นรกแตกและสงคราม เทศนาของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 21 มิถุนายน 2011.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [​IMG]

    นรกแตก

    วันนี้จะเทศน์ถึงเรื่องนรกแตกให้ฟัง

    พอพูดถึงนรกใครก็กลัวทุกคน แต่ยังไม่เห็นนรกเลยสักที มันไหม้เผาผลาญสัตว์อยู่ตลอดวันตลอดคืน นรกไม่ใช่มันจะเรียกเอาตัวของเราไป แต่เราตกไปเองต่างหาก เหตุที่จะไม่ให้ตกนรกนั้นมีอยู่ แต่เราไม่มีการป้องกันตัว..

    ...นรกแตก คือว่า ความโกรธ ความไม่พอใจมันร้อนเต็มที่แล้ว มันแตกกระจายออกไป เห็นสิ่งต่างๆ แล้วไม่พอใจไปทั้งหมด วัตถุสิ่งของใดๆ ที่อยู่รอบด้านรอบตัวของเรา เห็นเป็นพิษเป็นสงไปหมด ผู้คนต่างๆ ที่อยู่รอบตัวของเรา แม้แต่ญาติมิตร พวกพ้องพี่น้องของเรา มีบิดามารดาเป็นต้น ก็เห็นเป็นภัยหมด อันนั้นแหละ หม้อนรกแตกมันแตกออกมาจากใจ แล้วก็กระจายไปทั่วทุกแห่งหน ไหม้ตลอดหมด เรียกว่า นรกแตก มันแตกเป็นหม้อเล็กหม้อน้อยออกไป นั่นแหละใครไม่รู้จักนรก ให้ดูเสีย ให้เข้าใจเสีย

    นรก คือความโกรธ ความโกรธนี้เมื่อมีในตัวของเราแล้ว เราไม่อดกลั้นมันเลยปล่อยกระจายออกภายนอก ไหม้เผาผลาญไปทั่วบ้านทั่วเมือง...

    “นรก” เป็นคำบาลี แปลว่า นรชน คือคนเรานี่แหละ ทุกๆ คนมีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปดูที่อื่นไกล ดูตัวของเราก็แล้วกัน เวลามันโกรธขึ้นมา มันมืดมิดหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านเรียกว่า นรกโลกันต์ คือ มืดมิดหมด ไม่เห็นแสงเห็นแดดอะไรเลย...

    ท่านสอนให้ดับไฟนรก ต้องเอาที่ต้นตอของมันจริงๆ จังๆ ต้นตอของนรกจริง คือ ใจ ถ้าเราเห็นใจแล้ว มันไม่มีอะไรหรอก ไฟนรกก็ดับ ความโกรธก็ไม่มี เช่นว่า เราโกรธพอกำหนดสติ เห็นใจเราเท่านั้น ความโกรธนั้นหายไปเลย ความโลภ ความหลง ความมานะทิฏฐิก็เหมือนกัน หากเราเข้าไปเห็นตัวใจแล้ว ของเหล่านั้นดับหายไปหมด

    ใจ คือ ตัวเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปในอดีต ในอนาคตไม่คิดนึกอะไร นิ่งเฉยอยู่ ตัวนั้นแหละเป็นใจ เราดับไฟตรงนั้นเลย ไม่ต้องดับที่อื่นไกล ตรงเข้าไปตรงนั้นเลยทีเดียว คือ ตรงเข้าถึงใจ ที่มันเป็นกลางนั่นเลยแต่มันดับไม่หมดทีเดียวนะ...

