เรื่องเด่น ข้อความจากต่างมิติ - คำพยากรณ์ใดๆเกี่ยวกับวันสิ้นโลก มันจะไม่เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 17 มิถุนายน 2011.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    หยิน - หยาง ก่อกำเนิดพร้อมๆ กันแสงสว่างและความมืด ก็เช่นนั้นแต่ "ใครจะสว่าง ใครจะมืด" ?ก็ต้องคอยดูต่อไปครับ...
     
  2. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +635
    เพียงตั้งความปรารถนาไว้ แล้วหัวใจจะหาหนทางเอง
    มืดมา ขอสว่างไปค่ะ

    มีแรงบันดาลใจในส่วนลึก จากคำของอาจารย์สุวินัย เมื่อสิบปีก่อน

    วิปัสสนาคือ การท่องไปในทะเลใจเพื่อค้นหาจุดที่ปรองดองกับสรรพสิ่ง

    ในที่สุดการทำงานของหัวใจ ก็ทำให้ได้มาพบและรับแสงสว่าง ณ.ที่นี่
    ขอบคุณพลังจิต วิทยาศาสตร์-ลึกลับ และเพื่อนพ้องพี่น้องที่นำพาแสงสว่างมาให้

     
  3. ปุนจา

    ปุนจา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +44
    แวะมาอ่าน และให้กำลังใจ คุณชยุตและทีมงานค่ะ

    ความรู้นอกกรอบ ความรู้นอกบัญญัติ
    หากปฏิบัติและเข้าใจได้อย่างรู้แจ้ง
    ก็จะนำไปต่อยอดวิชชาเดิม ๆ
    ที่อาจหลุดหายไประหว่างกาลเวลา
    ห้องวิทยาศาสตร์ ลึกลับ เป็นการจุดประกายความคิด
    เพื่อให้เรื่องลึกลับ กลายเป็นเรื่องยอมรับกันต่อ ๆ ไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. J_K

    J_K สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    มีเรื่องหนึ่งที่น่าสงสัยสำหรับผม มีคนสองคนพูดกับผมในสถานการณ์เดียวกัน ความหมายกับคำที่สื่อออกมาเหมือนกัน

    คนแรก พูดทำให้ผมรู้สึกว่าเค้าพูดหยอกกันเล่นๆ ไม่คิดอะไรเป็นเรื่อง ขำๆไป
    คนทีสอง พูดแล้วทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง

    คำถามเกิดขึ้น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรานี่ คนแรกเป็นคนที่เราไม่คิดอะไรเป็นคนที่เรารู้จักคุ้นเคยดี ก็ไม่คิดอะไร แต่อีกคนเรารู้สึกไม่ค่อยสนิทและรู้สึกแกรงๆมากกว่า ทำให้เรารู้สึกไม่ดี

    อารมณ์ที่เกิดขึ้นมันต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งที่เจตนาของทั้ง 2 คนเหมือนกันอะไรคือตัวแปลที่ทำให้เราเป็นเช่นนี้ เมื่อมองย้อนมาดูตัวเองแล้วก็ทำให้คิดได้ว่าไม่มีใครทีสามารถมีผลกระทบกับเราได้นอกจากเราจะยอมให้มันเกิดขึ้น เราได้ตั้งโจทย์และคำตอบให้กับตัวเอง

    มีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเรื่องการเวียนไหว้ตายเกิด อันนี้ลองคิดเล่นๆดู ถ้าตอนนี้ผมมีลูก และเมื่อผมมีอายุมาก ประมาณอายุ 50 ปี ผมได้เสียชีวิตไป ลูกผมก็แต่งงานมีครอบครัว และมีลูก ผมได้เกิดเป็นลูกของของลูกชายผม และเค้าไม่รู้แล้วก็เรียกผมว่าลูก ผมเคยมีอายุมากกว่าเค้า แต่มาวันนี้ผมกับเป็นลูกชายของลูกตัวเอง ผมรู้สึกขำนะที่วันหนึ่งผมเป็นพ่อและอีกวันหนึ่งผมกลับมาเป็นลูก มันเป็นเรื่องที่น่าคิด ว่าไหมครับ (ไปก่อนนะครับเริ่มจะเละเทะแล้ว)
     
  5. travelor

    travelor สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +13
  6. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    อุเบกขา ปล่อยวางตัวตนเสียบ้าง จะได้ร่มเย็นเป็นสุข
     
  7. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    วันนี้รู้สึกคันปาก ขอร่วมวงด้วยคน อิอิ

    กับ"มารไม่มี บารมีไม่เกิด" ผมว่า ต่อไปแนวคิดนี้อาจจะถูก ยกเลิกไปจากบทเรียนก็ได้ รู้สึกว่า มันเป็นการเรียนรู้ที่กำเนิดมาจากความต่างของ 2 ขั้ว ซึ่งจะค่อยๆรวมกัน มีความเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น

    การเรียนรู้ด้วย แพทเทิร์นใหม่ กฏระเบียบใหม่ หรือพลังงานใหม่ๆ จะเกิดขึ้น พวกเราทุกคน ลองสังเกตความเปลี่ยนแปลงดูสิครับ มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว
     
  8. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    ประเด็นต่างๆ อาจมีความขัดแย้งกันบ้างแต่ก็ไม่มีใครถูกใครผิดหรอกครับ ขึ้นอยู่กับว่าท่านกำลังพูดถึงสภาวะใด (สภาวะของโลกทางกายภาพ หรือสภาวะของโลกแห่งจิตวิญญาณ) สิ่งต่างๆที่ท่าน (จิตวิญญาณของท่าน) จะต้องเรียนรู้มันกำลังรอท่านอยู่แล้ว ช้าหรือเร็วท่านก็ต้องรู้อยู่ดี (อาจเรียกว่าสัจจะธรรมก็ได้) สำคัญที่ว่าท่านเปิดใจที่จะเรียนรู้และพยายามที่จะรู้หรือไม่เท่านั้น

    ความเชื่อกับความรู้นั้นแตกต่างกัน...ทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้นี่สิท้าทาย

