ตายภายในเจ็ดวัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อศูนย์น้อย, 12 เมษายน 2011.

  1. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    ผมว่าผมต้องตายภายในเจ็ดวันแน่เลย ทำอย่างไรดี<-----------คำนี้มีมานาน
    จะมีสักกี่คนนะ ที่จะเข้าใจ สลัดความกลัวออกจากจิตใจได้ แค่คำขันของผู้มองเห็น
    แล้วท่านละ รู้ไหม เข้าใจหรือยัง..เขาว่า สำเหล็จอรหันแล้วจะต้องตาย
    ภายในเจ็ดวัน....ไม่ไม่ได้สำเหล็จ ผมก็ต้องตายภายในเจ็ดวัน ทุกท่าน ก็ต้องตาย
    ภานใยเจ็ดวัน หรือไงครัยชอบ ครัยรู้ จิตดับ เข้านิพานไหม .....
     
  2. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ถามดีนะ แต่เราจะมาตอบแบบกวน ๆ ล่ะ

    ถ้าเป็นคนดี...ไม่มีอะไรยาก มันก็ไปแบบคนดี ๆ คนหนึ่งที่จะไปด้วยสติอันดีงามของตน

    ถ้าเป็นคนเลว...ก็ยังคงยิงนก ตกปลาไปเรื่อย ไม่หนำใจก็ไปฉุดเมียชาวบ้าน ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ สร้างความดี(แต่เป็นสารพัดเลวในหมู่คนทั่ว ๆ ไปที่เข้าใจในกฎของกรรม)
     
  3. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    จันทร์ ถึงอาทิตย์ อ่ะดิ ท่านจอมกสิณไฟ
     
  4. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    พระอรหันต์ ถ้าเป็นแล้วจะตายเมื่อไรก็ไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรเลย
    ที่สำคัญ ขอให้ได้เป็นก็แล้วกัน ส่วนถ้าไม่บวชจะตายหรือไม่ เป็น

    "ปัจจัตตัง"

    เพราะถ้าใครบอกออกไปว่าไม่ตายก็จะต้องมีทั้ง คนเชื่อและไม่เชื่อ
     
  5. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    ถูกต้อง
    ฆารวาสบรรลุ
    เป็นพระอรหันต์
    ต้องตายภายใน๗วัน
     
  6. มรรคโกวิโท

    มรรคโกวิโท สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +8
    เป็นอรหันต์บุคคลทำไมต้องตายภายในเจ็ดวันครับ มีกล่าวไว้ในพระสูตรรึป่าวครับ ขอคำแนะนำด้วย อยากฟังไว้เป็นความรู้ครับ
     
  7. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    แม่นแล้ว จันทร์-อาทิตย์ 555+ มันมีแค่เจ็ดวันเท่านั้น มันไม่มีวันที่แปดหลอก
    อิอิ ขอแค่เข้าใจ อะไรๆ มันจะง่าย และทำไห้จิตใจเบิกบาน มีหิริ ทุกคนและครับ
    สาธุกับท่านที่ เข้าใจด้วยครับ ^^
     
  8. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    อนุโมทนากับคำตอบครับ ^^
     
  9. nuaiswat

    nuaiswat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +248
    ขอยืนยันอีกครับ ตามคำตอบนี้ก็ทำให้หายสงสัยไปเพราะหลวงพ่อฯเคยกล่าวไว้ว่า ประมาณปี พ.ศใดจำไม่ได้จะมีพระที่จบป.4 หลายองค์และก็คนที่จบป.4ก่อนตายหลายแสนคน ตอนแรกสงสัยว่าคนธรรมดาจะสำเร็จอรหันต์ก่อนตายหรือยังไง พอมาอ่านกระทู้นี้เลยเข้าใจมากขึ้น อ้อ ที่ท่านบอกคนธรรมดาจะสำเร็จป.4(อรหันต์) ก่อนตายที่ทแท้ก็กลายเป็นว่าสำเร็จแล้วต้องตายภายในเจ็ดวัน จริงๆแล้วก็ไม่เห็นต้องกลัวเลย เพราะไม่สำเร็จอรหันต์ก็ต้องตายในเจ็ดวันอยู่ดี เผลอๆตายภายใน 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำเผลอๆตายแล้วตกนรกอีก แล้วถ้าอย่างงี้ตายภายในเจ็ดวันจริงๆ(เวลา 7 วัน) กับเจ็ดวันปลอมๆ(จันทร์-อาทิตย์) ตายแบบอรหันต์จะกลัวทำใมยังไงก็ไปนิพพาน

