ท่านเคยถาม ใครที่ไหนอย่างไร ว่าท่านจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไหมคำตอบที่ได้เป็นอย่างไร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย savant, 21 มีนาคม 2007.

  1. savant

    savant สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +22
    ถ้าอ่านแล้วก็ขอให้อ่านให้จบก่อนนะครับ
    ผมเป็นผู้หนึ่งที่ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้ามานานแล้วในสมัยเด็กก็ชอบคิดว่าถ้าเป็นพระเจ้าพุทธเจ้าจะไปโปรดพวกมารด้วย ผมชอบเรื่องเกี่ยวกับธรรมะมานานแล้วละตั้งแต่ใจความได้มั้ง มักจะหาหนังสือเกี่ยวกับธรรมมาอ่านบ่อยๆ อ่อแล้วตั้งแต่เด็กแล้วที่ผม ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อก่อนตอนเด็กๆนี้ผมทำอะไรอยู่ก็จะภาวนา ว่า พุทโธอยู่ตลอดเวลา จนติดไปเลย สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวันวันไหนไม่ได้นั่งมันกระวนกระวายใจบอกไม่ถูก เดียวนี้ แล้วมีอยู่พักหนึ่งตอนนี้ก็มีอยู่คนเดียวกันนั้น มีแฟนกับเขา แต่ผมกับแฟนคุยกันเรื่องธรรมไม่ได้เลย เคยลองๆคุยแล้วก็พอรู้ว่าคุยไม่ได้ ก็เลยคิดไว้ว่า ไว้ให้เขา มีศรัทธามากกว่า จะโปรด คิดว่าไว้เป็นพระพุทธเจ้าจะมาโปรดที่หลังแล้วกัน แฟนชอบคุยนานมาก ผมก็เลยไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิเหมือนก่อนเลย แต่ พักหลังนี้เริ่มเอาหนังสือธรรมมาอ่านแล้วก็รื้อฟื้นการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เริ่มทำบ่อยขึ้น แต่ผมรู้สึกดีใจอย่างหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่งผมอ่านหนังสือเกี่ยวกระสูตรนี้แหละ ผมก็รู้สึกว่า ผมได้พบกับพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะ ผมคิดว่าถ้าผมไม่ได้มาเกิดที่บ้านผมที่มีโครตนับถือศาสนาพุทธอย่างเหนี่ยวแน่น และถ้าผมไม่ชอบในธรรม และผมไม่มาเดินตามห้างสรรพสินค้า หาหนังสือธรรมอ่านแล้ว ผมก็ย่อมไม่พบ กับสิ่งที่ผมกำลังอ่านอยู่อยู่นี้เหมือนมันเป็นสิ่งที่บังเอิญอย่างมหัศจรรย์อย่างยิ่ง เหมือนกับพระองค์ตรัสอยู่ต่อหน้า ตอนนั้น ผมรู้สึกว่าผมพบกับพระพุทธเจ้าแล้ว ปลื้มปีติ บอกไม่ถูก ผมถึงจะอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปไหน แต่ผมก็มีคอมฯ ผมก็เข้า อินเตอร์เนต เพื่อ อ่านธรรมในเนตนี้แหละ แล้วก็ได้พบกับคนที่ปราถนาถึงพุทธภูมิ ผม ดีใจ นะที่มีคน คิดแบบนี้ ผมคิดว่า ขอให้ท่านทั้งหลาย อย่า ลาไปกันเสียก่อน เพราะ ต่อไปได้มีพระพุทธเจ้าสอนสัตว์ให้พ้นทุกข์ยิ่งเยอะยิ่งดี บ้างเว็บ มีมีคนเข้าไป ถาม อาจารย์ที่ มีพลังจิตรู้อนาคตรู้อดีต และก็บอกว่า เขาเป็นพุทธภูมิ เหลืออีกกี่ชาติ ผมเห็นแล้วก็ อยากจะรู้บ้าง แต่ ผมไม่กล้าถามเขาเหล่านั้น หรอก เกรงใจเขาน่ะ ผมเป็นคนขี้เกรงใจคน ขนาดหมานอนอยู่ผมยังค่อยๆหลีกมันกลัวมันตื่นเลย