จับตามอง สงคราม"นิวเคลียร์" โรงงานพลังงาน "นิวเคลียร์" การรั่วไหลของกัมมันตรังสี

ใกล้เข้ามาทุกขณะ ทุกสรรพสิ่งคืนสู่ธรรมชาติ..

 

<TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 30px">ลางโลกดี หรือ ร้าย? [31 ธ.ค. 49 - 01:13]
</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD>จาก “ปีจอ” เคลื่อนเข้าสู่ “ปีกุน” แม้ห้วงช่วงเวลาเป็นสิ่งสมมติ แต่ทุกเสี้ยววินาทีล้วนนำมาซึ่ง ความเปลี่ยนแปลง ผ่านไปอีก 1 ปี โลกใบนี้ยังมีมิติที่หลากหลายให้ค้นหา บางมิติมุ่งไปในทิศทางที่ดี แต่บางมิติเลวร้ายบูดเบี้ยวน่าสะพรึงกลัว แต่มนุษยชาติต้องทนอยู่กับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
• ตั้งแต่ เหตุวินาศกรรมสะท้านโลกในสหรัฐฯ เมื่อ 11 ก.ย. 2544 มนุษยชาติต้อง ก้าวเข้าสู่ยุคแห่ง ความรุนแรงที่ไม่รู้จุดยุติ โดยเฉพาะ “สงคราม” ที่ “ผู้ก่อการร้าย” เป็นผู้จุดชนวน และมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาเป็นผู้เติมเชื้อไฟให้ลุกลาม
“สงครามอิรัก” ที่ผ่านมาเกือบ 4 ปีดูจะยิ่งพ่นพิษรุนแรง ทหารอเมริกันล้มตายแล้วเกือบ 3,000 ศพ ผลการศึกษาวิจัยร่วมของพรรครีพับลิกัน-เดโมแครต และของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่ายุทธศาสตร์ในอิรักของรัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผิดพลาดล้มเหลวเกือบสิ้นเชิง!
แม้อดีตประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน จะถูกศาลตัดสินประหาร ชีวิต และอาจถูกแขวนคอในปีนี้ ส่วนอาบู มูซาบ อัล ซาร์กาวี ผู้นำกลุ่มอัล เคดาในอิรัก จะถูกฆ่า กลุ่มต่อต้านในอิรักก็ยังแข็งแกร่ง มิหนำซ้ำชาวสุหนี่และชีอะห์ยังฟัดกันเองจนใกล้ เกิดสงครามกลางเมือง กระแสต่อต้านสงคราม ในสหรัฐฯ ยังทวีขึ้น ส่งผลให้พรรครีพับลิกันต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งกลางเทอม สูญเสียเสียงข้างมากทั้งสภาสูงและล่างให้พรรคเดโมแครต
สหรัฐฯจำต้องเปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม และบุชถูกบีบให้ปรับยุทธศาสตร์อิรักใหม่ ครั้งมโหฬาร ซึ่งอาจนำไปสู่การถอนทหารหน่วยรบออกมาอย่างอัปยศในต้นปี 2551 โดยโยนให้รัฐบาลอิรักรับภาระศึกเอง
ส่วนสงครามอัฟกานิสถาน กลุ่ม “ตาลีบัน” รัฐบาลเก่าที่ถูกโค่นล้มกลับฟื้นคืนชีพ ฟาดฟันกับกองกำลังนาโตและสหรัฐฯ ชนิดเลือดนองแผ่นดิน
“ปีกุน” จึงเป็นปี “หมูป่าเขี้ยวตัน” สำหรับสหรัฐฯอย่างแท้จริง

0 0 0 0 0 0 0​

• ปีกุน เป็นปีที่จะประมาทพิษสงของผู้ก่อการร้ายนำโดยเครือข่ายก่อการร้ายสากล “อัล เคดา” ของโอซามา บิน ลาดิน ผู้ยังล่องหนไม่ได้เป็นอันขาด เห็นได้จากในปีจอ พวกนี้ยังสามารถลงมือ ได้หลายครั้ง รวมทั้งลอบวางระเบิดรถไฟหลายขบวนที่เมืองมุมไบในอินเดีย มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 ศพ

​

ส่วนอังกฤษ แม้จะทลายแผนของผู้ก่อการร้ายที่จะใช้ระเบิดเหลว “บึ้ม” เครื่องบินโดยสาร เที่ยวบิน อังกฤษ-สหรัฐฯ นับ 10 ลำ เหนือมหาสมุทรแอตแลนติกได้แบบฉิวเฉียด จนต้องใช้มาตรการคุมเข้ม ห้ามนำของ เหลวและเครื่องใช้ส่วนตัวหลายประเภท ใส่กระเป๋าถือขึ้นเครื่องบิน จนบัดนี้ก็ยังขวัญผวา ไม่หาย
เพราะถ้าปฏิบัติการครั้งนี้สำเร็จจะสะท้านโลกไม่ด้อยกว่าวินาศกรรม 9/11 เลยทีเดียว!