    ไฟอันนั้นพิษมันร้ายแรงมาก ท่านหมายถึง ความโกรธนั่นแหละ แม้จะน้อยนิดเดียวก็ตาม พอมันโกรธขึ้นมาแล้ว มันอาจจะล้มทุกสิ่งทุกอย่างระเนระนาดได้ความโกรธไม่มีตัว ไม่ทราบว่าตั้งอยู่ในสถานที่ใด ใครเป็นพ่อเป็นแม่ของมันก็ไม่ทราบ ใครเป็นพี่เป็นน้องมันก็ไม่ทราบ แต่มันเกิดขึ้นมาเอง เกิดขึ้นมาแล้วก็ขยายกว้างขวางออกไป แพร่พันธุ์ลูกๆ หลานๆ กว้างขวางมาก ได้แก่ มานะทิฏฐิ ถือตนถือตัว เกิดอะไรต่างๆ ได้สารพัดทุกอย่าง ออกมาจากความโกรธความไม่พอใจทั้งนั้น...อวัยวะ มือ เท้า ฯลฯ มีอยู่ทุกคนนั่นแหละ สามารถที่จะฆ่าจะแกงเขาได้ แต่ว่าเราระมัดระวัง สังวร สำรวมกาย วาจา ใจ จึงไม่สามารถที่จะทำเขาได้ ไม่สามารถที่จะฆ่าจะแกงเขาได้ กิเลสอันนั้น ถ้าเอาออกมาใช้เมื่อไร ก็ใช้ได้เหมือนกันมันเหมือนเก่านั่นแหละ แต่ท่านผู้วิเศษทั้งหลายท่านไม่ใช้ กิเลสยังอยู่เท่าเก่า หู ตา จมูก ลิ้น กาย มันก็ยังอยู่เท่าเก่า มันประสบพบเห็นสิ่งต่างๆ ก็เท่าเก่านั่นแหละ ไม่ใช่ท่านไม่มีหู ไม่มีตา ไม่มีแขน ไม่มีอวัยวะต่างๆ ท่านมีเหมือนกันกับพวกเราแต่ท่านเป็นผู้สำรวมแล้ว ท่านระวังแล้วตลอดเวลา

    เหตุนั้นพวกเราฝึกหัดปฏิบัติอยู่นี่ ก็ปฏิบัติเพื่อให้มันชำนิชำนาญ ในเรื่องการสำรวมระวัง เมื่อมีอะไรมากระทบเข้าเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อน เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาได้ ไม่ให้มันขุ่นขึ้นมานั่นเอง ให้มันใสแจ๋วอยู่ตลอดเวลา มันจึงจะพ้นจากทุกข์ พ้นจากนรก ถ้ามีอะไรมากระทบปั๊บเวลาใด เกิดขุ่นมัวขึ้น เกิดประหัตประหาร ฆ่าฟันกันด้วยประการต่างๆ เกิดด่าเกิดว่ากันขึ้น มันเป็นเหตุให้เดือดร้อนทั้งตนและคนอื่น เหตุนั้นจึงควรระวังทุกๆ คน เป็นมนุษย์อยู่หมู่มากด้วยกัน มันต้องมีการกระทบ จะอยู่บ้านหรืออยู่ที่ไหนก็ตามเถิด ให้คอยระวังอยู่ตลอดเวลา การระวังสังวร พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พากันทำให้นักหนา ให้พากันรักษานักหนา...

    พระพุทธเจ้าก็ตรัสเทศนาเหมือนกัน ความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง คือ ระงับดับกิเลสได้

    ทางโบราณท่านสอนว่า ก่อนจะทำอะไรลงไปให้นับสิบเสียก่อน ทีนี้มันไม่ทันนับสิบน่ะซิ มันออกไปก่อน วาจามันเร็วที่สุด ใจยังเร็วกว่านั้นอีก มันอยากจะพูดซ้อนๆ กัน 2-3 คำ นั่นน่ะ ตรงที่มันออกไปไม่ทันใจ พอพูดหยาบคายออกไปแล้วมันก็เป็นเหตุให้ร้อนแล้วทีนี้ เราน่ะร้อนกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำนี่แหละ นรก ไม่ใช่อื่นไกล ระงับดับนรกตรงนี้ได้แล้ว มันอยู่สบาย ไม่ต้องไประงับดับที่อื่นที่ว่านรกอยู่ใต้ดินนั้น ที่จริงแล้วไม่ใช่หรอก ความเลวทราม ความต่ำช้าของจิตใจนั่นมันต่ำ เขาจึงเรียกว่าอยู่ใต้ดิน จึงว่านรกอยู่ใต้ดิน พูดถึงนรกก็ชี้ลงไปข้างล่างที่ดินเลยส่วนจิตใจที่ดีงาม มันเบา มันสูง เขาจึงเรียกว่า ขึ้นสวรรค์ มันสูงจึงอยู่ข้างบน พูดถึงสวรรค์ก็ชี้ขึ้นไปข้างบนอันความเป็นจริงแล้ว