ยุงกัดผมก็ไม่ตบมันหรอกกลัวมันตาย มดตกน้ำนี้ต้องช่วยมัน ผมเป็นคนแบบนี้ ตั้งแต่จำความได้แล้ว ตอนเด็กๆพ่อผมมีเมียน้อย แม่ผมร้องไห้ทุกวันเลย ตอนนั้น ผมเรียน ชั้น ป.1 ได้มั้ง ตอนนั้นที่โรงเรียน สอนวิชาพุทธศาสนา เขาสอนให้นั่งสมาธิ ผมเห็นแม่ผมร้องไห้ ผมบอกแม่ว่า แม่นั่งสมาธิสิ แต่แม่ผมก็เชื่อผมนะท่านนั่งสมาธิ แล้วก็เข้าวัดไปนั่งสมาธิที่วัดไปทำบุญ แล้วก็ไม่เห็นแม่ผมร้องไห้อีกแล้ว แล้วพ่อผมเขาก็เลิกกับเมียน้อยผมไม่รู้หรอกเพราะอะไร พ่อจะมารอแม่ที่ไปนั่งสมาธิในวัดทุกวันเลยรอนานมาก แต่เขาก็รอนะ อืมตอนนั้น ผมไม่รู้อะไรนักหรอก เด็กตัวจิ๊ดเดียวเองนินา นอกเรื่องมาตั้งนาน พอผมเห็นเขาเหล่านั้นถามกันในเว๊บ ผมก็เลยอยากรู้บ้าง แต่ไม่กล้าถาม ก็เลยนึกในใจว่า ขอให้พระพุทธเจ้าพยากรณ์ให้ข้าพเจ้ารู้ทราบในความฝัน ว่าข้าพเจ้าจะเป็นพระสัมสัมพุทธเจ้าในอนาตคบ้างไหม ท่านที่อ่านอยู่อย่าหาว่าผมบ้าเลย ก็อยากรู้นินา ไม่มีใครบอกก็พึ่งพระพุทธนี้ละ หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าวันไหน ในฝัน ฝัน ว่า พบกับพระศรีอารย์แต่ในฝันท่านยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ฝันว่าบวชพระที่เดียวกับท่านแต่ในฝันรู้เองว่าเป็นใคร แล้วรู้ว่าท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตด้วย ก็ถือศีล ถูพื้นกวาดวัดอะไรแบบนี้ แล้ว ในฝันฝันว่า ท่านขนตาเข้าตา ผมก็เลยแคะขนตาที่ติดอยู่ในลูกตาให้ท่านขนตามันติดกันเป็นแผลง ผมก็แคะออกมาได้เยอะอยู่นะ แต่ รู้สึกว่าแคะออกไม่หมดละมั้ง แล้วก็ไปทำกิจวัตรต่อ แล้วภาพก็ตัดมาที่ว่า มี พระ 5รูป ในฝันบอกว่ามีพระ5รูป องค์แรก คือพระศรีอารย์ รูปร่างสูงใหญ่ ท่านวิ่งนำหน้า แล้ว อีกองค์ที่สองเป็นองค์เล็กๆตัวเตี่ยๆหน่อย เตี่ยกว่าผม องค์ที่สามก็คือตัวผมเอง แล้ว อีก สามองค์ องค์เท่าๆเท่า วิ่งตามหลังติดๆกัน สูงกว่าผมอีกมั้ง แต่ผมว่าผมฝันเห็นพระ5รูป (แต่ผมคิดว่าทำไม จำนวนเยอะกว่าที่รู้สึก มี6รูป ตอนที่คิดนี้ตอนนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว) ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ในฝัน วิ่งเป็นวงกลมหรือวงรีไม่ทราบ ก็คือวิ่งเป็นวงกลับมาที่เดิมแล้วกัน วิ่งไป ก็เหมือนว่า โดนทิ้งระยะ ไปพอสมควรแต่ก็ไม่ไกลมากนะ วิ่งไปได้สองรอบ องค์ที่อยู่หน้าผม ท่านบอกว่า ท่านกลับบ้านก่อนละ แล้วใน ฝันมีทางแยกออกไปเป็นทางเล็กๆแล้วท่านก็หยุดวิ่งแล้วแยกไปอีกทางก่อนไปท่านบอกว่า กลับบ้านก่อนนะ ไว้ไปเจอะกันที่บ้าน แล้วท่านก็บอกว่า มีญาติของผมไปร่วมขี้ในส้วมชายคาบ้านเดียวกับท่านด้วย ผมก็บอกว่า ญาติของผมก็ไปร่วมขี้ส้วมชายคาบ้านเดียวกับท่านเหมือนกัน(ตรงนี้ฟังดูแปลกๆนะครับ แปลกตรงส้วมชายคาเดียวกับบ้านนี้แหละ ) แล้วก็แยกกันไป ผมก็วิ่งตามพระรูปแรก พอไป ประมาณ ครึ่งรอบ (สองรอบครึ่ง) ในฝันตอนนี้ เหลือรูปแรก