พระสมเด็จหลังรัชกาลที่5 สมเด็จพระแก้วกรุวังหน้า พระเก๊ไม่มีในสารบบพระ

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 13 มีนาคม 2011.

  1. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,045
    ค่าพลัง:
    +53,093

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับผม:cool::cool::cool:
     
  2. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ไม่รู้ว่าทางเวปมาสเตอร์จะนำข้อมูลต่างๆเหล่านี้ไปพิจรณาด้วยหรือเปล่า เพราะเห็นๆอยู่ว่าหลายๆกะทู้เอาพระเก๊มือผีมาลงโชว์อวดอ้างข้อมูล เช่นกริ่งปวเรศเนื้อเงินสเตอริงค์ ซึ่งมันไม่มีในสารระบบโลก เป็นพระเก๊มือผีทำขึ้นมามีข้อมูลชัดเจนว่ส่าวางขายที่ท่าพระจันทร์ หรือหลอกให้คนทำบุญกินเงินส่วนต่างจนพุงกางมีคนออกมาร้องเรียนแต่ก็ยังอยู่ในเวปได้ โดยใช้พระเก๊วังหน้ามือผีเอามาหลอกล่อ ทั้งๆที่ทางเวปมาสเตอร์ก็ทราบดีว่า ทั้งพระและคนเหล่านี้มันเป็นของปลอม
     
  3. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,045
    ค่าพลัง:
    +53,093
    :cool::cool::cool: เห็นด้วยครับพี่ แล้ว คนที่หวังดี ต่อ คนอื่น ๆ เยอะ ๆ ประเภท ไม่อยากให้ คนอื่น หลงทาง ทำไม ไม่อยากไปคุย ไปบอกเค้าเลยเหรอ พี่ หุๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2011
  4. hakta

    hakta สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +23
    เนื้อไม่แล่หนังไม่ลองแล้วยังจะเอากะดุกมาแขวงคออีก
    ดูแล้วไม่ยุติธรรมกับเพื่อนๆที่มาตอบ มาชี้แนะ มาสอน
    แล้วยังมาโดนด่า โดนแขวะ
    ยังไงขอให้กำลังใจสู้ครับ
     
  5. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    เรื่องนี้ผมก็พยามจะบอกหลายครั้งสมัยที่ผมเป็นทีมงาน ก็บอกว่าเรื่องพระเก๊มือผียังสรุปไม่ได้ว่าสมเด็จโตสร้างจริงหรือไม่ แถมยายผีป่ายังเอาหลักฐานเก๊มาอีกมาบอกว่าคุณตายายผีป่าบอกว่าสมเด็จโตสร้างจริง ทางเว็บเลยเชื่อกันใหญ่ แต่พอตอนนี้ทั้งไทยรัฐ และหนังสือหลายๆๆที่ ก็ลงแล้วว่าสมเด็จกรุผียัดไม่มีจริงทีมงานก็นิ่งเฉย ย้ายไปหลอกคนในห้องประชาสัมพันธ์อีก คนแบบพวกนี้คุยไม่รู้เรื่องครับเพราะเราชี้แจงด้วยข้อมูล เขาเล่นท้าสาบานแถมเงิน10000บาทให้อีก ใครจะไปเอาเงินชั่วๆๆที่หลอกผู้อื่นครับ โคโมโด ตัวดีตอนนี้พิสูจน์ได้มีหลักฐานแล้วว่าพระนี้เก๊ยังคงปิดหูปิดตาไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสารใดๆ เป้นเรื่องที่น่าสงสารครับกับสิ่งหนึ่งที่บางกลุ่มพยามค้นคว้าหาข้อมูล แต่คุณกลับไม่ฟังเอาแต่มโนมานั่งจับพลังพระทั้งที่มันเก๊หลอกเงินคนไปมากต่อมากแล้วพูดได้คำเดียวว่า........เสียดายครับ
     
