ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ถ้าจะอธิบายเรื่องเลข 666 นี่ ผู้คนส่วนมากมักคิดว่าเป็นเลขของ ซาตาน
    จริงๆที่รู้มาก็คือ เป็นการ ยกค่าระดับพลังงานสามมิติให้กับโลก จากเดิม 333 เป็น 666 เพื่อให้โลกมีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นเหมาะสมกับสติปัญญามนุษย์ในยุคพลังงานใหม่นี้ เพื่อการต่อต่อสื่อสารทางโทรจิต หรือการมองเป็นมิติต่างๆได้ง่ายขึ้น เหมาะในการยกระดับจิตใจกลับคืนสู่สภาวะสุญญตาได้ง่ายขึ้น

    ที่นี่พอซาตานรู้เข้า ก็เลยแอบอ้างเอาเลขนี้มาใช้เป็นของตนก่อน พอใครเห็นเลข 666 นี้เข้าก็จะพาลนึกถึงซาตาน และไม่เข้ายุ่งเกี่ยว เพราะพวกเขาต้องการเช่นนั้น ให้มนุษย์ไข้วเขวสับสนครับ เขาจะได้ใช้พลังของเขาได้เต็มที่ โดยไม่มีอุปสรรคขัดขวางครับ..

    ส่วนรหัสเลข 11 คือเรื่องของวันเวลา ที่เขาจะใช้นัดหมายรวมพลัง โจมตีเป้าหมายครับยิ่งเราทะเลาะเบาะแว้ง ทำร้าย ฆ่ากันเท่าไหร่ ฆ่าเป็ด ไก่ สัตว์ต่างๆ มีสงคราม พวกนี้เขาจะไปดึงมาเป็นพวก มาเพิ่มพลังอำนาจมืดให้พวกเขา พอรวมพลังกันได้มากพอ เขาก็จะนัดหมายลงมือครับ มิติเปิดให้พวกเขาในวันเวลาที่ 11 ครับ

    เพราะเขาร้องขอ ที่จะเอาคืนบ้างครับ ฟ้าจึงเปิดมิติให้ในช่วงนั้น และจะรุงแรงมากเป็นทวีคูณครับ อย่างกรณีสึนามิที่ผ่านมาครับ (26-12-2548 @2+6+1+2+1+5+4+8=29 @ 2+9=11) พลังดำมืด พุ่งลงมาสู่ใต้พื้นดินแบบนั้นถ้าใครเห็นในนิมิตรจะทราบดีครับ
    หรือตึกเวิลด์เทรดที่ NY (11-9-2547@1+1+9+2+5+4+7=29@2+9=11) เป็นตัวอย่างครับ

    และก็มีรหัสจากสำนักอนุตรธรรม อีกครับ เก้าเก้า แปดสิบเอ็ดภัย
    เก้าเก้าหมายถึงวันเวลาของภัยใหญ่ที่จะเกิดครับ ตีความเอานะครับ
    อาจเป็นเดือน หรือวันที่นี่ล่ะครับ
    และรหัส เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า ก็มาจากที่นี่ครับ เบื้องบนแจ้งเตือนไว้เมื่อ 65 ปีก่อนแล้วครับ

    ยังไงก็กลับใจเข้าสู่ทางธรรม กันไว้ดีที่สุดครับ..มีปนิธานแห่งนิพพานเป็นที่ตั้งครับ ให้เป็นเข็มทิศนำพาดวงจิตของเรากลับคืนสู่แดนสุญญตาที่เราจากมากันให้ได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2007
  2. chakrit

    chakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +967
    ขอตายอย่างผู้ยอมรับชะตากรรม ถ้าจะขอก็ให้ผู้มีคุณทุกท่านรอดเถิด เบื่อเต็มทีครับ ขอศาสนาคงอยู่คู่ชาติไทยเถิด
     
  3. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    Batu cave บัทตูเคฟ

    บัทตูเคฟ เป็นวัดฮินดูซึ่งสร้างไว้ในถ้ำบนเขา (ถ้ำค้างคาว) พระขันธกุมาร เป็นเทพของฮินดูที่ประจำอยู่ที่นั่น (i) คนฮินดูถือว่าเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์


    [​IMG]