0 0 0 0 0 0 0​

• ที่ต้องจับตา เป็นพิเศษในปีกุน คือการงัดข้อซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างมหาอำนาจ ตะวันตกกับ “อิหร่าน” และ “เกาหลีเหนือ” ซึ่งถูกกล่าวหาว่า พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยสหรัฐฯ และพันธมิตรผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นออกมติ คว่ำบาตรอิหร่าน จนสำเร็จ แต่ ประธานาธิบดี มาห์มูด อาห์มาดิเนจาด ผู้นำสายเหยี่ยว ก็ไม่ยอม ลดราวาศอก ดึงดันจะเพิ่มสมรรถนะ แร่ยูเรเนียมและเปิดโรงงานนิวเคลียร์แห่งแรก ที่เมืองนาทานซ์ให้ได้ในปลายปี 2550 ซึ่งอาจเกิดจุดแตกหัก ถึงขั้นใช้กำลังทหารต่อกัน
ส่วน “โสมแดง” ซึ่งทดลองระเบิดนิวเคลียร์เขย่าขวัญชาวโลกเมื่อเดือน ต.ค. แม้จะยอมเข้าร่วมเจรจา 6 ฝ่ายเพื่อหาทางปลด อาวุธนิวเคลียร์รอบใหม่ในกรุงปักกิ่ง แต่ก็เหลวอีกตามเคย เพราะไม่มีฝ่ายใดยอมถอยจากจุดยืนอันสุดขั้ว คาบสมุทรเกาหลีและประเทศใกล้เคียงจึงต้องหวาดผวาภัยนิวเคลียร์ต่อไป

0 0 0 0 0 0 0​

• ใครที่ฝัน จะเห็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ “คู่กัดผูกชาติ” ยุติลง คงต้องฝันค้าง เพราะคู่ปรปักษ์ยังฟาดฟัน กันไม่ลดละ สถานการณ์ภายในปาเลสไตน์ยิ่งยุ่งเหยิง เมื่อกลุ่ม “ฟาตาห์” เจ้าของอำนาจเดิม และกลุ่มหัวรุนแรง “ฮามาส” รัฐบาลใหม่ แย่งชิงอำนาจกันเองจนใกล้เป็นศึกกลางเมือง ซ้ำร้ายหลังนายเอฮุด โอลเมิร์ต ขึ้นนั่งแท่นนายกฯอิสราเอล แทนนายอาเรียล ชารอน ซึ่งล้มป่วยขั้นโคม่า เขากลับเปิดแนวรบ ใหม่ บุกกวาดล้างกลุ่ม “ฮิซบอลเลาะห์” ในเลบานอน ซึ่งอิหร่านและซีเรียหนุนหลังถึง 34 วัน มีผู้บาดเจ็บล้มตายอื้อ แม้จะตกลงหยุดยิงกันได้ แต่ สงครามปะทุขึ้นได้อีกทุกเมื่อ
“ปีกุน” ยังเป็นปีที่โลกตะวันตกต้องพยายามควบคุมความขัดแย้งกับ โลกมุสลิมไม่ให้บานปลาย จนเป็น “สงครามครูเสด” รอบใหม่ หลังหนังสือพิมพ์ในยุโรปตีพิมพ์ ภาพล้อเลียนศาสดา โมฮัมหมัด ขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิก ทรงเผลอตรัสจาบจ้วงศาสนาอิสลาม จนชาวมุสลิมลุกฮือประท้วงรุนแรงทั่วโลก

0 0 0 0 0 0 0​

• ในจุดพิพาท อื่นๆ สงครามกลางเมืองในศรีลังการะหว่างรัฐบาลกับกบฏทมิฬปะทุขึ้นมาอีก แถมรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ส่วนที่ซูดานในแอฟริกา สงครามกลางเมืองที่ภูมิภาคดาร์ฟูร์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 200,000 ศพ ยิ่งเลวร้ายลง แม้ ยูเอ็นจะอนุมัติให้ส่ง กองกำลังรักษา สันติภาพ 20,000 นายเข้าไปช่วยยับยั้ง “วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม” แต่กลับถูกรัฐบาลซูดานขัดขวาง ขณะที่โซมาเลีย กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงยังโรมรันพันตูกับรัฐบาล ที่อ่อนแออย่างดุเดือด โดยมีเอธิโอเปียเพื่อน บ้านผสมโรงด้วย
แต่ที่น่าชื่นใจแทนก็คือ “เนปาล” ซึ่งกบฏฝักใฝ่ลัทธิเหมาที่พยายามโค่นล้ม สถาบันกษัตริย์และ เปลี่ยนประเทศสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาล นำไปสู่การเจรจาสันติภาพและการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ส่วนกบฏแบ่งแยกดินแดน “เอตา” (ETA) ในสเปน ก็ยอมวางอาวุธแล้ว