ตัวผม(ในฝันมองไม่เห็นตัวผมเอง(มุมมองบุคคลที่ 3 )นะแต่เห็นในมุมมองบุคคลที่ 1 เห็นมือเห็นเท้าแบบนี้ แบบคนธรรมดามองออกไปนั้นแหละ) กับพระอีก 3 รูป(เป็น5รูปละสงสัยที่ตอนแรกบอกว่า5คงเป็นเพราะแบบนี้มั้ง) สามรูปข้างหลังผมนี้เงียบมากไม่พูดอะไรเลยเคร่งมากตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเดียว ตอนนี้ จากวิ่ง ก็กลายเป็นเดินละ ตอนนี้ค่อยเดินตามทันหน่อย ตอนวิ่ง มีระยะห่าง ห่างเท่ากับช่วงตัวคน ก็ช่วงตัวพระรูปที่สองที่ท่านบอกว่ากลับบ้านนะ นั้นแหละ เลยมีช่วงว่าง พอจะไปรอบที่สาม ก่อนถึงรอบที่สาม ประมาณครึ่งรอบ มันมีสะพาน ข้ามน้ำไม่ใหญ่มาก พระรูปแรก ท่านข้ามไปแล้วผมกำลังจะข้าม แต่พระรูปแรกท่านเดินไปเหยียบหินเข้าหินก้อนเท่าหัวแม่เท้าได้ปลายแหลม ความรู้สึกว่าเหยียบเข้าไปก็กระโดดหย่องๆละ ผมกลัวท่านจะเจ็บ ผมคิดในใจเหมือนพูดกับท่านทางจิตละมั้ง บอกว่า ให้ใช้ปัญญา พิจารณา จะได้ไม่ทุกข์ประมาณนี้ แต่ท่านไม่แสดงท่าทีอะไรเลยยังกับว่าไม่ได้เหยียบหินอย่างนั้นแหละ ผมก็ก้าวพ้นสะพานมา แล้วจะขึ้นรอบที่สาม ผมก็ตื่นขึ้นมาเพราะแม่เรียก ผมก็นึกอยู่นะ ว่า ฝันบอกเหตุเราหรือเปล่า แต่ ถึงจะผ่านมานานละ ผมยังจำได้อยู่เลย ปกติ จำได้แปบเดียวความฝันนี้ ภาพชัดเจนมากไม่มัวๆหรือคลุมเคลือเหมือนฝันอื่นๆ
    อยู่มาวันหนึ่งไปไหว้พระหลวงพ่อบ้านแหลม ตอนเด็กแม่เคยพามายกให้ท่านเป็นพ่อ เพราะผมตอนคลอดออกมาผมขี้โรคพอยกให้แล้วไม่เป็นโรค ผมเลยค่อนข้างผูกพันธ์กับท่าน ผมเลย นึกถึงหลวงพ่อและก็พระพุทธเจ้าอธิฐานว่า ผมจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตไหม (ประมาณนี้แต่ตอนนั้น รู้สึกจะมีอะไรมากกว่านั้นแต่จำไม่ค่อยได้) แต่ ตอนจะเขย่าเซียมซี นี้สิ มันมีกระบอกสองอัน แต่ มันมีกระเปล่าอันนึงแล้วอีกอันเต็มแปะ ผมก็เลยค่อยๆ นั่งบรรจงเลือกที่เป็นติ๊วใช่ไหมไม่รู้นะว่ามันเรียกอะไร กว่าจะเลือก ครบอันที่เลือกไปใส่ในอันที่ว่าง ตอนนั้นมีคนมารออยู่หนึ่ง แต่ก็ทนรอไม่ไหว ออกไปก่อน แต่ผมก็ไม่วนใจหรอกเพราะ มันเสี่ยงไม่ได้อยู่แล้วตอนนั้น มันปนกันสะขนาดนั้น พอผมเลือกเสร็จผมก็เขย่า แล้วมันมีสองอันจะตกลงมา ผมเลยลดแรงลงหน่อย กลัวมันจะหล่นมาทั้งคู่ แล้วก็ได้มา หนึ่งอัน คือหมายเลข หนึ่ง หมายแรกที่ผมหยิบใส่ในกระบอกอันแรกนั้นแหละถ้าจำไม่ผิดนะ คำทำนายบอกว่า
    ใบที่๑
    ใบหนึ่งสมมาตรปราถนา (i) (i) ทายไว้ว่ามีคนชุบอุปถัมภ์
    หมายสิ่งใดที่ในจิตคิดจะทำ(i) (i) ว่าสำเร็จการประมาณมี
    แต่ช้าๆจึงจะสมอารมณ์ปอง(i) (i) ทั้งพวกพ้องปรีเปรมเกษมศรี
    ว่าอยู่เย็นเป็นสุขทุกเดือนปี (i) (i) แม้นในใบนี้ถามโรคที่โศกกาย
    ว่าคงจะเบาบางเหมือนอย่างว่า (i) (i) หรือถามหาลูกหนี้พี่น้องหาย
    ว่าคงพบประสบพักตร์เหมือนทักทาย (i) (i) หรือถามหมายหาลาภไม่หยาบคำ
    ว่าช้าๆคงจะสมอารมณ์นึก (i) (i) ได้ตรองตรึกเหล่ากอเป็นข้อขำ