    อนุโมทนาสาธุกับเจ้าของกระทู้และทุกๆท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011
  10. หอ หึ หึ

    หอ หึ หึ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่มีกล่าวไว้ในพระสูตร และ ไม่ทรงบรรยัติไว้
     
  11. ขวัญดาว

    ขวัญดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +577
    เราก็จะตายภายในสองวัีนนี้ค่ะ..
    คือ วันฝนตก กับ ฝนไม่ตก อ่ะนะ
    ...555...
     
  12. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ขอตอบไว้เป็นธรรมทาน

    คำว่า "บรรลุเป็นอรหันต์แล้วต้องตายภายใน7วัน" เป็นคำที่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนต้องเจอก่อนบรรลุอรหัตผล

    เป็นคำที่มาร จะนำมาทดสอบกำลังใจหรือบารมีในการปฏิบัติธรรม

    ซึ่งเรามักจะได้ยินคำพูดนี้จากพระอริยะสงฆ์ ท่านมักจะพูดลอยๆขึ้นมา แต่จะไม่ให้เหตุผลเอาไว้ ว่าคำนี้มาจากไหน และมีความหมายว่าอย่างไร

    เพราะพระอริยะสงฆ์ท่านไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าท่านบรรลุธรรมแล้ว เนื่องจากใจของท่านไม่มีกิเลสแล้ว จึงไม่ต้องการอวดตัว ไม่ต้องการคำสรรเสริญเยินยอใดๆ


    เจริญพร
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    คับๆ..เคยได้ยินมาว่า..ถ้าเป็นฆราวาสแล้วสำเร็จเป็นอรหันต์เนี่ย..จิตจะเกิดความเบื่อหน่ายจนละร่างกายแล้วตายภายใจเจ็ดวัน.
    แต่ผมยืนยันได้เองก็คือ ทุกคนต้องตายภายในเจ็ดวันคับ
    ก็คือ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุทธ วันพฤหัส วันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ตายนอกจากนี้ยังไม่เคยเห็นคับ..ฮ่าๆๆๆ
     
  14. หมี พลเสน

    หมี พลเสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +358
    ผมว่า ความกลัวเป็นธมมชาติ ของผู้ที่ไม่เคยสัมผัส กับสิ่งแปลกใหม่ และการเปลี่ยนแปลง เราจะไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ได้ เราจะต้องได้รู้ได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ก่อนว่าเรา ชอบหรือไม่ชอบถ้าชอบใจเราก้ไม่กลัว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ปัญหาคือการทำยังไงให้สามารถรับรู้รับทราบสิ่งใหม่ได้นั่นเอง หลวงพ่อสดท่าน เทศว่า อาตาปิ จงเพียรให้กลั่นกล้าอาจหาญทีเดียว เป็นกำลังใจให้ทุกๆท่าน และตัวผมเอง เข้าถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันรวดเร็วด้วย เถิด
     
  15. ภวโลกร้อน

    ภวโลกร้อน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,272
    เป็นจริงตามนั้นค่ะ..ช่วยยืนยัน..นั่นยัน..นอนยันอีกคนค่ะ..อิอิ:VO
     