0 0 0 0 0 0 0​

• พัฒนาการ ด้านอื่นของโลกที่น่าติดตามในปีกุน นายบัน คี มูน ชาวเกาหลีใต้ ขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำยูเอ็นคนที่ 8 สืบแทนนายโคฟี อันนัน นับเป็นชาวเอเชียคนแรกถัดจากนายอู ถั่น ชาวพม่า ซึ่งได้นั่งบัลลังก์อันทรงเกียรตินี้ในรอบ 35 ปี ขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) รับสมาชิกใหม่อีก 2 ประเทศ คือบัลแกเรียและโรมาเนีย รวมเป็น 27 ประเทศ ส่วนที่คิวบา ฟิเดล คาสโตร ประธานาธิบดีผู้ยิ่งยงวัย 80 ปี กำลังป่วยหนัก อาจสิ้นบุญในไม่ช้านี้ และราอูล คาสโตร น้องชายผู้แข็งกร้าวน้อยกว่าจะขึ้นครองอำนาจแทน คิวบาอาจเปิดตัวเองมากขึ้น
ในหลายประเทศในละตินอเมริกา ปีกุนเป็นปีทองสำหรับ “ฝ่ายซ้าย” หลังประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา ไม้เบื่อ ไม้เมาของสหรัฐฯ ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย ส่วนแดเนียล ออร์เตกา อดีตผู้นำกบฏ “แซนดินิสตา” ก็ชนะเลือกตั้งได้หวนกลับมาครองอำนาจในนิการากัว ขณะที่นายอีโว โมราเลส ได้เป็นประธานาธิบดีเชื้อสายอินเดียนคนแรกของโบลิเวีย
การจับขั้วกันของผู้นำฝ่ายซ้ายเหล่านี้ จะทำให้ “พี่เบิ้ม” สหรัฐฯ ปวดขมองไม่น้อย!

0 0 0 0 0 0 0​

• ส่วนสถานการณ์โรคภัยไข้เจ็บ ในปีกุน โรค “ไข้หวัดนก” ยังน่าสยอง เพราะนอกจากจะถ่ายเชื้อสู่มนุษย์จนถึงตายได้แล้ว สัตว์ต่างๆก็ติดเชื้อได้เช่นกัน และมันจะไม่หายไปจากโลกนี้ง่ายๆ หลังจากระบาด อีกในหลายประเทศ รวมทั้งไทย เวียดนาม และเกาหลีใต้ แม้แต่ตุรกีและอียิปต์ก็มีผู้เสียชีวิตหลายศพ
ส่วนที่ยังครองแชมป์น่ากลัวสุดๆ คือเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ถึงขนาดที่ประชุมนักการทูตทั่วโลกยก ให้เป็นโรคระบาดสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข ขณะที่ยูเอ็นระบุมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกถึง 39.5 ล้านคน เสียชีวิตเพราะโรคเอดส์ในปีจอปีเดียวเกือบ 3 ล้านศพ และมันจะคุกคามชาวโลก ไปอีกหลายทศวรรษ
นอกจากนี้ ยังมีโรคอื่นๆ อีกเพียบที่ต้องเฝ้าระวังชนิด “การ์ดอย่าตก” ในปีจอ เกษตรกรอังกฤษเสียชีวิตจากแบคทีเรีย pasteurella multocida หรือ “ไข้หวัดกระต่าย” เป็นรายแรก ส่วนโรค “วัวบ้า” ก็ยังโผล่เป็นจุดๆ และในภูมิภาคอาเซียน ของเรา โรค “มือเท้าปาก” เล่นงานเด็กในมาเลเซียและไทยเราอย่างหนัก ขณะที่ไวรัส “นิปาห์” กลับมาระบาดมาเลเซียอีกรอบ
ที่หวั่นว่าจะกลับมาอีกก็คือโรคทางเดินหายใจ เฉียบพลันรุนแรง หรือ “ซาร์ส” ที่เคยระบาดจากจีนไปทั่วโลกเมื่อปี 2546 จนมีผู้ติดเชื้อกว่า 8,000 คน เสียชีวิต 800 ศพ ทำเอาการท่องเที่ยวเดินทางและเศรษฐกิจโลก ได้รับผลกระทบแสนสาหัส
ยังมีโรคแปลกๆที่ไม่ควรชะล่าใจ เช่น โรคที่เกิดจาก ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มียุงเป็นพาหะชื่อ “ซีคุนกุนยา” ที่พบการระบาดครั้งใหญ่ในอินเดียและหลายเกาะในมหาสมุทร อินเดีย ที่น่าเป็นอุทาหรณ์คงเป็น “โรคอยากผอม” อะโนเร็กเซีย หรือโรคไม่อยากอาหาร ที่ทำให้นางแบบสาวชาวบราซิลวัย 21 ปีเสียชีวิตมาแล้ว
นอกเหนือจากโรคภัยไข้เจ็บ “ภัยธรรมชาติ” ที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ ก็ยังเป็นมหันตภัยมืดที่ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด เห็นได้จากในปีจอ แผ่นดินไหวใหญ่ ที่เกาะชวา อินโดนีเซีย คร่าชีวิตผู้คนกว่า 5,800 ศพ นักวิทยาศาสตร์ยังเตือนว่า “ภาวะโลกร้อน” อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ จะส่งผลให้สภาพอากาศโลกวิปริตแปรปรวน รวมทั้งเกิดพายุและน้ำท่วมถี่ยิบและรุนแรงกว่าปกติในหลายภูมิภาค
การดำรงชีวิตอย่างรู้เท่าทันและไม่ ประมาทเท่านั้น ที่จะช่วยให้มนุษยชาติ รับมือกับมหันตภัยทั้งหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด!!!