    นรก สวรรค์ อยู่ที่ตัวของเรานี่แหละ นรก แปลว่า นรชน นรชนมีในที่ใด นรกมีในที่นั้น ไม่ต้องไปหาที่อื่น ไปหาที่อื่นไม่เห็นหรอก จะไปหาที่ไหนๆ ก็ไม่เห็น มันอยู่ในตัวคนนี่ทั้งนั้น ครั้นตัวของเราไม่เป็นนรกแล้ว ก็หมดเรื่อง นรก ใต้ดินก็ไม่มีนรกวันนี้อธิบายเท่านี้ละ เอวํฯ

    คัดลอกจาก http://rueanthai2.lefora.com/2010/05/06/--4/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2011
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สงคราม

    เทศนาวันนี้จะกล่าวถึงเรื่อง สงคราม

    ขอให้เข้าใจคำว่า “สงคราม” กันเสียก่อน การทะเลาะวิวาทกัน จะด้วยความคิดเห็นไม่ลงรอยกันหรือด้วยอำนาจความเป็นใหญ่เป็นโตกันก็ตาม แม้ที่สุดชิงรักหักสวาทกันเป็นต้น แล้วเกิดขัดแย้งกันทะเลาะวิวาทกัน ในระหว่างคน 2 คน หรือ 2 ฝ่าย 2 คณะก็ดี ถ้าเพียงแต่ทะเลาะกันด้วยวาจา เรียกว่า สงครามปาก ถ้าโต้กันด้วยภาษาหนังสือ เรียกว่า สงครามปากกา ถ้าลงได้ใช้หมัดใช้มือ เรียกว่า สงครามกีฬา ถ้าลงได้ใช้ศัสตราวุธ เรียกว่า สงครามประหาร ถ้ายกกองทัพกองพลเข้าใส่กัน เรียกว่า ยุทธสงคราม ถ้าในระหว่างคู่รัก เรียกว่า สงครามรักสงครามสวาท เหล่านี้เป็นต้น เรียกว่า สงคราม ความประสงค์ก็คือ ต้องการความเป็นใหญ่ เป็นอิสระ อยากให้ได้ดังใจของตนแต่ฝ่ายเดียว

    ตามหลักพระพุทธศาสนาท่านสอนว่า เป็นกิเลสอย่างต่ำ ถึงชนะก็เป็นเหตุให้ก่อเวร ผู้แพ้อยู่เป็นทุกข์ ชนะและแพ้ไม่มีการสิ้นสุดลงไปได้ จึงสมกับพุทธภาษิตที่ว่า โย สหสฺสธ สหสฺเสน สงฺคาเม มานุเส ชิเน แปลใจความว่า การทำสงครามทั้งหลาย มีการทำเพื่อชิงอำนาจเป็นต้น มิใช่เป็นการชิงชัยเอาความดีความเด่นที่แท้จริงแต่เป็นความเด่นที่ด้อยเกียรติ และมีแผลเน่าติดไปด้วย เพราะเหตุเอาชนะเขาด้วยความโหดร้าย ไม่ยุติธรรม ใช้กำลังกิเลสเป็นผู้บัญชาการ ขาดเมตตาพรหมวิหารอันเป็นมนุษยธรรมเสียฉะนั้น ความชนะนั้นจึงเป็นความชนะที่หลั่งด้วยโลหิต มีแต่ปัจจามิตร ข้าศึกอยู่รอบด้าน