  6. ธณต

    ธณต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,624
    ค่าพลัง:
    +5,025
    เล่นกับความเชื่อที่ยึดติดเเล้วมันค่อนข้างล่อแหลมนะครับ
     
  7. กำธร นครปฐม

    กำธร นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,756
    ค่าพลัง:
    +7,202
    ลำบากจริง ๆ นั่นหละครับ ยิ่งถ้าเชื่อแบบงมงายด้วยแล้วล่ะก้อ บอกได้คำเดียวว่าก็ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมนั่นแหละครับ
     
  8. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,045
    ค่าพลัง:
    +53,093

    ก็นี่แหละครับ สัจจะธรรม กรรม ของแต่ละคน ถึงบอกว่า คนที่บอกว่าหวังดี ๆ ไม่อยากให้ หลงทาง แต่พอ มีทางที่จะช่วยเหลือได้ กลับไม่เห็นออกมา บอก ไอ่ที่ ล่อแหลม ชวน ทะเลาะกันดีๆ ละก้อ เห็น มา บ่อยจัง แต่ละคำ ที่บอก ก็ หวังดีๆ หวังดีแบบมีผลประโยชน์อย่างที่เค้าว่ากันซะละมั้ง ผมถึงว่า แบบนี้ มันแล้วแต่กรรม คนฉลาด ถ้าไม่รู้ มีคนมาบอก แป๊บเดียว เค้าฉลาด ไหวตัวทัน ก็รู้ตัว เค้าก็รู้ คนไม่รู้ หรือชอบของเค้าอย่างไร ก็จะไป อะไร เค้า ก็เค้า มีกรรม ของเค้า ว่าใหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2011
  9. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    คำว่าผลประโยชน์มันทำให้คนเสียคนมาหลายยุคหลายสมัย เรื่องดาบทีนึงละ เรื่องพระเกริ่งเก๊ทีนึงละ ลูกแก้วทีนึงละ หินสีป๋องแป๋งพญานาคทีนึงละ ยังไม่จบเลย ส่วนต่างมันเยอะ มันเห็นเป็นคำโตๆน่าเคี้ยวน่าชิม พอชิมแล้วก็ติด
     
  10. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    เห็นแล้วต้องยกย่องพี่โจ๊ะพี่มันตรัยเป็นผู้นำพรรคมารกวาดล้างพวกฝ่ายธรรมะที่เป็นพวกผู้ดีจอมปลอมจริงๆๆครับขอคารวะ
     
  11. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ครับ

    ด้วยน้ำใจของทุกคนที่มีต่อวงการพระเครื่องแท้ๆ และช่วยส่องทางมห้กับ คนที่ทำบุญด้วยใจจริงครับ ตอนนี้ก็อย่างที่ทุกคนเห็นนะครับ เสียศูนย์กันไปหมด ไม่รู้จะมีใครออกมาแฉอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า
     
  12. กำธร นครปฐม

    กำธร นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,756
    ค่าพลัง:
    +7,202
    คงไม่ต้องถึงกับเป็นผู้นำหรอกครับ ผมทำอะไรออกหน้าไปเดี๋ยวจะมีหมารับใช้ชื่อย่อ "พ้" มาเห่าในกระทู้อีก หมารับใช้ตัวนี้ยายผีป่าเลี้ยงไว้ครับ ผมเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องตื้นลึกหนาบางพวกนี้มากนัก ที่เห็นในตอนท้ายก็คือการโกงเงินคุณดาวจรัสแสง 260,000 บาท และนำเอาพระเก๊ท่าพระจันทร์มาขายในทำนองบอกบุญแล้วกินส่วนต่าง ซึ่ง ดร.ณัฐชัย ก็ได้เปิดเผยให้ทราบในเรื่องร้องเรียนมาแล้ว อ้อ..ได้ข่าวว่าตอนหลังไปขายกุนเชียงอีกครับ :boo::boo:
     