ทีมข่าวต่างประเทศ ​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

หลายประเทศซ้อมแล้ว
ประเทศเราละ...

 

ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูลดีๆเหล่านี้...

*ทำไมกันนะพวกเขาจะรู้มั้ยว่าทำอะไรลงไปกับโลกที่ตัวเองอยู่เนี่ย...

 

นักวิทยาศาสตร์หมุนเข็มนาฬิกา"วันโลกาวินาศ"ให้ใกล้เที่ยงคืนมากขึ้น
<HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->คณะผู้อำนวยการของนิตยสารชื่อ "เดอะ บุลเลอติน ออฟ ดิ อตอมมิค ไซแอนทิสต์" (the Bulletin of the Atomic Scientists ) ซึ่งเป็นผู้กำหนดเวลาบนนาฬิกา "วันโลกาวินาศ" หรือ "เดอะ ดูมสเดย์ คล็อค" (The Doomsday Clock ) ออกมาเตือนวานนี้ ถึงภัยคุกคามต่อมนุษยชาติทั้งจากอาวุธนิวเคลียร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ที่ปัจจุบันมีอันตรายพอๆ กัน ขณะที่ได้เลื่อนเข็มบอกเวลาของนาฬิกาเพิ่มอีก 2 นาที ให้อยู่ที่อีก 5 นาทีจะเที่ยงคืน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ว่า มนุษยชาติใกล้จะถึงกาลล่มสลายมากเพียงใด ท่ามกลางความวิตกเรื่องการชะงักงันของความพยายามแก้ปัญหานิวเคลียร์อิหร่านและเกาหลีเหนือ รวมทั้งคำเตือนเรื่องอันตรายจากปัญหาโลกร้อน

การเลื่อนเข็มนาฬิกามาจากการตัดสินใจร่วมกันของคณะกรรมการบริหารนิตยสาร ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย กับบรรดาสปอนเซอร์ รวมทั้งเจ้าของรางวัลโนเบล 18 คน และนับเป็นครั้งแรกที่นิตยสารฉบับนี้ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2488 เพื่อแจกจ่ายในหมู่นักฟิสิกส์ที่วิตกเรื่องสงครามนิวเคลียร์ ระบุชัดเจนถึงภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก

ทั้งนี้ เข็มของนาฬิกาเคยอยู่ใกล้เที่ยงคืนมากที่สุด คือห่างเพียง 2 นาทีเมื่อปี 2496 หลังสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการทดลองระเบิดไฮโดรเจน และเข็มนาฬิกาเคยอยู่ไกลเที่ยงคืนมากที่สุด คือ 17 นาที เมื่อปี 2534 หลังการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียด

ที่มา http://203.154.97.19/citizen_report/...?newsid=237303
<!-- / message -->

 

China test sparks space arms fears

ผู้เชี่ยวชาญด้านควบคุมอาวุธหลายๆคนได้กล่าวว่า การแข่งขันอาวุธในอวกาศ
ได้เริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างฝ่ายจีนกับสหรัฐ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตามรายงานจากเจ้าหน้าที่สหรัฐ กล่าวว่า จีนได้สามารถทำลาย
ดาวเทียมเก่าดวงหนึ่งทิ้งโดยใช้ ขีปนาวุธวิสัยกลาง

ดาวเทียมดวงนั้น อยู่สูงจากพื้นโลก 500 กว่าไมล์ หรือประมาณ 800 กิโลเมตร

อย่างน้อยที่สุดมันก็แสดงให้เห็นถึง ความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ เรื่องการแข่งขัน
อาวุธในอวกาศในรอบยี่สิบปี

แต่ก่อนมามีเพียงแค่ สหรัฐอเมริกา กับ อดีตสหภาพโซเวียต ที่สามารถทำลาย
เป้าหมายในอวกาศ ซึ่งนั่นก็ยี่สิบปีที่ผ่านมาแล้วคือในยุค 1980