    ในทางพระพุทธศาสนามิได้ชมว่าเป็นผู้ได้ชัยชนะที่ประเสริฐ เพราะเป็นชัยชนะที่ใช้อาวุธเป็นอำนาจเหนือกองเลือดของผู้แพ้ มิได้ทำให้หัวใจเขายอมแพ้ไปตาม วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะมีการก่อเวร โดยความพยาบาทของผู้แพ้ ฉะนั้น ถึงจะชนะหมู่ชุมชนจำนวนพัน ก็ไม่เป็นของประเสริฐอะไรเลย ยิ่งชนะมากก็ยิ่งจะมีแต่เวรภัยมากขึ้นเป็นเงาตามมา

    เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ ส เว สงฺคาม ชุตฺตโมติฯ การชนะคนคนเดียว (คือตน) เสียได้แล้ว เป็นการชนะอย่างสูงสุด แม้ในหมู่เทวดาและมนุษย์ก็ย่อมนับถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ เพราะทุกๆ คนเมื่อเอาชนะตนได้แล้ว การทำสงครามกับคนอื่น หรือหมู่คณะอื่น ตลอดถึงประเทศชาติอื่นก็จะไม่เกิดขึ้น สงครามเกิดขึ้นทั่วมุมโลกอยู่ทุกวันนี้ ก็เกิดจากคนคนเดียว แล้วจึงรุกรานไปถึงหมู่คณะ และประเทศชาติเป็นลำดับ สงครามทั้งหลายภายนอกที่เกี่ยวเนื่องบุคคลอื่น และสิ่งอื่นเป็นต้น ถึงจะเกิดมีขึ้นก็เป็นบางครั้งบางคราว แต่สงครามภายในตัวของเรานี้ เกิดขึ้นรบกันอยู่ทุกๆ วินาที หากเราเอาชนะมันไม่ได้ จะยังเป็นทุกข์ซ้ำร้ายกว่าการแพ้สงครามภายนอกนั้นเสียอีก

    สงครามภายในของเรามันมีมากหลายอย่าง เมื่อสรุปแล้วมีถึง 5 กองพลด้วยกัน คือ กองพลโลภ กองพลโกรธ กองพลหลง กองพลมานะ และกองพลทิฏฐิ กองพลเหล่านี้ขึ้นอยู่กับทัพกามทัพเดียวการเอาชนะสงครามภายในไม่ต้องใช้อาวุธ แต่ใช้ปัญญาเป็นอาวุธ ด้วยการพิจารณาให้เห็นโทษ แล้วยอมสละโดยไม่มีอาลัย ......

    พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาแก่สัตว์หาประมาณมิได้ ได้ทรงพิจารณาเห็นชัดแจ้งด้วยพระปัญญาว่า สงครามดังกล่าวมาแล้วนั้น หากโลกอันนี้มีอยู่ตราบใด การแพ้การชนะย่อมมีอยู่ตราบนั้น นอกจากจะเอาชนะตนเองเท่านั้น จึงได้ตรัสเป็นพุทธพจน์ว่า เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ ส เว สงฺคาม ชุตฺตโม แปลว่าการชนะคนคนเดียว (คือตน) ได้ ประเสริฐกว่า

    ดังนี้สงครามอะไรๆ ก็ตาม ดังอธิบายมาแล้วข้างต้นย่อมเกิดขึ้นจากบุคคลคนเดียวคือ ตัวของเราเอง หากตัวของเราชนะตัวของเราได้แล้ว สงครามเหล่านั้นย่อมสงบไปเอง สงครามที่เกิดในตัวของเราแต่ละคนนี้มากเหลือเกิน หากจะพรรณนาก็ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อสรุปแล้วมี 5 กอง ดังที่กล่าวมา คือ โลภ โกรธ หลง มานะ ทิฏฐิ แต่ทั้ง 5 กองพลนี้สังกัดอยู่ในกองทัพกาม เพราะกามภูมิเป็นเสมือนสมรภูมิของนักรบ ผู้จะได้ชัยชนะหรือแพ้ต่อสงครามภายในของตนเองจะต้องลงสู่สมรภูมิทั้งนั้น เราจะเห็นได้ว่า ผู้ชนะชั้นแรกของสงครามได้ คือ ฌานสมาธิ ต้องละนิวรณ์ 5 ตัวต้น ก็คือกามนี้สงคราม 5 กองพลนี้ ผู้ที่ได้ชัยชนะแล้ว หรือกำลังต่อสู้กันอยู่ก็ดี หรือพ่ายแพ้ไปแล้วก็ดี เมื่อต้องการทราบวิธีของมัน พึงสังเกตดังนี้