    ข้อมูลข่าวสารจะมีประโยชน์ต่อผู้รับ(ผู้อ่าน)หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้รับใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสารนั้นหรือไม่อย่างไร..."ถ้าต้องการหัวกะทิก็ต้องรู้จักคั้นและแยกเอาน้ำและกากออกไป"

    Don't feel bad ;aa13
     
  9. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    ขอบคุณที่เสนอข้อคิดเห็นมาแบบไม่มีการเหน็บแนม
    ผมชอบการแสดงความเห็นแบบนี้ ไม่ใช่ใครไม่เห็นด้วยก็บอกว่าเขา
    Ego สูง หรือเป็นน้ำล้นแก้ว แบบนั้นมันเป็นการชวนทะเลาะมากกว่า
    ผู้ดีเขาก็แสดงความเห็นกันแบบผู้ดี ถูกไหมครับ
    คิดต่าง ไม่จำเป็นต้องแตกแยก

    เข้าเรื่องนะครับ การที่เราจะรับความรู้ใหม่ๆ เข้ามา หรือเกิดความเชื่อ
    ในสิ่งใหม่ๆ เช่น บอกว่าเราสามารถกลับไปในอดีตแล้วไปแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด
    ได้นั้น สำหรับผมแล้วยังไม่เชื่อหรอกครับ เพราะอะไร ก็เพราะมันยังเป็นเพียง
    ทฤษฎี ยังไม่มีการพิสูจน์เลย แล้วคุณจะไปเชื่อจนยอมออกมาเถียงคนที่ไม่เชื่อ
    ได้อย่างไร การรับความรู้อะไรใหม่ๆ ก็ต้องพิสูจน์ก่อนครับ
    ส่วนทางพระพุทธศาสนานั้น ผ่านเวลาและการพิสูจน์โดยครูบาอาจารย์ต่างๆ มาแล้ว
    ว่าสามารถบรรลุได้จริง ไม่เหมือนความรู้จากนอกโลกครับ
     
  10. vijit_j

    vijit_j เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    739
    ค่าพลัง:
    +2,866
    วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ ( 629 คน กำลังดูอยู่ )
    [​IMG]ศูนย์รวมคนมีพลังจิต, วิทยาศาสตร์ทางจิต, วิทยาศาสตร์มหัศจรรย์, เรื่องลึกลับ, มนุษย์ต่างดาว, สัมผัสที่หก, วิญญาณศาสตร์, UFO, ศาสตร์และประสบการณ์อันลี้ลับ, ศาสตร์แห่งปัญญาที่ล้ำเลิศ, ศาสนาและปรัชญา
    ห้องย่อย: [​IMG] ภัยพิบัติและการเตรียมการ, [​IMG] การทดลองทางจิต, [​IMG] Black Hole

    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY id=collapseobj_forumbit_3><TR align=middle><TD class=alt2>[​IMG]</TD><TD id=f8 class=alt1Active align=left>กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ ( 183 คน กำลังดูอยู่ )
    กฎแห่งกรรม กรรม เรื่องของ อานิสงค์ การทำบุญ และบาป เวียนว่ายตายเกิด การระลึกชาติ ภพภูมิ จักรวาลแบบพุทธ นรก สวรรค์ เทวดา นางฟ้า
    ห้องย่อย: [​IMG] ภพภูมิ-สวรรค์ นรก, [​IMG] บุญ-อานิสงส์การทำบุญ, [​IMG] เสียงธรรมเรื่องกรรม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY id=collapseobj_forumbit_3><TR align=middle><TD class=alt2>[​IMG]</TD><TD id=f8 class=alt1Active align=left>กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ ( 183 คน กำลังดูอยู่ )
    กฎแห่งกรรม กรรม เรื่องของ อานิสงค์ การทำบุญ และบาป เวียนว่ายตายเกิด การระลึกชาติ ภพภูมิ จักรวาลแบบพุทธ นรก สวรรค์ เทวดา นางฟ้า
    ห้องย่อย: [​IMG] ภพภูมิ-สวรรค์ นรก, [​IMG] บุญ-อานิสงส์การทำบุญ, [​IMG] เสียงธรรมเรื่องกรรม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ในบอร์ด มีหลายห้อง สนใจสิ่งใด ก็เข้าไปในห้องนั้นๆ จะได้คุยกันถูกคอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2011
  11. อินทัช

    อินทัช สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +4
    รู้...เข้าใจ...เข้าถึง...สามคำนี้คือคำบัญญัติที่แปลง่าย แต่ความหมายที่แท้คงต้องอยู่ที่...ปัญญาของแต่ละคน...ความหมายของคนหนึ่งอาจไม่ใช่ของอีกคนหนึ่ง...ดังนั้นหากไม่เอาเราไปเปรียบกับคนอื่น ความต่างคงไม่มี แตกต่างไม่แตกแยก คิดต่างไม่คิดแยก ไม่มีถูกไม่มีผิด ก็ทำให้วางอุเบกขาลงได้...สาธุ
     
  12. มุมหนึ่ง▲

    มุมหนึ่ง▲ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +96
    หมายความว่า ปัจจุบัน คือ อดีต และ อนาคต ถูกต้อง เปล่า ครับ
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425

    จิตวิญญาณไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน

    มิติที่แท้จริงและมิติทั้งหมด คือ ปัจจุบัน
    ภพภูมิทั้งหมด คือภาวะแห่งจิตวิญญาณ

    พภูมิ อาจเป็นช่วงแห่งกาลเวลา หรือเป็นเพียงหน่วยของอะตอมที่สถิตย์อยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ภพภูมิเป็นการแบ่งแยกภาวะในห้วงจักรวาลด้วยกาลเวลา ด้วยสภาวะ และด้วยเหตุผลจำเพาะ ภพภูมิอาจสลายตัวไปหรือผุดขึ้นในสภาวะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภพภูมิจึงเป็นบรรยากาศหรือสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อพัฒนาการจำเพาะ ต่อคุณสมบัติจำเพาะและเป้าหมายแห่งความสำเร็จในทิศทางจำเพาะของจิตวิญญาณ ภพภูมิเป็นสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการแบ่งแยกธาตุในลักษณะจำเพาะเพื่อการพัฒนาและการทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ของจิตวิญญาณ