ถึงแม้ว่าในครั้งนี้ จีนได้ใช้ขีปนาวุธที่เทียบแล้วล้าหลังยิงไปยังดาวเทียมเป้าหมาย
แต่ต่างชาติก็มีความคิดที่ว่า จีนอาจจะกำลังทำเลเซอร์เทคโนโลยีที่ละเอียดซับซ้อน
อยู่เพื่อทำการเดียวกันนี้ก็ได้

ทางการสหรัฐรู้สึกตระหนกอันเนื่องมาจากตัวการทดลองอันนี้ พร้อมกับทางการจีน
ก็ไ่ม่ได้ออกมาประกาศว่าตอนนั้นจะทำอะไร ไม่ว่าจะประกาศสู่สาธารณชน หรือ
อย่างลับๆ

โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า "การพัฒนาและทดสอบอาวุธแบบนี้ ไม่เข้ากันกับ
ความตั้งใจที่จะมีความร่วมมือของสองประเทศ เพื่อให้ได้มาถึงการใช้อวกาศ
สำหรับกิจการพลเรือน"

เขายังกล่าวต่อไปอีกว่า ทั้งอเมริกาและประเทศอื่นๆ รู้สึกเป็นเรื่องที่ตัวเองจะต้อง
เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

การสร้างอาวุธ

นอกเหนือไปจากการเพิ่มค่าใช้จ่ายอย่างมากในทางการทหารและ การปรับปรุงอาวุธ
ขีปนาวุธของจีนให้ทันสมัยแล้ว ทางการสหรัฐยังมองว่า การทดสอบในอวกาศครั้งนี้
เป็นสัญญาณอีกอันที่เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับ การเพิ่มขีดความสามารถทางการทหาร
ของปักกิ่ง

เมื่อเร็วๆนี้ทางเพ็นตากอนก็ได้ทำรายงานเตือนสภาคองเกรซว่า การทหารของจีน
อยู่ในขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงระยะยาว จากการทำอาวุธจำนวนมากเพื่อสงคราม
แบบยืดเยื้อยาวนานเพื่อป้องกันอาณาเขตของตัวเอง ไปเป็นยังกองกำลังสมัยใหม่
ที่มีขีดความสามารถที่จะทำสงครามสั้นๆ และความรุนแรงสูง กับคู่แข่งมีความทันสมัย
ในเชิงเทคโนโลยี

รายงานยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า การเพิ่มกำลังทหารของจีนตอนนี้ก็ถึงขั้นที่ว่าสามารถ
เปลี่ยนสมดุลย์ทางทหารในภูมิภาคนั้นได้. แนวโน้มในระยะยาวในเรื่องของการปรับปรุง
แสนยานุภาพทางนิวเคลียยุทธศาสตร์ให้ทันสมัย, ความสามารถในการต่อต้านการรุกราน
ทั้งทางบกและทางทะเล, และการเกิดขึ้นของอาวุธยิงที่มีความเที่ยงตรงสูงนั้น ทำให้
จีนมีศักยภาพเพียงพอที่จะคุกคามปฏิบัติการณ์ทางทหารยุคใหม่ในภูมิภาคนั้นได้

ถึงแม้ว่าจะมีเม็ดเงินเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับงบทางการทหารของอเมริกา ทางวอชิงตัน
ประมาณว่าจีนใช้เงิน 80 พันล้านดอลล่า เพื่อการป้องกันประเทศ ซึ่งตัวเลขนี้เกินกว่า
สามเท่าที่ทางการปักกิ่งประกาศออกมา

แล้วทำไมสหรัฐต้องไปกังวลมากมายโดยเฉพาะกับ อาวุธต่อต้านดาวเทียมทั้งหลาย

อย่างง่ายก็คือกองทัพสหรัฐจะต้องพึ่งดาวเทียมอย่างมากในการมอง และฟัง ข้าศึก
ที่เป็นไปได้ และก็ยังใช้ในการติดต่อสื่อสารอีก

ดังนั้นถ้าจีนเำิกิดมีความสามารถในการสอยดาวเทียมในอวกาศให้ร่วงมาได้ ความสามารถ
ต่างๆที่สหรัฐเคยได้เปรียบชาวบ้านอยู่ก็จะเหมือนถูกคุกคาม

การวิจัยของสหรัฐ

แต่ในเรื่องของอาวุธในอวกาศ สหรัฐเองก็ยังคงเสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่าพยายามจะให้
ได้เปรียบคนอื่นอยู่

อเมริกาก็ยังมีการวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับเลเซอร์ที่สามารถกำจัดดาวเทียมของข้าศึก
ขณะเดียวกัน ทีมรัฐบาลของ บุช ก็ไม่พยายามให้มีสนธิสัญญาทั้งโลกเกี่ยวกับการ
แบนการให้มีอาวุธอยู่ในอวกาศ ครั้งแล้วครั้งเล่า