    กองพลที่ 1 ความโลภ

    เมื่อเราหยิบยกสิ่งของอันใดให้เพื่อเป็นทานแก่คนอื่น ทั้งๆ ที่เห็นคุณประโยชน์อยู่ดีๆ แต่เมื่อจะให้กันจริงจัง มันชักให้พะวงหน้าพะวงหลัง เห็นเป็นของมากไปบ้าง เห็นผู้รับไม่ดีพอคุ้มค่าสิ่งของที่ตนจะให้ไปบ้าง เสียดายเอาไว้ให้คนผู้ที่ตนรักใคร่นับถือ และอะไรต่ออะไรวุ่นไปหมด เมื่อไม่มีปัญญาสามารถที่จะตัดสินใจให้ได้ ก็ต้องยอมแพ้ต่อความขี้โลภขี้เหนียวแต่ผู้เอาชนะมันได้แล้ว การทำทานเห็นเป็นของสนุก และให้ทานไม่รู้จักอิ่ม มีน้อยให้น้อย มีมากให้มาก และให้โดยความภูมิใจอย่างคนไม่รู้จักจน...

    กองพลที่ 2 ความโกรธ

    คนเราตกลงได้โกรธแล้ว เข้าตำราว่า “เห็นช้างตัวเท่าหมู” ทุกสิ่งทุกอย่างเห็นสู้ตนไม่ได้ เราต้องเหนือคนอื่นทั้งหมด ผู้ถูกความโกรธเข้าครอบงำแล้ว มีแต่จะขยี้บุคคล หรือแม้แต่วัตถุสิ่งของนั้น ให้แหลกเป็นจุณไปอย่างเดียว เมื่อทำอย่างนั้นไม่สำเร็จตามประสงค์แล้ว จะย้อนมาเล่นงานกับตัวเองความโกรธเป็นเหมือนกับไฟไหม้บ้าน ดับไม่ทัน มิใช่จะเสียหายแต่เฉพาะหลังแรกที่ติดไฟเท่านั้น แต่จะต้องลุกลามไปทำความฉิบหายให้แก่เพื่อนบ้านด้วย

    กองพลที่ 3 ความหลง

    ไม่รู้จักผิด ไม่รู้จักถูก หลงกลับตาลปัตรกันไปหมด เห็นดีเป็นร้าย เห็นร้ายเป็นดี เห็นคุณเป็นโทษ เห็นโทษเป็นคุณ จะเอาอะไรเป็นสาระมิได้ มีแต่สาละวนครุ่นคิด ไม่รู้ว่าทิศเหนือทิศใต้ เหมือนคนหลงทางในป่าลึก มองดูอะไรเห็นของละม้ายคล้ายคลึงกันไปหมด ตกลงนั่งทอดถอนหายใจใหญ่ ซบเซาอยู่แต่คนเดียว

    กองพลที่ 4 มานะ

    คือความถือตัวว่าตนดีตนเก่งกว่าคนอื่น หรือเทียบเท่าคนที่เขาว่าเก่งๆ ที่สุด หรือเก่งกล้าสู้เขาไม่ได้ด้วยเหตุผลที่ประจักษ์อยู่ แต่มานะว่า ตนเก่งด้วยน้ำใจซึ่งคนอื่นสู้ตนไม่ได้ตกลงว่าไม่ยอมแพ้คนอื่น แพ้ทางกำลังกาย จะต้องเอาชนะด้วยวาทะโต้เถียง แพ้ด้วยวาทะ จะต้องเอาชนะด้วยน้ำใจตกลงไม่ยอมแพ้ใครๆ ทั้งนั้น ยากแท้ คนชนิดนี้ตกอยู่ในสังคมใดแล้วแย่ทุกแห่งๆ