  13. setupman

    setupman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +36
    ผมเป็นคนนึงที่ผึ้งเล่นพระมาได้ไม่นาน มีไรผิดพลาดก็โทดด้วยนะครับ คือว่าพอดีผมได้อ่านกระทู้นี้แล้วก็งงอะนะ ผมมีบทความที่ได้อ่านมาก็มันขัดกันเลยงงไปใหญ่ลองอ่านกันดูผมเองก็ไม่รู้ไหนจิงไหนไม่จิง ผมเกิดไม่ทัน
     
  14. setupman

    setupman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +36
    ประวัติและความเป็นมาของสมเด็จกรุวังหน้า และกรุวังหลวง
    ตามประวัติของหลวงปู่สมเด็จโตนั้นท่านชอบธุดงค์เป็นเนืองนิจ การท่องเที่ยวของพระนั้นก็คือการออกธุดงค์ไปตามหัวเมืองต่างๆ และมักจะเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น พระพุทธบาท พระฉาย และพระแท่นเป็นต้นกับเพื่อจาริกแสวงบุญหาความสงบ และฝึกฝนทดสอบสมรรถภาพวิชาของท่านไปเรื่อย โดยเฉพาะหลวงปู่สมเด็จโตท่านนั้นนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิปัสสนาธุระกับมีนิสัยชอบสันโดษ ไม่ปรารถนาใคร่แสวงหายศสมาณศักดิ์แต่อย่างใด กับเมื่อในแผ่นดินของรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าอยู่หัว (ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๗ ) ได้มีพระราชประสงค์แต่งตั้งหลวงพ่อท่านให้มีฐานุกรมสมณศักดิ์เป็นพระราชคณะเพราะเห็นว่าหลวงพ่อท่านเป็นผู้มีความรอบรู้ และวิชาเชี่ยวชาญทั้งอักษรศาสตร์ และทางวิปัสสนาธุระยิ่งนัก แต่หลวงพ่อท่านได้ทูลขอตัวเสียมิได้ยอมรับการแต่งตั้งสมณศักดิ์ในครั้งนั้น จึงได้ออกธุดงค์ท่องเที่ยวเพื่อจาริกแสวงบุญตามหัวเมืองต่างๆ และในการไปธุดงค์ของท่านนั้น เมื่อไปพำนักพักยังท้องที่เมืองใด ในแถบนั้นมีพระชนิดใดที่ผู้คนนิยมกันมาก ท่านก็ได้ให้ลูกศิษย์ลูกหาท่านสร้างล้อแบบพระพิมพ์ชนิดนั้นๆ ในแบบฉบับของท่านโดยเป็น เนื้อผง ,เนื้อกระเบื้อง (ดินเผา) ,เนื้อชิน ,เนื้อเงิน ,เนื้อตะกั่วถ่ำชา จนพิมพ์บูชาขนาดใหญ่ด้วยเนื้อผงซึ่งบางพิมพ์มียันต์จารึก หรืออักขระขอมประเภทหัวใจพระคาถาต่างๆซึ่งอยู่ด้านหลังขององค์พระพิมพ์ กับทั้งได้สร้างในแบบพิมพ์ของท่าน.ด้วยเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของท่านแล้วนำไปแจกจ่ายญาติโยม ส่วนที่เหลือก็บรรจุกรุเพื่อเป็นประโยชน์ในการต่อไป โดยเพื่อจะได้เป็นทุนเพื่อทำนุบำรุงถาวรวัตถุในวัดนั้นๆ ในยุคหลังต่อไป ก็ด้วยประการนี้เองจึงมีกรุพระสมเด็จตามวัดนอกกรุงต่างๆซึ่งมีมากมายหลายจังหวัด อย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน เกี่ยวกับการธุดงค์ ของท่านนั้นได้มีการกล่าวไว้ว่าท่านสมารถย่นระยะทางได้และเป็นที่ยอมรับของผู้คนในยุคนั้น หลวงพ่อท่านได้ออกธุดงค์ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งมีระยะยาวนานถึง ๒๗ ปี ก็เนื่องจากในการที่ท่านได้ไปเที่ยวสร้างพระเครื่องของท่านในที่ต่างๆ เหล่านี้เอง จึงเป็นสาเหตุอันหนึ่งที่ทำให้ ไม่มีผู้ใดทราบผลงานวัตถุมงคลพระเครื่องของท่าน ได้อย่างแท้จริง กับอีกประการหนึ่ง คนในยุคหลังนี้ได้ศึกษาเรื่องราวของท่านแต่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะที่วัดระฆังเท่านั้นซึ่งเป็นบั้นปลายชีวิตของท่านแล้ว กับทั้งฟังคำบอกเล่าถ่ายทอดกันมาจากผู้ซึ่งไม่เคยรู้ข้อเท็จจริงอะไร หรือรู้เพียงแค่ผลงานของท่านที่วัดระฆังในกรุงเท่านั้น หารู้ไม่ว่าผลงานของท่านส่วนใหญ่ของท่านนั้นอยู่ตามวัดต่างๆในหัวเมืองทั้งสิ้นโดยได้ฝังเป็นกรุพระไว้ตามโบสถ์วิหาร หรือเจดีย์ตลอดจนใต้ฐานพระประธานฯลฯ ซึ่งมีอยู่หลายจังหวัดอาทิเช่น อยุธยา อ่างทอง สระบุรี ,ชัยนาท ,นครสวรรค์ ,กำแพงเพชร ,เชียงราย และราชบุรี เป็นต้น เมื่อความจริงปรากฏเด่นชัดอย่างนี้แล้วเราจึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องคิดหรือเลือกว่าเป็นพระพิมพ์สมเด็จที่พบนั้นเป็นวัดใดวัดหนึ่งแต่อย่างใด เพียงระลึกในใจว่าเป็นผลงานของหลวงปู่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี ) ก็เป็นใช้ได้ สร้างรุ่นเดียวกันแล้วได้ย้ายไปบรรจุวัดอื่น จนมีผู้ที่พบภายหลังแล้วบอกว่าเป็นพระพิมพ์ของวัดนั้นวัดนี้ซึ่งมันเป็นเรื่องแค่ปลายเหตุ จำไว้นะครับเรามีพระพิมพ์สมเด็จเพื่อคุ้มครองตนเอง ไม่ได้นำมาโอ้วอวดกันเล่น หรือมีไว้ประดับบารมีอย่างบางท่านนิยมกัน ถ้าจะกล่าวคำว่า
     
