พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table id="post5122668" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> เมื่อวานนี้, 04:41 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #46551 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> Lee_bangkok
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Dec 2010
    ข้อความ: 702
    พลังการให้คะแนน: 81 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5122668" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> คุณหนุ่มครับ ทางสำนักสงฆ์รักถิ่นไทย จะทำการส้รางเจดีย์เพื่อบรรจุพระธาตุ และวัตถุมงคล ไม่ทราบคุณหนุ่มสนใจนำวัตถุมงคลไปร่วมบรรจุไหมครับ ทางเชียงใหม่หรือเชียงรายมังครับ ลืมถามท่านไปนะครับผม
    </td></tr></tbody></table>

    ----------------------------------------------------------------


    ไม่เป็นไรครับ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table id="post5122904" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">เมื่อวานนี้, 05:53 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #46553 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> santacros
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Oct 2007
    ข้อความ: 8
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5122904" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> ผมเป็นคนนึงที่เลื่อมใสในหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร และ หลวงปู่โต ครับ อยากได้พระที่หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร และ หลวงปู่โตปลุกเสกเพื่อเป็นพุทธบูชาครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้ยังแจกให้กับผู้ที่ทำบุญรึเปล่าครับ
    </td></tr></tbody></table>






    ยังแจกอยู่ครับ

    สำหรับท่านที่ร่วมทำบุญ 1,000 บาท ผมมอบพระวังหน้าให้ 1 องค์(โดยผมเป็นผู้เลือกพระพิมพ์ให้)

    ให้ร่วมทำบุญ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    บมจ.ธ.กรุง ไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ


    การร่วมทำบุญเืพื่อรับพระวังหน้าในกระทู้พระวังหน้าฯและกระทู้ที่sithiphong ได้ตั้งขึ้นเพื่องานบุญทุกๆงาน

    หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระพิมพ์ลงในเว็บครับ

    หมายเหตุ พระ พิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องไทย(วง การซื้อ-ขายพระ) ได้ หากท่านต้องการพระพิมพ์(พระเครื่องที่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่อง ของเมืองไทย (วงการซื้อ-ขายพระ) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป

    แต่ พระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่ผมมอบให้นั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า โดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 หรือ พระที่สร้างขึ้นที่วังหลวง นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ปี พ.ศ.2429-2434

    แต่ หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

    ซึ่ง เรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

    โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ


    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ความรู้ที่ถูกจองจำ: หนังสือต้องห้ามในราชวงศ์ชิง <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="middle">โดย ชัยพร พยาครุฑ</td> <td class="date" align="left" valign="middle">16 กันยายน 2554 14:16 น.</td> </tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">รศ.ดร.พัชนี ตั้งยืนตรง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ศึกษาวิจัย “ความรู้ที่ถูกจองจำ: หนังสือต้องห้ามในราชวงศ์ชิง”</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">“หนาน ซานจี๋” ของไต้หมิงซื่อ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง และบรรยายเหตุการณ์ราชวงศ์ชิงสังหารบรรดาพระโอราสของจักรพรรดิหมิงฉงเจิน เป็นเหตุให้เขาถูกประหารชีวิต</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">หงโหลวเมิ่ง หรือ “ความฝันในหอแดง” ของเฉาเสวี่ยฉิน เล่าเรื่องความตกต่ำของขุนนางสะท้อนความเสื่อมทรามของสังคมศักดินาจีน</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">สุ ยหู่จ้วน หรือ “วีรบุรุษเขาเหลียงซาน” หรือ “ซ้องกั๋ง” ของซือไน่อั้น สะท้อนให้เห็นเหล่าวีรบุรุษที่ถูกกดขี่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ไปรวมตัวกัน บนเขาเหลียงซานปล้นสะดมไปช่วยคนจน</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">ซี เซียงจี้ หรือ “บันทึกหอตะวันตก” ของหวงสือฝู่ โดยทั่วไปจารีตของชายจีนคือ การสอบจองหงวนและการแต่งงาน แต่วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงเสรีภาพทางความรักอันขัดต่อขนบเดิม จึงกลายเป็นหนังสือต้องห้ามด้วย</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">โย่วผู่ถ วน หรือ “อาสนะแห่งเลือดเนื้อ” (Sex&Zen) ของหลี่อี๋ว์ ราชสำนักชิงเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ทำลายศีลธรรมอันดีงามของสังคมและเป็น อันตรายต่อสถาบันครอบครัว </td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">“จิ นผิงเหมย” หรือ “บุปผาในกุณฑีทอง” ผู้แต่งใช้นามปากกาว่า หลานหลิงเซี่ยวเซี่ยวเซิง เรื่องนี้สะท้อนภาพสังคมหย่อนยานในสมัยราชวงศ์หมิง มีการบรรยายบทสังวาสอย่างพิสดารด้วย</td> </tr> </tbody></table>


    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td> <td align="center" background="/images/linedot_vert.gif" valign="middle" width="1">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="right" height="1" valign="top" width="1">[​IMG]</td> <td align="center" background="/images/linedot_hori.gif" height="1" valign="top">[​IMG]</td> <td align="left" height="1" valign="top" width="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ภาพวาดโบราณการแสดงงิ้ว ปักกิ่งในสมัยราชวงศ์ชิง (ภาพไป่ตู้) แม้ราชสำนักจะเป็นชาวแมนจูแต่ก็สามารถใช้กลไกปราบปรามและอุดมการณ์ครอง บัลลังก์มังกร และทำให้ชาวฮั่นยอมสยบได้


    “หนังสือ มิใช่เป็นเพียงสิ่งบรรจุข้อมูลข่าวสารความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษย์ และแฝงคุณค่าสำคัญบางอย่างอยู่ในอักขรวิธี เมื่อรัฐต้องการสร้างกลไกควบคุมอุดมการณ์บางอย่าง จึงทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า หนังสือต้องห้าม”

    รศ.ดร.พัชนี ตั้งยืนตรง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเรื่องก่อนเข้าสู่การประชุมวิชาการในหัวข้อ “เหตุเกิดราชวงศ์ชิง” (9 ก.ค. 2554) ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องประชุมประกอบหุตะสิงห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ภายใต้ความร่วมมือของโครงการจีนศึกษา ศูนย์การเรียนรู้จีนศึกษาบรมราชกุมารี สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา และ โครงการปริญญาโทวัฒนธรรมศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    สำหรับราชวงศ์ชิง (แมนจู) ที่สามารถครองแผ่นดินจีนอยู่ได้นานถึง 200 กว่าปี (พ.ศ.2187-2406) โดยชนเผ่าชาติพันธุ์อื่นที่ชาวจีนฮั่นขนานนามว่า “อนารยชน” นั้น ผู้ปกครองแมนจูจึงจำต้องใช้กลวิธีบางประการมาสยบชาวจีนฮั่น ทั้งนี้งานศึกษาหลายชิ้นระบุว่า กษัตริย์แมนจูใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ กล่าวคือ สำหรับผู้ที่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ แต่หากใครแข็งขืน ก็จะต้องโทษรุนแรง ดังกรณีตัวอย่างการโกนผมครึ่งหัวแล้วไว้ผมเปีย เมื่อราชวงศ์ชิงสถาปนาอำนาจ บุรุษเพศมีทางเลือก 2 ทางคือ จะยอมให้ตัดผมครึ่งกบาล หรือจะให้ตัดศีรษะ

    นอกจากไม้แข็งและไม้นวมอัน เป็นเครื่องมือที่ใช้อย่างกว้างขวาง ยังมีอีกไม้หนึ่งที่ รศ.พัชนี สนใจศึกษา นั่นก็คือองค์ความรู้ หรือ “หนังสือ”

    รศ.พัชนีชี้ว่า รัฐทั้งหลายจะมีเสถียรภาพอยู่ได้ต้องใช้กลไกหนึ่งคือ การปราบปราม โดยกลไกการปราบปรามนี้ ยังแบ่งเป็นการปราบปรามด้วยกำลัง และการปราบปราบด้านอุดมการณ์ สำหรับหนังสือต้องห้ามเป็นกลไกทางอุดมการณ์ที่ราชวงศ์ต่าง ๆ ของจีนให้ความสำคัญ ดังเช่นราชวงศ์ฉิน (ก่อนค.ศ. 221-202 ปี) ที่มีการเผาตำรา สังหารบัณฑิตขงจื่อ เพื่อควบคุมความคิดประชาชนให้สยบใต้อำนาจจักรพรรดิ ขณะที่ราชวงศ์ชิง รศ.พัชนีพบว่า มีการควบคุมหนังสือต้องห้ามมากที่สุด จึงอาจกล่าวได้ว่า หนังสือบางประเภทที่รัฐเห็นว่าทรงพลานุภาพสั่นสะเทือนเสถียรภาพของรัฐ ก็จำต้องคุมให้อยู่หมัด

    เมื่ออนารยชนอย่างแมนจู ขึ้นครองบัลลังก์มังกร ย่อมหวาดระแวงอำนาจเก่าคือทายาทแห่งราชวงศ์หมิงที่ถอยร่นมาอยู่ทางตอนใต้ เรียกว่า “หนานหมิง” จะหวนกลับมาทวงคืนอำนาจ และในการผนึกและรักษาอำนาจผู้ปกครองชิงได้ปฏิบัติการสร้างอัตลักษณ์ “จีน” ขึ้นใหม่ อันดับแรกคือ ปรับมโนทัศน์ให้แมนจูครองอำนาจโดยชอบธรรม จักรพรรดิแมนจูจึงไม่ลังเลที่จะรับวัฒนธรรมฮั่น เพื่อให้กลายเป็นโอรสสวรรค์อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ด้วยมีอาณาเขตกว้างใหญ่มากที่สุดยุคราชวงศ์หนึ่ง ครอบคลุมดินแดนของต่างชนชาติต่างวัฒนธรรมไกลไปทางตะวันตกถึงซินเจียงของชนชา ติอุยกูร์ที่นับถือมุสลิมทั้งมีความใกล้ชิดกับชนชาติในเอเชียกลางมากกว่า และชนชาติทิเบตที่มีวัฒนธรรมแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เป็นต้น ดังนั้น จึงสร้างรัฐพหุชาติพันธุ์แห่งชาวฮั่นและไม่ใช่ฮั่น และรัฐพหุวัฒนธรรมของชุมชนขงจื่อและชุมชนที่ไม่ใช่ขงจื่อ ไม่ว่าจะนับถือขงจื่อ อิสลาม หรืออื่น ๆ ก็สามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้กฎหมายราชสำนักชิง ทั้งนี้ ขงจื่อให้คุณค่าแก่สถาบัน ทำให้จีนจีนปกครองด้วยระบบจักรพรรดิมาได้หลายพันปี

    ภายใต้กระบวนการครองบัลลังก์มังกรของราชวงศ์ชิง การควบคุมทางความคิดก็เป็นสิ่งที่มิอาจเลี่ยง ราชสำนักชิงปราบปรามหนังสือต้องห้ามด้วยการสั่งห้าม บ้างก็ทำลาย หรือไม่ก็ฟ้องร้องคดี โดยองค์ความรู้ที่ถูกพันธนาการเหล่านั้น ได้แก่ หนังสือที่อาจกระตุ้นความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ หนังสือที่เสนอแนวคิดต่อต้านอำนาจการปกครอง และเนื้อหาที่สั่นสะเทือนศีลธรรมอันดีงามของสังคม ดังเช่น หนังสือ “หนานซานจี๋” ของไต้หมิงซื่อ เขาเขียนประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง ซึ่งกล่าวยกย่องหนานหมิง และการสังหารจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิงไว้ด้วย ทำให้ท้ายที่สุด ไต้หมิงซื่อถูกประหารชีวิต และลูกหลานญาติพี่น้องต่างต้องอาญาโทษฐานพัวพันกันทั่วหน้า

    นอกจากนั้นยังมีหนังสือในกลุ่มสี่ยอดวรรณกรรม “หงโหลวเมิ่ง” ฉบับพากย์ไทยใช้ชื่อเรื่อง “ความฝันในหอแดง” แปลโดยวรทัศน์ เดชจิตกร เล่าเรื่องความตกต่ำของขุนนางสะท้อนความเสื่อมทรามของสังคมศักดินาจีน เล่มนี้ก็จัดเป็นหนังสือต้องห้ามด้วย ยังมีเรื่อง “สุยหู่จ้วน” ฉบับ พากย์ไทยมีชื่อ ได้แก่ “ซ้องกั๋ง: 108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน” “ซ้องกั๋ง: วีรบุรุษเขาเหลียงซาน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นเหล่าวีรบุรุษที่ถูกกดขี่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ไปรวม ตัวกันบนเขาเหลียงซานปล้นสะดมไปช่วยคนจน เล่มนี้ก็กลายเป็นหนังสือต้องห้ามเพราะอาจเป็นแบบอย่างให้ปัญญาชนจีนหนีเข้า ป่าซ่องสุมกำลังมาโจมตีราชสำนักได้

    หนังสือต้องห้ามอันดับต่อๆมา ได้แก่ หนังสือ “ซีเซียงจี้” หรือ “บันทึกหอตะวันตก” จารีตที่ชายจีนโดยทั่วไปถือปฏิบัติกันคือ การสอบจองหงวนและการแต่งงาน แต่วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงเสรีภาพทางความรักอันขัดต่อขนบเดิม ทางการเกรงว่าหนุ่มสาวจะนำมาเป็นแบบอย่างและทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม ส่วนอีกเล่มอันเป็นที่รู้จักกันดีก็คือ “โย่วผู่ถวน” (หรือ อาสนะแห่งเลือดเนื้อ) ฉบับพากย์ไทยมีชื่อว่า “บัณฑิตก่อนเที่ยงคืน” แปลโดยชลันธร และยังถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Sex and Zen เรื่องนี้ถูกห้ามเพราะราชสำนักเห็นว่าทำลายศีลธรรมอันดีงามของสังคมและเป็น อันตรายต่อสถาบันครอบครัว และ “จินผิงเหมย” ฉบับพากย์ไทยมีชื่อว่า “บุปผาในกุณฑีทอง” แปลโดยยาขอบ เรื่องนี้สะท้อนภาพสังคมหย่อนยานในสมัยราชวงศ์หมิง มีการบรรยายบทสังวาสอย่างพิสดาร ก็ถูกสั่งกลายเป็นหนังสือต้องห้าม เพราะเกรงจะทำลายศีลธรรมอันดีงามเช่นกัน

    โทษทัณฑ์สำหรับผู้เขียน ผู้จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองก็แตกต่างกันไป มีตั้งแต่ ประหารชีวิต จำคุก ปลดจากตำแหน่ง โบย เนรเทศ คดีที่เกิดจากหนังสือต้องห้าม รศ.พัชนี เรียกว่า “อาชญาทางภาษา” ในสมัยจักรพรรดคังซี หย่งเจิ้ง และเฉียนหลง ดำเนินนโยบายหนังสือต้องห้ามแรงที่สุด มี“อาชญาทางภาษา”มากถึง 70 กว่าคดี สำหรับบางคนที่ต้องโทษประหารแม้เสียชีวิตไปแล้ว ศพก็ถูกขุดขึ้นมาทำลาย และครอบครัวต้องเป็นผู้รับราชอาชญาแทน

    อย่างไรก็ดี ราชวงศ์ชิงก็มีกลไกรวบรวมหนังสือที่ “ไม่ต้องห้าม” จัดออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ ปรัชญาขงจื่อ ประวัติศาสตร์ ปรัชญาสำนักอื่น ๆ และหมวดเบ็ดเตล็ด เรียกว่า ประมวลสาส์นสี่พระคลัง รศ.พัชนีชี้ว่า กลไกประมวลสาส์นนี้ทำหน้าที่ควบคุมทางความคิดโดยปลูกสร้างทัศนคติให้เอื้อ แก่การปกครองของรัฐ

    ความสำเร็จในการครองบัลลังก์ มังกรของชาวแมนจูโดยทำให้ชาวฮั่นยอมสยบอยู่ได้นั้น เกิดมาจากการสร้างกลไกทางการเมืองและวัฒนธรรม ทั้งนี้ “หนังสือ” หรือองค์ความรู้ เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งสำหรับการครองอำนาจ จึงอาจกล่าวได้ว่า ...“อำนาจ ก็คือการผูกขาดความรู้ด้วยนั่นเอง” รศ.พัชนีทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ.

    คลิกอ่าน

    - ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิงตอนต้น

    - ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิงตอนกลาง


    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000117401-

    .
     