เพิ่งจะเมื่อสิงหาปีที่แล้วนี้เอง ที่ประธานาธิปดี บุช ได้ร่างนโยบายด้านอวกาศแห่งชาติ
ของสหรัฐขึ้น ซึ่งมีข้อความว่า วอชิงตัน จะ สงวนสิทธิ์, ขีดความสามารถ และ ความเป็น
อิสระในการกระทำใดๆในอวกาศ. และจะกีดกันหรือจะบังคับผู้อื่นจากการยับยั้งสิทธิ์
เหล่านั้นหรือพัฒนาขีดความสามารถเพื่อจะยับยั้งสิ่งนั้น

และนโยบายนั้นก็ยังขู่ต่อไปอีกว่า จะป้องกันมิให้ข้าศึก ใช้ขีดความสามารถทางอวกาศ
มาจัดการกับสหรัฐ

การประกาศนโยบายนี้ในตอนนั้นก็เป็นการตอบโต้ความเป็นไปได้ที่จะมีการคุกความจาก
จีนในระดับหนึ่ง พร้อมๆกันกับ ความพยายามที่จะรักษาความได้เปรียบในอวกาศของสหรัฐ

มันอาจจะเป็นไปได้เหมือนกันที่ว่า การทดสอบอันนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วของจีน ต้องการที่
จะผลักอเมริกากลับไป และกดดันทางวอชิงตันให้พิจารณาให้มีการเจรจาเกี่ยวกับสนธิสัญญา
การแบนอาวุธต่างๆในอวกาศ

<a href="http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/asia-pacific/6278867.stm">
http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/asia-pacific/6278867.stm</a>

 

Concern over China's missile test

จีนได้เผชิญกับการวิภาควิจารณ์อันเนื่องมาจาก การทดสอบอาวุธในอวกาศ
ดังที่ได้รับรายงานมาสัปดาห์ที่แล้ว

ญี่ปุ่นได้แสดงความกังวลเช่นเดียวกันกับสหรัฐและออสเตรเลีย

ได้เป็นที่คาดจีนได้ใช้อาวุธขีปนาวุธวิสัยกลางยิงจากพื้น เพื่อไปทำลายดาวเทียม
ตรวจอากาศที่ทางจีนเองได้ยิงขึ้นไปเมื่อปี 1999

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นี่เป็นการทดลองครั้งแรกในการยับยั้งดาวเทียมในรอบยี่สิบปี
ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศของจีนไม่ได้ออกมาปฏิเสธหรือยอมรับแต่อย่างใด

ในขณะที่เทคโนยีที่ใช้นี้ไม่ใช่ของใหม่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่บอกถึงขีดความสามารถทาง
อาวุธที่เพิ่มขึ้นของจีน ตามรายงานของผู้สื่อข่าวบีบีซีในปักกิ่ง Dan Griffiths

การแข่งขันอาวุธในอวกาศ

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา โฆษกของ US National Security Council, Gordon Johndroe
ยืนยันว่าบทความในวารสารชื่อ American Aviation Week and Space Technology
ที่ได้มีการรายงานเกี่ยวกับการทดสอบดังกล่าวได้เกิดขึ้นจริงๆ

รายงานกล่าวว่า ดาวเทียมตรวจสภาพอากาศของจีนชื่อ Feng Yun 1C มีวงโคจรผ่าน
ขั้วโลก ได้ถูกทำลายลงแล้ว โดยระบบต่อต้านดาวเทียมที่ยิงขึ้นจาก Xichang Space
Centre ของจีนเมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา

การทดสอบนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นสูงจากพื้นโลกขึ้นไป 537 ไมล์ หรือ 865 กิโลเมตร

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน Liu Jianchao กล่าวว่า ผมบอกอะไรไม่ได้
เกี่ยวกับรายงานอันนั้น ผมไม่รู้จริงๆ

แต่เขากล่าวเสริมว่า ทางจีนประกาศสนับสนุน การใช้งานอวกาศอย่างสันติ และต่อต้าน
การทำอวกาศให้เป็นอาวุธ และก็ยังต่อต้านการแข่งขันทางอาวุธทุกรูปแบบ

รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น Taro Aso กล่าวว่า ทางปักกิ่งควรจะบอกโตเกียวให้ทราบ
ล่วงหน้าก่อน

นาย Gordon Johndroe กล่าวว่า สหรัฐเชื่อว่า "การพัฒนาและทดสอบอาวุธแบบนี้
ไม่เข้ากันกับความตั้งใจที่จะมีความร่วมมือของสองประเทศ เพื่อให้ได้มาถึงการใช้อวกาศ
สำหรับกิจการพลเรือน"

Alexander Downer รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลียกล่าวว่า ออสเตรเลียไม่ต้องการ
จะเห็นรูปแบบการขยายตัวแบบหนึ่ง ของการแข่งขันอาวุธในอวกาศ