    ถามหาคู่ดีนักเหมือนชักนำ (i) (i) ขอจบคำที่หนึ่งรำพึงเอยฯ

    ผมอ่านแล้ว ก็รู้ดีใจ แล้วก็เลย อธิฐานทุกวันอธิฐานพุทธภูมิประจำ รู้สึกมีกำลังใจอย่างบอกไม่ถูกเลย
    ผมเองก็อยากจะให้กำลังใจ กับเพื่อนผู้ปราถนาพุทธภูมินะนะครับถึงอาจจะนานและยาวไกล ผมก็ไม่อยากให้ท่านทั้งหลายท้อถอยนะครับ ผมจึงขอยก คำพูดใน ชนกชาดก ความว่า ฝ่ายนางมณีเมขลา เทพธิดาผู้รักษามหาสมุทร เห็นพระมหาชนก ว่ายน้ำอยู่เช่นนั้น จึงลองพระทัย พระมหาชนก "ใครหนอ ว่ายน้ำอยู่ได้ถึง 7 วัน ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง จะทนว่ายไปทำไมกัน" พระมหาชนกทรงตอบว่า "ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึง ฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง" นางมณีเมขลากล่าวว่า "มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่นัก ท่านจะพยายามว่ายสักเท่าไรก็คงไม่ถึงฝั่ง ท่านคงจะ ตายเสียก่อนเป็นแน่" พระมหาชนกตรัสตอบว่า "คนที่ทำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปในขณะกำลังทำ ความเพียรพยายามอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดมาตำหนิติเตียนได้ เพราะได้ทำหน้าที่เต็มกำลังแล้ว " นางมณีเมขลาถามต่อว่า "การทำความพยายามโดยมองไม่เห็น ทางบรรลุเป้าหมายนั้น มีแต่ความยากลำบาก อาจถึงตายได้ จะต้องเพียรพยายามไปทำไมกัน" พระมหาชนกตรัสตอบว่า "แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เรา กำลังกระทำนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม ถ้าไม่เพียรพยายามแต่กลับหมดมานะเสียแต่ต้นมือ ย่อมได้รับ ผลร้ายของความเกียจคร้านอย่างแน่นอน ย่อมไม่มีวัน บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ บุคคลควรตั้งความเพียรพยายาม แม้การนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม เพราะเรามีความพยายาม ไม่ละความตั้งใจ เราจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ในทะเลนี้ เมื่อคนอื่นได้ตายกันไปหมดแล้ว เราจะพยายามสุดกำลัง เ พื่อไปให้ถึงฝั่งให้จงได้" นางมณีเมขลาได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยสรรเสริญความเพียร ของมหาชนกกุมาร และช่วยอุ้มพามหาชนกกุมาร ไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา วางพระองค์ไว้ที่ศาลาในสวนแห่งหนึ่ง<O:p</O:p
    เป็นกำลังใจให้นะครับ ส่วนความฝันของผม ผมก็แปลได้มั้งไม่ได้มั้ง แต่ผมก็ดีใจอย่างประหลาดที่เดียว<O:p</O:p
    คุณคิดว่าอย่างไร และคุณละ เคยถามใครบ้างไหมหรือว่าเคยทำอย่างเดียวกับผมนี้ไหมครับที่ถามให้บอกในความฝัน ถามด้วยเซียมซี แต่ผมถามด้วยความเคารพ แชร์ประสบการณ์ของท่านบ้างนะครับ
     
  2. Bhoti

    Bhoti สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +11