  4. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ข่าวพี่จิ๋วครับ จากผู้จัดการออนไลน์ครับ:cool::cool::cool:

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เปิดใจร้อยตรี เอกชัย ผู้มีธรรมะ ถูกแดง นปก.ยิงทะลวงปอดเฉียดตาย ยังไม่โกรธ-กับ 2 สหายพันธมิตรฯ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>13 กันยายน 2554 13:58 น.</TD><TD vAlign=center align=left><SCRIPT type=text/javascript src="http://platform.twitter.com/widgets.js"></SCRIPT><IFRAME style="WIDTH: 110px; HEIGHT: 20px" class="twitter-share-button twitter-count-horizontal" title="Twitter For Websites: Tweet Button" src="http://platform.twitter.com/widgets/tweet_button.html#_=1316253181609&count=horizontal&id=twitter_tweet_button_0&lang=en&original_referer=http%3A%2F%2Fwww.manager.co.th%2FLocal%2FViewNews.aspx%3FNewsID%3D9540000116188&text=%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%20%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%20%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%20%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%20%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%81.%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%20%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%98-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%202%20%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AF&url=http%3A%2F%2Fwww.manager.co.th%2FLocal%2FViewNews.aspx%3FNewsID%3D9540000116188&via=ASTVManager" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>

    <SCRIPT type=text/javascript src="http://static.ak.fbcdn.net/connect.php/js/FB.Share"></SCRIPT>Share52
    <SCRIPT type=text/javascript src="https://apis.google.com/js/plusone.js"> {lang: 'th'}</SCRIPT><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; BORDER-RIGHT-STYLE: none; MARGIN: 0px; WIDTH: 90px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 20px; VISIBILITY: visible; BORDER-LEFT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1316253182140 title=+1 tabIndex=-1 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/u/0/_/+1/fastbutton?url=http%3A%2F%2Fwww.manager.co.th%2FLocal%2FViewNews.aspx%3FNewsID%3D9540000116188&size=medium&count=true&annotation=&hl=th&jsh=r%3Bgc%2F23803279-4555db52#id=I1_1316253182140&parent=http%3A%2F%2Fwww.manager.co.th&rpctoken=767410338&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1316253182140 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>


    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; HEIGHT: 35px; OVERFLOW: hidden; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrshort.aspx?NewsID=9540000116188&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=right>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=bottom background=/images/linedot_hori.gif align=middle>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=middle>[​IMG]</TD><TD><TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=1 vAlign=top width=1 align=right>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top background=/images/linedot_hori.gif align=middle>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top width=1 align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=center width=165 align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ศูนย์ข่าวศรีราชา - เปิดใจ “ร้อยตรีเอกชัย อาจสาคร” ผู้มีธรรมะพันธมิตรฯคนบ้านโขด เมืองชล ถูกปืนจากพวกแดง นปก.ยิงเข้าหน้าอก กระสุนทะลวงปอดทะลุหลัง นอนหงายบนพื้นถนน เลือดไหลทะลัก เผยนาทีชีวิตช่วงเฉียดใกล้ความตาย “ไม่คิดโกรธ-สวดมนต์ท่องอิติปิโสภะคะวา..ไปเรื่อยๆ” กับ 2 สหาย “ส.ต.ท.นพดล จันทร์อารักษ์” อดีตตำรวจ และ นายอนันต์ ตันติฤทธิพร พันธมิตรฯพันธุ์แท้เพื่อนตาย

    ร้อยตรี เอกชัย อาจสาคร เป็นอดีตทหารบกรับราชการอยู่ฝ่ายสื่อสารประมาณ 3 ปี พอรู้เรื่องราชการทหารตามควรแล้ว ได้ลาออกจากราชการทหารในปี พ.ศ.2519 เนื่องมาจากได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่สันติอโศก จึงซึมซับทางธรรมมาถึงทุกวันนี้ ที่สุดก็กลับมาอยู่บ้านเกิดชลบุรี พร้อม นางศรีสงกรานต์ ภรรยา เพื่อมาดูแลคุณพ่อ ซึ่งอายุ 91 ปี ด้วยความซาบซึ้งในรสพระธรรม จึงกลายเป็นคนที่จะทำอะไรต้องยึดหลักธรรมนำหน้าทุกครั้งไป

    ร้อยตรี เอกชัย บอกถึงวันที่ตัวเองถูกยิงว่าเป็นช่วงรอยต่อกลางคืนวันที่ 1 กันยายน เข้าสู่วันใหม่ 2 กันยายน ปี 2551 หลังจากที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ นำสวดมนต์จบแล้ว เวลาต่อมาในคืนนั้นก็ได้ทราบข่าวความเคลื่อนไหวของพวกแดง นปก.(แดง-แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ) ซึ่งมีที่ชุมนุมอยู่สนามหลวง จากการประกาศบนเวทีพันธมิตรฯเป็นระยะๆ ว่า พวกแดง นปก.ได้พากันเคลื่อนย้ายที่ชุมนุมจากสนามหลวง มาอยู่ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าแล้ว โดยพวกแดง นปก.ส่วนใหญ่ขับขี่รถจักรยานยนต์มาล่วงหน้า

    ด้วยความห่วงใย ถึงแม้ว่าทางบนเวทีพันธมิตรฯจะประกาศให้ผู้มาชุมนุมอยู่ในความสงบก็ตาม แต่ร้อยตรี เอกชัย ซึ่งไปร่วมชุมนุมอยู่กับกองทัพธรรม แม้จะเป็นเวลาดึกแล้วก็ตาม จึงออกจากทำเนียบผ่านย่านกองทัพธรรม กางเต็นท์พักอยู่แล้วตรงไปที่สะพานมัฆวาน ไปสังเกตการณ์อยู่ริมถนนด้านหน้าอาคารสหประชาชาติ ซึ่งตรงบริเวณนั้นมีบรรดาเพื่อนพันธมิตรฯอยู่กันจำนวนหนึ่ง

    แล้วกลางดึกค่อนคืนนั้น..พวกแดง นปก.ซึ่งมือถือมีดถือไม้หน้าสามบางคนถือเหล็กแป๊บเป็นอาวุธ ได้ฝ่าทะลักแนวกั้นแผงเหล็ก ฝ่ากำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มากั้นปรามห้ามไม่ให้เข้ามาในเขตนี้จนได้ การปะทะกันย่อยๆ จึงเริ่มต้นขึ้นจากการขว้างปาขวดน้ำใส่ จนเกิดการใช้ไม้ไล่ตีกันระหว่างพวกแดง นปก.กับฝ่ายพันธมิตรฯ ที่ป้องกันมิให้พวกแดงบุกข้ามเข้ามาในเขตสะพานมัฆวาน ร้อยตรี เอกชัย ซึ่งอยู่บริเวณด้วย จึงได้แต่คอยห้ามปราม ทั้งบอกเพื่อนพันธมิตรฯตรงจุดนั้นให้ใจเย็นๆ พลันก็รู้สึกว่ามีเลือดไหลออกมาเปียกชุ่มเสื้อบริเวณหน้าอกด้านขวาจึงรู้ว่าถูกอาวุธปืนยิง โดยผู้ยิงคงจะยิงปืนมาจากฝั่ง จปร.ต่อมาก็มีอาการหายใจติดขัดแน่นหน้าอก และทรุดตัวล้มลงไปนอนกองกับพื้นถนน ต่อมามีเพื่อนพันธมิตรฯช่วยกันหามไปที่รถพยาบาลแล้วนำส่งโรงพยาบาลวชิระ

    ร้อยตรี เอกชัย บอกว่า ช่วงที่ชีวิตตกอยู่ในวิกฤติเฉียดใกล้ความตาย ด้วยความที่เป็นคนถือธรรม “ก็ไม่ได้คิดโกรธใคร ไม่ได้คิดอะไร ระหว่างนอนรอหมอ ก็มีสติตลอดอยู่ ก็สวดมนต์ไปคือ สวดอิติปิโสภะคะวา..ไปเรื่อยๆ ราวครึ่ง ชม.มีพยาบาลกับหมอมาปั๊มหัวใจ ยังรู้สึกแน่นหน้าอกเมื่อหมอใช้มีดเจาะสีข้างตรงชายโครงเพื่อเอาเลือดที่ตกอยู่ข้างในออกอีก” แล้วต่อท่อสายยางให้เลือดไหลออกมา

    ร้อยตรี เอกชัย บอกว่า ก็รู้ก็เจ็บ ต่อมามีอาการดีขึ้นหายใจไม่ติดขัดไม่อึดอัด ส่วนกระสุนปืนไม่ได้ฝังในแต่เจาะทะลวงเข้าปอดแล้วทะลุออกด้านหลังไป

    “ยังโชคดีที่กระสุนปืนไม่ได้ฝังอยู่ในปอดไม่งั้นคงยุ่งแน่ อาจตายไปแล้วก็ได้ ครั้นรุ่งขึ้นเช้าทุกอย่างดีขึ้นก็โทร.ไปหาภรรยาที่เมืองชลเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง” ร้อยตรี เอกชัย กล่าว

    พร้อมชูข่าวที่หนังสือพิมพ์รายวันต่างๆ ได้ลงข่าวเหตุการณ์คืนวันที่ 2 กันยายน 2551 ซึ่งเก็บไว้ด้วยการเคลือบพลาสติกกันน้ำหลายฉบับเพื่อเตือนความทรงจำให้ดู จาก รพ.วชิระ ย้ายมารักษาต่อที่ รพ.จุฬาฯ กระทั่งอาการดีเป็นปกติ ส่วนเรื่องของคดีนั้นก็ได้ให้การไปกับนายร้อยเวรพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนางเลิ้งไปหมดแล้วทุกประการ

    ด้าน ส.ต.ท.นพดล จันทร์อารักษ์ อดีตตำรวจชลบุรี สหายสนิทพันธมิตรฯเพื่อนตายของร้อยตรี เอกชัย ซึ่งไปร่วมชุมนุมอยู่แล้ว ทำหน้าที่เป็นหน่วยเสริมเคลื่อนที่เร็วของกองทัพธรรม คอยเฝ้าระวังสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งช่วงเวลานั้นก็ทำหน้าที่อยู่อีกด้านหนึ่งเช่นกัน ต้องออกเดินตรวจตราบริเวณรอบนอกที่ชุมนุมไปตามหน้าที่ ซึ่งหลังปะทะกันตอนกลางคืนแล้วตอนเช้าทางรัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขต กทม.โดยทันที

    ปัจจุบัน ร้อยตรี เอกชัย อดีตทหารบก มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสมถะ กินอาหารมังสวิรัติ ไปไหนมาไหนด้วยการขี่จักรยานสองล้อคันเก่าๆ นอกจากจะใช้เวลาส่วนหนึ่งดูแลบิดาอายุ 91 ปีที่บ้านตำบลบ้านโขด ในระหว่างว่างเว้นการชุมนุมนี้ ก็เดินทางไปที่ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ซึ่งมีที่ดินที่นาของครอบครัวประมาณ 40 ไร่ ไปปลูกต้นไม้ยืนต้น เช่น ต้นยางนา ต้นประดู่ ต้นตะเคียนต้นพะยูง เพื่อจะสร้างป่าชุมนุมขึ้นเมื่อต้นไม้โตแล้ว นอกจากจะสร้างร่มรื่นให้พื้นที่ดิน ยังช่วยลดภาวะโลกร้อน ที่ปลูกไม้ยืนต้นเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำเป็นเรื่องธุรกิจ แต่เป็นการลงทุนปลูกไว้เพื่อช่วยอนุรักษ์ป่าไม้

    ทั้งนี้ ในจำนวนที่ดิน 40 ไร่นั้น เป็นที่นาอยู่ส่วนหนึ่งก็ให้เพื่อนบ้านที่เป็นชาวนาให้เขาทำกิน ส่วนการทำนาข้าวก็ใช้ปุ๋ยเกษตรอินทรีย์ เมื่อให้ชาวบ้านทำนาปลูกข้าว

    ร้อยตรี เอกชัย บอกว่า..เราลงทุนให้ทุกอย่าง ส่วนคนทำนาก็ลงแรงเมื่อทำนาเกี่ยวข้าวแล้ว เมื่อหักค่าลงลงทุนแล้วสิ่งที่ได้มานั้น เราจะให้ชาวบ้าน 3 ส่วน เราเอาแค่1ส่วนเท่านั้น ครั้นเมื่อถามว่าแล้วไม่เอากำไรบ้างหรือทำไมไม่แบ่งครึ่งกัน ร้อยตรีเอกชัยได้แต่ยิ้มว่าเราคิดไม่เหมือนคนอื่นการกระทำดังนี้ถือได้ว่าเป็นการช่วยสังคม

    ก่อนจะมาเป็นพันธมิตรฯ ร้อยตรี เอกชัย ส.ต.ท.นพดล นายอนันต์ 3 สหายเพื่อนตาย ต่างมีที่มามีที่ไปคล้ายคลึงกัน คือ ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจาก นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ครั้งแรกมาจากช่อง 9 รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ครั้นต่อมานายสนธิ ออกมาจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ เรียกได้ว่า เป็นแฟนคลับเมืองไทยรายสัปดาห์ จึงติดตามไปฟังทุกวันวันศุกร์ที่มีการจัดรายการในแต่ละที่

    กระทั่งเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อ 11 ก.พ.ปี 2549 ก็ได้มาเป็นพันธมิตรฯ ไปร่วมชุมนุมทุกที่ทุกแห่ง แต่ช่วงนั้นทั้ง3สหายต่างคนต่างไป

    จนกระทั่งได้มาพบกันในการชุมนุมปี 2551 ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 25 พฤษภาคม ขณะนี้ทั้งร้อยตรี เอกชัย กับ ส.ต.ท.นพดล ต่างก็มีอายุเข้า 60 ปีแล้ว ต่างก็เป็นผู้ที่ถือศีลถือธรรมไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่

    ส่วน นายอนันต์ ตันติฤทธิพร พันธมิตรฯพันธุ์แท้อายุย่าง 66 ปี แม้ไม่ถึงขั้นกินอาหารมังสวิรัติเหมือนร้อยตรีเอกชัย แต่ก็เป็นผู้ที่มีธรรมอยู่ในจิตวิญญาณไม่ดื่มสุราไม่สูบบุหรี่เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีความจริงใจต่อผู้ที่ได้คบหาสมาคมด้วย

    ครั้นถูกถามว่าหากมีการชุมนุมเกิดขึ้นอีก โดยเป็นมติของ 4 แกนนำจะไปร่วมหรือไม่ ทั้ง 3 สหายพันธมิตรฯเพื่อนตายตอบว่า “การไปชุมนุมเพื่อชาติเพื่อบ้านเพื่อเมืองนั้นเหมือนเป็นอาชีพไปแล้ว แต่ไม่ใช่เป็นอาชีพที่ได้เงินได้ทอง..มีแต่ต้องเสียสละแรงกาย เสียสละเวลา เสียสละเงินทอง หรือในบางครั้งอาจจะต้องเสียสละร่างกายหรือแม้กระทั่งชีวิต..” ส่วนที่ได้เข้าร่วมชุมนุมกับเพื่อนพันธมิตรฯทั่วประเทศไทยทุกครั้งนั้น เพราะพวกเขาทั้ง 3 มีจุดยืนประจำใจที่มั่นคงคือรักชาติ รักศาสนา เทิดทูนสถาบันกษัตริย์

    เมื่อถูกถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกรณีของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ซึ่งขณะนี้ทั้งสองได้ถูกข่าวลือปล่อยออกมาเพื่อทำลายให้เสียหายด้วยเรื่องสารพัด ทั้ง 3 สหายตอบว่า “คุณสนธินั้นเป็นคนจริง เป็นคนสู้คน เป็นคนที่เสียสละอย่างใหญ่หลวงนัก ทุกอย่างเห็นกันชัดแจ้งทุกเรื่องราวคนที่เสียสละแม้กระทั่งชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันมาแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นไม่ใช่คุณสนธิ ก็คงถอดใจไปแล้ว..”