หลายๆชาติก็มีความกังวลเกี่ยวกับ การเพิ่มขึ้นของอำนาจทางการทหารของจีน

ในขณะที่จีนเก็บการใช้จ่ายเงินในการป้องกันประเทศไว้อย่างลับมากๆ นักวิเคราะห์ทั้งหลาย
ให้ความเห็นว่างบประมาณนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ซากขยะอวกาศ

การทดลองอันนี้ถ้ามีขึ้นจริงๆแล้ว ก็หมายความว่า ในทางทฤษฏีแล้วจีนจะสามารถยิง
ดาวเทียมสอดแนมต่างๆที่ควบคุมโดยต่างชาติให้ร่วงลงมาได้

อันนี้เป็นการทดสอบครั้งแรกถ้านับแต่ช่วง 1980s ที่ ทั้งสหรัฐ และ โซเวียต ได้สามารถ
ทำลายดาวเทียมในอวกาศแบบเดียวกันนี้

การทดสอบแบบนี้ได้หยุดลงเนื่องจากมีความเป็นห่วงที่ว่า ซากขยะที่เกิดขึ้นจากการทำลาย
นี้จะไปโดนทั้งดาวเทียมของทหารและพลเรือนที่ใช้งานอยู่

ึความกังวลเดียวกันนี้ก็ได้ถูกยกขึ้นมา หลังจากการทดสอบครั้งนี้

วารสาร American Aviation Week and Space Technology กล่าวว่า การกระทำอันนี้
จะทำให้เกิดซากขยะอวกาศจำนวนมาก ในวงโคจรที่ใช้งานร่วมกันระหว่างดาวเทียมต่างๆ
หลายดวง

ในขณะที่อเมริการู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับการกระทำของจีนครั้งนี้ คณะบริหารของวอชิงตัน
เองเมื่อเร็วๆนี้ก็ได้ต่อต้าน การเรียกร้องจากนานาประเทศเพื่อจะให้หยุดการทดลองแบบ
เดียวกัน

อเมริกาได้แก้ไขนโยบายด้านอวกาศ เมื่อเดือนตุลาที่ผ่านมา โดยมีข้อความว่า วอชิงตัน
มีสิทธิ์ ที่จะกระทำการใดๆอย่างเป็นอิสระในอวกาศ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นที่รู้กันว่าทาง
สหรัฐมีการวิจัยเกี่ยวกับ อาวุธที่ใช้กำจัดดาวเทียม เสียเอง

<a href="http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/asia-pacific/6276543.stm">
http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/asia-pacific/6276543.stm</a>

 

ในข่าวอื่นๆก็บอกว่าจีนทดลองมาสามครั้งแล้วก่อนหน้านี้แต่ไม่สำเร็จ

ลองคิดดูครับว่าทำไมอเมริกาจึงตกใจ ดาวเทียมที่จีนยิงตกนั้นเป็นดาวเทียม
แบบวงโคจรต่ำ ไม่เหมือนกับดาวเทียมที่ใช้ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ ซึ่งจะ
อยู่เฉยๆเมื่อเทียบกับพื้นโลก ซึ่งจริงๆแล้วมัน วิ่งด้วยความเร็วสูงเพื่อให้หมุนไป
พร้อมๆกับโลกต่างหาก ดาวเทียมถ่ายทอดสัญญาณจะอยู่ที่ระดับความสูง
42,300 กิโลเมตรจากศูนย์กลางโลก หรือ 35,920 (42,300 - 6,380 รัศมีโลก)
กิโลเมตร

ในขณะที่ดาวเทียมแบบวงโคจรต่ำ (LEO) จะมีน้ำหนักเบากว่า ขนาดเล็กกว่า
น้ำหนักดูแล้วประมาณ 750 กิโลกรัม และขนาดก็ไม่น่าจะใหญ่กว่า
ขนาดรถยนต์ดีเซลกระบะคันหนึ่ง เนื่องจากว่ามันมีน้ำหนักน้อย
มันก็ต้องสมดุลย์ตัวเองด้วยการวิ่งผ่านโลกวันละหลายๆครั้ง อย่าง
ตัวที่ถูกยิงตกนี้ชื่อ Feng Yun 1C โคจรสูงจากพื้นโลก 860-882 กิโลเมตร
โคจรรอบโลก 14.06 ครั้งต่อวัน


ข้อมูลวงโคจรดาวเทียม Feng Yun 1C

ก็จะกลายเป็นเป้าหมายขนาดเล็กมากๆ ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงมากๆ

ถ้าขีปนาวุธสามารถเข้าชนดาวเทียมได้พอดีมันก็พังแล้ว แต่ว่าจะให้มันชน
พอดีเหมือนกับเล็งรถกระบะที่วิ่งอยู่ด้วยความเร็วขนาดนี้ได้ ความเที่ยงตรง
ของจรวดจะต้องมีมาก ซึ่งอาจจะใช้หลายเทคนิค แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ใช้
GPS ของอเมริกา