    พระโพธิสัตว์ มี ๒ ประเภท ๑ คือนิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้ได้รับพยากรณ์แล้วจากพระอดีตพุทธเจ้าว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอนไม่เปลี่ยนแปร ๒ คืออนิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ยังมิได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดเลย กล่าวคือประเภทแรกจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ส่วนประเภทที่๒ นั้นแม้ว่าจะปรารถนาพุทธภูมิแต่ก็ไม่ได้เป็น ถ้ากล่าวถึงสวรรค์ชั้นดุสิต อันเป็นที่อยู่แห่งเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายอันหาประมาณมิได้แล้วนั้น ผู้ได้รับคำพยากรณ์อาจเป็นเพียง ๑ ในล้านพระองค์ก็ว่าได้ และเมื่อศึกษาถึงตำราพระอนาคตวงศ์แล้วลองนับดูระยะเวลาตั้งแต่พระศรีอาริยเมตตรัย จนจบพระสุมงคลพุทธเจ้าแล้วนับเป็นเวลาได้หลายอสงไขยแผ่นดิน จึงมีแนวคิดสำหรับพระอนุโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ยังมิได้รับคำพยากรณ์นั้นในการที่จะสละเสียซึ่งโพธิญาณเพื่อหวังเอามรรคผลนิพพานให้ปรากฏ ด้วยเหตุที่ว่าในวัฏสงสารนั้นมีแต่ความทุกข์ระทม สัตว์ทั้งหลายที่ร้องระงมเพราะยังไม่สามารถหาแนวทางหลุดพ้นจากความทุกข์ก็มีปรากฏให้เห็นเพื่อประเทืองปัญญา ผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์ บางท่านพิจารณาถึงข้อดังกล่าวแล้วจึงสละเสียซึ่งพระโพธิญาณนั้นเสีย เพื่อหวังเอาพระนิพพานให้บังเกิด เป็นพุทธสาวกที่ดี ช่วยสืบอายุให้แก่พระพุทธศาสนาสืบไป จะมีบางท่านที่ถึงแม้จะไม่ได้รับพยากรณ์แต่ก็ยังมีความเพียรเร่งสร้างพระโพธิญาณนั้น ผมก็ขออนุโมทนาด้วย เพราะถึงจะสละหรือไม่ ก็ได้ชื่อว่าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มีความสุขและเข้าถึงความสุขในเบื้องปลาย ส่วนการที่จะถามว่าจะได้รับพยากรณ์หรือไม่นั้น ท่านคงต้องอธิษฐานให้ได้พบกับพระศรีอาริยเมตไตรหรือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปแล้วหละเพราะเรื่องการพยากรณ์พระพุทธเจ้าไม่ใช่กิจของบุคคลทั่วไป อันที่จริงบางท่านที่ได้อภิญญาก็สามารถล่วงรู้ถึงปุพเพแต่ชาติก่อนว่าท่านเคยได้หรือไม่ แต่อีกวิธีไม่ต้องพึ่งใคร ปฏิบัติจนเกิดอภิญญาขึ้นจึงจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ขออนุโมทนานะครับ
     
  3. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    เหิรฟ้าไปหาดาว

    ที่วับวาวกลางเวหา
    เป็นห่วงว่าคุณจะถูกกิเลศลวงเข้าให้แล้ว ให้ถอนความปรารถนาเสีย
    ขนาดพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านยังละเสียซึ่งพุทธภูมิ ปรารถนาเพียงหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ ปฏิสัมภิทัปปัตโต แต่น่าจะขาดเพียงอภิญญาเดียวหรือไม่ต้องค้นคว้ากันต่อไป คือท่านทรงคุณธรรมพิเศษกว่าพระอรหันต์อีกสองรูปแบบ เป็นแบบที่ดีที่สุด