    ส่วน พลตรี จำลอง นั้น ท่านเป็นผู้ที่เคร่งศีลเคร่งธรรม เป็นผู้นำการชุมนุมที่ยอดเยี่ยมเป็นเสาหลักของการชุมนุม ยึดหลักการ ยึดความถูกต้องที่หาได้ยากเป็นผู้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ ต้องทำงานหนักมากระหว่างมีการชุมนุม ทั้ง นายสนธิ กับ พลตรี จำลอง จึงเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากพันธมิตรฯทุกๆ คน ทั้งที่อยู่ในเมืองไทยและต่างประเทศ ต่างก็มอบความศรัทธาให้ ดังนั้น ข่าวลือที่ถูกปล่อยมาเป็นระยะๆ พันธมิตรฯพันธุ์แท้จะแยกแยะได้ด้วยเหตุด้วยผล ส่วนใครก็ตามที่เป็นพวกปล่อยข่าวลือ เพื่อทำลายแกนนำของพวกเราอย่างไร พวกเราไม่มีวันที่จะเชื่อเรื่องไร้สาระเช่นนั้น

    ส่วนแกนนำรุ่น 1 นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย ก็ล้วนเป็นคนดี เป็นผู้ทรงความรู้ เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองภาคประชาชน เป็นที่ยอมรับจากมวลพันธมิตรฯ แล้วยังมีสุภาพบุรุษชายชาติทหารตรงไปตรงมา คือ พลเอก ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ หนึ่งในคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยซึ่งพันธมิตรฯชื่นชมกันมาก

    ส่วนแกนนำรุ่น 2 ทุกคน รวมทั้งคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยทั้ง 17 คน ทุกคนล้วนเป็นผู้เสียสละ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว หน้าที่การงานทุกอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัดถึงความเสียสละเพื่อชาติศาสนา เพื่อสถาบันกษัตริย์ กันมาแล้ว จึงเป็นที่ยอมรับของมวลชนผู้เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

    ร้อยตรี เอกชัย เล่าอีกว่าการที่ทั้ง 3 คนมาพบกันจนเป็น 3 สหายเพื่อนตาย เริ่มต้นจากครั้งหนึ่งที่พันธมิตรฯมีการเผชิญหน้ากับตำรวจ โดยมีแผงกั้นๆอยู่ที่สะพานมัฆวาน มีการยันกันไปมากับตำรวจที่จะมารื้อเต็นท์ ขณะนั้นได้มีเด็กสาวคนหนึ่งร่วมกับพวกพันธมิตรฯผู้ชายยืนประจันหน้ากับตำรวจ เมื่อเหตุการณ์จบลงทราบว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคนเมืองชล ต่อมาเด็กสาวผู้นี้ได้แนะนำให้ร้อยตรี เอกชัย รู้จักกับบิดา คือ นายอนันต์ แล้วชักชวนกันให้ไปเป็นการ์ดพันธมิตรฯ จึงได้พบกับ ส.ต.ท.นพดล คนชลบุรี อีก

    ส่วนเด็กสาวคนนั้น คือ น.ส.รวิพันธ์ บัณฑิตจากรั้วมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากนั้นทั้ง 3 สหายพันธมิตรฯเพื่อนตายก็พากันเข้าร่วมชุมนุมเรื่อยมาเช่นเดียวกับ น.ส.รวิพันธ์ กับน้องสาว ซึ่งร้อยตรี เอกชัย เมื่อหายป่วยก็เข้าร่วมการชุมนุมต่อแล้วผ่านเหตุการณ์สำคัญๆในการชุมนุมนาน 193 วันมาได้ ทั้งเข้าร่วมชุมนุมนาน 158 วันครั้งล่าสุดปี 2554 นี้ด้วย

    ส่วนเรื่องของการเมืองสรุปว่า ปัจจุบันพรรคการเมืองและนักการเมือง ไม่ได้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง บางพรรคการเมืองเมื่อถึงคราวมีอำนาจก็ไม่ทำอะไรให้เบ็ดเสร็จลงไป ตอนเป็นครม.มีอำนาจจริงน่าจะทำอะไรให้กับบ้านเมืองให้ประชาชน ให้ประเทศชาติได้มากกว่านั้นกลับไม่ทำไม่ฟังเสียงประชาชน แล้วมาตั้ง ครม.เงาขยันไปที่นั่นที่นี่ ก็ตอนที่มีอำนาจยังมีอุปสรรคมากทำอะไรไม่ได้มากนัก เมื่อหมดอำนาจแล้วคงไม่มีข้าราชการคนไหนเข้ากล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวทำงานให้ นี่เป็นความจริงที่เห็นได้ชัด

    อะไรที่ทำไว้เช่นเรื่องแก้ กม.รัฐธรรมนูญที่ควรแก้ก็ไม่แก้ ไปแก้เรื่องแบ่งเขตเลือกตั้งให้เล็กลง รวมทั้งเพิ่มสส.ปาร์ตี้ลิสต์ให้มีเพิ่มขึ้น ก็เพื่อจะเอารัดเอาเปรียบชิงไหวชิงพริบกันในทางการเมือง แต่แล้วก็ไปเข้าทางของเขาคนนั้น ?

    ทั้งหมดก็ปรากฏให้เห็นชัดอยู่ ส่วนนักการเมืองอีกหลายพรรคก็ล้วนเป็นนักการเมืองพวกฉลาดเป็นพวกตีกิน ครั้นถึงเวลาประชุมสภา อภิปรายกันเสร็จ พอยกมือลงมติ ก็แพ้ทุกครั้งเพราะมีเสียงข้างน้อย เมื่อการเมืองในสภาเป็นดังนี้ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่จะหันไปพึ่งใครได้ ?

    ส่วนเรื่องพันธมิตรฯร่วมกันรณรงค์ Vote No นั้น.. มองว่า มีเวลาน้อยไปทั้งในพื้นที่แต่ละแห่งได้มี Money Power เข้ามาเป็นตัวแทรกเป็น“กับดักคะแนนเสียง” กันอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการเลือกตั้งในปีไหนๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องอยู่ในสำนึกของประชาชนคนไทยร่วมกัน หากไม่มีสำนึก ทั้งอีกจำนวนหนึ่งยังเห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเฉพาะตัว การเมืองของไทย สังคมไทยก็ยังต้องเผชิญภาวะยากลำบากอยู่เช่นนี้ต่อไป ประชาชนคนไทยนั้นก็จะโดนนักการเมืองหลอกเอาได้เวลาหาเสียงเลือกตั้ง ส่วนใครที่ไปตกอยู่ในกระแส “Money Power” ไปรับของๆเขาเสียแล้ว ต่อไปนี้เสียงของคนๆ นั้น ก็จะไม่ใช่เสียงสวรรค์ที่นักการเมืองพวกนั้นจะต้องรับฟังอีกต่อไป

    สำหรับการชุมนุมครั้งล่าสุดนาน 158 วันนั้น เป็นการชุมนุมที่ดีไม่มีการสูญเสียเพราะเป็นการชุมนุมในรูปแบบใหม่ “NEO PROTEST” (นีโอ โปรเทสต์) ที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ นำมาใช้ เป็นการชุมนุมที่ล้ำหน้าไปแล้ว ชุมนุมด้วยความสงบ สันติ มีหลักธรรมนำหน้า เอาแต่ความจริงมาพูดกัน นี่เป็นความคิดเห็นของร้อยตรีเอกชัยอดีตทหารบกที่ได้มาถือศีลถือธรรมกล่าวถึงจุดยืนนี้อย่างภูมิใจ

    บัดนี้ ไม่ว่านักการเมืองและพรรคการเมืองที่ได้ครองอำนาจจากค่ายไหนพรรคใดก็ตาม ก็จะสวมหัวโขนแสดงบทบาทอะไรก็แล้วแต่ ก็จะว่ากันไปตามบทบาทที่แต่ละคนถนัด ระยะนี้คงเป็นเรื่องของนักการเมืองนั้นๆที่ต่างสะสมความต้องการมีอำนาจไว้ ก็คงแสดงอำนาจใช้อำนาจนั้นส่วนจะเพื่ออะไรก็สุดแล้วแต่เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีอำนาจแล้ว ซึ่งทั้งนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักร ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติของอำนาจจะเป็นผู้ที่กำหนดทิศทาง อีกไม่นานนักก็จะเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมเท่านั้นที่จะเป็นผู้บันดาลให้ปรากฏ...ต่อไป

    ปัจจุบันพันธมิตรฯผู้มีธรรมประจำใจ ต่างก็พากันทำมาหากินตามปรกติเยี่ยงสุจริตชน ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองด้วยใจสงบ และถ้าจะออกไปชุมนุมอีกหากเป็นมติของ 4 แกนนำ เพื่อพิทักษ์รักษาชาติ ศาสนา ปกป้องสถาบันกษัตริย์แล้วก็ยอมทุกอย่างๆ ไปร่วมชุมนุมด้วยแน่

    แต่ไม่ว่ารัฐบาลนอมินีของใครคนนั้น ? ช่วงไหนตอนไหนอย่างไร ทำอะไรไว้ ล้วนยังอยู่ในความทรงจำของพันธมิตรฯผู้รักชาติที่ไม่มีใครลืมได้ลง แต่ด้วยความที่เป็นชาวพุทธ พันธมิตรฯซึ่งเป็นผู้ถือธรรมจำนวนหนึ่งดั่งกลุ่มของ3สหายนี้ ซึ่งหลังไหว้พระสวดมนต์แล้ว ก็อโหสิกรรม แผ่เมตตาให้กับพวกเขาทุกคนไปโดยมิได้คิดจองเวรจองกรรมแก่กัน นั่นคือสิ่งที่ได้กระทำตามวิถีของชาวพุทธ ณ เวลาปัจจุบันนี้

    นี่..เป็นวิถีชีวิตจริงทั้งเป็นปณิธานของเหล่าพันธมิตรฯผู้มีธรรมอยู่ในจิตวิญญาณ ซึ่งยึดถือหลักความจริงกลุ่มหนึ่งซึ่งจะยอมให้เฉพาะคนดีที่มีคุณธรรมมีเหตุผลเท่านั้น
    …………………………………………

    โดย สุรัตน์ บัณฑิตย์ ศูนย์ข่าวภาคตะวันออก


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ขอบคุณครับ

    เปิดใจร้อยตรี เอกชัย ผู้มีธรรมะ ถูกแดง นปก.ยิงทะลวงปอดเฉียดตาย ยังไม่โกรธ-กับ 2 สหายพันธมิตรฯ

    .

    -http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000116188-

    .
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมคิดว่า พี่จิ๋ว คงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพข่าวนี้ในวันเกิดเหตุ เพราะเหตุการณ์ตอนนั้นนักข่าวก็ไม่ทราบว่า พี่จิ๋วเป็นใคร เสียชีวิตแล้วหรือไม่ คืนนั้นคุณหนุ่มโทรบอกผม วันรุ่งขึ้นก็ไปเยี่ยมพี่จิ๋วที่วชิระพยาบาลกัน ภาพข่าวเขาลงแบบนี้ครับ ..

    "ไม่มีผู้ติดต่อรับศพผู้เสียชีวิต"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ข่าวก็ไม่ใช่ว่า ่จะจริงเสมอไปครับ


    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ป่าเกาะต่อรองหนี้กองทุนLUXF TMBAMชี้ข้อเสนอกระทบสิทธิผู้ถือหน่วย <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">15 กันยายน 2554 11:29 น.</td></tr></tbody></table>

    ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ. ทหารไทย เปิดแผนปรับโครงสร้างหนี้ ระหว่างกองทุน LUXF และ ป่าเกาะ ชี้ข้อเสนอ แตกต่างจากข้อตกลงเดิมและไม่เป็นไปตามหนังสือชี้ชวน ทั้งกระทบต่อสิทธิและประโยชน์ของผู้ถือหน่วยอย่างมีนัยสำคัญ เดินหน้ารวบรวมข้อมูล เรียกประชุมผู้ถือหน่วยหาข้อสรุป

    บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่ (LUXF) ได้รายงานข้อสรุปของการไกล่เกลี่ย ณ ศาลแพ่ง กรุงเทพใต้ ระหว่างคู่กรณีคือ บริษัท โรงแรม ป่าเกาะ จำกัด กับกองทุนรวม โดยป่าเกาะตกลงจะส่งข้อเสนอการปรับโครงสร้างหนี้ มายังกองทุนรวมภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2554 เพื่อให้กองทุนรวมจัดประชุมผู้ถือหน่วยประมาณเดือนตุลาคม 2554 เพื่อพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว ตามที่บริษัทจัดการได้เคยรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น ล่าสุด บริษัทจัดการขอรายงานความคืบหน้าว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2554 บริษัทจัดการได้รับหนังสือข้อเสนอดังกล่าวจากป่าเกาะแล้ว

    โดยเนื้อหาของข้อเสนอการปรับโครงสร้างหนี้ตามหนังสือที่ป่าเกาะได้ เสนอมา เปรียบเทียบกับเนื้อหาตามข้อตกลงตามสัญญาเดิมนั้น สรุปได้ดังนี้ ประเด็นแรก โครงสร้างสัญญาเดิม ป่าเกาะต้องจ่ายค่าเช่าชดเชยให้แก่กองทุนรวม เพื่อชดเชยรายได้ให้แก่กองทุนรวมเพื่อให้สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือ หน่วยได้ในอัตราไม่ต่ำกว่า ปีที่ 4 ร้อยละ 7.0 ต่อปีของมูลค่าโครงการ ปีที่ 5 ร้อยละ 7.0 ต่อปีของมูลค่าโครงการ ซึ่งในประเด็นนี้ ป่าเกาะได้ยื่นข้อเสนอมาว่า ป่าเกาะเสนอจ่ายเงินปันผลในปีที่ 4 และ ปีที่ 5 รวมกันทั้ง 2 ปีเท่ากับ 9% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งในส่วนนี้จะจ่ายตามงวดที่กำหนดในสัญญาเดิม (หมายเหตุ: ป่าเกาะมิได้ระบุว่าในปีที่ 4 จะจ่ายเท่าไร และ ปีที่ 5 จะจ่ายเท่าไร) ในส่วนต่างอีก 5% ป่าเกาะจะขอชำระปีละ 2 ครั้งเป็นเวลา 5 ปี ในอัตราที่เท่ากัน

    ประเด็นที่สอง ในโครงสร้างสัญญาเดิม ป่าเกาะต้องคงหลักประกันในบัญชีเงินสดหลักประกันไว้ที่ 150 ล้านบาทตลอดระยะเวลาที่เหลือของสัญญาเช่า โดยจะต้องเติมเงินสดเข้าบัญชีเงินสดหลักประกันดังกล่าว ให้เต็มมูลค่า 150 ล้านภายใน 30 วันหากบัญชีดังกล่าวถูกใช้ไปในการจ่ายเงินปันผล รวมทั้งชำระค่าเช่า ทั้งนี้ ปัจจุบันหลักประกันทั้งหมดของกองทุนรวมมี 4 ส่วน ส่วนแรก ยอดเงินสดในบัญชีเงินสดหลักประกันตามที่กล่าวแล้วข้างต้นปัจจุบันคงเหลือ 0.00 บาท เนื่องจากบริษัทจัดการได้ดำเนินการเบิกถอนเงินสดจากบัญชีหลักประกันดังกล่าว เข้าบัญชีกองทุนรวม ซึ่งปัจจุบันมียอดมูลค่าอยู่ประมาณ 34,075,732.19 บาทและป่าเกาะมิได้นำเงินมาเพิ่มเข้าบัญชีเงินสดหลักประกันตามสัญญา ส่วนที่สอง เงินที่ได้จากการบังคับจำนำโดยการขายทอดตลาด หน่วยลงทุนประมาณ 67,180,000.00 บาท (ก่อนหักค่าใช้จ่ายประมาณ 327,000.00 บาท) ส่วนที่สาม หน่วยลงทุนที่จำนำไว้คงเหลือ 14 ล้านหน่วย ( ราคาปิด ณ วันที่ 13 กันยายน 2554 ประมาณ 4.74 บาท ต่อหน่วย) และส่วนที่สี่ หน่วยลงทุนที่ได้รับการส่งมอบจากป่าเกาะ แต่ยังไม่มิได้มีการทำสัญญาจำนำ (ซึ่งกองทุนใช้สิทธิยึดหน่วงอยู่) จำนวน 9,281,500 หน่วย)

    โดยในประเด็นนี้ ป่าเกาะเสนอเปลี่ยนโครงสร้างของหลักประกันโดย ข้อแรก ป่าเกาะยกเลิกการนำเงินสดเข้าบัญชีเงินสดหลักประกัน ข้อที่สอง ป่าเกาะจะนำส่งหน่วยลงทุนมาเพิ่มอีก ประมาณ 4 ล้านหน่วย และ จะทำสัญญาจำนำในจำนวนหน่วยลงทุน 4 ล้านหน่วยที่จะเพิ่มขึ้นใหม่นี้ และจะทำสัญญาจำนำในหน่วยลงทุนจำนวน 9,281,500 หน่วยที่กองทุนรวมใช้สิทธิยึดหน่วงอยู่ และข้อที่สาม หากป่าเกาะมีเงินสดไม่เพียงพอเพื่อจ่ายเงินแก่กองทุนรวม ตามข้อตกลงการปรับโครงสร้างหนี้ ป่าเกาะยินยอมให้กองทุนรวมนำหน่วยลงทุนที่จำนำไว้ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนใน ราคา 5 บาทต่อหน่วยลงทุน

    ประเด็นที่สาม โครงสร้างสัญญาเดิมระบุเอาไว้ว่า ในวันเริ่มต้นของโครงการ ป่าเกาะตกลงให้ เงินกู้ยืมแก่ อีเอชวาย เป็นจำนวน 30 ล้านบาทเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการของโรงแรม ซิกส์เซ้นต์ ยาวน้อยรวมทั้งตกลงให้ความสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมซึ่งรวมถึงวงเงิน สำรองเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วง Low Season ของโรงแรม ทั้งนี้ในสัญญากำหนดว่า อีเอชวาย จะต้องทยอยคืนเงินกู้ให้ 30 ล้านบาทข้างต้นแก่ป่าเกาะ โดยจะเริ่มคืนเมื่อได้รับการยินยอมจากกองทุนรวม หรือเมื่อกฎหมายอนุญาตให้กองทุนรวมจัดหาเงินมาทดแทนเงินกู้ยืม และกองทุนรวมใช้สิทธิเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ อีเอชวาย แล้ว กล่าวคือเมื่อกองทุนรวมเลือกที่จะเข้าไปซื้อกิจการ ของ อีเอชวาย ซึ่งจนถึงปัจจุบันเงื่อนไขทั้งสองยังไม่เกิด