    ดาวนพเคราะห์ ทั้งหลายได้ถูกใช้เป็นภพภูมิครั้งแล้วครั้งเล่าในสภาวะที่แตกต่างกันไป แต่ภพภูมิก็ไม่ใช่สถานที่ตั้งใดๆ ในจักรวาล ธาตุแท้แห่งจิตวิญญาณหรือ จิตวิญญาณรวมต่างร่า่งในทุกชาติภพ อาจถือกำเนิดในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ก่อนที่จะไปถือกำเนิดในภพภูมิอื่นๆต่อไป ไม่มีลำดับตายตัว ลำดับเหล่านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของธาตุแท้แห่งจิตวิญญาณรวม ซึ่งถือกำเนิดในทุกภพภูมิพร้อมๆกันหมด (คือปัจจุบันขณะของจิตวิญญาณ) การเผชิญประสบการณ์หลากหลายในต่างภพภูมิพร้อมกันหมดทำให้จิตวิญญาณมีความรู้สึกนึกคิดที่ล้ำลึก และสามารถเรียนรู้ได้อย่างชัดแจ้ง

    http://palungjit.org/threads/@@@-โนวา-อนาลัย-@@@-มิติใหม่สู่อิสระภาพของจิตวิญญาณ.19213/
     
  14. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    ผลกรรมสืบเนื่องมาจากอดีต ให้ผลในปัจจุบันและอนาคต
    ดังนั้นจะไม่มีอดีตได้อย่างไร
    ถ้าไม่มีอดีตจริง เมื่อวานก็ไม่มีด้วยซิครับ แล้วเราเกิดมาจากปัจจุบันหรือ

    ขอโทษคุณ Mead จริงๆ นะครับ ผมไม่ได้เข้ามากวน จะเห็นว่าผมแย้ง
    เฉพาะในเนื้อหาเท่านั้น ไม่ได้ว่าร้ายคุณ Mead นะครับ อย่าโกรธผมเลย
     
  15. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425

    ยินดีครับคุณ Wimut

    จริงๆเมื่อสัก 5-6 ปีก่อน ที่พี่นักเขียนฯ (โนวา อนาลัย) ได้พูดถึงเรื่องกาลเวลา และเครื่องพรางไว้
    และกล่าวว่า "อดีด-อนาคต ปรากฎอยู่พร้อมกันหมด เป็นปัจจุบัน"
    พวกเราแต่ละคนก็เคยมึนตึบกันมาพอดูล่ะครับ พยายามทำความเข้าใจกันมาตลอด
    พูดคุยกันมาเรื่อยๆ และยิ่งเรามาเจอข้อความต่างมิติฯที่ตอกย้ำในเรื่องนี้เข้าไปอีก
    ก็พอจะเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆครับ

    ทางวิทยาศาสตร์เองก็อธิบายเรื่องเวลาไว้ครับ
    ว่าหากได้ล่วงพ้นไปจากโลกทางกายภาพทั้งมวลแล้ว
    เวลาไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปด้วยความสม่ำเสมอเท่ากันทุกแห่งในเอกภพ
    เวลา ณ จุดใดก็ตามจะขึ้นอยู่กับแกนอ้างอิงนั้นๆ

    ส่วนในทางจิตวิญญาณ ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับมุมมองครับ
    ถ้าเราอยู่ในที่มิติที่สูงขึ้นไปแล้วมองกลับลงมา..
    เราจะเห็นทุกสิ่งทั้งหมดพร้อมๆกัน ในตอนนี้เลย
    หรือ เมื่อเราจากกายสังขารนี้ไปแล้ว
    เราก็จะสัมผัสกับความเป็นจริงนี้ได้แจ่มชัดขึ้นไปอีก
    เนื่องจากเวลาทุกๆเส้นทางมันจะพุ่งเข้าหาเราแบบ random

    เราจะลองมอง"ความเป็นจริง" นี้อย่างง่ายๆกันดูนะครับ
    สมมุติว่า มีอดีตและอนาคต ปรากฎอยู่ในความเป็นจริงพร้อมกันหมดจริงๆล่ะก็
    สิ่งที่เราเรียกว่า "ปัจจุบัน นั้นก็ย่อมเคลื่อนที่ไปด้วย" ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่เฉยๆเป็นแน่ ? (กุญแจไขความเข้าใจอยู่บรรทัดนี้ครับ)

    โลกของจิตวิญญาณเองไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่
    มีการเคลื่อนไหลไปมา หด-ขยายตัว เพื่อสร้างสมดุลย์อยู่ทุกขณะ
    และมีค่าจำเพาะตามมิติหรือความหนาแน่นของมันเอง

    สมมุติว่า.. ขณะนี้ ตอนนี้ คุณวิมุติ กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ (นี่คือปัจจุบันขณะ)
    อีกประเดี๋ยว คุณวิมุตก็จะไปเข้านอน หรือนั่งสมาธิต่อ
    ตอนนั้น ก็จะเป็น "ปัจจุบันขณะ"ของคุณวิมุติ (ในอนาคตด้วย)
    และมันก็จะมีเส้นทางต่างๆอีกมากมายของ ตัวตนรวม ของคุณวิมุติ ซ้อนอยู่พร้อมกันหมด
    ไม่ว่าจะเป็น ตัวตนต่างร่างในอดีต-อนาคต + ตัวตนเสมือนร่วมร่าง-ต่างมิติ
    และตัวตนร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติอีก

    ค่อยๆเพิ่มเส้นทางต่างๆทวีคูณเข้าไปครับ
    โดยมีจุดตัดของทุกๆเส้นทางอยู่ร่วมกันหมด ที่เราเรียกกันว่า "ปัจจุบัน"
    หวังว่าน่าจะพอนึกภาพออกนะครับ