    ส่วนศิษยานุศิษย์ของท่านก็มีมากที่ตามท่านไปสุดแล้วแต่วาสนาบารมีของแต่ละองค์
    ส่วนคุณน่าจะเหมือนบุคคลทั่วๆไป ที่ยังติดหลงอยู่ เข้าใจผิดไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร
    สมัยพุทธกาล ไม่มีโลกาภิวัติน์ ฆาราวาสบรรลุธรรมง่ายกว่าปัจจุบันมากกว่าสมัยนี้
    ดังนั้นพระพุทธองค์จึงสร้างเครื่องมือไว้ให้ ดังนี้
    1.ต้องบวช
    2.ต้องยึดธุดงค์13 และขันธวัตร 14 เป็นเครื่องทรมาณกิเลศกาย
    3.ต้องยึดกรรมฐาน40เป็นเครื่องมือทรมาณกิเลศใจจึงจะไปได้ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป
    แต่ถ้าเป็นแค่ฆาราวาส ให้เกิดและตายพันชาติ ก็มิอาจไปได้เลยในปัจจุบันนี้
    ประเภทที่นั่งอยู่ตามวัดในเมือง ในบ้าน หาสาระแก่นสารมิได้ ป่ายังมิเคยเดิน แล้วจะปรารถพุทธภูมิได้อย่างไรในปัจจุบัน
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ทำได้...ทำไม่ได้
    อยู่ที่ตัวเราเอง
    เมื่อเรามี "สัจจะ"...พูดจริง ทำจริง ตั้งใจแล้วทำได้จริง
    หนทางตรง...จึงจะเกิดขึ้นจริงกับตัวของเรา
    ใคร จะเป็นพระพุทธเจ้า...ทุกอย่างจะเป็นไปเอง เกิดขึ้นตามสัญญา
    พบ และพิจารณา "หลักสัจจะธรรม"....เผยแพร่ "การปฏิบัติสัจจะ" นำทางสัตว์ให้หลุดพ้น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    คุณpatuwan
    การจะบำเพ็ญพุทธภูมิหรือไม่ไม่ใช่ความผิดหรือบาป ถามใจคุณในประจุบันว่าต้องการทำดีเพื่อหลุดพ้นหรือจะทำเพื่อพระโพธิญาณแรกๆคุณเข้ามาอ่านข้อความในเว็บพลังจิตนี้ทำไมคุณต้องมาอ่านเรื่องของพุทธภูมิทำไมต้องทิ้งอีเมลให้อาตมาตอบแรงจูงใจคุณคือเขาว่าผมเป็นพุทธภูมิหรือคุณเป็นเพราะคุณเคยเป็น! อย่าลืมสันดานว่าหรือนิสัยจะติดตามเราไปทุกชาติการบำเพ็ญพระโพธิญาณไม่ได้เลวร้ายกลับใจจะเลือกเป็นอรหันต์ก็บันลุได้ง่าย หรือบารมีเลยเขตปรมัตบารมีก็จะเข้มแข็งด้วยตัวเองเพราะบารมีไม่ได้อยู่ที่การร้องขอเมื่อคุณทำดีในระดับที่ควรแก่ธรรมมีความกตัญญูอันยิ่งและทำดีโดยไม่เห็นแก่ตนเองมากกว่าช้วยผู้อื่นพระอริยะเจ้าหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะมาแก้ข้อกังขาให้กับคุณเองจะสาวกหรือโพธิญาณขอให้คุณอดทนไปก่อนพรุ้งนี้ต้องดีกว่าอาตมาจับสำนวนการคิดการเขียนเทียบอารมณ์ความเคารพในธรรมและการมองเห็นจิตใจและการกระทำของผู้อื่นอย่างสุขุมรอบคอบหากทิ้งความขัดแย้งใจเรื่องรับขันครูไปคุณก็บำเพ็ญบารมีต่อได้เกาะพระพุทธเจ้าใว้ทุกวันจิดใจคุณจะเข้มแข็งและมีพุทธิปัญญาเรื่องขันครูวางไว้ก่อนไว้มีปัญญาแล้วจะรับหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหา
    เจริญพร
    พระ 12
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2009
  6. savant