    โดยข้อเสนอของป่าเกาะ เสนอขอให้กองทุนรวมยอมรับภาระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของวงเงิน 30 ล้าน ซึ่งปัจจุบันป่าเกาะได้ให้ อีเอชวาย กู้ยืมอยู่ และกองทุนรวมยังต้องยอมรับสภาพหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของวงเงินเที่ป่าเกาะ หรือบุคคลอื่นใด ให้ อีเอชวาย กู้ยืมเพิ่มเติม เพื่อให้อีเอชวายดำเนินธุรกิจได้ นอกจากนี้ ผลกำไรสุทธิทั้งหมดของโรงแรมในการประกอบการในปีที่ 4 และ ปีที่ 5 เป็นส่วนหนึ่งของการผ่อนชำระ และหากมีเงินเหลือให้คืนแก่ป่าเกาะ นอกจากนั้น หากกองทุนรวมได้รับอนุมัติจาก กลต. ให้ชำระคืนเงินกู้ได้ กองทุนจะดำเนินการกู้ยืมเงินเพื่อชดใช้หนี้ค้างชำระที่ อีเอชวาย มีต่อป่าเกาะ โดยป่าเกาะจะนำเงินดังกล่าวมาชำระคืนให้กับกองทุนรวมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ การปฎิบัติตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้

    ประเด็นที่ 4 โครงสร้างสัญญาเดิม ป่าเกาะจะเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่ายกองทุนรวม รวมถึง Management Fee ที่บริษัทจัดการเรียกเก็บจากกองทุนรวม ซึ่งผลจากการชดเชยดังกล่าวของป่าเกาะจะทำให้กองทุนรวมมีรายได้หลังหักค่าใช้ จ่ายของกองทุนเพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผลได้ตามกำหนดการที่ระบุไว้ในหนังสือ ชี้ชวน ในประเด็นนี้ ป่าเกาะขอให้บริษัทจัดการงดค่า Management Fee ของกองทุนรวมในปีที่ 4 และ ปีที่ 5 ทั้งจำนวน

    ประเด็นสุดท้าย โครงสร้างสัญญาเดิม ป่าเกาะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นใดของกองทุนรวมเพื่อให้กองทุนรวมสามารถ จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ในอัตราที่เงินปันผลขั้นต่ำที่ระบุไว้ใน หนังสือชี้ชวน ในขณะที่ป่าเกาะเสนอจะจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงิน (ถ้ามี) คนละครึ่งกับ บริษัทจัดการ

    ทั้งนี้ จากข้อเสนอของป่าเกาะในเบื้องต้น บริษัทจัดการจะดำเนินการขอเอกสารประกอบเพิ่มเติมจากป่าเกาะเพื่อจัดเตรียม เอกสารประกอบการประชุมผู้ถือหน่วย เพื่อจะดำเนินการจัดประชุมเพื่อขอมติจากผู้ถือหน่วยต่อไป อย่างไรก็ตาม บริษัทจัดการมีข้อสังเกตว่า ข้อเสนอของป่าเกาะที่บริษัทจัดการได้สรุปข้างต้นนั้นแตกต่างจากข้อตกลงเดิม และไม่เป็นไปตามหนังสือชี้ชวน รวมถึงเป็นการกระทบต่อสิทธิและประโยชน์ของผู้ถือหน่วยอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทจัดการจะให้ความเห็นประกอบการพิจารณาในเอกสารประกอบการประชุมผู้ ถือหน่วยลงทุนที่บริษัทจัดการจะจัดส่งให้ผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไป


    -http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000117070-

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    วิธีวางกระสอบทรายให้ถูกต้องป้องกันแนวกั้นพังระหว่างน้ำท่วม <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">16 กันยายน 2554 20:20 น.</td> </tr></tbody></table>

    [​IMG] <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="500"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="500"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">แนวกระสอบทรายซึ่ง วางก่อเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด ให้่ฐานกว้างกว่าความสูง 3 เท่า และในขั้นสุดท้ายให้วางแผ่นพลาสติกทับโดยไม่ให้ตึงเกินไป แล้ววางกระสอบทรายทับปลายแผ่นพลาสติกทั้ง 2 ด้าน </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> พี่น้องชาวไทยในหลายพื้นที่ กำลังเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม และเมื่อเกิดภัยธรรมชาติเช่นนี้เราจะได้เห็นการระดมกำลังสร้างแนวกระสอบทราย ขึ้นมาเป็นคันน้ำ แต่หลายครั้งที่ปราการป้องน้ำท่วมที่สร้างขึ้นมานั้นพังทลายลงและทำให้กระแส น้ำไหลบ่าสร้างความเสียหายอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้อ่านที่ห่วงใยปัญหาของเพื่อนร่วมชาติขณะนี้ได้สอบถามมายังทีมข่าววิ ทยาศาตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า มีวิธีวางกระสอบทรายที่ถูกต้องเพื่อป้องกันคันกั้นน้ำถล่มหรือไม่

    ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ได้สืบค้นและพบข้อมูลแนะนำวิธีการวางกระสอบทรายของมหาวิทยาลัยนอร์ธ ดาโกตา สเตท (North Dakota State University) สหรัฐฯ ซึ่งระบุไว้ว่าการวางกระสอบทรายที่ไม่ถูกวิธีจะทำให้คันกั้นน้ำพังทรายลงได้ โดยกระสอบทรายที่นำมาใช้นั้นควรเติมทรายให้มีปริมาตรครึ่งหนึ่งของขนาด กระสอบทรายและให้มีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 15-18 กิโลกรัม เพื่อสะดวกต่อการขนย้าย

    ส่วนทำเลสำหรับวางกระสอบทรายควรเป็นทำเลที่ช่วยให้เราวางแนวกั้นได้ สั้นและเตี้ยที่สุด ซึ่งช่วยประหยัดการใช้กระสอบทรายได้ และต้องระวังสิ่งกีดขวางที่จะทำลายคันกั้นน้ำ อีกทั้งอย่าทำแนวกั้นพิงผนังสิ่งกอ่สร้าง เพราะจะเกิดแรงจากแนวกระสอบทรายกระทำต่อผนังสิ่งก่อสร้างได้ และควรทิ้งระยะห่างระหว่างคั้นกั้นน้ำกับสิ่งก่อสร้างประมาณ 2.5 เมตร เพื่อให้เราสังเกตเห็นการรั่วซึมของคันกั้นน้ำ และยังเป็นพื้นที่ให้เราวิดน้ำที่รั่วซึมออกมาหรือใช้เพื่อกิจกรรมอื่นๆ

    เนื่องจากการเสียดสีระหว่างกระสอบทรายช่วยป้องกันการลื่นไถลของคัน กั้นน้ำ ดังนั้น เราต้องทำให้เกิดการยึดกันอย่างดีระหว่างพื้นดินและคันกั้นน้ำ ระวังอย่าให้มีการไหลของน้ำใต้แนวคันกั้นน้ำ เคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการลื่นไถล ถ้าคันกั้นน้ำสูงกว่า 1 เมตร ให้ขุดคูตรงแนววางกระสอบทราบเพื่อให้เกิดความมั่นคงระหว่างแนวกระสอบทรายและ พื้นดิน โดยคูดังกล่าวนั้นควรลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 45- 60 เซนติเมตร หรือเป็นความลึกประมาณความหนาของกระสอบทราย 1 กระสอบ และกว้างเท่ากระสอบทราย 2 กระสอบ

    ความสูงของแนวกระสอบทรายควรสูงกว่าระดับน้ำประมาณ 1 ฟุต โดยความกว้างของฐานคันกั้นน้ำนั้นควรมากกว่าความสูงของคันกั้นน้ำ 3 เท่า เช่น คันกั้นน้ำสูง 1 เมตร ฐานควรกว้าง 3 เมตร เป็นต้น ทั้งนี้ จากการคำนวณเมื่อใช้กระสอบทรายที่หนา 10 เซนติเมตร กว้าง 25 เซนติเมตร และยาว 35 เซนติเมตรนั้น ทุกความยาว 30 เซนติเมตรของแนวกั้นจะใช้กระสอบทราย 1 กระสอบ และทุกๆ ความสูงของแนวกั้น 30 เซนติเมตรต้องใช้กระสอบทราย 3 กระสอบ และทุกๆ ความกว้างของแนวกั้น 80 เซนติเมตรต้องใช้กระสอบทราย 3 กระสอบ

    หรือใช้สูตรต่อไปนี้เพื่อคำนวณหาจำนวนกระสอบทรายที่ต้องใช้ทุกๆ ความยาว 1 ฟุต (เมื่อวัดความสูงเป็นหน่วยฟุต)
    ดังนี้

    จำนวนกระสอบทราย = {(3 x ความสูงคันกั้นน้ำ) + (9 x ความสูงคันกั้นน้ำx ความสูงคันกั้นน้ำ)} / 2

    ตัวอย่างเช่น

    มื่อใช้กระสอบทรายหนา 10 เซนติเมตร กว้าง 25 เซนติเมตร และยาว 35 เซนติเมตร สร้างคันกั้นน้ำสูง 1 ฟุต (ทุกๆ ความยาว 1 ฟุต ฐานกว้าง 3 ฟุต)
    ต้องใช้กระสอบทราย = {(3X3) + (9X3X3)} /2 = 45 กระสอบ
    หรือ ตัวอย่างที่ได้คำนวณแล้วทุกความยาวแนวคันกั้นน้ำ 100 ฟุต จะใช้จำนวนกระสอบทราย ดังนี้
    คันกั้นน้ำสูง 1 ฟุต ใช้กระสอบทราย 600 กระสอบ
    คันกั้นน้ำสูง 2 ฟุต ใช้กระสอบทราย 2,100 กระสอบ
    คันกั้นน้ำสูง 3 ฟุต ใช้กระสอบทราย 4,500 กระสอบ
    คันกั้นน้ำสูง 4 ฟุต ใช้กระสอบทราย 7,800 กระสอบ

    เมื่อทราบจำนวนกระสอบทรายที่ต้องใช้แล้วก็มาถึงการวางกระสอบทราย ทั้งนี้ ต้องให้คันกั้นน้ำขนานไปกับทิศทางการไหลของน้ำ และวิธีวางกระสอบทรายคือวางกระสอบทรายทับบริเวณที่ไม่ได้เติมทรายของ อีกกระสอบทรายให้สนิทเป็นแนวเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และให้ปากกระสอบหันในทิศทางตรงข้ามกับกระแสน้ำ แล้วขึ้นไปเดินบนกระสอบทรายในชั้นที่วางเสร็จเพื่อให้แนวกั้นน้ำหนาแน่นและ มั่นคง ส่วนชั้นต่อมาให้วางกระสอบทับรอยต่อของกระสอบชั้นล่างและใหเชั้นล่างเหลือ พื้นที่โผล่ออกมาประมาณครึ่งกระสอบ

    หลังจากเรียงกระสอบสอบทรายจนได้เป็นคันกั้นน้ำแล้ว ให้หาแผ่นพลาสติกมาวางทับแนวกั้นน้ำแล้วใช้กระสอบทรายวางทับที่ปลาย แผ่นพลาสติกทั้งสองด้าน และอย่าให้แผ่นพลาสติกตึงเกินไป เพราะแรงกระแทกของน้ำจะทำลายแนวกั้นได้ นอกจากนี้ยังต้องระวังไม่ให้พลาสติกเป็นรูหรือถูกเจาะจากของมีคมด้วย

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">วางกระสอบทรายซ้อนทับแบบสับหว่าง และขุดตรงกลางฐานล่างให้ลึกประมาณความหนา 1 กระสอบ และกว้างประมาณ 2 กระสอบ เพื่อความมั่นคง </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">วิธีวางกระสอบทรายให้ทับอีกกระสอบในส่วนที่ไม่ได้เติมทราย แล้วให้หันด้านปากกระสอบทรายไปในทิศตรงข้ามการไหลของกระแสน้ำ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="180"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="180"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ลักษณะการวางกระสอบทรายฐานล่างให้วางสับหว่างกัน</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">วิธีวางกระสอบทรายชั้นบนทับชั้นล่าง ให้ฐานล่างโผล่ออกมาประมาณครึ่งกระสอบ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">เปรียบเทียบสัดส่วนความสูงและความกว้่างของฐานแนวคันกั้นน้ำ </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">เติมทรายลงกระสอบประมาณครึ่งกระสอบ </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนร่วม ชาติที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ และขอให้ทุกคนปลอดภัยจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้
    </td></tr></tbody></table>

    -http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000118291-


    .
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    กลโกงซื้อของใน internet ศึกษาไว้เพื่อป้องกันครับ..