    The Batu Caves are situated thirteen kilometers (seven miles) north of the capital city Kuala Lumpur. They are the sacred place for the Hindu's in Malaysia. They consist of three main caves and a number of smaller ones. The caves are made of limestone and 400 meters long and 100 meter high. They were discovered in 1892. From your hotel in the Golden Triangle you can reach the Batu Caves easily by taxi or public bus (11 and 11d). The public busses can be boarded at the Pudu Raya Bus Terminal in Kuala Lumpur.
    At your arrival you will be greeted by lots of monkeys. They are going for your peanuts and banana's, which you can buy in several shop, before you climb up to the caves. You have to climb 272 steps, which will lead you to the religious and magnificent Batu Caves.


    ขอแจมด้วยไม่รู้ว่าเกี่ยวกันป่าว
    you can reach the Batu Caves easily by taxi or public bus (11 and 11d)
    คุณสามารถขึ้นรถเมลล์ สาย 11 กับ 11d ไปได้

    You have to climb 272 steps,
    คุณต้องปีนบันได 272 ขั้น 2+7+2 = 11
    (b-oneeye) ​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3668.JPG
      IMG_3668.JPG
      ขนาดไฟล์:
      161.7 KB
      เปิดดู:
      869
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2007
  4. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    คุณ mead ครับ
    หวังว่าจะได้รับการท้วงติงจากผมนะครับ
    เหตุการณ์ 11 กันยา เกิดวันที่ 11 เดือน 9 ปีพ.ศ.2544 ครับ
    ไม่ใช่ปี 47 อย่างที่คุณอ้างมา ถ้าไม่เชื่อไปค้นข่าวที่ไหนก็ได้ครับ
    สึนามิ เกิดวันที่ 26 เดือน 12 ปี พ.ศ.2547 ครับ
    ไม่ใช่ปี 48 อย่างที่คุณอ้างมา ถ้าไม่เชื่อไปค้นข่าวที่ไหนก็ได้ครับ
    ส่วนเรื่องการบวกเลข ถ้าคุณจะหาเลข 11 จากการบวกวันที่ คุณจะได้จากทุกๆ 9 วันครับ

    อยากฝากทุกๆคน อย่าลืมพกคําว่า "งมงาย" และ "เชื่อโดยไร้สติ" ไว้ในปัญญาญาณด้วยครับ
    ขอบคุณครับ
    ปล. เชื่อมั้ยว่า คนที่ชักชวนคนอื่นให้มีสติ มักจะโดนด่า
    เดี๋ยวคอยดูผมก็ได้ ถ้าไม่พอใจก็ว่ามาเลยนะครับ
    ผมยอมโดนด่าได้ แค่หวังให้คนอ่าน รับรู้ข่าวสารโดยไม่ไร้สติเท่านั้นเอง
     
  5. thos1964

    thos1964 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +441
    หลักการถูกต้องตามที่มีการกล่าวอ้างครับ แค่คำนวณผิดเท่านั้น

    26 ธันวาคม 2547 = 2+6+12+2+5+4+7 = 38 = 3+8 = 11
    หรือ
    2+6+1+2+2+5+4+7 = 29 = 2+9 = 11

    ส่วนเรื่องตึกเวิลด์เทรด อันนี้อ้างข้อมูลผิด (เรื่องวันที่เกิดเหตุ) แต่ก็เกี่ยวข้องกับเลข 11 เหมือนกันครับ ดูข้อมูลได้ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ

    http://www.theforbiddenknowledge.com/wtc/index02.htm
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ไม่เป็นไร ครับ ทุกท่านต่างหวังดี อยากให้ข้อมูลที่หลากหลายแง่มุม แก่ทุกท่านครับผม

    ในหลายๆกระทู้ข้างต้นที่อ้างอิงตัวเลขและรหัสต่างๆนั้น ที่จริงอยากให้มุมมองว่า บางสิ่งบางอย่างอาจไม่ใช่เหตุบังเอิญหรืออาธรรพ์ ครับ แต่ เป็นไปได้หรือไม่ว่า..............................................

    ลองเก็บไปคิด และใช้วิจารณะญาณพิจารณาเอาเองครับ
     
  7. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    สาธุ...
     