    savant สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบคุณ สำหรับ ความคิดเห็นและประสบการณ์ที่ตอบกันเข้ามานะครับ แต่สำหรับผม ก็จะไม่ ล้มหรือ ถอน ปราถนานี้หรอกครับ พระสงฆปรินายก เว่ยหล่าง,ฮวงโป พูด ว่า จิตก็คือพุทธะ พ้นจากนี้ไม่พุทธะที่ไหนอีก
    ท่านลองอ่านแหละศึกษา คำสอน ของท่านทั้งสองนี้ ดู สิ ครับ ท่านอาจจะ พบอะไรบ้างอย่างก็ได้ เซน ไม่ได้ แยกจากหรือขัดแย้งกับ นิกายอื่นๆเลย ผู้เข้าใจ เซน ย่อมทราบว่า เซน ไม่ได้ เยาะเย้ย หรือ ว่าร้ายนิกายอื่นเลย เพียงแต่ เซน สอนให้เข้าใจฉับพลัน ส่วนนิกายอื่นถ้าผู้มีปัญญาก็สามารถเข้าใจได้ฉับพลันเช่นกัน เชื่องช้าหรือฉับพลัน ผลที่สุดก็ถึงจุดหมายเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างเชื่องช้า หรือฉับพลันเลย อย่าได้ยึดติดเลยว่า ว่านั้น หินยาน นี้มหายาน เพราะแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงกุศโลบาย กุศโลบายเพื่อใช้กับคนประเภทต่างๆ สามยานคือเป็นเพียงกุศโลบายของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยพระเมตตาของพระองค์ทรงทำให้ผู้รับการสอนพัฒนาไปสู่ระดับที่พวกเขาสามารถเชื่อในเอกพุทธยานได้ ดั่งนิทานอุปมาอุปมัย ในพระสูตร ชื่อสัทธรรมปุณฑริกสูตร ว่า สมมุติว่าในเมืองหนึ่งแห่งประเทศหนึ่ง มีมหาเศรษฐีมหาศาลผู้มีอายุมากแล้วคนหนึ่ง บ้านของมหาเศรษฐีเป็นคฤหาสน์กว้างใหญ่มากแต่มีเพียงประตูเดียว บ้านหลังนี้เก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมมากเกือบจะพังอยู่แล้ว กับสกปรกมีกลิ่นเหม็นและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ภูติผีปีศาจร้ายนานาชนิด วันหนึ่งเศรษฐีออกไปทำธุระนอกบ้านเมื่อกลับมาเห็นไฟลุกไหม้ทุกด้านและลุกลามไปทุกห้องทุกแหงในบ้าน เศรษฐีนี้มีบุตรอยู่ในบ้านหลายคนอาจมีถึงสามสิบคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับกับละเล่นต่างๆ ไม่ได้สนใจหรือรู้ว่าบ้านกำลังไฟไหม้อยู่ เศรษฐีเมื่อเห็นไฟไหม้บ้านตกใจมาก ตอนแรกคิดที่จะนำเอาลูกๆ ออกจากบ้านด้วยกำลังของตนเอง แต่เพราะบ้านมีประตูเดียวเขากลัวว่าจะมีลูกหลงเหลือตกเป็นเหยื่อของไฟที่เขาได้พยายามแล้ว เขาจึงร้องตะโกนบอกให้ลูกๆรีบหนีไฟออกมาจากบ้านเร็วๆแต่เด็กๆไม่เข้าใจว่า ไฟ คืออะไร เศรษฐีรู้ว่าเด็กๆชอบเล่นของเล่นโดยเฉพาะของเล่นที่หาได้ยาก เขาจึงคิดอุบายมาใช้ของเล่นมาล่อให้ลูกๆออกจากบ้านไฟไหม้ โดยร้องบอกลูกๆว่า ข้างนอกหน้าบ้านมีของเล่นประเภทรถ 3 ชนิดที่พวกเขาชอบและอยากได้ ได้แก่ รถเทียมแพะ รถเทียมกวาง และรถเทียมโค พอได้ยินดังนี้พวกลูกๆต่างแย่งกันออกมาจากบ้านทางประตูในทันทีเพื่อที่จะได้ของเล่นที่ต้องการ