    สุดยอด กลโกงที่ควรระวังเวลาซื้อของในเน็ต
    >> !!!!__ศึกษาไว้เป็นเป็นแบบอย่างจะได้รู้เท่าทันกลโกง
    >>
    >>
    >> เอามาแชร์กันครับ
    >>
    >>
    >> ได้ทั้งบัตรประชาชน ทั้งชื่อจริง ทั้งเลขบัญชี ยังจะโกงกันอีกไหม ????
    >> เป็นเคสระดับมืออาชีพมากๆ ครับ แม้แต่คนที่ระวังตัวเองที่สุด
    >> ยังอาจเผลอตกเป็นเหยื่อโดยไม่ทันตั้งตัวได้จริงๆ
    >> แต่สามารถป้องกันได้ง่ายๆ เพียง “อย่าคิดโอนเงิน หรือส่ง พกง. โดยเด็ดขาด”
    >> เคสนี้ จะพิเศษ​กว่าเคสอื่นตรงที่ว่า มีผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 3 ราย
    >> ได้แก่
    >> - นางสาวโบว์ ผู้ต้องการซื้อ iPhone
    >>
    >> - นายโก๋ ผู้จ้องจะโกงโดยใช้วิธีจับเสือมือเปล่า
    >>
    >> - นายนัท ผู้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่พลอยติดคดีไปกับเขาด้วย
    >>
    >> เอาละครับ ตั้งใจฟังผมเล่าดีๆ เพราะคดีนี้ มันซับซ้อนมาก
    >>
    >> เรื่องมันเริ่มจาก นายโก๋ ได้คิดแผ่นชั่วร้ายขึ้นมา ว่าจะทำยังไงให้ได้เงิน
    >> โดยไม่ต้องลงทุน คำตอบก็ไม่ยาก “โกง” กันดีกว่า
    >>
    >> เขาไปโพสต์ขาย มือถือไอโฟน ราคาถูกในเว็บไซต์ชื่อดัง
    >> และตั้งราคาที่น่าดึงดูดใจเช่นเคย
    >>
    >> “iPhone 4 ซื้อมาแล้วใช้ไม่เป็น สภาพ 150% ราคา15,000 บาท เครื่องศูนย์
    >> ทุยจ้าาา”
    >> คือกระทู้ที่นายโก๋ตั้ง คนต่างเฮโลกันมา ตอบกระทู้นายโก๋อย่างขาดสติ
    >> และเช่นเคย
    >> นายโก๋บอกว่า ก็คนมันบ้านไกล ช่วยโอนเงินให้ผมที ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ
    >> หรือนางสาวโบว์ แม้ใจจะไม่อยากโอนเงินให้นายโก๋
    >> แต่อีกใจนึงก็อยากได้ของดีราคาถูก ซึ่งมันไม่มีในโลก ก็เลยตัดสินใจ
    >> บอกนายโก๋ว่า
    >>
    >> โบว์: “ช่วยส่งหลักฐานประกอบการซื้อขายให้ทีได้มั้ยค้ะ
    >> เพราะโบว์กลัวโดนโกงค่ะ”
    >>
    >> โก๋: “ได้ครับ ผมส่งสำเนาบัตรประชาชน และสมุดบัญชีให้นะครับ”
    >>
    >> หลังจากนั้น นางสาวโบว์ ก็ได้รับหลักฐานดังกล่าว โดยบัตรประชาชน
    >> และสมุดบัญชีธนาคาร ที่ระบุชื่อ “นายณัฐพงษ์ คนดีเลิศ” พร้อมเซ็นกำกับว่า
    >> “สำหรับซื้อขาย iPhone เท่านั้น”
    >>
    >> เพราะฉะนั้น นางสาวโบว์เลยโล่งอกโล่งใจ ติดกับดักทางวิทยาศาสตร์
    >> และหลงเชื่อโอนเงินให้นายโก๋ เป็นจำนวน 15,000 บาท…
    >>
    >> เวลาผ่านไป… 1 อาทิตย์… 2 อาทิตย์… ไม่มีการตอบรับจากนายโก๋…
    >> ทำให้นางสาวโบว์
    >> อกสั่นขวัญแขวน แต่ด้วยหลักฐานในมือ จึงนำไปแจ้งความ
    >>
    >> แต่ท้ายที่สุด หลักจากการสืบคดีพบว่า…. “นายณัฐพงษ์ คนดีเลิศ” เป็นคนละคนกับ
    >> “นายโก๋!!!” OH MY GOD! แล้วตูโอนเงินให้ใคร??? นางสาวโบว์ไม่เข้าใจ…
    >> นางสาวโบว์ทำไมไม่ได้เป็นดาวมหาลัย… ขอย้อนเวลาไปช่วงก่อนที่ นายโก๋
    >> จะตั้งกระทู้ขาย iPhone เพราะเรื่องนี้มันลึกลับซับซ้อน
    >> ยิ่งกว่าฆาตรกรรมในห้องปิดตาย
    >>
    >> ก่อนที่นายโก๋ จะตั้งกระทู้ขายไอโฟน… นายโก๋เข้าเว็บ ซื้อขายกล้องมือสอง
    >> และไปเจอคนขายกล้อง Canon G11 ราคา 10,500 บาท
    >>
    >> ด้วยแผนที่วางไว้ในหัวตั้งแต่ต้น นายโก๋เลยแกล้งโทรไปคุยกับคนขายกล้อง ว่า
    >>
    >> … โก๋: สวัสดีครับ สนใจกล้อง G11 ครับ
    >>
    >> นัท: ครับผม ยังไม่ได้ขายครับ มาเอาของได้เลยครับ ที่สถานีดับเพลิงบางรัก
    >>
    >> โก๋: พอดีว่า ผมไม่ได้อยู่กรุงเทพครับ เดี๋ยวผมโอนเงินให้ก่อนละกันครับ
    >> แล้วคุณค่อยส่งไปรษณีย์มาได้ไหมครับ
    >>
    >> นัท: (คิดในใจ – โอนให้ก่อน ??? ตูก็มีแต่ได้นิหว่า ถ้างั้น…) ตกลงครับ
    >>
    >> โก๋: แต่ยังไงผมต้องขอหลักฐาน สำเนาบัตรประชาชน และก็สมุดบัญชีด้วยนะครับ
    >> ผมกลัวโดนโกงครับ
    >>
    >> นัท: ไม่มีปัญหาาาาา สบายบรื๋อครับ!!
    >>
    >> หลังจากนั้นนายนัทก็ส่งหลักฐานนายโก๋ ที่มีบัตรประชาชน และสมุดบัญชี ชื่อว่า
    >> “นายณัฐพงษ์ คนดีเลิศ” เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น
    >> ก็มีเงินโอนเข้าบัญชีนายนัท
    >> เป็นเงิน “15,000 บาท”
    >>
    >> โก๋: ผมโอนเงินผิดไปครับ โอนไป 15,000 บาท โอนเกินไป 4,500 บาท
    >>
    >> นัท: ไม่มีปัญหาครับ เพราะผมคนดี ผมจะคืนเงินให้ บอกเลขบัญชีมาครับ
    >>
    >> โก๋: เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวผมให้น้องของผมไรับกล้อง
    >> และก็ขอรับเงินคืนด้วยละกันครับ นัท: ถ้างั้นก็ได้ครับ ไม่มีปัญหา
    >>
    >> หลักจากนั้น ทั้งนายโก๋ และนายนัท ก็นัดเจอกันที่สถานีดับเพลิงบางรัก
    >> นายนัทก็คืนเงินให้นายโก๋ 4,500 บาท พร้อมส่งกล้อง Canon G11 ให้ด้วย
    >> เพราะได้เงินมาแล้ว เป็นอันเสร็จสิ้นดีล นายนัท (เข้าใจว่า)
    >> ทุกอย่างเรียบร้อยดี จนกระทั่ง….. เวลาผ่านไป 4 เดือน…
    >>
    >> มีจดหมายดำเนินคดี ส่งมาที่บ้านของนายนัทว่า นายนัท
    >> พัวพันในคดีฉ้อฉลทำธุรกรรมผ่านทางอินเตอร์เน็ต ด้วยการซื้อขาย iPhone มือสอง
    >> และไม่ส่งสินค้าให้ตามที่ตกลงกันไว้
    >>
    >> นายนัทตกใจ!!! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เกิดมา ใช้แต่ imobile 2 sim
    >> ดูทีวีได้ ไม่เคยมี และไม่คิดใช้ iPhone จะไปเอา ไอโฟนของใครมาขาย???
    >>
    >> นายนัทตัดสินใจไปพบตำรวจที่โรงพักตามหมายเรียก และพบว่า มีหลักฐานอยู่จริงๆ
    >> เป็นสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาสมุดบัญชีของนายนัทจริงๆ…
    >>
    >> นายนัทงง และสับสน แต่ก็ค่อยๆ ไล่ลำดับเรื่อง และก็ถึงบางอ้อ…
    >> โดนเข้าแล้วไงกู…
    >>
    >> จะเห็นได้ว่า ทั้งนายนัทเอง แม้จะเหมือนว่าเป็นฝ่ายได้ประโยชน์
    >> แต่ก็พลอยซวยตกไปอยู่ภายในคดีด้วย จากการส่งหลักฐานให้กับนายโก๋
    >>
    >> ส่วนนางสาวโบว์เอง ก็หลงเชื่อกับหลักฐานเท็จ ที่นายโก๋ ได้มาจากนายนัท
    >> เลยลำพองใจโอนเงินไป แบบขาดสติ
    >>
    >> ส่วนนายโก๋เอง ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไร้หลักฐาน พร้อมรับกล้อง และเงินสดจำนวน
    >> 4,500 บาทติดมือกลับบ้าน แบบไม่ต้องรอ Jackpot…
    >>
    >> นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
    >>
    >> หากซื้อของ ก็อย่าคิดโอนเงินก่อน หากขายของ จะมีคนโอนเงินมาให้
    >> ก็ต้องระวังนะจ๊ะ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระอาจารย์สุทัศน์ โกสโล ท่านเป็นพระอาจารย์ของพระอาจารย์นิล ที่เป็นต้นบุญในกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธ.กรุง ไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

    ----------------------------------------------------------------------------------

    [​IMG]


    หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล กับ...“ให้ธรรมะให้เท่าไรไม่มีวันหมด”

    วัดกระโจมทอง ตั้งอยู่ริมคลองวัดกระโจม ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๙๑๐ ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ร่วมสมัยกับวัดปรางค์หลวง

    [​IMG]

    มีตำนานกล่าวว่า เดิมเคยเป็นที่ตั้งกระโจมที่ประทับของพระเจ้าอู่ทอง แม้จะตั้งอยู่ใจกลางเมือง พลุกพล่านไปด้วยรถที่สัญจรไปมา แต่วัดแห่งนี้มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งอาจจะเรียกว่า “เป็นวัดป่าใจกลางเมือง เหมาะสำหรับการฝึกปฏิบัติธรรม”

    ที่สำคัญคือ วัดแห่งนี้มี พระอาจารย์สุทัศน์ โกสโล พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น เป็นเจ้าอาวาส
    หลวง พ่อสุทัศน์ ไม่มีฐานะสมณศักดิ์ใดๆ ท่านเป็นพระธรรมดารูปหนึ่งเท่านั้น แม้จะมีผู้รู้จักมักคุ้นกับพระเถรผู้ใหญ่หลายรูป แต่ท่านไม่เคยร้องขอสมณศักดิ์ใดๆ กับใครเลยทั้งสิ้น ด้วยใจยึดมั่นในหลักธรรมวินัย และการเผยแผ่ธรรมให้ศาสนิกชนได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์อย่างเดียว
    มี อยู่ครั้งหนึ่งท่านไปรับกิจนิมนต์ให้ไปเทศนาภายในบริเวณวัดพระแก้ว โดยได้เทศนาเรื่อง อานิสงส์แห่งการถวายทานและภาวนา โยมคนหนึ่งได้ฟังธรรมและเกิดความปีติ จึงตามท่านมาที่วัด และจะถวายรถเบนซ์เพื่อให้ท่านได้ใช้ในกิจของสงฆ์
    แต่หลวงพ่อได้แสดง ธรรมเพื่อให้เป็นคติสอนใจว่า “ควรถวายของที่เหมาะแก่สมณสารรูปแห่งเพศบรรพชิต” โดยท่านได้ปฏิเสธที่จะรับรถเบนซ์คันดังกล่าว
    หลวงพ่อสุทัศน์ ฉันอาหารมังสวิรัติ ในบางคราวที่ท่านรับนิมนต์ หากอยากโยมทราบก็จะจัดเตรียมอาหารไว้ หากญาติโยมไม่ทราบ หรือต้องเดินทางไกลๆ ท่านจะมีเครื่องกระป๋องเตรียมเอาไว้ ซึ่งเป็นผักทั้งสิ้น
    ทั้งนี้ ท่านได้ให้เหตุผลถึงเรื่องการฉันมังสวิรัติว่า “พระจะเคร่งพระธรรมวินัย ไม่ใช่อยู่ที่ฉันเจ หรือไม่เจ”
    ส่วน อีกเหตุผลหนึ่งคือ การเป็นเจ้าอาวาส เมื่อคนมาวัดก็ต้องมาหาเจ้าอาวาส เอากับข้าวอร่อยๆ มาถวายเราแต่ผู้เดียว แม้จะฉันรวมกันก็ตาม แต่อาหารนั้นไม่ทั่วถึงหมู่สงฆ์ เมื่อฉันมังสวิรัติแล้ว อาหารที่ญาติโยมมาถวายก็สามารถเผื่อแผ่ไปยังสงฆ์รูปอื่นๆ

    จากคติความเชื่ออย่างหนึ่งที่ว่า “การทำบุญถวายทานกับพระอริยบุคคลนั้น จะได้อานิสงส์ได้บุญมากกว่าการทำบุญกับพระทั่วๆ ไป”
    ทั้ง นี้ หลวงพ่อสุทัศน์ได้ให้คติธรรมว่า “เรามิอาจรู้ได้ว่าพระรูปไหนเป็นพระอริยะหรือไม่ เพราะพระอริยะเจ้าไม่บอก ไม่แสดงตนว่าเป็นพระอริยะแล้ว ยกเว้นแต่อริยะปลอมเท่านั้น ธรรมที่ปรากฏนั้น ย่อมปรากฏที่ใจ มิใช่ที่อื่น...การภาวนาเป็นการละลดอุปทาน”
    ส่วนคติ ความเชื่อที่พุทธสาสนิกชนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่ว่า “พระป่าเคร่งกว่าพระบ้าน พระบวชอยู่ในเมือง” นั้น หลวงพ่อสุทัศน์ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าคิดว่า
    “จากประสบการณ์ ที่ผ่านมานั้น พระป่าซึ่งหมายถึงพระที่อยู่ในป่า ใช่ว่าจะเป็นพระที่เคร่งในศีลยึดมั่นธรรมเสมอไป ไม่ พระป่าจำนวนไม่น้อยทุศีลก็มากมี ผิดพระธรรมวินัยก็มีอยู่ไม่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้กรรมก็จะสนองเอง ระหว่าธุดงค์เคยเห็นศพพระป่าดิบในทั่วไป เพราะขาดศีลผิดวินัยนั่นเอง”
    ในฐานะที่เป็น พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น หลวงพ่อสุทัศน์ได้พูดถึงประโยชน์ของการฝึกสมาธิภาวนา หรือกรรมฐานว่า สามารถลดหรือล้างความเครียดได้ เมื่อมีการฝึกอบรมกรรมฐานอย่างต่อเนื่องจนสามารถปฏิบัติได้ในอิริยาบถเดิมๆ โดยไม่ได้ขยับเลย เป็นเวลาอย่างน้อย ๓ ชั่วโมง ก็สามารถจะดับความเครียดได้ เพราะเมื่อมีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จิตรวมตัวกันเป็นสมาธิ ตัดเรื่องภายนอกออกได้หมดแล้ว การทำงานของระบบประสาทก็จะดีขึ้น มีสติสัมปชัญญะที่ชัดขึ้น ความเครียดก็จะลดน้อยลงโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้สมาธิภาวนาจึงสามารถลดความกดดันและความทุกข์ได้
    ในกรณี ของการปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้ว เห็นนรกสวรรค์นั้น หลวงพ่อสุทัศน์บอกว่า การเห็นนรกสวรรค์ในสมาธินั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่จริง การที่มองเห็นนรกสวรรค์ในสมาธินั้น เป็นเพียงอุปทานขันธ์ หาใช่นรกสวรรค์อย่างที่บางคนมีความเข้าใจ
    ส่วนในครั้งพุทธกาล หรือสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระมาลัยพระอรหันต์ท่านไปนรกสวรรค์ ท่านไปจริงๆ ไปทั้งตัว ไม่ใช่แต่จิต เวลานั่งสมาธิอย่างที่เข้าใจกัน
    หลวงพ่อสุทัศน์ ยังบอกด้วยว่า ระหว่างออกธุดงค์ คำถามหนึ่งที่ญาติโยมมักถามบ่อยๆ คือ
    “ท่านมาธุดงค์อย่างนี้น่าจะมีของดีมาแจกไว้สำหรับป้องกันด้วยหรือไม่”
    หลวง พ่อสุทัศน์ตอบไปว่า “ถ้าไปแจกวัตถุเครื่องรางของขลัง อาตมาพกพามาได้อย่างมากน่าจะไม่เกิน ๓,๐๐๐ องค์ อาตมาไม่มีกำลังมากพอที่จะพกพามากกว่านี้ และถ้าพกพามาได้ก็ไม่สามารถที่จะแจกได้ทั่วครบทุกคน อาตมาจึงบอกว่า อาตมาพกพาธรรมะของพระพุทธองค์มาเต็มย่าม ตั้งใจว่าจะแจกให้ครบทุกคน เพราะธรรมะจะแจกเท่าไรก็ไม่หมด และก็ไม่เป็นภาระที่จะแบกไปแจกให้ครบทุกคน ธรรมะมีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ แต่วัตถุมงคลมีทั้งคุณมีทั้งโทษ ใช้ในทางที่ถูกก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ใช้ในทางไม่ถูกก็จะกลายเป็นความหลงใหลในวัตถุ”

    ชาติภูมิและแนวปฏิบัติ
    หลวง พ่อสุทัศน์ โกสโล เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๖ มกราคม ๒๔๗๘ ปีกุน ที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายพรหม และนางพันธ์ อุปสมบทเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ โดยมี พระครูประภาสภูมิสถิตย์ (หนุ่ม) เจ้าอาวาสวัดคงคาสวัสดิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นพระอาจารย์สอนคาถาอาคม-กรรมฐานเป็นปฐม

    มี พระอาจารย์บัญญัติ มุนินโท เป็นผู้ร่วมธรรมวิมุต ออกธุดงค์เดินป่าภาวนาธรรมอยู่ด้วยกันไปถึงพม่า อยู่กลางป่าเขาเป็นเวลากว่า ๒ ปี
    พระ อาจารย์องค์สำคัญที่ให้ความรู้ทางวิปัสสนา คือ พระอาจารย์แป้น ธัมมธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดไทรงาม จ.สุพรรณบุรี โดยพระอาจารย์แป้นเดินทางมาอบรมกรรมฐานให้พระเณรที่ในป่าช้าที่วัดท้าวโคตร ซึ่งปัจจุบันคือวัดชายนานั่นเอง
    สำหรับแนวการฝึกปฏิบัติธรรมของหลวง พ่อสุทัศน์ ท่านจะยึดหลักการฝึกในแนวของมหาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสติ การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่สิ่งนั้นๆ มันเป็นของมันเอง ประกอบด้วย
    ๑.กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณากายให้รู้เห็นตามเป็นจริง

    ๒.เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
    ๓.จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
    และ ๔.ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
    เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"

    -http://www.komchadluek.net/detail/20090528/14529/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A...%E2%80%9C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E2%80%9D.html-

    .


