  16. lightmagician

    lightmagician Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +38
    . วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยไม่แน่ใจในพระรัตนตรัย โดยเฉพาะในพระธรรม อันคือ ธรรมคำสอนโดยพระพุทธองค์ ที่มีพุทธประสงค์สูงสุดล้วนเป็นเรื่องของสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ที่เกี่ยวกับความทุกข์ ดังเช่น การเกิดขึ้นของทุกข์ ไม่ใช่เพื่อให้เป็นทุกข์ แต่เพื่อให้รู้เหตุ ก็เพื่อนำไปใช้ในการดับไปแห่งทุกข์ต่างๆนั่นเอง จึงยังให้เกิดความสุขจากการหลุดพ้น อันสุขยิ่งกว่าสุขทางโลกนั่นเอง, อันวิจิกิจฉาหรือความลังเลสงสัยนี้ ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเนื่องจากความไม่เข้าใจในธรรมของพระองค์ท่านอย่างถ่องแท้ในเบื้องต้นเนื่องด้วยอวิชชา ดังนั้นเมื่อปฏิบัติไปย่อมต้องเกิดการติดขัดเป็นธรรมดา ก็เกิดความสงสัย ลังเล ไม่เชื่อถือ, ค้นหาการปฏิบัติใหม่, ลัทธิใหม่, วิธีใหม่, อาจารย์ใหม่, ที่ยึดถือใหม่ ฯลฯ. จึงเป็นการค้นหา, วิ่งเข้าหาสิ่งผิดๆด้วยอวิชชาเสียก็มี หรือเป็นการเริ่มต้นกันใหม่อยู่เสมอๆ จึงไม่สามารถบังเกิดความรู้ความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งแท้จริง, ถ้าไม่มีวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยอันจักบังเกิดขึ้นจากความเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมพื้นฐานอย่างถูกต้อง เมื่อเกิดอุปสรรคในการปฏิบัติ จิตจะไม่เกิดความลังเลสงสัย แต่จิตจะพลิกไปพิจารณา, ครุ่นคิด, คิดค้นคว้า แก้ไขให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่กระจ่างสว่างขึ้นไปเป็นลําดับ กล่าวคือเจริญวิปัสสนาจนเกิดความรู้ความเข้าใจให้หลุดพ้นขึ้นนั่นเอง, วิจิกิจฉาจึงเป็นอุปสรรคสําคัญที่บั่นทอนสัมมาปัญญาหรือญาณไม่ให้เกิด จึงทําให้ร้อยรัดสรรพสัตว์ไว้กับทุกข์, แต่การไม่ลังเลสงสัยก็ต้องไม่เป็นไปในลักษณะของความมัวเมาด้วยอธิโมกข์ จึงต้องประกอบด้วยปัญญาหรือการเจริญวิปัสสนา
     