    "ปัจจุบัน" ก็คือสิ่งที่เรากำลัง"จดจ่อ"
    และมันก็ มีอยู่-เป็นอยู่ และดำเนินไป ตามสภาวะของจิตในขณะนั้นเสมอครับ
    ส่วนเรื่อง "ผลกรรมสืบเนื่อง" นี่ลองไปอ่านข้อความของคุณ อพอลโล่ ดูครับ ตรงกับที่เข้าใจพอดี


    มิติที่เราอยู่นี้ มีเครื่องพรางอยู่ อาจทำให้เราจินตนาการเรื่องนี้ยากสักหน่อย
    มันซับซ้อนเกินกว่าสมองของเราจะวิเคราะห์ได้ด้วยน่ะครับ
    หากเราไปดาวน์โหลดข้อมูลความเข้าใจนี้ มากจนเกินไป
    สมองเราอาจจะระเบิดออกได้ทีเดียวนะครับ มันซับซ้อนเอามากๆเลย (อิอิ)
    แต่ในที่สุดแล้ว จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดทั้งมวล มันก็มีอยู่-เป็นอยู่-และดำเนินไปพร้อมๆหมดแล้ว ในขณะนี้
    และเวลาแห่งการก้าวกระโดดครั้งสำคัญ ก็กำลังรอให้เราพิสูจน์กันอยู่ เร็วๆนี้! นะครับ

    "กรรมโยกย้ายและรับแทนกันได้" ด้วยระบบกรรมองค์รวม (Integrated Gramma Ennergy Management)
    อพอลโล่

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2011
  16. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    ขอบคุณคุณ Mead ที่พยายามอธิบาย สมกับที่เป็นนักค้นคว้าครับ

    เข้าเรื่องเลย สิ่งที่จิตจักรวาลและความรู้ที่ส่งมาจากนอกโลกพยายามพูด
    ถึงมิติ กาลเวลา และอวกาศ บางเรื่องก็รับได้ บางเรื่องก็ไม่น่าจะรับได้ครับ
    เราไม่จำเป็นต้องไปเชื่อเขาทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องกาลเวลานี้
    สิ่งที่คุณพยายามอธิบายนั้น เป็นการเอาอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เข้ามาปนกัน
    ซึ่งความเป็นจริงนั้นมันปนกันไม่ได้ เพราะมันเรื่องของเวลาที่ผ่านไป เวลาปัจจุบัน
    และเวลาที่มันยังมาไม่ถึง มันไม่ใช่เวลาเดียวกัน แต่มันต่อเนื่องกันไป

    สิ่งที่คุณเข้าใจบางอย่างก็ถูกต้อง เช่น เวลาของโลกเรา เวลาของโลกอื่น เวลา
    ของมิติอื่นนั้นไม่เท่ากัน ดังนั้นการไปข้ามมิติเมื่อกลับไปมิติเดิม ระยะเวลามันจะไม่เท่ากัน
    เช่น เราไปมิติอื่น 1 วัน พอเรากลับมามิติเดิม อาจกลายเป็น 100 ปีผ่านไป
    แต่เราก็กลับไปที่เวลานั้น (100 ปีข้างหน้า) ไม่ใช่กลับไปในอดีตนะครับ
    มันกลับไปในอดีตไม่ได้ เราย้อนกลับไปดูอดีตได้แต่ไปทำอะไรกับอดีตไม่ได้ เพราะ
    อดีตมันจบสมบูรณ์ด้วยกาลเวลาไปแล้ว
    เหมือนเราเข้าไปดูหนังที่เขาถ่ายมา (เป็นเวลาในอดีต) เราดูได้ แต่เราไปเปลี่ยนแปลง
    อะไรไม่ได้
    อย่าเพิ่งไปเชื่อความรู้จากนอกโลกพวกนี้ 100% เราควรศึกษาไว้เท่านั้น เพราะความรู้
    พวกนี้มาจากร่างทรงฝรั่งและไทย ที่เขาไปรับความรู้นี้มา ผู้ให้ความรู้นี้ก็มาแบบไม่เคย
    เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเลย ไม่เคยทำ "Open Contact" อย่างเปิดเผยนะครับ

    ที่สำคัญ ยังไม่เคยมีการพิสูจน์ทฤษฎีที่กล่าวอ้างเรื่องกาลเวลานี้เลย และสิ่งที่เขาส่งมา
    ผู้รับอาจเข้าใจความหมายคลาดเคลื่อนไปก็เป็นได้

    เหมือนกับคนที่ฝึกสมาธิใหม่ๆ นั่งไม่กี่ปีก็เห็นนิมิตโน่นนี่ เขาเห็นจริงครับ แต่สิ่งที่เขา
    เห็นอาจไม่ใช่ของจริง เพราะในเรื่องของจิตวิญญาณ มันมีทั้งหลอกตัวเองและโดน
    มารหลอก ที่สำคัญคุณรู้จักมารหรือเปล่า (เทพบุตรมารน่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กรกฎาคม 2011
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เรื่องของกาลเวลาที่ไม่เป็นเส้นตรง และประเด็นที่ว่ามันไม่มีอยู่จริง
    รวมถึงมันมีอยู่พร้อมกันหมด ในเวลาเดียวกัน ทั้งอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
    คือประเด็นหลักที่เป็นประเด็นพื้นฐาน ที่ทุกรูปธรรมจากต่างมิติ
    พูดตรงกันหมดทั้ง 100% เต็ม ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารมาจากมิติไหน
    รูปธรรมไหน และตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตาม


    อันนี้รวมถึงท่านอาจารย์ โนวา อนาลัย ที่สื่อสารมาถึงพี่นักเขียน ซึ่งเป็นคนไทย ผ่านทางความฝัน ด้วยนะครับ

    และนอกจากนี้ ก็ยังมีผู้ที่เคยมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น กลับมาเล่าเรื่องทำนองนี้ให้ฟังด้วย
    พวกเขาหลายคน (ซึ่งเป็นคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเป็นพิเศษ) ล้วนกล่าวตรงกันหมด