  15. setupman

    setupman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +36
    “พระสมเด็จ” แล้วก็เป็นอันที่เข้าใจ และรู้กันดีว่าเป็นพระพิมพ์ที่เป็นผลงานของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี ) ซึ่งท่านได้เป็นผู้ปลุกเสกสำหรับผมแล้วคำว่าพระพิมพ์สมเด็จนั้นอายุต้องไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไป ถึงจะเรียกว่าพระพิมพ์สมเด็จได้ วัดพระแก้ววังหน้า วัดนี้ดูเหมือนจะถูกลืมไปแล้วเพราะไม่ใคร่จะมีใครสนใจ ผู้ที่รู้จักวัดแห่งนี้เห็นจะมีไม่มากนัก คนทั่วไปคิดว่าวัดที่อยู่ในกรุงเทพฯนั้น เห็นมีแต่วัดพระศรีรัตนศาสดารามใน ( วัดพระแก้ววังหลวง ) เท่านั้น ส่วนวังหน้า และวัดในวังหน้าไม่ใคร่จะมีใครสนใจ เพราะ สภาพของวังหน้าเองก็เกือบจะไม่มีร่องรอยของความเป็นวังเหลืออยู่ มีแต่โรงเรียน มหาวิทยาลัยและสถานที่ราชการ วัดพระแก้ววังหน้าหรือวัดบวรสถานสุทธาวาส มีประวัติความเป็นมาและ มีศิลปกรรม ที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ศิลปกรรมปัจจุบันนี้มีอยู่เพียงพระอุโบสถเท่านั้น ซึ่งมิได้ใช้ ประโยชน์ทางศาสนพิธีแต่อย่างใด ส่วนบริเวณวัดหรือรอบๆโบสถ์ ก็มีแต่ตึกของ วิทยาลัยนาฏศิลป์ ถึงแม้พระอุโบสถจะใหญ่โตสูงเด่นอย่างไร ก็ไม่ใคร่จะโดดเด่นให้เป็น จุดสนใจได้เท่าใดนัก
     