     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    หลากฝนก้าวสู่ฤดูเข้าพรรษา ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อสุทัศน์ วัดกระโจมทอง

    -http://www.thaipost.net/tabloid/050709/7268-


    [FONT=&quot]หลวง พ่อสุทัศน์ โกสโล เจ้าอาวาสวัดกระโจมทอง บางกรวย นนทบุรี พระอาจารย์กรรมฐานวัย ๗๖ ปี เชิญชวนให้คนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาร่วมกันปฏิบัติธรรมในพรรษาเพื่อน้อม ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ทุกพระองค์
    [/FONT] [FONT=&quot] หลาก ฝนก้าวสู่..ฤดูพรรษา เป็นประจำทุกปีที่พระภิกษุสงฆ์ในพระธรรมวินัยในฝ่ายเถรวาทนั้นพึงปฏิบัติใน ห้วงที่มีฝนตกหนักต้องจำพรรษาอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ให้ไปจำวัดที่อื่นนอกจากวัดที่ได้ทำการปวารนาเข้าพรรษาเอาไว้[/FONT]

    [FONT=&quot] ได้ กราบเรียนถามหลวงพ่อสุทัศน์ว่าเหตุใดต้องเข้าพรรษาฤดูฝน หลวงพ่อได้ให้ความรู้กระจ่างว่า เพราะฤดูฝนเป็นเหตุที่ทำให้พระสงฆ์องค์เณรเดินทางไปไหนมาไหนค่อนข้างลำบาก เนื่องจากมีน้ำมาก เปียกแฉะ อีกทั้งฤดูที่มีน้ำมากๆ อย่างฤดูฝนนี้ชาวบ้านต่างก็ไม่ค่อยว่าง เพราะต้องลงไปดูแลไร่นา หากพระภิกษุสงฆ์เดินทางไปเยี่ยมญาติโยมบ่อยๆ ญาติโยมคงไม่มีเวลาไปทำไร่ทำนาแน่เพราะต้องคอยมาดูแลพระสงฆ์ [/FONT]

    [FONT=&quot] เหตุ แห่งบัญญัติเมื่อมีญาติโยมนำเหตุผลดังกล่าวมาแจ้งต่อพระพุทธองค์ จึงทรงมีพุทธบัญญัติขึ้นว่า ในดูฝนนี้ให้พระจำพรรษาที่ใดที่หนึ่งเพื่อทบทวนและปฏิบัติธรรมอย่างต่อ เนื่องและเคร่งครัดตามพระธรรมวินัย อีกทั้งเป็นอุบายที่สร้างให้คณะสงฆ์มีความสามัคคีกันแลกเปลี่ยนธรรมะในการ สนทนาซึ่งกันและกัน[/FONT]
    [FONT=&quot] การ ปฏิบัติธรรมแม้จะสามารถปฏิบัติได้ทุกๆ ที่ แต่การมุ่งมั่นปฏิบัติในพรรษานั้นจะทำให้เกิดกำลังใจมากขึ้น ทำให้เกิดอานิสงส์แห่งการปฏิบัติมากขึ้น เพราะเป็นคำที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งเอาไว้ในพรรษาเราตั้งใจมุ่งมั่นรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ สวดมนต์ภาวนาสมาธิทุกวัน เป็นการยกระดับจิตให้เกิดความสว่างขึ้น[/FONT]

    [FONT=&quot] หลวงพ่อสุทัศน์ท่านเน้นย้ำว่า เมื่อเราทำดี คิดดี มีจิตอันบริสุทธิ์แล้วนั้น อะไรที่เป็นอุปสรรคสำหรับชีวิตย่อมจะสามารถก้าวผ่านไปได้โดยอัศจรรย์ ในบางครั้งที่ชีวิตมีความทุกข์ไม่ว่าจะทุกข์จากเรื่องการงาน ทุกข์เรื่องการดำรงชีพ และทุกข์เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย การปฏิบัติธรรมสามารถทำให้สิ่งเหล่านั้นผ่อนคลายลงไปได้ อย่างชนิดที่คิดไม่ถึงหรือที่เรานิยมเรียกกันว่า ปาฏิหาริย์[/FONT]

    [FONT=&quot] มนุษย์ เป็นสภาวะเดียวเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติธรรมให้พ้นจากทุกข์ได้จริง และมนุษย์เพียงภาวะเดียวที่สามารถสร้างสมบุญกุศลให้ตนเองมีชีวิตที่ดีมีความ สุขได้ ทั้งในปัจจุบันภพและชาติหน้า [/FONT]

    [FONT=&quot] ต่อ คำถามที่ถามว่าทำไมปฏิบัติธรรมแล้วจึงสามารถทำให้ชีวิตดีขึ้น หลวงพ่อสุทัศน์ท่านได้เมตตาบอกว่า เพราะขณะที่จิตของเราเป็นสมาธิอยู่นั้น พลังแห่งสมาธิจะแผ่เมตตาไปในตัวทั่วทุกมุมของพื้นโลกโดยไม่มีประมาณ สัมภะเวสี ผีทั้งหลาย หากปรารถนาบุญนั้นก็ต้องยกมืออนุโมทนาเอาเอง แล้วจะสำเร็จ แต่หากเราปรารถนาที่จะต้องการแผ่เมตตาให้ใครโดยเฉพาะอันนี้ เราผู้ปฏิบัติต้องกล่าวเอ่ยเองแบบเฉพาะเจาะจง[/FONT]

    [FONT=&quot] หลวง พ่อท่านกล่าวย้ำว่า ศีลพระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเหมือนดุจแผ่นดินที่รองรับทุกสิ่งทุกอย่าง หากเรามีศีลก็มีสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็มีปัญญา และเมื่อปัญญาเกิดก็ไม่มีความทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น[/FONT]

    [FONT=&quot] หลวงพ่อท่านสอนให้คนมีใจเปี่ยมด้วยบุญกุศล และหมั่นให้ทำบุญมาก และที่สำคัญอย่าขวางทางบุญ หลวงพ่อเล่าเรื่องในพุทธกาลให้ฟังว่า [/FONT]

    [FONT=&quot] พระ เจ้าสุปปพุทธะ ท่านเป็นกษัตริย์อยู่เมืองเทวทหนคร ตามศักดิ์แล้วก็เป็นพ่อของพระเทวทัตและแม่นางพิมพา ซึ่งนางพิมพานี่ก็คือภรรยาของเจ้าชายสิทธัตถะ แต่บัดนี้เจ้าชายได้ออกบวชและบรรลุธรรมแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว[/FONT]

    [FONT=&quot] แต่ในใจของพระเจ้าสุปปพุทธะนี้ท่านเต็มไปด้วยความเคียดแค้นในพระพุทธเจ้ามาแต่ครั้งหนหลังด้วยสาเหตุสองประการหลักคือ [/FONT]

    [FONT=&quot] ทิ้งแม่นางพิมพาบุตรีที่ขอไปเป็นภรรยาด้วยการออกบวช[FONT=&quot] ปล่อย ให้เธอกลายเป็นหญิงหม้าย ไม่สนับสนุนยกย่องพระเทวทัตที่แม้เลือกทางเดินชีวิตด้วยการออกบวชเหมือนกัน โดยคิดลงไปอีกว่าทำประหนึ่งว่าเป็นเวรเป็นกรรมแก่บุตรเราทั้งสองอยู่ตลอด เวลา ความเจ็บแค้นนี้ฝังรากลึกลงอยู่ในใจมาเนิ่นนานแล้ว และรอวันที่จะทำการแก้แค้นให้อย่างสาสม [/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot] ครั้น พอได้ยินข่าวว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาพัก ณ นิโครธาราม แล้วรุ่งเช้าจะออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ซึ่งเป็นกิจที่พระพุทธองค์ต้องทรงบำเพ็ญ เป็นประจำทุกวัน ก็ได้ออกอุบายทันที[/FONT]

    [FONT=&quot] "มหาดเล็ก มหาดใหญ่ ทั้งหลาย พรุ่งเราจะออกไปนั่งกินเหล้ากลางถนนขวางพระพุทธเจ้าเอาไว้ไม่ให้ต้องออกไปบิณฑบาต"[/FONT]

    [FONT=&quot] ครั้น รุ่งเช้าขบวนพระพุทธเจ้าก็เดินออกโปรดสัตว์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ทันใดนั้นเองมีมหาดเล็กนายหนึ่งอาจหาญแม้จะเกรงอำนาจอยู่บ้างก็ตามได้ทูลว่า "พระพุทธเจ้าเสด็จมาทางนี้แล้วพระเจ้าค่ะ ควรหลีกทางให้เสียดีกว่าพระองค์"[/FONT]

    [FONT=&quot] พระเจ้าสุปปพุทธะสวนกลับมหาดเล็กทันทีด้วยความอหังการ์ "ที่นี่เราเป็นใหญ่สมณโคดมมาก็ไม่เกี่ยวกับเรา"[/FONT]

    [FONT=&quot] เมื่อ พระพุทธองค์ดำเนินมาแล้วเห็นพระเจ้าสุปปพุทธะนั่งโจ้เหล้าอยู่ พร้อมด้วยเหล่ามหาดเล็กต่างๆ อีกจำนวนมาก จึงหยุดแล้วย้อนกลับไปยังพระวิหารตามเดิม ในระหว่างที่เดินทางกลับนั้น พระพุทธองค์แย้มพระโอษฐ์ขึ้น ซึ่งปกติพระองค์ไม่ค่อยจะแย้มพระโอษฐ์ในลักษณะนี้เสียเท่าไหร่ พระอานนท์เห็นดังนั้นเลยทูลถาม[/FONT]

    [FONT=&quot] "ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้เจริญ มีอะไรเป็นปัจจัยให้พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏพระเจ้าข้า"[/FONT]
    [FONT=&quot] "ดูกรอานนท์ เธอเห็นพระเจ้าสุปปพุทธะหรือไม่"[/FONT]

    [FONT=&quot] "เห็นพระเจ้าข้า"[/FONT]

    [FONT=&quot] "ด้วย พระเจ้าสุปปพุทธะได้สร้างกรรมหนักมาก ด้วยเหตุที่กั้นขวางทางไม่ให้พระพุทธเจ้าไปโปรดสัตว์ ด้วยผลกรรมนี้ย่อมสนองภายในเจ็ดวันนับแต่นี้ไป พระองค์จะถูกธรณีสูบ ณ เชิงบันไดภายใต้ปราสาทของพระองค์เอง"[/FONT]

    [FONT=&quot] ทาง ฝ่ายพระเจ้าสุปปพุทธะเห็นพระพุทธเจ้าเดินย้อนกลับก็ฮึกเหิมได้ใจ..และยัง สั่งให้มหาดเล็กในฝ่ายการข่าวกรองเข้าไปสอดแนมดูว่าพระพุทธเจ้าว่ากระไรบ้าง[/FONT]

    [FONT=&quot] ครั้น หน่วยข่าวกรองที่แม่นที่สุดได้ถวายรายงานคำที่เป็นพุทธฎีกาพยากรณ์แล้ว ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ "เราจะถูกแผ่นดินสูบภายในเจ็ดวันนี้หรือ"[/FONT]

    [FONT=&quot] พระ เจ้าสุปปพุทธะใคร่ครวญอยู่นานพอควร เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าพระพุทธองค์ตรัสสิ่งใดพยากรณ์สิ่งใด สิ่งนั้นเป็นหนึ่งไม่มีคำว่าสอง คือเป็นจริงตามที่ตรัสทุกประการ ใจคอชักจะไม่ค่อยดี แต่ทว่ากิเลสอวิชชาความโกรธยังฝังรากแน่นลึกอยู่ จึงตรัสออกมาอีกว่า[/FONT]

    [FONT=&quot] "ถ้า หากเราถูกธรณีสูบก็ไม่รู้จักทำอย่างไร แต่นี่พระพุทธองค์พลาดแล้ว ทรงพยากรณ์ชี้ชัดลงไปว่าเราจะถูกธรณีสูบ ณ เชิงบันไดใต้ปราสาท ที่จริงพยากรณ์เพียงแค่ ๗ วันจะถูกสูบก็ได้ แต่นี่ดันพยากรณ์ถึงสถานที่ด้วย ดีละ..ถ้าอย่างนี้เราจะทำให้ชาวโลกได้รู้ว่าสมณโคดมกล่าวคำเท็จ"[/FONT]

    [FONT=&quot] จาก นั้นได้สั่งทหารมหาดเล็กทั้งหลายว่าจะขออยู่บนชั้นที่ ๗ ของปราสาทไม่ลงมาข้างล่างแม้แต่นิดเดียว ให้ทหารคอยดูแล หากมีเหตุอันใดที่ทำให้ต้องลงมา ก็ขอให้ช่วยกันห้ามไว้เสียทุกวิธีแล้วดูซิว่าเราจะตายภายใน ๗ วันด้วยธรณีสูบที่เชิงบันไดนั้นอีกหรือไม่ ถ้าหากไม่ทีนี้แหละสมณโคดมจะเป็นผู้กล่าวคำเท็จ[/FONT]

    [FONT=&quot] ความ โกธรแค้น มีอำนาจสิงใจมนุษย์มากถึงเพียงนี้เลย นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าความโกธร จากนั้นมีผู้ไปกราบทูลต่อพระพุทธองค์ พระเจ้าสุปปพุทธะเตรียมการมาอย่างนี้...พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า [/FONT]
    [FONT=&quot] "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ต่อให้อยู่บนปราสาทชั้น ๗ เพียงอย่างเดียว หรือเหาะเหินเดินอากาศได้ เดินบนกระแสผิวน้ำได้ หรือแม้แต่หลบอยู่ในป่าตามซอกเขาได้ ก็ต้องกลับมาถูกธรณีสูบ ณ เชิงบันไดใต้ปราสาทนั้นแล[/FONT]

    [FONT=&quot] ผ่าน ไป ๖ วัน ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นเลย ย่างเข้าวันที่ ๗ ทหารทั้งหลายที่จงรักภักดีต่างก็มีใจหวั่นเกรงอยู่ว่าจะเป็นจริงตามคำของพระ พุทธองค์อยู่มิใช่น้อย แม้พระเจ้าสุปปพุทธะก็นั่งลุ้นอยู่เหมือนกันในใจลึกๆ ในความเงียบระทึกนั้นเอง ม้าอัสดรมงคล ซึ่งเป็นม้าประจำพระองค์ได้กรีดร้องและถีบฝาเรือนม้าพยศอย่างเต็มที่ [/FONT]

    [FONT=&quot] พระ เจ้าสุปปพุทธะได้ยินเช่นนั้นอยู่นานก็สุดจะทานทนได้ จู่ๆ พระองค์ลุกขึ้นพรวดจากพระที่นั่ง ทหารทั้งหลายต่างตะลึงงง..ในความรวดเร็วปานสายลมที่ทรงลุกขึ้น แต่พระองค์ไม่ลุกเปล่า วิ่งจากปราสาทชั้นที่ ๗ หมายจะลงมาเพื่อจับม้าพยศตัวนั้นอย่างลืมพระองค์ ครั้นทหารที่จงรักภักดีจะดึงห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพระบาทได้แตะถึงธรณีพอดีทั้งสองข้าง ณ เชิงบันไดใต้ปราสาท [/FONT]

    [FONT=&quot] ทัน ใดนั้นมหาปฐพีได้เลื่อนลั่นสะท้านไปทั่ว แผ่นดินปริแยกออกแล้วสูบเอาตัวพระเจ้าสุปปพุทธะลงไปต่อหน้าต่อตาเหล่าข้า ราชการที่จงรักภักดี แล้วแผ่นดินนั้นก็กลบกลับไปเป็นอย่างเดิม [/FONT]

    [FONT=&quot] นี่ เป็นบทหนึ่งแห่งกรรมที่ขวางพระพุทธเจ้าไม่ให้ไปโปรดสัตว์ และเหมือนประดุจขวางไม่ให้ผู้อื่นได้ทำบุญด้วย การขวางพระภิกษุไม่ให้ไปโปรดโยมคนนั้นคนนี้ หรือขวางคนอื่นไม่ให้ได้ทำบุญต่างต้องได้รับโทษที่สาสม แม้ว่าอาจจะไม่รวดเร็วเหมือนดังเช่นพระเจ้าสุปปพุทธะที่ทำกับพระพุทธเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ต้องได้รับกรรมอย่างแน่นอน ช้าหรือเร็วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง[/FONT]

    [FONT=&quot] คน โบราณจึงกล่าวว่า ใครไปทำบุญกับพระสงฆ์องค์เณรที่ไหนวัดไหนมาเราก็ต้องร่วมอนุโมทนาด้วย อย่าไปร้องทักร้องห้าม ทั้งคนที่จะไปทำหรือพระที่จะมาโปรด มิเช่นนั้นจะกลายเป็นบาปเหมือนกับพระเจ้าสุปปพุทธะ [/FONT]

    [FONT=&quot] แต่ เท่าที่ศึกษามาแล้วก็สังเกตดู ตระกูลนี้ตกนรกถึงสองคนนะ คือ พระเทวทัต ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าสุปปพุทธะ ด้วยเหตุวางแผนฆ่าพระพุทธเจ้า แม้ไม่สำเร็จแต่ทำให้เศษหินกระเด็นมาที่พระบาททำให้เกิดอาการห้อเลือด ไม่นานก็ถูกธรณีสูบไปเช่นกัน[/FONT]

    [FONT=&quot] อีก ไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว หากไม่ได้ออกไปทำบุญต่างจังหวัดที่ไหนก็มาที่วัดกระโจมทอง บางกรวย นนทบุรี เพื่อปฏิบัติธรรมได้ การที่เราได้ทำบุญกุศลและปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อสุทัศน์ย่อมได้บุญอานิสงส์ มาก อานิสงส์ใหญ่ เพราะหลวงพ่อเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์แล้ว.[/FONT]

    [FONT=&quot] ราช รามัญ [/FONT]

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2011
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [FONT=Tahoma,]ล่าหนุ่มมือมีด กะซวกพระครู

    ปางตาย ในวัดดัง นครพนม


    <table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="360"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#E0E0E0" valign="top">[​IMG]
    แทงพระ- พระครูปลัดปกร ธัมมโชโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ อ.เมือง จ.นครพนม ถูกคนร้ายบุกกุฏิ จ้วงแทง 11 แผล บาดเจ็บสาหัส ล่าสุดตำรวจออกหมายจับนายณัฐอานนท์ เผ่าหอม อายุ 21 ปี อดีตสามเณร ที่มักเข้ามาหาในกุฏิ เมื่อวันที่ 17 ก.ย.