    และสุดท้าย ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์ชาว USA ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องของโครงการต่างๆ
    ที่แอบไปทำบนดาวอังคาร และบนดวงจันทร์อีกด้วย และยังบอกอีกด้วยว่า
    พวกเขากำลังทำงานร่วมกันอยู่กับมนุษย์โลกจำนวนหนึ่ง ผู้ที่เดินทางมาจากอนาคต

    เดี๋ยวผมจะค่อยๆโพสต์ให้อ่านไปทีละโพสต์นะครับ เพราะผมก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่จินตนาการได้ยาก
    เพราะมันเป็นข้อจำกัดด้านการรับรู้ของผู้ที่อยู่ในมิตินี้อย่างเรา

    โพสต์ต่อไปจะเป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ คนที่กล่าวถึงไปแล้วนี่ก่อนนะครับ
    ซึ่งทุกเรื่องต่อไปนี้ ถ้าท่านต้องการอ่านเนื้อหาแบบเต็มๆ ก็เข้าไปอ่านตามลิงค์ที่ผมจะแปะไว้ให้ได้เลยนะครับ
    เพราะผมแปล และ โพสต์เป็นภาษาไทย เอาไว้ให้ท่านได้อ่านแบบง่ายๆ สบายๆ หมดแล้ว
    หน้าที่ของท่านก็แค่ทำใจสบายๆ เปิดใจกว้างๆ และคิดตามไปเท่านั้นเอง

    ผมก็เข้าใจว่า ความสามารถในการเข้าใจได้ของมนุษย์เราจะไม่เท่ากันก็ตาม
    เพราะเหตุแห่งความเชื่อ ทัศนคติ ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆใน data base ของแต่ละคน
    และข้อจำกัดของการรับรู้ของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากันนั่นเอง

    ...แต่อย่างไรเสีย ผมก็คาดว่าท่านจะได้ประโยชน์จากเนื้อหาเหล่านี้ ไม่มากก็น้อย
    เพราะอย่างน้อย ก็ให้ท่านได้รู้ผ่านๆเอาไว้ เผื่อว่าในวันข้างหน้า วันใดที่ท่านได้ยินได้ฟังจากที่อื่นๆ
    หรือจากแหล่งอื่นๆซ้ำอีก ท่านก็จะได้นึกขึ้นมาได้ว่า อ้อ..เรื่องนี้ฉันเคยอ่านผ่านๆมาก่อนแล้ว...

    ..........................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2011
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ที่มา:

    โค้งสุดท้ายของแผนการประกาศและเปิดเผยตัว-อย่างเป็นทางการ-ต่อชาวโลก-ของมนุษย์ต่างดาว


    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7.220547/page-8


    ESA วางแผนที่จะออกมาประกาศว่าโฟโบสคือฐานของรูปธรรมชีวิตต่างพิภพ?

    เขียนโดย นาย David Wilcock, วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2010, 18:23 น.


    Is ESA Planning to Announce Phobos is an ET Base?

    (ต่อครับ)

    Henry Deacon หายตัวไป


    [​IMG]

    (คนนี้ครับ Henry Deacon)

    มนุษย์โลกในอนาคต


    ผู้คนจากโลกอนาคต จะแตกต่างจากที่เราคิดไว้อย่างมาก สำหรับคนที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
    พวกเขาจะไม่ค่อยมีคำถามอะไรมากมายนัก เพราะเขารู้ว่าพวกเรากำลังจะผ่านขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการครั้งใหญ่
    ที่ลึกซึ้งมากๆ ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งภายในปี 2030 คุณก็จะกลายเป็นคนใหม่ที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิงแล้ว



    ดูเหมือน Henry จะยังไม่เคยเล่าให้ผมฟังอย่างจริงๆจังๆ ว่าเขาเคยท่องกาลเวลาหรือ ท่องอวกาศหรือไม่
    เพื่อที่จะลดอาการเจ็บปวดทางจิตของเขาเองให้ลดน้อยลงมากที่สุด เพราะเขาเคยต้องเผชิญกับมันด้วยตัวเองตามลำพัง


    มีชาวโลกจากอนาคตบ้างเหมือนกัน ที่เคยย้อนเวลากลับมาหาพวกเรา
    ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนกับพวกเราทุกอย่าง


    แต่ว่าพวกเขาได้ “เลื่อนระดับขึ้น” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาสามารถสื่อสารโดยใช้โทรจิตได้ดีมาก,
    มีพลังจิตสามารถใช้เคลื่อนย้ายสิ่งของได้, และคุณจะรู้สึกถึงพลังงานสดชื่นที่แผ่ออกมารอบๆตัวพวกเขาได้
    เมื่อเข้าไปใกล้ๆพวกเขา



    Henry เคยทำงานประจำร่วมกับพวกเขามาก่อน บนฐานบนดาวอังคาร

    ซึ่งฐานนี้สามารถจุคนได้ถึง 200,000 คน และกำลังทำการขยายโปรเจ็กท์ออกไปอย่างกว้างขวาง ในช่วงก่อนที่เขาจะจากมา


    มันก็มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นบ้าง สำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์หลายเผ่าพันธุ์เช่นนี้
    และแม้แต่ภายในเผ่าพันธุ์เดียวกันเองก็ตามแต่



    มีหลายโปรเจ็กท์ที่กำลังดำเนินการอยู่ จึงทำให้มีผู้คนมากมาย ที่มาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อมาทำงานเหล่านี้
    จนทำให้รู้สักสับสนและงงไปหมด



    ประสบการณ์โดยตรงของผมที่เคยปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่มาจากอนาคตเหล่านี้
    มีเพียงผ่านการติดต่อทางโทรจิตเท่านั้นเอง ยังไม่ได้เคยเจอกันแบบตัวต่อตัว



    แต่ถ้าเป็นพบกันในความฝัน และแบบ OBEs หละก็ ผมก็มีบ่อยๆ จนผมสามารถพัฒนาความสัมพันธ์
    ในขั้นละเอียดลึกซึ้งไปได้มานานหลายปีแล้ว