  17. lightmagician

    lightmagician Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +38
    วิจิกิจฉา เป็นสังโยชน์ที่ร้อยรัดสัตว์ไว้กับโลก
    องคุณพระโสดาบันคือละสังโยชน์เบื้อต้นได้ 3 อย่าง
    1 วิจิกิจฉา
    2 สีลัพพตปรามาสความยึดมั่นถือมั่นในศีล(ข้อบังคับ)และวัตร(ข้อปฏิบัติ)แบบผิดๆ, ความถือมั่นในข้อบังคับและข้อปฏิบัติโดยสักแต่ว่าทําตามๆกันมาอย่างงมงาย อันเกิดจากการไม่เข้าใจในธรรม(สภาวธรรม)ตามความเป็นจริง แต่ปฏิบัติเป็นไปตามความเชื่อ ความยึด หรือตามประเพณีที่สืบทอดกันต่อๆมา โดยขาดปัญญาพิจารณาเนื่องด้วยอธิโมกข์เช่น เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีลและวัตรข้อปฏิบัติแต่ฝ่ายเดียวก็พอเพียงแล้วในการปฏิบัติธรรม, การทำบุญเพื่อหวังผล หรือเพื่อไปสวรรค์ นิพพาน แต่อย่างเดียวก็พอเพียงแล้ว, การถือศีลอย่างเคร่งครัดแต่ฝ่ายเดียวแล้วจะบรรลุมรรคผล, คล้องพระเพื่อให้เกิดโชคลาภ คงกระพันชาตรี, การปฏิบัติแต่สมถสมาธิอย่างเดียว แล้วจะเกิดปัญญาเข้าใจธรรมหรือได้มรรคผลขึ้นมาได้เอง, การทรมานตนในการปฏิบัติ, การอ้อนวอนบูชา, การบนบาน, การบูชายัญ, การยึดมั่นใน อัตตาเจตภูต หรือแม้แต่ปฏิสนธิวิญญาณ ฯลฯ.
    3 สักกายทิฏฐิ - สักกาย มีความหมายว่า กายแห่งตน,เรื่องของกายตน, ส่วนทิฎฐิ มีความหมายว่า ความคิด,ความเห็น,ความเชื่อ ในที่นี้มีความหมายว่าความเห็นผิดเชื่อผิด อันเป็นปรกติของปุถุชนด้วยอวิชชาอันย่อมมีมาแต่การถือกำเนิดเป็นธรรมดา กล่าวคือ จึงย่อมมี สักกายทิฏฐิ ซึ่งมีความหมายว่า ความคิดหรือความเห็นความเข้าใจหรือความเชื่อในเรื่องกายว่าเป็นตัวตน หรือเป็นของตัวของตนอย่างแท้จริง(สักกายสมุทัย)โดยไม่รู้ตัวเป็นไปซึ่งเกิดขึ้นและเป็นไปโดยธรรมหรือธรรมชาติ, ความคิดความเห็นว่าเป็นตัวของตน จึงเป็นเหตุให้ถือตัวตน เช่น เห็นรูปว่าเป็นตน เห็นเวทนาว่าเป็นของตน ฯ. กล่าวคือ เพราะย่อมยังไม่มีความเข้าใจอย่างมีสติสัมปชัญญะในความเป็นเหตุเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้เท่านั้นของสังขาร จึงไม่เคยรู้ ไม่เคยระลึก ไม่เคยพิจารณา จึงย่อมไม่มีเครื่องรู้เครื่องระลึกเครื่องเตือนสติ จึงไม่เกิดสัมมาปัญญาหรือญาณอย่างน้อมยอมรับว่า ตัวตนหรือรูปกายของตนนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอย่างแท้จริง สักแต่ว่าเกิดมาแต่การประชุมปรุงแต่งกันขึ้นของเหตุปัจจัยของธาตุ๔ หรือชีวิต(ชีวิตินทรีย์)ที่มีร่างกายตัวตนก็สักแต่ว่าเกิดแต่เหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๕ หรือเบญจขันธ์ หรือสังขารร่างกายล้วนเป็นไปตามพระไตรลักษณ์ เหมือนดังสังขารทั้งปวงที่ต่างล้วนต้องเกิดมาแต่การที่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกัน หรือประชุมปรุงแต่งกันขึ้นมาเพียงชั่วสักระยะหนึ่ง จึงล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่อย่างแปรปรวน แล้วดับไปเป็นธรรมดา ไม่เป็นอื่นไปได้ จึงล้วนเป็นอนัตตา คือไม่มีตัวมีตนอย่างเป็นแก่นแท้จริง เมื่อไม่มีตัวตนจึงย่อมไม่ใช่ของตัวของตน หรือของใครๆได้อย่างแท้จริง แต่ด้วยอวิชชาดังนั้นจึงมีความคิดความเห็นอย่างยึดมั่นยึดถือโดยไม่รู้ตัวอยู่ภายในอยู่ตลอดเวลาใน รูปขันธ์(กายตน) ตลอดจนในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ว่าเป็นตัวตนของตนหรือเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของตนอย่างเชื่อมั่นหรือรุนแรงตามที่ได้สั่งสมอบรมมาแต่ทารกโดยสัญชาตญาณ(ความรู้ที่มาแต่การเกิดเป็นธรรมดา)โดยไม่รู้ตัวหรืออวิชชา, เพราะความไม่รู้และไม่รู้เท่าทันว่าตัวตนหรือกาย(รูปขันธ์)ก็สักแต่ว่าประกอบด้วยเหตุปัจจัยของธาตุทั้ง ๔ หรือชีวิตก็เป็นเพียงเหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๕ จึงเป็นสังขาร จึงย่อมมีความไม่เที่ยง(อนิจจัง) และคงทนอยู่ไม่ได้(ทุกขัง) เป็นอนัตตาที่ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเราอย่างแท้จริง เป็นเพียงมวลหรือก้อนของเหตุปัจจัยคือธาตุ ๔ ที่ประชุมปรุงแต่งเป็นปัจจัยกันขึ้น จึงขึ้นอยู่กับธาตุ ๔ ไม่ขึ้นอยู่กับตัวตนที่หมายถึงเราหรือของเราแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นมายาจิตหลอกล่อให้เห็นว่าเป็นเราหรือเป็นของเรา ทั้งๆที่เป็นหรือเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยทั้งสิ้น, และไม่รู้และไม่รู้เท่าทันอีกว่า เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ หรือขันธ์ที่เหลือทั้ง ๔ ก็เช่นเดียวกัน ต่างก็ล้วนเป็นเพียงสังขารเช่นกันทั้งสิ้น จึงเกิดแต่เหตุปัจจัยมาประชุมกัน จึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเช่นกัน ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เป็นตัวตนของตน หรือเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของตนอย่างแท้จริง ดังนี้เป็นต้น จึงไม่มีเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ ให้เกิดนิพพิทา ให้คลายความยึด, ความอยาก, ความกังวลหรือความหลงใหลในกายสังขารตน หรือขันธ์ ๕ อันเป็นที่หวงแหนยิ่งเหนือสิ่งใดโดยไม่รู้ตัว อันเป็นบ่อเกิดของอุปาทาน - ความยึดมั่นพึงพอใจในตัวตนหรือของตนด้วยกิเลสในขั้นต้นของปุถุชนทั่งปวงโดยทั่วไป
     