    </td></tr></tbody></table>คน ร�ายบุกกุฏิ แทงพระครูปลัด ผู้ช่�วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุนครพนม กะซวก 11 แผล สมภารกับพระลูกวัดได้ยินเสียงทะเลาะกัน รุดมาดู คนร�ายเผ�น เผยพระครูเหยื่อมีดมีฝีมือทำพานบายศรี สะเดาะเคราะห์ ใบ้หวย จนเป็นที่รู้จักทั่วทั้งจังหวัด ในหมู่เจ้าของร้านขายทอง และเศรษฐี ตำรวจออกหมายจับล่าตัวหนุ่มวัย 21 ปี อดีตสามเณรลูกวัด มักเข�าออกกุฏิเป็นประจำ

    เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครพนม ว่ามีญาติโยมจำนวนมากต่างพากันไปเยี่ยมพระครูปลัดปกร ธัมมโชโต อายุ 51 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ อ.เมือง จ.นครพนม เนื่องจากถูกคนร้ายบุกเข้าไปในกุฏิ แล้วใช้มีดแทงได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อคืนวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีไป ทางพระครูกิตติสุตานุยุต เจ้าอาวาสวัด และพระลูกวัด ช่วยเหลือนำส่งร.พ.นครพนม

    สำหรับรายละเอียดในเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.สุขสวัสดิ์ บัวอิ่น พนักงานสอบสวน (สบ 2) สภ.เมืองนครพนม ได้รับแจ้งเหตุมีคนร้ายใช้อาวุธมีดแทงผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ อ.เมือง จ.นครพนม ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงรุดไปสอบสวน พบที่เกิดเหตุอยู่ที่กุฏิปูน 2 ชั้นติดศาลาการเปรียญวัด ภายในกุฏิดังกล่าวมีห้องแบ่งออก 3-4 ห้อง บริเวณห้องทางทิศใต้ติดอาคารพิพิธภัณฑ์ พบประตูห้องแง้มเปิดอยู่ จากการตรวจสอบภายในห้องพบร่องรอยคล้ายการต่อสู้ หน้าโต๊ะบูชาพบผ้าห่มจีวร และหมอนเปื้อนเลือด พื้นห้องมีคราบเลือด และรอยเท้าเหยียบย่ำไปมา และคราบเลือดสาดกระเซ็นติดฝาผนัง 2 ด้าน บริเวณหน้าประตูพบมีดปอกผลไม้ ยาว 6-7 นิ้ว ปลายมีดหักงอ เปื้อนเลือด ตกอยู่ และกะละมัง มีใบตองรองพื้นตั้งทิ้งไว้ บนเก้าอี้ใกล้กันพบเสื้อยืดสีขาวดำลายขวางเปื้อนเลือดทิ้งไว้ คาดว่าเป็นเสื้อของคนร้าย หลังห้องน้ำริมระเบียงยังพบมีดปลายแหลมยาวฟุตกว่าตกอยู่อีก 1 เล่ม จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

    จากการสอบสวนทราบว่า ผู้บาดเจ็บชื่อ พระครูปลัดปกร ธัมมโชโต อายุ 51 ปี เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลนครพนม อาการสาหัส ก่อนแพทย์นำตัวเข้ารักษาในห้องไอซียู พบว่ามีบาดแผลถูกแทงพรุนหลายแห่งด้วยของมีคม ที่ศีรษะ 4 แผล ต้นคอ 7 แผล ชายโครงขวา ไหล่ซ้าย หน้าอก ท้ายทอย ต้นแขนขวา และนิ้วโป้งขวา และแทงทะลุตับ ปอดฉีกขาด แพทย์ได้ผ่าตัดเย็บแผลและให้ดูอาการใกล้ชิด ส่วนคนร้ายหลังก่อเหตุได้หลบหนีไป เบื้องต้นทราบชื่อคือ นายดนัย (ไม่ทราบนามสกุล) อายุ 23 ปี

    พระครูกิตติสุตานุยุต ให้การว่า ขณะนอนอยู่บนศาลาการเปรียญได้ยินเสียงเณรและพระลูกวัดมาปลุก และร้องโวยวายดังลั่นก่อนได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือจากผู้ช่วยเจ้าอาวาส จึงรีบวิ่งไปที่กุฏิชั้น 2 พบพระครูปลัดปกรนอนจมกองเลือดคาผ้าห่ม ขวางตู้เซฟไว้ และยังมีสติบอกว่า คนร้ายเป็นคนรู้จักกันนอนพักอยู่ข้างห้องทำร้าย จึงรีบวิ่งไล่ตามล้อมจับและค้นหาจนทั่ววัดแต่ก็ไม่พบ คาดว่าจะปีนกำแพงวัดด้านข้างหลบหนีไปก่อน จึงรีบแจ้งให้รถกู้ชีพโรงพยาบาลนครพนมนำตัวส่งไปรักษา ก่อนแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบดังกล่าว

    รักษาการเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุกล่าวต่อว่า คนร้ายที่ก่อเหตุเคยเป็นเณรบวชอยู่ที่วัดโพธิ์ศรี อดีตพระลูกวัดศิริพุทธาราม ตนเคยแต่งตั้งให้เป็นเลขาฯ เจ้าคณะตำบลในเมืองเขต 2 มีความสนิทสนมกับพระครูปลัดปกรและไปมาหาสู่กันตลอด ก่อนลาสิกขาไปและวนเวียนกลับมาขอพักอาศัยที่วัด เท่าที่ทราบผู้ช่วยเจ้าอาวาสมีทรัพย์สินในตู้เซฟจำนวนมาก จึงมีลูกศิษย์หนุ่มวนเวียนมาหาบ่อย เคยสั่งห้ามเณรยุ่งเกี่ยวหรือเข้าไปในห้องพระครูปลัดปกรเด็ดขาด

    ด้านพ.ต.ท.สุขสวัสดิ์กล่าวว่า เบื้องต้นทราบชื่อคนร้ายและที่อยู่แล้ว และรูปพรรณแน่ชัดแล้วว่าเป็นคนก่อเหตุ แม้ว่าพระครูปลัดปกรยังไม่สามารถให้ปากคำได้ แต่จากพยานที่ระบุหลายปากให้การตรงกันว่า นายดนัยคือคนร้ายที่ก่อเหตุแทง สาเหตุน่าจะเกิดจากทะเลาะมีปากเสียงกัน เบื้องต้นไม่น่าจะประ สงค์ต่อทรัพย์เพราะตู้เซฟยังปิดสนิทอยู่ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ขออนุมัติออกหมายจับแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างส่งชุดสืบสวนติดตามตัวมาดำเนินคดีคาดว่าจะได้ตัวมาเร็วๆ นี้ และจะได้สอบสวนถึงสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระครูปลัดปกร หรือญาติโยมเรียกติดปากว่า "พระครูทอง" มีฝีมือในการทำพานบายศรี และขันหมากเบ็งในงานพิธีศาสนาสำคัญๆ ของจังหวัด เป็นที่ศรัทธาในหมู่เจ้าของร้านทอง และเศรษฐีในจังหวัดหลายคน ทั้งยังรับทำพิธีสะเดาะเคราะห์ และใบ้หวย ในกุฏิยังเลี้ยงกุมารทอง ถึงขั้นซื้อทองคล้องกุมารทองหลายเส้น และเสื้อผ้าให้ใส่หลายตัว

    ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับ นายณัฐอานนท์ เผ่าหอม อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1005/5 ต.หนองอีเฒ่า อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ผู้ต้องหาในคดีนี้แล้ว

    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOakU0TURrMU5BPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1TMHdPUzB4T0E9PQ==-

    .

    [/FONT]
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    นิทานสอนใจ : การตัดสินใจของ "เลวิน"

    เลวินเป็นนักกีฬาพายเรือแคนูมือ หนึ่งของประเทศ เขาพายเรือแคนูชนะคู่ต่อสู้มาทั่วสารทิศ แต่นั่นก็ยังจำกัดอยู่เฉพาะการแข่งขันภายในประเทศเท่านั้น เลวินยังไม่เคยไปแข่งนอกประเทศเลย และเขาก็อยากจะลองพิสูจน์ตัวเองดูสักครั้ง

    แล้วในปีหนึ่ง ประเทศของเลวินก็ได้ส่งกีฬาพายเรือแคนูเข้าแข่งขันในศึกกีฬาระดับโลกด้วย แน่นอนว่าเลวินได้รับคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าทีมพาลูกทีมเข้าสู้ศึกครั้งนี้ แต่แล้วก่อนการเดินทางเพียงไม่กี่วัน ภรรยาของเขาซึ่งกำลังตั้งครรภ์แก่ก็เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ยอมคลอดเสียที เลวินจึงไปพบหมอเจ้าของไข้เพื่อสอบถามอาการของภรรยา หมอตอบว่า

    "ภรรยาของคุณมีปัญหาด้านสุขภาพมาก่อนนะเลวิน อันที่จริงก็เสี่ยงอยู่แล้วที่จะให้เธอตั้งครรภ์ แต่เมื่อตั้งครรภ์ เราก็ต้องดูแลประคับประคองเธอให้ดีที่สุด บางทีนะเลวิน คุณอาจจะต้องเลือกว่าจะเอาภรรยาหรือลูกของคุณไว้ แค่ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น"

    เลวินไม่อยากเลือกเลย เขาและภรรยาเฝ้ารอลูกคนนี้มานาน เขาซื้อเสื้อผ้าเตรียมไว้ให้ลูกหลายชุด ซื้อของเล่นมากมายรอให้เขามาเล่น และทำห้องเด็กน่ารัก ๆ ไว้คอยต้อนรับ ในขณะที่ภรรยานั้น เพราะมีเธอจึงทำให้เขามีกำลังใจที่แข็งแกร่ง มีรอยยิ้มที่เบิกบาน และมีเสียงหัวเราะที่สดใสอยู่ได้

    เลวินลองไปพบผู้จัดการทีม ถ้าเขาจะขอถอนตัวออกจากการแข่งขันครั้งนี้ และขอโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งหน้า จะได้หรือไม่

    "นายบ้าไปแล้วเลวิน นี่เป็นการแข่งขันระดับโลกเชียวนะ ถ้านายไม่ไปร่วมแข่งขันครั้งนี้ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่านายจะมีโอกาสในครั้งหน้าอีกหรือไม่ ลองคิดดูนะเลวิน นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของนายและกีฬาเรือแคนูของประเทศเรา ถ้านายไม่ไปแล้วทีมแพ้ตั้งแต่ปีแรก นายคิดหรือว่าเขาจะส่งเราลงแข่งเพื่อถ่วงคะแนนรวมในปีหน้าอีก และถ้าเกิดชนะขึ้นมา เราก็คงต้องใช้ผู้เข้าแข่งขันคนเดิมที่ชนะมาแล้ว คงไม่มีใครไปตามนายกลับมาเล่นอีกหรอกนะ"

    เลวินจึงต้องคิดหนัก ถ้าเขาเดินทางไปแข่งขันในอีกประเทศหนึ่งซึ่งอยู่ไกลคนละซีกโลก เขาย่อมไม่อาจอยู่ดูแลภรรยาได้ แต่ถ้าเขาไม่ไปแข่งขันในครั้งนี้ความฝันสูงสุดของเขาก็จะต้องพังทลายลง

    ภรรยาของเลวินไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย เมื่อเห็นว่าสามีกำลังซึมเศร้าก็คิดว่าเขาคงทุกข์ใจกับการเลือกว่าจะไปร่วม การแข่งขันกีฬา หรืออยู่รอเธอคลอดลูกดี ภรรยาของเลวินจึงแข็งใจกล่าวต่อเลวินอย่างเหนื่อยอ่อนว่า

    "คุณไปแข่งพายเรือแคนูเถอะค่ะเลวิน ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันอยู่ที่นี่มีทั้งหมอทั้งพยาบาลดูแล แต่ความฝันของคุณ คุณจะต้องไขว่คว้ามาด้วยตัวเองนะคะ"

    เลวินมองหน้าภรรยา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร แต่วันนี้เขากลับไปหาผู้จัดการทีม และเขาสละสิทธิ์โดยไม่ต่อรองขอโอกาสอะไรอีกเลย

    ในที่สุด คนอื่นก็ถูกลงไปแข่งขันแทนเลวิน ในขณะที่เลวินอยู่ดูแลภรรยาที่โรงพยาบาลกระทั่งเธอคลอดลูกชายอย่างปลอดภัย โดยที่เขาไม่ต้องเลือกว่าจะเอาแม่หรือลูกไว้ วันนั้น ประเทศของเขาก็ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันพายเรือแคนู

    ภรรยาของเลวินสุขภาพอ่อนแอ ดังนั้นหลังคลอดลูกเธอจึงต้องพักฟื้นร่างกายอีกพักใหญ่ เลวินจึงต้องเป็นผู้เลี้ยงลูกชายด้วยตัวเอง ตลอดเวลานั้น มีคนแวะเวียนมาเยี่ยมเขาบ่อย ๆ และกล่าวแสดงความเสียดายที่เขาไม่ไปร่วมการแข่งขันจนพลาดเหรียญทองระดับโลก ไป แต่เลวินซึ่งอุ้มลูกชายอยู่กล่าวว่า

    "ไม่เป็นไรหรอก เมื่อผมเห็นหน้าลูก และรู้ว่าภรรยาปลอดภัย ผมก็ไม่เสียใจ หรือเสียดายอะไรกับเหรียญรางวัลพวกนั้นอีกแล้ว"

    ผู้มาเยี่ยมแย้งว่า "โธ่เอ๊ย! แต่นี่เป็นโอกาสสำคัญในชีวิตของคุณนะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณมุ่งมั่นกับการแข่งขันเรือแคนูมากแค่ไหน แล้วทำไมคุณถึงทำให้เรื่องแค่นี้มาฉุดเอาโอกาสสำคัญในชีวิตของคุณไปได้"

    ถ้าเป็นเมื่อก่อน เลวินอาจจะโกรธคนที่พูดแบบนี้ แต่ตอนนี้เมื่อได้อุ้มลูกไว้กับอก เขาก็ไม่รู้สึกโกรธเลย เลวินรู้แล้วว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีได้รู้ว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตตนเองแม้ว่าบางครั้งสิ่งนั้นจะอยู่ใกล้แค่คืบ ก็ตาม

    "โอกาสสำคัญคงไม่มีความหมาย ถ้าผมต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป คุณลองคิดดูเถอะว่า ถ้าผมไปแข่งขันพายเรือแคนูที่ผมรักจนได้เหรียญทองกลับมา แต่ภรรยาและลูกของผมไม่อยู่เสียแล้ว ผมจะเอาเหรียญทองนั้นมาให้ใครดูเล่า"

    ปีแล้วปีเล่าหลังจากปีนั้น เลวินก็ไม่ได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันอีกเลย แต่เขาก็มีความสุขดีกับครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อลูกชายโตพอที่จะฝึกพายเรือแคนูได้ เลวินก็ได้ทำในสิ่งที่เขารักอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่ได้ทำมันด้วยตัวเอง แต่เขาก็ได้สอนเจ้าหนูเลโอให้พายเรือแคนูอย่างแกล้วกล้า เลวินรู้สึกว่า ทุกครั้งที่ได้เห็นลูกชายจับไม้พายเพื่อฝึกหัดพายเรือแคนู เขาก็มีความสุขเสียยิ่งกว่าตอนที่เคยทำมันด้วยตัวเองเสียอีก

    20 ปีต่อมาขณะที่เลวินกำลังนั่งฟังรายการวิทยุอยู่กับภรรยานั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เลวินเดินไปรับโทรศัพท์ เป็นเสียงของเลโอเองที่ร้องบอกผู้เป็นพ่อมาตามสายด้วยความตื่นเต้นว่า

    "พ่อครับ ผมทำได้แล้วครับพ่อ ผมคว้าเหรียญทองจากการพายเรือแคนูมาให้พ่อได้แล้ว ตอนนั้นพ่อเสียสละโอกาสของพ่อเพื่อผม แต่ตอนนี้ผมนำมันมาคืนพ่อได้แล้วครับ"

    ดังนั้น เธอทั้งหลาย...ปัญหาสำคัญของมนุษย์ในยุคแสวงหาความเจริญโดยไม่มีวันสิ้นสุด ก็คือ เรามักจะหลงลืมสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตไป ตัวอย่างนี้มีเห็นได้ง่าย ๆ เธอลองมองไปรอบ ๆ ตัวเธอสิ มีใครบ้างที่ไม่ดิ้นรนแสวงหาความมั่งคั่งจากการประกอบอาชีพ มีใครบ้างที่ให้เวลากับครอบครัวมากกว่างานที่เขาทำ มีใครบ้างยอมเสียสละงานดี ๆ เงินเดือนสูง ๆ เพื่อกลับมาอยู่บ้านเกิดซึ่งมีพ่อแม่แก่เฒ่ารออยู่ หรือมีใครบ้างยอมทำอะไรเพื่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง

    เธออาจจะเถียงว่า ที่ดิ้นรนทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อสิ่งสำคัญที่สุดทั้งนั้น แต่ความคิดนี้ต้องใช้เวลาและความพอใจเป็นตัวแปร นั่นหมายความว่า เมื่อถึงวันที่เธอหยุดขวนขวายและระลึกได้ว่ามีคนสำคัญอยู่ข้างหลัง ซึ่งก็ไม่รู้แน่ว่าเมื่อไร สิ่งสำคัญนั้นอาจจะไม่อยู่รอเธออีกแล้วก็ได้