    กองพลที่ 5 ทิฏฐิ

    ได้แก่ความเห็นดิ่งลงไปในทางที่ผิดคิดเอาแต่ความเห็นของตัวเอง ไม่ฟังมติ ไม่ฟังเหตุผลของคนอื่นดื้อรั้นแม้แต่สิ่งนั้นๆ เมื่อทำลงไปแล้ว จะนำมาซึ่งโทษทุกข์ในปัจจุบันก็ไม่ยอมสละเข้าทำนองที่ว่า สุนัขจิ้งจอกหางด้วน เพราะไปขโมยไก่เขา ถูกเขาตัดหางแล้วนำมาอวดเพื่อน ผลที่สุดเพื่อนเขารู้ทันถูกเขาเย้ยหยันต้องได้รับความอับอาย

    ทั้ง 5 กองพลนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงให้พวกเราต่อสู้ เพื่อเอาชนะมันด้วยกลยุทธ์ต่างๆ กันดังนี้

    เอาชนะความโลภด้วยการจำแนกแจกปัน จนให้ชินต่อความเป็นผู้มีใจกว้างขวาง อาจได้ประสบอารมณ์ที่พึงพอใจจากบุคคลที่ได้รับแบ่งปันคนใดคนหนึ่ง ต่อนั้นไปก็จะเห็นคุณประโยชน์ในการทำงานหรือจะเอาชนะความโลภขี้เหนียวของคนอื่น ก็ต้องด้วยการสละของส่วนตัวเสียก่อนแล้วเขาจึงจะค่อยคลายความโลภขี้เหนียวลงได้ ความโลภเปรียบเหมือนลมที่เขาอัดเข้าไปในกระบอก หากไม่ระบายออกบ้าง มันอาจเกิดระเบิดขึ้นได้ คือ ความกลุ้มใจ ถึงกับทำอัตวินิบาต ฆ่าตัวตาย

    เอาชนะความโกรธ เบื้องต้นได้ด้วยความอดกลั้น ถ้าอดกลั้นไม่อยู่ ต้องเพ่งถึงความดีของบุคคลที่เราโกรธนั้น จนให้เกิดความเมตตาสงสารเขา ผลที่สุดก็จะหายโกรธถ้าเอาชนะความโกรธของคนอื่น ก็ต้องด้วยความไม่โกรธตอบเขาเช่นเดียวกัน แล้วพยายามหาโอกาสทำดีต่อเขา ในเวลาที่เหมาะที่ควร เขาก็จะหายโกรธไปเอง

    เอาชนะความหลง ด้วยการตรึกตรองถึงเหตุผล แล้วเข้าศึกษากับผู้รู้ตลอดถึงดูตำรา อันเป็นเครื่องนำทางให้เกิดปัญญาความฉลาดเอาชนะความหลงของผู้อื่น ก็ทำนองเดียวกัน คือ ชี้เหตุผลข้อเท็จจริง จนเขาเห็นด้วย แล้วก็อย่าใช้ความผลุนผลันพลันแล่นจงใช้ความพยายามทำให้สมกับอัธยาศัยของเขา ผู้ที่เราจะทำให้เขาเข้าใจในเหตุผลนั้น

    เอาชนะความมานะด้วยการยอมถ่อมตัว อย่าถือว่าตนเก่งเสมอไป ยอมรับเอาความคิดเห็นของคนอื่น มาไว้คิดค้นพิจารณา เพราะคนเราแต่ละคนมิใช่ดีพร้อมด้วยกันทั้งหมด อาจจะดีไปคนละอย่าง และถูกไปคนละแง่ ทุกๆ คนทำพูด คิดอะไรลงไป ก็เข้าใจด้วยมานะของตนเองว่า สิ่งนั้นดีแล้วถูกแล้วจึงทำ พูด คิด แต่สิ่งนั้นก็ยังไม่ดีไม่ถูกอยู่นั่นเอง ฉะนั้นมานะที่ขาดความรอบคอบจึงใช้ไม่ได้

