที่เธอเชื่อในความมีตัวตนของเก้าอี้เสียอีก" ท่านเห็นไหม ? ว่าคำพูดและความคิดเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ "อะไรบางอย่างภายในนั้น" ต่างหากที่สำคัญ กล่าวคือ มรรควสิธีที่จะเข้าไปสัมพันธ์กับสรรพสิ่ง กับมวลมนุษย์ต่างหากที่สำคัญ
    เบอร์ริแกน : "อะไรบางอย่างภายในนั้น" ดูเหมือนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่ชาวพุทธอย่างมาก
    นัท ฮันห์ : โลกทุกวันนี้ ไม่ใช่โลกของวันวาน ซึ่งแต่ละประเทศแต่ละกลุ่มชนเคยดำรงอยู่เป็นอิสระแยกออกจากกันได้อีกต่อไปแล้ว การกระทำของเราในปัจจุบันนี้ได้เข้ามาพัวพันกันอย่างแยกไม่ออก กล่าวคือได้กลายมาเป็นกรรมร่วม การกระทำของคนกลุ่มหนึ่งย่อมมีผลกระทบต่อกลุ่มอื่น เราจะต้องเลือกที่จะทุกข์ด้วยกัน หรือสุขด้วยกัน มีชีวิตอยู่ด้วยกัน หรือไม่ก็ถูกทำลายไปพร้อมกัน
    เบอร์ริแกน : การบรรจบโลกของวงกลม นี่เป็นเรื่องของกรรมสนองกรรมเช่นกัน การดำรงชีวิตในวิถีทางที่เป็นอยู่นี้ กล่าวคือภายในโลกอันเปรียบเสมือนคุกอันกว้างใหญ่และการพึงพอใจกับรูปแบบชีวิตเช่นนี้ นับเป็นการลงโทษที่รุนแรงต่อผู้ที่ละเลยความเป็นจริง
    เป็นการยากที่จะรู้ว่า จะสามารถทำลายวงแหวนเหล็กวงนี้ตรงจุดไหน และจุดอ่อนของมันอยู่ที่ใด ความรู้สึกของผมก็คือว่า วงแหวนวงนี้จะรัดตัวแน่นเข้า จนกระทั่งมันจะหักทำลายออก ณ จุดทุดจุดของวงแหวน เนื่องจากทุก ๆ จุดนี้นมีความเค้นอันเกิดจากการบีบรัดเท่า ๆ กัน เหมือนกับวงแหวนที่บีบรัดรอบคอหอยของท่าน แต่แน่ละในช่วงเวลานี้เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ ชาวอเมริกันเองกำลังถูกบีบคออย่างช้า ๆ แต่ประชาชนในที่แห่งอื่นกำลังถูกรัดคออย่างรวดเร็ว
    นัท ฮันห์ : อีกประการหนึ่ง เรายังสนใจงานอีกด้านหนึ่ง กล่าวโดยสังเขปก็คืองานนี้ได้แก่ ความเพียรพยายามของเราที่จะช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์จากสงคราม มีเด็ก หญิงหม้าย คนพิการ นักโทษ บางคนเห็นว่างานสงเคราะห์เหล่านี้เป็นความพยายามที่ไม่มีความสำคัญ งานของเราได้รับการตราจากคนพวกหนึ่งว่า เป็นงานที่ไม่ฉลาดนัก และไม่อยู่บนทิศทางของการปลดแอกหรือการปฏิวัติ อุปสรรคในการทำงานของเรา ส่วนมากมีสาเหตุมาจากทัศนคติเช่นว่านี้ บรรดากลุ่มศาสนาและบรรดากลุ่มนักการเมือง มักเพียงแต่มีจุดมุ่งหมายที่จะรักษาเอกลักษณ์แห่งกลุ่มของตนไว้เท่านั้น โดยต้องเผชิญกับการโจมตีจากกลุ่มตรงกันข้ามที่มีความเชื่อต่างกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีความกลัวเช่นว่านี้ ทำไมเราจึงไม่มาร่วมกัน และเผชิญกับการคุกคามที่แท้จริงเสียที?
    อันที่จริงแล้ว เอกลักษณ์จะสามารถคงความเป็นเอกลักษณ์อยู่ได้ก็ต่อเมื่อ มีสิ่งต่าง ๆ อย่างอื่นที่มาอธิบายเอกลักษณะนั้นในฐานะที่ไม่ใช่เอกลักษณะ ย้อนกลับไปที่ตัวอย่างเกี่ยวกับเอกลักษณะของเก้าอี้ เก้าอี้จะสามารถดำรงความเป็นเก้าอี้อยู่ได้ก็โดยอาศัยส่วนประกอบที่ไม่ใช่เก้าอี้ หากเรามองดูเก้าอี้อย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว เราจะสามารถแลเห็นต้นไม้ซึ่งเป็นที่มาของไม้สำหรับทำเก้าอี้ แลเห็นเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติซึ่งช่างไม้ถือกำเนิดขึ้นมา และส่วนอื่น ๆ ของเก้าอี้ก็เป็นในทำนองเดียวกันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอัตตาและอนัตตา ก็คือว่าอัตตามีอยู่ได้ก็ต่อเมื่ออนัตตามีอยู่ ในพระสูตรทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงอธิบายสิ่งนี้ในลักษณะที่ง่ายมาก พระองค์ตรัสว่า "เพราะสิ่งนี้ สิ่งนีจึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ" ดังนั้น สิ่งทั้งปวงจึงอิงอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อการดำรงอยู่ เอกลักษณะของผมกับเอกลักษณะของท่านมาประสานกันก็เพื่อความเป็นไปได้แห่งการดำรงอยู่ ทำไมเราจึงไม่มาร่วมกัน เพื่อแสวงหาหนทางที่จะดำรงรักษาไว้ไม่เพียงแต่เอกลักษณะของผมเท่านั้น หากเอกลักษณะของท่านและคนอื่น ๆ ด้วย?
    การต่อต้านการแบ่งแยกพรมแดน การต่อต้านการกำหนดเขตชายแดนตลอดจนการจำกัดขอบเขตโดยทุจริต เป็นภาระกิจที่สำคัญเช่นกัน คนภายในสังคมไม่ควรเพียงแต่งตั้งความปรารถนา ว่าจะเอาชนะปัญหาเหล่านี้เท่านั้น หากต้องเอาชนะปัญหาด้วยลักษณะการดำรงชีวิตภายในชุมชนนั้น ๆ แต่โชคร้ายว่าที่แล้วมาเราไปผูกยึดตัวเองเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง เช่น ชาติ ลัทธิ ศาสนา ทั้งเรามีแนวโน้มที่จะคิดว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ที่นอกไปจากความยึดถือของคนเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ หรือไม่เป็นความจริง
    ยกตัวอย่างเช่น เรามักได้รับรายงานข่าวที่น่าสะเทือนใจหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งโดยปรกติแล้ว ในตะวันตกไม่มีใครสนใจกันเลย ผู้เป็นแม่คนหนึ่งรู้สึกท้อแท้เมื่อได้ยินลูก ๆ ของหล่อนรบเร้าถามอยู่ทุกเช้าว่า ทำไมซุปในชามจึงมีนิดเดียว หล่อนไม่สามารถทนฟังคำถามนี้ได้ ดังนั้นเย็นวันหนึ่ง หล่อนจึงเทข้าวทั้งหมดที่เหลืออยู่ในกะทะและปรุงซุปอย่างดี แต่เธอได้ใส่ยาพิษลงไปในนั้นด้วย แม่และลูก ๆ กินซุปด้วยกัน และถึงแก่ความตาย แต่แม้กระนั้นในสภาพเช่นว่านี้ เราก็ยังคงถูกบังคับให้จับปืนฆ่าฟันกันเอง ความทุกข์ทนหม่นไหม้ของเวียดนาม ได้ให้บทเรียนอะไรแก่อเมริกาบ้างไหม? มันได้ช่วยให้ชาวอเมริกันหันกลับไปมองดูเงาตนเองอีกครั้งหรือเปล่า? มันช่วยอะไรละหรือ?
    เบอร์ริแกน : ผมมีความหวังอยู่บ้าง กระนั้นผมก็ไม่คิดว่าเรามีความรู้อย่างถ่องแท้แล้วในเรื่องที่ท่านพูดมา ผมรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในขั้นลึกซึ้งหลายประการกำลังเกิดขึ้น ที่นี่บ้าง ที่โน่นบ้าง เพียงแต่ยังไม่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะทั้งในระดับชีวิตทางการเมืองหรือในระดับโครงสร้างของชุมชน ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีชีวิตอยู่ในโลกที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นนั่นเอง.