ความเที่ยงตรงขนาดนี้ สามารถทำลายดาวเทียมทางการทหารได้เกือบหมด
เพราะดาวเทียม ทางการทหารมักจะใช้วงโคจรต่ำเหมือนกัน
และ ก็ไม่น่าจะพลาดเป้าหมายบนพื้นดินที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง

 

• • • ตัวแทนสหรัฐฯ-โสมแดงหารือชื่นมื่นเตรียมคุย 6 ฝ่าย [20 ม.ค. 50 - 04:07​

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันศุกร์ 19 ม.ค.อ้างการเปิดเผยของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือว่า การเจรจาระหว่างผู้แทนฝ่ายเกาหลีเหนือ นายคิม คี-กวาน กับหัวหน้าผู้แทนเจรจาสหรัฐฯรับผิดชอบ ประเด็นนิวเคลียร์ นายคริสโตเฟอร์ ฮิลล์ ที่กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงเยอรมนี กำหนดจัดขึ้น 3 วัน ระหว่าง 16-18 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลในทางบวกถึงขั้นบรรลุข้อตกลงระหว่างกัน โดยนายคิมกล่าวผ่านสำนักข่าวเคซีเอ็นเอของเกาหลีเหนือว่า บรรยากาศการหารือเต็มไปด้วยความจริงใจ และได้มีการตกลงกันขึ้น แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่ามีการตกลงในเรื่องใด ส่วนนายฮิลล์เดินทางเยือนกรุงโซลของเกาหลีใต้เป็นลำดับต่อไป เพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ทางการเกาหลีใต้ ทั้งนี้ การหารือระหว่างนายคิมกับนายฮิลล์มีขึ้นท่ามกลางความคาดเดาว่าเกาหลีเหนือกำลังเตรียมทดลองจุดระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่สอง หลังดำเนินการทดลองครั้งแรกไปเมื่อ 9 ต.ค.ปีที่แล้ว ส่งผลให้สหประชาชาติลงมติคว่ำบาตรตามมา
ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวของสหรัฐฯชี้ว่าการหารือที่เบอร์ลินไม่ได้เป็นการหารือในระดับทวิภาคี โดยนายโทนี สโนว์ โฆษกทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวว่า

 

มังกรที่หลับได้ตื่นขึ้นแล้ว

อนิจจา สตาร์วอร์ ขออย่าให้ยิงกันแล้วตกใส่หลังคาบ้านใครเลย สาธุ

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>โลกเครียด จีนทดลองสอยดาวเทียม หวั่นเปิดสงครามอวกาศ-สะเทือน ศก.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>19 มกราคม 2550 17:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=163 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=163> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE> ผู้จัดการออนไลน์

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ปธน.อิหร่านเมินยูเอ็นคว่ำบาตรเพิ่ม/ลั่นเดินหน้านุกต่อ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>22 มกราคม 2550 00:08 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=179 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=179> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ประธานาธิบดีอิหร่าน มาห์มูด อาห์มาดิเนจัด</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5></TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี - ประธานาธิบดีอิหร่าน มาห์มูด อาห์มาดิเนจัด ยืนยันจะเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์และไม่สนหากสหประชาชาติจะมีมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม

"แม้พวกเขาใช้อีก 10 มาตรการคว่ำบาตร มันจะไม่มีผลกระทบใดๆ" อาห์มาดิเนจัด กล่าว

คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเห็นชอบใช้มติ 1737 ในวันที่ 23 ธันวาคม คว่ำบาตรอิหร่าน สำหรับการปฏิเสธที่จะยกเลิกโครงการแปรรูปยูเรเนียม ที่เป็นกระบวนการสร้างพลังงานนิวเคลียร์ เช่นเดียวกับผลิตระเบิดปรมาณู

นอกจากนี้ อาห์มาดิเนจัด ยังอ้างคำพูดของ อะยาโตเลาะห์ อาลี คอเมนี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ที่ยืนยันว่าอิหร่านจะเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ต่อไป

อิหร่าน ชาติผู้ส่งออกน้ำมันเป็นอันดับสองของโอเปก ยืนยันว่าโครงการดังกล่าวเป็นโครงการนิวเคลียร์พลังงานเพื่อสันติภาพ อย่างไรก็ตามชาติตะวันตกกังวลว่าเตหะรานจะบ่ายเบี่ยงไปพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

ในวันเสาร์ (20) ลาริจานี ตัวแทนเจรจานิวเคลียร์ของอิหร่าน กล่าวว่าทหารของเตหะราน พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามต่อการติดตั้งโครงการนิวเคลียร์ ท่ามกลางข่าวลือว่าสหรัฐฯ อาจจะใช้แผนการทหารโจมตีอิหร่าน
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>