    เวลาในชีวิตหนึ่งของเราช่างสั้นเสีย จริงเธอเอ๋ย เธอจงคิดและจัดลำดับให้ดีเถิดว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ และจงเลือกทำสิ่งนั้นก่อนเสมอ แน่ละว่า การทำเช่นนี้อาจทำให้เธอเสียอะไรดี ๆ ในชีวิตไปอีกตั้งหลายอย่าง แต่มันก็คุ้มสำหรับการรักษาสิ่งที่ดีที่สุดเอาไว้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เธอจะรู้จักกับคำว่า "ความสุข" และจะไม่นึกเสียใจในวันที่ทุก ๆ อย่างสายเกินไปแล้วเลย

    //////////////////

    ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000118587-

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่ผมโดนข้อหาจากแก๊งบัวใต้น้ำว่า ผมมีส่วนแบ่งจากเงินร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเ้จดีย์ศรีชัยผาผึ้ง โดยผมรับเงินจากพระอาจารย์นิล

    ใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น

    ไม่มีใครหนีกรรมได้พ้น

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งานสมโภชพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง(เดือนกุมภาพันธ์ 2554) ท่านก็ได้ไปร่วมงานบุญด้วย



    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เศร้า! สาวจีนพิการบริจาคร่างกายทั้งหมด ก่อนลาโลก


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก jida1977.blog.163.com และ chinahexie.org.cn

    เป็นข่าวที่ใครอ่านแล้วอาจรู้สึกสะเทือนใจ พร้อม ๆ กับเกิดความรู้สึกซาบซึ้งที่ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งป่วยหนัก แต่ก็ยังแบ่งปันน้ำใจส่งต่อไปยังเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

    โดยสำนักข่าวในประเทศจีน รายงานข่าวของหญิงสาวคนหนึ่ง นามว่า "เฝิงเมิ่ง เหวิน" ที่เกิดมาพร้อมกับอาการผิดปกติกระดูกสันหลังแยก (Spina Bifida) ทำให้ร่างกายของเธอยังดูเหมือนเด็กอายุ 3 ขวบ โดยสูงเพียงแค่ 1 เมตรเท่านั้น แม้ว่าปัจจุบันเธอจะมีอายุถึง 22 ปีแล้ว

    ในช่วงที่ "เฝิงเมิ่งเหวิน" หรือ "เหวินเหวิน" ที่พ่อแม่เรียกนั้นถือกำเนิดขึ้นมา แพทย์คาดว่า เธอไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ถึง 10 ขวบ เพราะนอกจากเธอจะมีความผิดปกติที่กระดูกสันหลัง ทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตแล้ว "เหวินเหวิน" ยังมีอาการป่วยมากมายรุมเร้า เช่น อาการผิดปกติที่ระบบท่อประสาท พ่อแม่ของเหวินเหวินจึงต้องเริ่มทำใจตั้งแต่นั้น แต่ทว่าด้วยกำลังใจที่ดีทำให้เหวินเหวินสามารถต่อสู้กับโรคร้ายมาได้ยาวนาน ถึง 22 ปี

    เฝิงกั่นหมิง พ่อของเหวินเหวิน พูดถึงเหวินเหวินว่า เธอเป็นคนที่รักน้องสาวมาก เธอมีความหวังว่า สักวันหนึ่งจะได้ไปเที่ยวอียิปต์กับน้องสาว นอกจากนี้ เหวินเหวินยังเคยพูดกับพ่อแม่ด้วยว่า เธอไม่ต้องการให้พ่อแม่จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อรักษาอาการของเธอ แต่อยากให้นำเงินจำนวนนี้ส่งเสียน้องสาวให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัยจะดีกว่า


    [​IMG]


    แต่แล้วเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา อาการของเหวินเหวินก็ย่ำแย่ลงจนเข้าขั้นโคม่า เหวิ นเหวินรู้ว่าชีวิตของเธอกำลังนับถอยหลังแล้ว เธอจึงขอทำความหวังครั้งสุดท้ายให้เป็นจริง ด้วยการแสดงเจตจำนงจะบริจาคอวัยวะทั้งหมด โดยหญิงสาวใจบุญคนนี้เธอได้เขียนความปรารถนาของเธอไว้ว่า...

    "ฉัน เป็นเพียงคนพิการคนหนึ่ง และเป็นอัมพาตทั้งตัว ตั้งแต่เด็ก ๆ ฉันมีความปรารถนาข้อหนึ่ง คือต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสังคม ดังนั้นแล้วก่อนที่ฉันจะจากโลกนี้ไป ฉันจึงตัดสินใจจะบริจาคร่างกายของฉัน โดยขอบริจาคดวงตาให้เหล่าทหารหาญที่สูญเสียดวงตา ผิวหนังของฉันก็ขอมอบให้กับผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจนผิวหนังถูกทำลาย หัวใจก็ขอมอบให้ผู้ที่ต้องการปลูกถ่ายเปลี่ยนหัวใจ ส่วนอวัยวะส่วนอื่น ๆ ก็ขอให้ทางโรงพยาบาลเป็นคนจัดการ ขอเพียงฉันสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ วันใดที่ฉันจากโลกนี้ไปแล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว"


    [​IMG]


    และในที่สุด "เหวินเหวิน" ก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา โดยเฝิงกั่นหมิง พ่อของเธอยืนยันจะทำตามในสิ่งที่เธอปรารถนา และไม่นานนัก เจ้าหน้าที่อาสาสมัครเชิญชวนบริจาคก็ได้เข้ามาหาเหวินเหวินที่นอนอย่างไร้ลม หายใจอยู่บนเตียงของโรงยาบาล เขาได้สวมหมวกอาสาสมัครสีแดงให้เธอ ในเวลานั้น ผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาก้มลงจูบลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะร้องไห้อยู่ข้างใบหน้าของลูกสาว และเรียกชื่อ "เหวินเหวิน" อย่างแผ่วเบา แม้ว่าเธอจะไม่สามารถได้ยินและรับรู้ใด ๆ ได้อีกต่อไปแล้ว

    จาก นั้น แพทย์ 2-3 คน ซึ่งทำหน้าที่ผ่าตัดดวงตาก็เดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับโค้งคำนับเหวินเหวิน 3 ครั้ง ก่อนจะพยุงพ่อแม่ของเหวินเหวินให้ออกจากห้อง ในเวลานั้น ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำตาอาบแก้มว่า "ผมดูแลลูกไม่ดีพ่อ ขอให้ชาติหน้าเธอได้เกิดใหม่และเป็นนักบินหญิงสมใจ..."



    -http://hilight.kapook.com/view/62833-

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    หลบลี้หนี'หนี้'และ'ลูกหนี้'

    วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : หลบลี้หนี 'หนี้' และ 'ลูกหนี้'โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล k_wuttikul@hotmail.com

    ด้วยความที่เป็นคน “อ่าน” ได้เรื่อยๆ ทำให้หลายๆ ครั้ง เพื่อนสนิทมิตรรักหรือคนรอบข้างมักจะมีหนังสือติดไม้ติดมือมาฝากอยู่บ่อยๆ ถูกจริตบ้าง ไม่ถูกจริตบ้าง แต่ก็ไม่เกินความสามารถหรือความพยายาม เพียงแต่เล่มที่ “ชอบน้อย” ก็อาจจะใช้เวลานานกว่าเล่มที่ “ชอบมาก”


    ส่วนตัวแล้ว คิดว่า “หนังสือ” ทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งช่วยคิด ช่วยหาคำตอบ ทางออก รวมทั้งยังช่วยให้ผ่อนคลาย บรรเทาเบาบางจากภาวะรอบข้าง
    มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่ได้รับเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อหลายปีมาแล้ว เป็นหนังสือแนววัยรุ่น (ไม่รู้เหมือนกันว่าคนให้คิดยังไง) เป็นหนังสือแนวให้กำลังใจ ให้มองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ซึ่งมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น เสื้อผ้าหน้าผมมีส่วนอย่างมากกับชีวิตประจำวัน การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ สีหม่นหมอง หรือออกมาทำงานด้วยสภาพหัวฟู หน้าตาไม่แต่ง จะทำให้การใช้ชีวิตหดหู่ไปด้วย หนังสือยังยกตัวอย่างของผู้หญิงญี่ปุ่นซึ่งเน้นการแต่งตัวออกนอกบ้านที่ต้อง ยึด “แฟชั่น” ไว้ก่อน อย่างน้อยก็ทำให้คลายหดหู่ และชีวิตดูมีสีสันขึ้น

    หรืออีกบทหนึ่งที่ว่าด้วย “สถานที่แห่งที่สามในชีวิต” นอก เหนือแห่งแรก คือ บ้าน และแห่งที่สอง คือ ที่ทำงานหรือโรงเรียน ผู้เขียนแนะนำให้เราเก็บสถานที่แห่งที่สามไว้ใน “จินตนาการ” เวลาจากปัญหา เครียดจากปัจจัยลบที่รุมเร้า ก็หาที่เงียบนั่งหลับตาคิดถึง “สถานที่” แห่งนั้น จะหลับตาเห็นทะเลกว้างไกล แม่น้ำสายยาวที่สงบนิ่ง หรือสนามหญ้าสีเขียวที่กว้างไกลสุดสายตา ใช้เวลาไม่นานก็จะฟื้นพลังชีวิตให้กลับคืนมาได้ไม่ยาก

    ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด เพราะรู้สึกว่า เราตกอยู่ในโหมด “สับสนวุ่นวาย” ตามกระแสแห่งโลกยาวนานเหลือเกิน จนบางทีเราอาจจะอยากปล่อยชีวิตให้ “อ้อยอิ่ง” บ้าง
    เช่นเดียวกับ “วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน ที่สัปดาห์นี้อยากลอง “หลับตา” แล้วคิดถึงสถานที่แห่งที่สามหรือคิดเรื่องเงินอย่างสบายๆ เพื่อฟื้นพลังจากความยากในการบริหารเงิน ท่ามกลางความอลหม่านแห่งสถานการณ์ดูบ้าง

    และไหนๆ ก็ว่าด้วยเรื่องของ “หนังสือ” ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว ดังนั้น วันนี้จึงขอต่อเนื่องเรื่องหนังสือที่เพิ่งได้รับจาก บริษัท ไพลินบุ๊คเน็ต จำกัด (มหาชน) ที่กรุณาส่งมาให้อ่าน ซึ่งจะว่าไปแล้ว ต้องยอมรับว่า หนังสือพวกนี้เหมาะกับการพาเราออกจากความวุ่นวายมาก เพราะนอกจากราคาไม่แพงแล้ว ยัง “อ่านง่าย เข้าใจง่าย” ไม่ต้องตีความให้ยากเกินเข้าใจ

    ที่เหมาะกับ “วันอาทิตย์คิดเรื่องเงินก็ต้องยกให้เล่มนี้ “เคล็ดวิธีออมเงินให้ร่ำรวย” เขียนโดยนันทกานต์ ทรัพย์สุวรรณ ซึ่งจุดเด่นของหนังสือนอกจากจะ “อ่านง่าย” อย่างที่บอกไว้แล้ว หนังสือยังหยิบยกจากเรื่องใกล้ตัวที่เป็นลักษณะของการนำไปใช้ได้จริง ซึ่งต้องยอมรับว่าหลายครั้ง “ความเรียบง่าย” ก็กลายเป็นเสน่ห์ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ชีวิตไม่ต้องการความซับซ้อน การใช้ภาษาง่ายๆ เข้าใจง่าย ไม่ต้องปีนบันไดอ่าน แม้ว่า ไม่ได้แนะนำเทคนิคเลิศหรู หรือแนะนำการลงทุนชั้นเซียน แต่ก็ยังคงความมี “สาระ” ไว้ได้อย่างไม่พร่อง

    หนังสือเล่มนี้มีหลายบทหลายตอนที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อ “เทคนิคการใช้จ่ายและการออม” ซึ่งมีบัญญัติเรื่องนี้ถึง 19 ประการ หรือหัวข้อ “8 วิธีการออมเงินอย่าง ชาญฉลาด” รวมถึงหัวข้อ “11 วิธีคิดเพิ่มความรวย” ซึ่งเน้นเรื่องของการสร้างทัศนคติด้านบวก เช่น คิดว่าความรวยเกิดขึ้นได้เสมอ หรือการไม่ปล่อยให้ความจนมาครอบงำ ตลอดจนการสร้างความมั่นใจให้แก่ตัวเอง

    แต่ที่จะขอหยิบยกมาฝาก เพราะรู้สึกว่า จะเหมาะกับคนหมู่มาก มีอยู่ 2 เรื่อง นั่นคือ 5 วิธีห่างไกลจากหนี้สิน ซึ่งได้แก่ การลดปริมาณบัตรเครดิตลง ยิ่งมีมาก แล้วยิ่งไม่มีวินัยในการใช้จ่าย ก็ทำให้มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงและแน่นอนว่าหนี้สินจะตามมา การฝึกนิสัยการชำระหนี้ให้ตรงเวลา ซึ่งผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ไม่ใช่แค่ต้องเสียค่าปรับและดอกเบี้ยเพิ่ม ขึ้น แต่ยังหมายถึงการสร้างปัญหาให้แก่ตัวเองในการกู้ครั้งต่อไป เพราะเท่ากับประวัติการชำระหนี้ไม่น่าไว้ใจเสียแล้ว

    เรื่องที่ 3 คือ รู้จักตรวจสอบก่อนจ่าย โดยเฉพาะในกรณีของบัตรเครดิตที่ควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งจริงๆ สามารถขอยกเว้นจากผู้ให้บริการบัตรเครดิตได้ เลือกสิ่งที่ดีในการออม ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการฝากเงินเพื่อกินดอกเบี้ยเงินฝาก กับการนำเงินนั้นไปชำระหนี้เพื่อลดดอกเบี้ยเงินกู้ ว่าแบบไหนได้ประโยชน์กว่ากัน

    และสุดท้ายคือ รู้จักปรึกษาเมื่อมีปัญหา หมายถึงการปรึกษาเจ้าหนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เพื่อที่จะได้หาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือการยืดอายุหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกหนี้จะมีความคิดผิดๆ นั่นคือ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ในทุกรูปแบบ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นสามารถที่จะหาทางออกร่วมกันได้

    อีกหัวข้อในหนังสือเล่มนี้ที่คิดว่าหลายคนคงสนใจ เพราะมักประสบปัญหาแบบนี้เหมือนกัน และไม่ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่นคือ เมื่อถูก “ยืมเงิน” หนังสือเล่มนี้แนะนำเทคนิคหลีกเลี่ยงพวกที่ชอบยืมเงิน 4 ข้อ นั่นคือ 1.ให้ปฏิเสธว่าไม่มี แล้วแกล้งขอยืมกลับ ว่ากันว่าได้ผลทีเดียว 2.กรณีที่ถูกยืมเป็นประจำ แล้วของเก่าก็ไม่ได้คืนสักที ก็ให้พูดตรงๆ ไปเลยว่า ถ้าของเก่าไม่คืน แล้วจะเอาที่ไหนไปให้ยืมอีก 3.คือ ต้องรู้จักพูดจาปฏิเสธ โดยอ้างเหตุผลเดือดร้อนของตัวเองบ้าง เช่น มีเรื่องต้องใช้เงิน ต้องจ่ายค่าเทอมลูก ญาติป่วยเข้าโรงพยาบาล ฯลฯ และข้อสุดท้าย คือ ให้เปิดบัญชีใหม่สำรองไว้ แล้วโชว์ให้คนที่ขอยืมดูบัญชีเก่าว่าไม่มีเงินเหลือจริงๆ ข้อนี้อาจทำให้หลุดพ้นจากข้อหา “คนไร้น้ำใจ” ได้
    แต่ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว คงต้องพิจารณาตามความจำเป็น ซึ่งคนถูกขอยืมจะรู้จักคนที่มายืมดีที่สุด ว่าเขาเป็นคนประเภทไหน เชื่อถือได้หรือไม่ ถ้าพิจารณาแล้วว่าไม่ควรให้ความช่วยเหลือ เพราะเขาจะใช้เงินในทางที่ผิด การปฏิเสธอย่างเข้มแข็ง ก็น่าจะดีที่สุด

    หลังจาก “ลงลึก” เรื่องการลงทุนและการบริหารจัดการเงินมาหลายสัปดาห์ต่อเนื่องกันแล้ว สัปดาห์นี้ว่ากันเรื่องบ้านๆ ทั้งลดหนี้และลดจำนวนคนขอยืมเงิน ถือเสียว่า เป็นช่วง “หลับตา” ให้ผ่อนคลาย ตุนพลังไว้รับมือกับคลื่นลูกใหม่ที่จะถาโถมเข้ามา

    -http://www.komchadluek.net/detail/20110918/109418/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89.html-

    .

    http://www.komchadluek.net/detail/20110918/109418/หลบลี้หนีหนี้และลูกหนี้.html

    .
     
  20. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านที่มอบความรู้ดีๆให้นะครับ ได้แต่นั่งมองแล้วตาค้าง นั่งยิ้มอยู่คนเดียว ขนาดมองรูปทำไมงามขนาดนี้ ขอบพระคุณท่านพี่เจ้าของพระทุกท่านที่นำมาให้ชมนะครับ ถ้าเขาบอกว่าฝีมือผีอยากทราบจริงๆเลยครับผีแถวไหน จะได้ไปขอจากผีสักองค์นึง 555<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...