    http://www.buddhadasa.org/html/articles/4_other/christ-buddha.html

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2011
  18. KelG

    KelG สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +5
    กลับไปศึกษาไบเบิ้ลให้ดีก่อน แล้วเปรียบเทียบ
     
  19. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    บุคคลที่มีศักยภาพเป็นศาสดาของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ย่อมไม่ธรรมดา
    มนุษย์มีจริต มีวัฒนธรรมต่างกัน ศาสนาก็เช่นกัน

    ปลีกย่อย อาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่จุดมุ่งหมายล้วนมุ่งหมายให้มนุษย์ได้พบสิ่งดีงาม
    จะมีประโยชน์ใด ถ้าการปกป้องศาสนา คือการไม่ยอมรับความแตกต่าง

    ศาสนิกชนของทุกศาสนา มีลักษณะคล้ายๆกัน คือ นับถือตามประเพณี และมีความเข้าใจต่อเนื้อในของศาสนาน้อยมาก และตีความคำสอนผิดๆเพี้ยนๆไป นำไปสู่การทำสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า
     
  20. เกาจิ้ง!03

    เกาจิ้ง!03 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +2
    ตัวอย่างการบูชาแบบไม่มีสติ จะเป็นแบบนี้ ตีกันเพราะ สถาบันนี้องค์พระวิษณุปางนั่งจะตีกับสถาบันที่มีองค์ พระวิษณุปางยืน แค่นั้นเอง

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...