  16. setupman

    setupman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +36
    ประวัติความเป็นมาของวังหน้า
    ก่อนที่จะกล่าวถึงวัดพระแก้ววังหน้า หรือวัดบวรสถานสุทธาวาส ขอย้อนไปถึงวังหน้าเสียก่อน เพื่อเป็น การปูพื้นฐานไปสู่วัดพระแก้ววังหน้า โดยจะตัดทอนเรียบเรียงจากพระราชนิพนธ์เรื่อง "ตำนานวังหน้า" ของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ วังหน้านี้แต่เดิมเรียกกัน อย่างเป็นทางการว่า "พระราชวังบวรสถานมงคล" แต่ชาวบ้านหรือคนทั่วไป มักเรียกกันว่า "วังหน้า" เพราะเป็นวังที่ประทับ ของ พระมหาอุปราชซึ่งเรียกกันว่า "ฝ่ายหน้า" เลยเรียกที่ประทับของพระมหาอุปราชว่า วังฝ่ายหน้าและวังหน้า วังหน้า หรือพระราชวัง บวรสถานมงคล ของกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เริ่มสร้างขึ้นพร้อมกับพระราชวังหลวง หรือพระบรมมหาราชวัง เมื่อปีขาล พ.ศ.๒๓๒๕ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเลือกเอาที่สองแปลง ของ กรุงเทพฯคือแปลงหนึ่งอยู่ระหว่างวัดโพธิ์กับวัดสลัก (วัดมหาธาตุฯ) เป็นที่สร้างวังหลวง ส่วนที่อีกแปลงหนึ่งอยู่เหนือวัดสลักขึ้นไป จนถึงปากคลองคูเมืองด้านเหนือ (บริเวณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ วิทยาลัยนาฏศิลป์ วิทยาลัยช่างศิลป และโรงละครแห่งชาติ) เป็นที่สร้างพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า เพื่อให้เป็น ที่ประทับของพระอนุชาธิราชคือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นพระมหาอุปราช พระราชวังหน้านี้เมื่อแรกสร้างก็เป็นเพียงเครื่องไม้มุงหลังคาจาก เพื่อให้ทันพิธี ปราบดาภิเษก ต่อมาภายหลังจึงได้ปลูกสร้างอาคารต่างๆเป็นการถาวร โดยเริ่มจากการ สร้างปราสาทกลางสระ เหมือนอย่างพระที่นั่ง บรรยงก์รัตนาสน์ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่เกิดเหตุขบภอ้ายบัณฑิตสองคนเสียก่อนเลยไม่ได้สร้าง แต่ต่อมา ก็ได้สร้างพระราช มณเทียรเป็นที่ประทับ สร้างพระวิมานสามหลังเรียงกันตามแบบอย่างของ กรุงศรีอยุธยา ร.ศ.๒๓๓๐ ได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ (หรือพระที่นั่งพุทไธศวรรย์) ขึ้นเพื่อ ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งอัญเชิญมาจากเชียงใหม่ ฝาผนังเขียนรูปเทพชุมนุม และเรื่องปฐมสมโพธิเป็นพุทธบูชา สถานที่ต่างๆในพระราชวังบวรหรือวังหน้า นอกจาก จะมีพระราชมณเฑียรแล้ว คงมีสิ่งอื่นเช่นเดียวกับวังหลวง คือ โรงช้าง โรงม้า ศาลาลูกขุน คลังเป็นต้น เพราะแต่เดิมนั้นบริเวณวังหน้ากว้างขวางมาก เฉพาะด้านทิศตะวันออกไปจดถนน ราชดำเนิน ด้านเหนือจดคลองคูเมือง ด้านตะวันตกจดแม่น้ำ เจ้าพระยา ด้านใต้จดวัด มหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์กล่าวกันว่าสิ่งก่อสร้างต่างๆในวังหน้าในอดีตทำอย่าง ปราณีตบรรจง เพราะกรมพระราชวังบวรฯตั้งพระราชหฤทัยว่าถ้าได้ครอบครองราชสมบัติ จะประทับอยู่ที่วังหน้าตามแบบพระเจ้าบรมโกศไม่ไปประทับวังหลวง อย่างไรก็ตามสิ่งก่อสร้างที่สร้างในครั้งรัชกาลที่ ๑ หรือ สมัยกรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาทนั้น สร้างด้วยไม้จึงหักพังและรื้อถอนสร้างใหม่เสียเป็นส่วนมาก จนไม่ เห็นเค้าโครงในปัจจุบัน นอกจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์หรือพระที่นั่งพุทไธศวรรย์เท่านั้น ที่ยังคงฝีมือสมัยรัชกาลที่ ๑ อยู่จนทุกวันนี้ เมื่อขึ้นรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดฯให้สถาปนา สมเด็จพระอนุชาธิราช พระบัณฑูรย์น้อยเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์เป็น พระมหา อุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลไปประทับที่วังหน้า หลังจากวังหน้าว่างอยู่ ๗ ปี นับแต่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสุรสิงหนาทสวรรคต
     