  18. lightmagician

    lightmagician Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +38
    ความตายเป็นของธรรมดา ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง เมื่อบบรลุย่อมปล่อยวาง
    เหตุที่ตายเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นจบกิจแล้ว ท่าไม่ได้ถือเพศบรรชิต อยู่ต่อเพื่อนอนุเคาะจะอยู่เพื่ออะไรเมื่อไม่ยึดติดกับสิ่งใดแล้ว

    ผู้บรรลุธรรมขั้นต้นตั้งแต่พระโสดาบันย่อมเห็นธรรมดาของการเกิดแก่เจ็บและตาย

    อนุโมทนา
     
  19. s@n16

    s@n16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,022
    เท่าที่เคยอ่านเจอ เกี่ยวกับ บรรลุสภาวจิตแห่งผู้อเสขะ ( อรหันต์ขีณาสพ )หากยังครองเพศฆราวาส จะต้องละสังขารใน 7 วัน

    อย่างกรณี พระพาหิยทารุจีริยเถระ เอกทัคคะ ผู้ทรงตรัสรู้เร็ว
    เป็นเพราะ กายที่ไม่ได้ห่มครองผ้ากาสาวพัสตร์ ไม่ได้ขอสมาทานทานศีล 227 เป็นภิกษุ ขององค์พระบรมครู กายนั้นถือว่าไม่สะอาดพอ จะรองรับ ความสะอาด สว่างไสว ผ่องใส แห่ง สภาวะจิตของอรหันต์ ได้

    และเปนด้วยเหตุ แห่ง บุรพกรรม ในอดีต

    เท่าที่เคยอ่านเจอ ประมาณนี้คับ
     
  20. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    คือ ปุถุชน เบื่อ ก็หาเสพอารมณ์ ดูทีวี เดินห้าง ไปวัด ไปดูหนัง ไปเที่ยว

    ผู้บรรลุแล้วนี้เค้าพ้นอารมณ์ครับ

    เหมือนดูหนังที่ไม่สนุกจะทนดูไหมครับ คิดดูว่าจะเบื่อไหมถ้าไม่มีอารมณ์ จะขวนขวายไหม จะแอคชั้นไหม จะก่อกรรมไหม

    ก็จะเหลือแต่สิ่งที่ควรทำถูกไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...