    ผมได้รับความช่วยเหลือบางอย่าง ในการเขียนหนังสือชื่อ “2010 Enigma”
    ซึ่งระดับของความช่วยเหลือนั้น มันช่างอัศจรรย์พันลึกยิ่งนัก จนตอนนี้มันตะเลิดออกไปนอกขอบเขต
    ที่ผมเคยคิดไว้แล้วเสียอีก

    เนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ของมัน ก็แน่นขนัด ขนาดกันกระสุนได้เลยทีเดียวหละ
    และมันก็จะกลายมาเป็นสิ่งที่จะสามารถใช้พิสูจน์ประเด็นต่างๆที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ อย่างปฏิเสธไม่ได้เลยทีเดียว


    แต่โชคไม่ค่อยดี ที่ข้อมูลต่างๆส่วนใหญ่ พวกเขาจะส่งผ่านมาถึงผมทางความฝัน
    และประกอบกับที่ผมมีเวลาจำกัดในการที่จะจัดทำหนังสือเล่มนี้ให้เสร็จสมบูรณ์


    แต่ก็ขอขอบพระคุณทางผู้จัดพิมพ์ของผม ที่ได้ช่วยเหลือประสานงานและสนับสนุนมาด้วยดีเสมอมา
    จนแทบจะเรียกได้ว่า ตอนนี้มันเสร็จสิ้นไปได้เกินกว่าครึ่งแล้ว และผลลัพธ์ของมัน ก็จะยิ่งน่าตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก


    (ยังมีต่อครับ)
    .............................


    (ต่อครับ)


    ชุดสวมใส่เพื่อท่องกาลเวลา
    และ AI (Artificial Intelligence; สมองกลอัจฉริยะ)




    เพราะว่าหลักการของการท่องกาลเวลา บังคับให้ต้องมีเสื้อผ้าที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
    ซึ่งจะเป็นชุดเสื้อและกางเกงติดกัน ทำมาจากโลหะ แนบเนื้อติดกับลำตัว เพื่อช่วยให้ร่างกาย
    ทนทานต่อความผิดปกติที่จะเกิดขึ้น จากความแตกต่างกันของมิติเวลาได้



    ชุดที่ว่านี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เป็นแฟชั่นล้ำสมัยในอนาคตแต่อย่างใด แต่เพราะความจำเป็นจริงๆ



    ชุดที่ว่านี้ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในรายงานการติดต่อระหว่างมนุษย์โลก
    กับรูปธรรมชีวิตต่างพิภพทั้งหลาย



    แต่ดูเหมือนว่า รูปธรรมชีวิตต่างพิภพกลุ่มอื่นๆ ที่มีวิวัฒนาการไปไกลเกินกว่าระดับนี้แล้ว
    จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาใช้เทคโนโลยีอะไรแบบนี้ เพื่อช่วยในการเดินทางของพวกเขาอยู่อีกต่อไปแล้ว

    ชุดนั้นจะทำงานกับคุณ และเป็นเสมือนผิวหนังชั้นที่สองของคุณ มันจะปกป้องและบำรุงรักษาคุณเป็นอย่างดี

    บางชุดก็คุมไปทั้งหัว เหลือเฉพาะแต่ส่วนหน้าที่โผล่ออกมา แต่ชุดแบบอื่นๆก็คลุมมาถึงแค่ช่วงคอเท่านั้น



    ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีสมองกลอัจฉริยะอยู่อย่างจำกัด เหมือนกับที่มียานอวกาศอยู่จำนวนจำกัดด้วย


    คนวงในบางคน เคยเปรียบเทียบปฏิกิริยาทางด้านจิตใจของคุณที่จะมีต่อยานอวกาศเหล่านี้ว่า

    ยานอวกาศเหล่านี้ พวกมันเหมือนกับลูกสุนัข ผู้รักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของของมันไปจนวันตาย
    และปราถนาที่จะรับใช้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่มันจะสามารถทำได้



    หนึ่งในเหตุผลที่ยาน UFO ทั้งหลาย ต้องถูกจอดและล็อกแขวนเอาไว้บนที่แขวน ก็เพราะว่า
    พวกมันสามารถเปิดประตูเองได้ เมื่อมีมนุษย์เข้าไปใกล้ๆพวกมัน เพราะว่าพวกมันพร้อมที่จะให้การรับใช้อยู่แล้ว



    ระบบอัจฉริยะสมองกลเหล่านี้ สามารถซ่อมแซมความเสียหายของยานอวกาศได้เองอย่างอัตโนมัติ
    พวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากองค์ประกอบของนาโนเทคโนโลยี ที่สามารถเคลื่อนย้ายและประกอบตัวเองขึ้นมาใหม่ได้

    หรือในบางกรณี ก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างของยานทั้งลำไปได้อย่างสิ้นเชิงอีกด้วย

    แต่ละเซลของพวกมันถูกควบคุมโดยสมองกลอัจฉริยะส่วนกลาง (Central AI) ของยาน

    เพราะฉะนั้น คนวงในหลายคน จึงเคยเห็นการซ่อมแซมเปลือกนอกของตัวมันเอง
    ของยานที่เพิ่งได้รับความเสียหายจากการตกมา แม้ว่าความเสียหายนั้นจะสาหัสสักแค่ไหนก็ตาม

    ซึ่งประเด็นนี้ ก็ได้เคยถูกนำไปเผยแพร่ผ่านทางภาพยนตร์ Hollywood เรื่อง “Batteries Not Included” แล้วด้วย


    (ยังมีต่อครับ)
    .............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2011
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ที่มา:

    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%9F%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99.265002/

    แอนิต้า-ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น-และหายป่วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน

    http://palungjit.org/threads/แอนิต้...วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน.265002/

    แอนิต้า - ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น และหายป่วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน

    ที่มา: Anita's Inspiring Near-Death Story

    ตอนที่ 2:

    คำถาม: ใช่แล้ว ผมพอจะนึกออก มันคงจะเป็นความรู้สึกโดดเดี่ยว ที่มาพร้อมกับประสบการณ์
    ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ง่ายๆ

    คุณจะบอกผมอีกหน่อยได้ไหมครับว่า ว่าวิธีการคิดที่เปลี่ยนไปนี้
    มันมีผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของคุณอย่างไร?