    เอาชนะทิฏฐิ ด้วยการพิจารณาในเหตุผลนั้นๆ เหมือนกันถ้ามิฉะนั้นแล้วความเห็นก็จะดิ่งลงไปรั้นอยู่อย่างนั้น หรือบางทีวิจารณ์ในเหตุผลนั้นๆ เห็นตามเป็นจริงว่าผิดถูกอย่างไรแล้ว ถ้าเป็นสิ่งที่ตนเคยทำมาแล้ว ถึงแม้ผิดไม่ดีก็ไม่ยอมละ

    เอามานะเข้าไปใช้อีกกองหนึ่งก็มีแม่ทัพใหญ่คือ กาม เราจะเอาชนะมันได้ต้องใช้ภาวนาปรารภความเสื่อมความดับของอัตภาพสังขารร่างกายอันนี้ ซึ่งเกิดมาจากกามกิเลส ตั้งอยู่แล้วในกามภูมิ ไหลเข้าไปแล้วในกระแสของกามคุณ 5 มีกามคุณ 5 เป็นแม่ทัพบัญชาการให้เกิดโลภ โกรธ หลง มานะ ทิฏฐิ ทำทารุณกรรมย่ำยีมนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ไม่เลือกหน้า เมื่อภาวนาเห็นแจ้งด้วยอำนาจจิตสงบ เข้าถึงฌานสมาธิแล้วมีความเบื่อหน่ายคลายจากกามฉันทะ ก็จะเข้าไปต่อสู้กับแม่ทัพให้อัปราชัยไปในที่สุด เมื่อสรุปแล้วได้ความว่า การชิงชัยระหว่างกันเรียกว่า สงคราม

    สงครามมี 2 อย่าง คือ

    สงครามภายนอก รบกันเป็นครั้งคราว ถึงแม้ชนะแล้วก็อาจแพ้อีก

    สงครามภายใน ได้แก่ กิเลสที่เกิดขึ้นในตัวของเราต้องรบกันอยู่ตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อชนะแล้วเป็นอิสระไม่เป็นอาณานิคมของใคร

    ในพวกเราที่มานั่งพร้อมกันอยู่ ณ ที่นี้ ใครได้ชัยชนะแล้วหรือยัง จงพากันตรวจดูตัวของตัวเอง หากยังไม่ได้ชัยชนะเมื่อว่าต้องการอิสระเป็นไทแก่ตัวแล้ว ขอได้ออกสู้สงครามตามตำรายุทธศาสตร์ ที่พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงไว้แล้ว ก็จะสำเร็จตามความปรารถนาแสดงมา เอวํ ด้วยประการฉะนี้ฯ

    คัดลอกจาก นรกแตก-สงคราม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2011
  3. preuk

    preuk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +50
    อ่านแล้วต้อง Log in เพื่อเข้ามา อนุโมทนา ด้วยครับ

    วันก่อนฝนตกรถติด มี่แต่พวกปาดหน้าไม่ยอมตามคิว กว่าจะขึ้นทางด่วนได้ใช้เวลานานทีเดียว

    วันนั้นโกรธมาก(นรกแตก)ทั้งใจวาจา(ที่กระทำไปแล้ว)และกายที่พร้อมจะทะเลาะ(สงคราม)

    วันนี้ได้อ่านเรื่อง นรกแตกและสงคราม ของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    รู้สึกสำนึกผิดจริงๆ และต้องขออโหสิกรรมในสิ่งที่ทำไปด้วย
    ต้องขอบคุณ คุณjinny95 มากครับ

    จะขอเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
    วันหน้าจะต้องดับไฟนรกในใจ เป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวงให้ได้

    ขอบคุณครับ
     
  4. chatch-p

    chatch-p Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +45
    อนุโมทนา
    สาธุ
    นรกหรือสงครามมันอยู่ที่ความเป็นตนนี่เอง ละตนได้ ก็สุข
     
  5. thanachum

    thanachum สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +6
  6. stream_sunshine

    stream_sunshine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +1,352
    ขออนุโมทนาบุญทุกประการด้วยเถิด สาธุ สาธุ

    ขอบคุณค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  7. preamlit

    preamlit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +40
    กราบนมัสการหลวงพ่อ ขอบพระคุณสำหรับคำสอนเจ้าค่ะ
     
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646

แชร์หน้านี้

Loading...