  17. setupman

    setupman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +36
    เมื่อกรมพระราชวัง บวรมหาเสนานุรักษ์เสด็จไปประทับวังหน้า ก็มิได้สร้างอะไรเพิ่มเติมมากนัก เพียงแต่ แก้ไขซ่อมแซมของเก่าบางอย่าง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับวัดพระแก้ววังหน้า ในเวลาต่อมา สิ่งหนึ่งคือที่บริเวณวังหน้าชั้นนอกด้านทิศเหนือตรงที่ตั้ง "วัดบวรสถาน สุทธาวาส" หรือ"วัดพระแก้ววังหน้า" นี้ มีวัดเก่าอยู่วัดหนึ่งชื่อวัดหลวงชีแต่คงไม่มีหลวงชีอยู่กุฏิชำรุดทรุดโทรมจึงโปรดฯให้รื้อกุฏิหลวงชีเสียหมดทำเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย กรมพระราชวังบวร มหาเสนานุรักษ์ดำรงพระยศพระมหาอุปราชอยู่ ๘ ปี ก็เสด็จสวรรคตที่พระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ ในวังหน้า เมื่อปี พ.ศ.๒๓๖๐ ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ วังหน้าว่างมาอีก ๗ ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนากรมหมื่นศักดิ์พลเสพย์เป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ได้ทรงปรับปรุงซ่อมแซม สิ่งก่อสร้างต่างๆขึ้นใหม่หลายอย่าง ที่สำคัญคือทรงซ่อม พระที่นั่งสุทธาสวรรย์แลัวเปลี่ยนนามเรียก "พระที่นั่งพุทไธศวรรย์" มาจนทุกวันนี้
     
  18. setupman

    setupman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +36
    วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ววังหลวง) วัดสำคัญที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์
    วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระแก้ว นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕แล้วเสร็จในปีพ.ศ.๒๓๒๗ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ สมัยอยุธยา วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้ ภายหลังจากการสถาปนาแล้ว ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล เพราะเป็นวัดสำคัญ จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก ๕๐ ปี คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ผ่านมา การบูรณปฏิสังขรณ์ที่ผ่านมา มุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลปไทยไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป

    สมเด็จกรุวังหน้านี้ แรกเริ่มเดิมทีนั้นได้มีการจัดทำวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า ) ที่เรียกกันทั่วไปว่าพระสมเด็จกรมท่า และพระสมเด็จวังหน้าผู้ริเริ่มในการสร้างคือเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) (กรมท่าในรัชกาลที่ ๔) เจ้าพระยาภาณุวงษ์มหาโกษาธิบดี ( เจ้าคุณกรมท่าในรัชกาลที่ ๕) และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล (วังหน้าในรัชกาลที่ ๕) สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี พระอุตรเถระ ( หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ) หลวงพ่อทัด ( สมเด็จพระพุฒาจารย์ ) หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่คำ วัดอัมรินทราราม หลวงปู่จาด วัดภาณุรังสี และพระเกจิอาจารย์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบทั้งย่านฝั่งธนบุรี และวัดต่างๆในระแวกนั้นอีกหลายรูป โดยได้รวบรวมช่างสิบหมู่ที่สุดยอดในทางฝีมือ การช่างอันวิจิตร (ประณีตศิลป์) โดยรูปแบบต่างๆนั้นในฝีมือของช่างแต่ละคนได้ ทำเป็นพิมพ์พุทธปฏิมา ( องค์แทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ) ในรูปแบบปรางค์ต่าง ทั้งพิมพ์พระประจำวัน และอริยาบทของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี และอีกมากมายตามจินตนาการของช่างนั้นๆ
     
  19. setupman

    setupman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +36
    โดยพระสมเด็จกรุวัดบวรสถานสุทธาวาส(วัดพระแก้ววังหน้า)และกรุวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)นั้นตามประวัติการสืบค้นนั้นแบ่งการสร้างออกเป็นหลายช่วงระยะเวลาคร่าวๆดังนี้
    ๑.สำหรับในปีพ.ศ.๒๔๐๘ นี้แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ศัทธาเท่าใดนักเกรงว่าจะเป็นเจตนาสร้างความเชื่อถือขึ้น ต่อมาได้วิเคราะห์ทางนามโดยผู้เชี่ยวชาญปรากฎว่าเป็นพระพิมพ์ซึ่งแกะแม่แบบโดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวปลุกเสกที่พระราชวังหน้าโดยเจ้าพระคุณสมเด็จฯในการนี้ได้อาราธนาบรมครูโลกอุดรปรมาจารย์แห่งพระราชวังหน้าซึ่งเป็นอทิสมานกาย คือกายที่มองไม่เห็นถ้าไม่แสดงอภินิหารมาเป็นองค์ประธาน
     
  20. setupman

    setupman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +36
    .ในปี ๒๔๑๑ นั้นจัดว่าเป็นพระพิมพ์ไม่เป็นทางการ บางส่วนที่ปะปนอยู่มีการจารึกปี พ.ศ. ที่สร้าง เช่น พ.ศ.๒๔๐๘ ย่อมเป็นพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ พ.ศ ๒๔๑๑ เป็นพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๕ เพราะแม่แบบที่เตรียมไว้ แต่สร้างพระพิมพ์ไม่ทันพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จสวรรค์คต ในปีพ.ศ.๒๔๑๑ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเสวยราชสมบัติในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ซึ่งเป็นปีเดียวกันนี้เองไม่มีประวัติว่าสร้างพระพิมพ์ปัญจสิริแจก
    พระวังหน้าโดยแรกเริ่มมีการจัดสร้างจากพระบัณฑูรย์ของ(ท่านเป็นพระราชโอรสองค์ต้นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า)โดยเริ่มมีการสร้างและออกแบบขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) เจ้าคุณกรมท่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ รวมทั้งแม่พิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆัง และใช้ผงวิเศษของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในคราวนั้นได้มอบให้แก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และประชาชนโดยทั่วไปไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการบรรจุกรุที่ใด เจ้าพระคุณสมเด็จฯพุทธาภิเษก พระเทพโลกอุดรเป็นองค์ประธานในการพุทธาภิเษกโดยอทิสสมานกายภายในวัดบวรสถานสุทธาวาส(วัดพระแก้ววังหน้า)
     

แชร์หน้านี้

Loading...