    <table class="MsoNormalTable" style="" align="right" border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"> <tbody><tr style=""> <td style="padding: 0cm;">
    </td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]

    แอนิต้า
    :

    ตอนที่ฉันอยู่ในภาวะเฉียดตายนั้น ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกโลกหนึ่ง

    มันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันได้ตื่นขึ้นมาจาก “มายาการ” แห่งชีวิตแล้ว
    และจากมุมมองนั้น มันดูราวกับว่าชีวิตทางกายภาพของฉัน
    มันเป็นแค่เพียงผลลัพธ์สุดท้ายของความคิดและความเชื่อของฉัน
    ณ.จุดๆนั้น เท่านั้นเอง


    มันรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกนี้ เป็นเพียงผลลัพธ์สุดท้ายของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกเท่านั้นเอง
    นั่นคือผลลัพธ์สุดท้ายของทุกๆกระแสความคิด และความเชื่อของคนทุกคนบนโลก

    มันรู้สึกราวกับว่า ไม่มีอะไรเลยที่เป็นของจริง
    แต่พวกเราเองต่างหากที่ทำให้มันกลายเป็นจริง
    ด้วยความเชื่อของพวกเราเอง


    ฉันเข้าใจแล้วว่า แม้แต่มะเร็งที่ฉันเป็นอยู่ในตอนนั้น ก็ไม่ใช่ของจริงด้วย เพราะมันก็เป็นส่วนหนึ่ง
    ของมายาการด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น

    หากว่าฉันกลับเข้ามาอยู่ในร่างของฉันใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้วเมื่อใด มันจะต้องไม่มีมะเร็งเหลืออยู่อีกต่อไป



    และอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันมีความเข้าใจที่อัศจรรย์ว่า ในส่วนลึกของพวกเราทุกๆคน
    มันมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันอยู่อย่างไร

    และมันยังมีความเข้าใจด้วยว่า สิ่งที่ฉันรู้สึกอยู่ภายในขณะนี้ มันไปส่งผลกระทบต่อจักรวาลทั้งจักรวาลอย่างไร

    มันรู้สึกราวกับว่า จักรวาลทั้งจักรวาลอยู่ในตัวฉันนี่เอง ตราบเท่าที่ฉันจะตระหนักรู้ได้

    ถ้าฉันมีความสุข จักรวาลก็จะมีความสุขไปด้วย ถ้าฉันรักตัวฉันเอง ทุกๆคนก็จะรักฉันด้วย
    ถ้าฉันมีความสงบสุข จักรวาลทั้งจักรวาลก็จะสงบสุขด้วย และก็อะไรทำนองนี้


    รวมถึง มันไม่มีอะไรที่เป็นช่องว่างและกาลเวลาอยู่เลยในมิตินั้น
    มันรู้สึกราวกับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นพร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน


    ฉันเห็นสิ่งที่อาจจะเรียกว่า “อดีตชาติ”
    มากมาย ฉันเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้นด้วย

    (เธอเห็นว่าพี่ชายของเธอกำลังอยู่บนเครื่องบิน เพื่อเดินทางมาเยี่ยมเธอ ตอนเขาได้ข่าวว่าเธอเสียชีวิตแล้ว
    และเธอก็ได้ยินบทสนทนาของสมาชิกในครอบครัวของเธอกับคุณหมอ ซึ่งสนทนากันอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง
    ห่างจากห้องที่เธอนอนป่วยอยู่ประมาณ
    40 ฟุต และหลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว ปรากฏว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้
    สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะเธอสามารถจำคำพูดในบทสนทนาเหล่านั้นได้หมดทุกคำ - ผู้แปล)

    และฉันก็ได้เห็นอนาคตของฉันในชาติภพนี้ ที่มันได้ฉายภาพล่วงหน้าให้ดู

    แต่มันเหมือนกับว่า ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นพร้อมๆกันหมด ในเวลาเดียวกัน
    และฉันก็รู้สึกว่า ฉันกำลังมีชีวิตอยู่ในทุกๆช่วงของชีวิตเหล่านั้นพร้อมๆกันหมด
    ในเวลาเดียวกันด้วย


    มันรู้สึกราวกับว่า ภายหลังจากที่ฉันกลับมาแล้ว จิตใจของฉันก็จะจัดการกับพวกมัน
    ให้เป็นไปในแบบที่มีลำดับการเกิดขึ้นก่อน-หลัง แบบเป็นเส้นตรงเท่านั้นเอง
    แต่แท้ที่จริงแล้ว ในมิตินั้น มันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย


    และในขณะนั้น แม้แต่ระยะทางและกำแพงแข็ง ก็ยังไม่สามารถปิดกั้นการมองเห็นและการได้ยิน
    ”ทุกสิ่งทุกอย่าง” ที่เกี่ยวข้องกับฉัน ของฉันได้เลย



    ตอนนี้พอกลับมาสู่ชีวิตในมิติที่ 3 นี้แล้ว มันยังรู้สึกราวกับว่า แม้แต่กำแพงแข็งและระยะทาง
    ก็จะมีอยู่จริงได้ เพียงเพราะว่าพวกเราเลือกที่จะเชื่อว่ามันมีอยู่จริงเท่านั้นเอง


    ..............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2011
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    แอนิต้า - ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น และหายป่วยจากมะเร็งระยะสุดท้ายเพียงแค่ข้ามวัน

    ที่มา: Anita's Inspiring Near-Death Story

    ตอนที่ 11:

    คำถาม: ก่อนหน้านี้คุณได้พูดถึงความรู้สึกของการเป็นหนึ่งเดียวกัน
    ความรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสรรพสิ่ง ที่เกิดขึ้นในขณะที่คุณกำลังอยู่ในสภาวะเฉียดตายในตอนนั้น
    คุณจะช่วยอธิบายเพิ่มเติมอีกสักหน่อยไดไหมครับ ว่ามันรู้สึกยังไง?