    มหาเศรษฐี มีความสุขใจมากที่ได้ทำให้ลูกๆออกจากบ้านไฟไหม้มารวมกันอยู่ในลานกว้างที่ปลอดภัย ส้วนลูกๆเมื่อได้ออกมาแล้วต่างเรียกร้องให้บิดามอบของให้ตนตามสัญญา บ้างขอรถเทียมแพะ บ้างขอรถเทียมกวาง บ้างขอรถเทียมโค แต่บิดาได้สร้างรถคันใหญ่ประดับด้วยวัตถุมีค่าเจ็ดชนิดอันสวยงามและเทียมด้วยโคขาวใหญ่อันอ้วนพีและแข็งแรง และมอบรถชนิดเดียวนี้ให้แก่ทุกคน เพราะเศรษฐีรักลูกทุกคนเท่าเทียมกันและมีทรัพย์มากถึงจะมอบของวิเศษอย่างนี้ให้แก่คนทั้งประเทศก็ยังไม่หมด พวกลูกๆในเวลานั้นต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีขึ้นขี่รถประดับเพรชพลอยแล้วขับไปในทุกทิศทุกทางด้วยความยินเพลินเพลินและสนุกสนานอย่างเป็นอิสระและปราศจากอุปสรรค
    บ้านที่ทรุดโทรมหมายถึงโลกของเรานี้ และไฟหมายถึงความเกิดแก่เจ็บตาย ความวิตกกังวล และกิเลสตัณหาต่างๆ มหาเศรษฐีหมายถึงพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกเพื่อช่วยปวงชนให้พ้นทุกข์ ลูกๆหมาถึง สรรพสัตว์ทั้งหลาย และของเล่น ที่พวกเขาสนุกสนานหมายถึง กามคุณ 5 หรือความอยากได้ใคร่มีทางโลก การหลงไหลเพลิดเพลินอยู่กับการละเล่นจนไม่สนใจคำร้องเตือนของบิดา แสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่เคยตะหนักถึงความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลาย หรือไม่เคยแสวงหาการรู้แจ้งความจริงเลย แต่กลับใช้กำลังความสามารถทั้งหมดในการแสวงหาคว้าใฝ่แต่ทรัพย์และเกียรติยศชื่อเสียง
    ในตอนแรกมหาเศรษฐีคิดจะเอาลูกๆออกกจากบ้านด้วยกำลังของตนเอง หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าทรงคิดช่วยสรรพสัตว์ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์แต่ไม่ทรงใช้ นี้แสดงว่าความเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้าเพียงอย่างเยวไม่อาจช่วยได้ ถ้าหากตัวประชาชนเองไม่พยายามดิ้นรนไปสู่ความพ้นทุกข์ วิธีการปฏิบัติของเศรษฐีที่ใช้ช่วยลูกๆตรงกับ กุศโลบาย ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้การนำพาสรรพสัตว์ไปสู่การตรัสรู้ รถเทียมแพะหมายถึงสาวกยาน รถเทียมกวางหมายถึงปัจเจกพุทธยาน และรถเทียมโคหมายถึงโพธิสัตวยาน ซึ่งเหล่านี้เป็นอุบายวิธีที่พระพุทธเจ้าใช้นำพาปวงชนไปสู่เอกพุทธยาน ซึ่งแสดงโดยรถสวยงามที่สุดคันใหญ่เทียมด้วยโคขาวใหญ่แข็งแรง และที่มหาเศรษฐีมอบรถคันนี้ให้แก่ลูกเหมือนกันหมด หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงนำสรรพสัตว์ไปสู่การตรัสรู้สัมมบูรณ์สูงสุดอย่างเท่าเทียมกันโดยเอกพุทธยานนี้เท่านั้น เมื่อบรรยายนิทานเรื่องนี้จบลงแล้วพระพุทธเจ้าได้กระตุ้นเตือนให้ทุกคนในที่ประชุมเชื่อในเอกยานแห่งสัทธรรมปุณฑริกสูตร เพราะผู้ที่มีความเชื่อนั้นสามารถบรรลุพุทธมรรคได้ทุกคน
    ท่านทั้งหลายอย่าได้หลบหลู่ดูมิน สัทธรรมปุณฑริกสูตร นะครับ เพราะเป็นผลกรรมหนัก
    สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนสามารถตรัสรู้ได้
    การอ่านการฟังเรื่องสิ่งใด ควรทำใจให้กว้างไร้ขอบเขต อย่าได้ดื้อรั้นหัวชนฝา ขอให้พิจาณาด้วยใจ นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...