    แอนิต้า:

    ในระหว่างที่ฉันอยู่ในสภาวะเฉียดตายนั้น
    ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันเชื่อมโยงอยู่กับทุกสรรพสิ่ง
    ฉันคือทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างก็คือฉัน

    มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากมาก เพราะว่ามันไม่มีคำพูดที่จะเอามาใช้อธิบายความหมายให้ตรงจริงๆได้เลย

    มันรู้สึกราวกับว่ามันไม่มีความแบ่งแยกใดๆอยู่เลย
    จนกระทั่งเมื่อพวกเราเข้ามาอยู่ในชีวิตที่มีกายเนื้อนี้แล้ว
    พวกเราจึงมองเห็นโลกผ่านทางจิต (mind) อันที่จริงแล้ว
    มันรู้สึกเหมือนกับว่า “สิ่งที่แบ่งแยกนั้น ก็คือจิตเองนั่นแหละ



    ในสภาวะนั้น มันมีแต่ความแจ่มแจ้งและกระจ่างชัดไปซะหมด แต่อย่างไรก็ตาม
    มันไม่ได้รู้สึกว่า ความกระจ่างชัดนั้นมาจากจิต (mind) แต่อย่างใดเลย

    มันเหมือนกับว่ามีบางอย่าง ที่กำลังทำให้เกิดความเข้าใจที่กระจ่างชัดนั้นอยู่
    และบางอย่างที่ว่านั้น ก็สามารถรู้ด้วยว่าจิตมีการแบ่งแยกกันอยู่
    และก็รู้ด้วยว่าจิตคือสาเหตุของการแยกขาดจากกันของทุกสิ่งทุกอย่าง


    มันรู้สึกราวกับว่า “ความมีอัตตาตัวตน” (ego) และจิตคือสิ่งเดียวกัน ดังนั้น ในสภาวะเฉียดตายนั้น
    ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของจิต มันจึงไม่มี ego และความยึดติดใดๆเหลืออยู่ และทุกสิ่งทุกอย่างก็คือหนึ่งเดียวกัน


    ฉันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมต่อซึ่งกันและกันอยู่ ปราศจากการแบ่งแยก
    ปราศจากการตัดสินซึ่งกันและกันระหว่างสิ่งใดๆโดยสิ้นเชิง



    การก่ออาชญากรรมใดๆ หรือความเจ็บป่วยทางร่างกายใดๆ ล้วนมีสาเหตุมาจากสิ่งเดียวกันนี้ทั้งสิ้น
    นั่นก็คือมีสาเหตุมาจากความแบ่งแยกเราเขา และการป่วยทางจิต และยังมีสาเหตุมาจากว่า
    จิตจะแปลความหมายความแบ่งแยกนี้ไปในทิศทางใดด้วย



    ถ้าเราสามารถออกมาอยู่นอกจิตของเราได้ มันก็จะไม่มีปัญหา เราก็จะสมบูรณ์แบบ
    เพราะแม้แต่ “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ก็ยังเป็นผลงานที่จิตนี้แหละเป็นคนปรุงแต่งขึ้น
    และเรื่องการตัดสินคนอื่นก็ด้วย สรุปแล้วก็คือทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ


    แต่เมื่อใดที่เราเข้ามาอยู่ใน “จิต” ของเราเองแล้ว เราจะรู้สึกว่าเรามีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
    และจำเป็นต้องมองเห็นความแบ่งแยก เพื่อที่เราจะได้เข้าใจมันได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้มีสาเหตุมาจากจิตทั้งนั้น

    “จิตของพวกเราไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา”


    แต่ว่าเมื่อตอนที่ฉันอยู่ในสภาวะเฉียดตายนั้น แม้ว่าฉันจะรู้สึกว่าเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกสรรพสิ่งก็ตาม
    แต่ฉันก็ยังคงตระหนักรู้ถึงตัวตนของฉันเองอยู่ว่า เป็นตัวตนหนึ่งที่แบ่งแยกออกมาจากความเป็นหนึ่งเดียวทั้งหมด

    เหมือนกับว่าฉันก็ต้องมีวิวัฒนาการของฉันเองด้วย มันเหมือนกับว่าฉันมีจิตดวงนี้ ที่ไม่ใช่ตัวฉัน
    แต่ฉันคล้ายๆกับว่ามีภาระหน้าที่ ที่จะต้องพัฒนามันให้ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้
    แต่ตอนนั้นฉันอยู่นอกจิตของฉัน และกำลังมองดูมันอยู่



    แต่เมื่อใดที่เราอยู่ในร่างกายเนื้อของเราเองแล้ว เราจะเข้าไปอยู่ในจิตของเรา แล้วมองออกมาข้างนอกแทน
    แล้วเมื่อนั้นแหละความแบ่งแยกระหว่างทุกสิ่งทุกอย่างก็จะชัดเจน และแจ่มแจ้ง


    มันรู้สึกเหมือนกับว่า ปัญหาทุกๆอย่างในโลกล้วนมีสาเหตุมาจากการแสดงตัวมากเกินไปของจิต
    (too much mind identification) นั่นคือมายาการ (illusion)

    จิตคือมายาการ


    [​IMG]

    แต่ฉันเชื่อว่าพวกเรามีทางเลือกที่จะตื่นขึ้นมาจากมายาการนี้เสมอ ถ้าฉันสามารถตื่นขึ้นได้แล้ว
    และโดยการแผ่กระจายต่อๆไป ก็จะทำให้ผู้คนรอบข้างของฉันได้รับผลกระทบจากการตื่นนี้ไปด้วย

    พวกเราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ แต่จะต้องไม่เลือกที่จะดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้เงาแห่งมายาการนี้
    พวกเราสามารถเลือกที่จะมองให้ทะลุทะลวงผ่านมายาการนี้ก็ได้ แม้ว่าพวกเราจะยังมีตัวตนอยู่
    ในโลกทางกายภาพนี้อยู่ก็ตาม



    หลังจากประสบการณ์เฉียดตายของฉันครั้งนั้น มันรู้สึกเหมือนกับว่า มายาการอันนี้
    มันเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ใช้จิตสร้างกันขึ้นมา


    ..............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...