  8. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    ดีครับ เราไม่ได้โต้แย้งกันเพื่อให้เกิดความเคืองกันแต่เพื่อให้เกิดปัญญาก็น่าจะดีครับ หวังว่าทุกท่านในที่นี้คงวางใจนิ่งไม่เคืองคำโต้แย้งนะครับ สาธุ
     
  9. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ความเชื่อเรื่องเลข 666 นั้น คาดว่าคงเอามาจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลกันครับ เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบทวิวรณ์จะมีพูดถึงเรื่องนี้อยู่ อยู่ในบทที่ 13 เนื้อหาของบทที่ 13 ก็มีดังนี้

    01 และข้าพเจ้าได้เห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา ที่เขาทั้งสิบนั้นมีมงกุฎสิบอัน และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้าจารึกไว้ที่หัวของมัน
    02 สัตว์ร้ายที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้น ตัวเหมือนเสือดาว และตีนเหมือนตีนหมี และปากเหมือนปากสิงห์ และพญานาคได้ให้ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่และที่นั่งของมันแก่สัตว์ร้ายนั้น
    03 หัวๆหนึ่งของมันดูเหมือนถูกฟันปางตาย แต่แผลที่ถูกฟันนั้นรักษาหายแล้ว คนทั้งโลกติดตามสัตว์ร้ายนั้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ
    04 เขาทั้งหลายได้บูชาพญานาคเพราะพญานาคได้ให้อำนาจแก่สัตว์ร้ายนั้น เขาได้บูชาสัตว์ร้ายนั้น กล่าวว่า "ใครจะเปรียบปานสัตว์นี้ได้ และใครสามารถจะสู้รบกับสัตว์นี้ได้"
    05 สัตว์ร้ายนั้นมีปากที่พูดคำจาบจ้วงและหมิ่นประมาทพระเจ้า และทรงยอมให้มันใช้อำนาจกระทำอย่างนั้นตลอดสี่สิบสองเดือน
    06 มันกล่าวคำหมิ่นประมาทต่อพระเจ้า ต่อพระนามของพระองค์ ต่อสถานที่สถิตของพระองค์ และต่อผู้ที่อยู่ในสวรรค์
    07 ทรงยอมให้มันทำสงครามกับธรรมิกชน และชนะเขา ทรงประทานให้มันมีอำนาจเหนือชนทุกเผ่า ทุกชาติ ทุกภาษา และทุกประชาชาติ
    08 และคนที่อยู่ในแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น เว้นแต่คนทั้งปวงที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลงพระชนม์ ซึ่งบันทึกไว้ตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก
    09 ใครมีหูก็ให้ฟังเอาเถิด
    10 ผู้ใดที่กำหนดไว้ให้ไปเป็นเชลย ผู้นั้นก็จะต้องไปเป็นเชลย ผู้ใดฆ่าเขาด้วยดาบ ผู้นั้นก็ต้องถูกฆ่าด้วยดาบ นี่แหละคือความอดทนและความเชื่อที่พวกธรรมิกชนจะต้องมี
    11 แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดินมีสองเขาเหมือนลูกแกะ และพูดเหมือนพญานาค
    12 มันใช้อำนาจของสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้นอย่างครบถ้วนและต่อหน้า มันทำให้โลกและคนที่อยู่ในโลกบูชาสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น ที่มีแผลปางตายแต่รักษาหายแล้ว
    13 สัตว์ร้ายนี้แสดงหมายสำคัญใหญ่ จนกระทำให้ไฟตกลงมาจากฟ้าสู่แผ่นดินโลกประจักษ์แก่ตามนุษย์ทั้งหลาย
    14 มันล่อลวงคนทั้งหลายที่อยู่ในโลกด้วยหมายสำคัญนั้น ซึ่งทรงยอมให้มันกระทำต่อหน้าสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น และมันสั่งให้คนทั้งหลายที่แผ่นดินโลก สร้างรูปจำลองให้แก่สัตว์ร้ายที่ถูกฟันด้วยดาบ แต่ยังไม่ตายนั้น
    15 ทรงยอมให้มันมีอำนาจที่จะให้ลมหายใจแก่รูปสัตว์นั้น เพื่อให้รูปสัตว์ร้ายนั้นพูดได้ และให้มีอำนาจที่จะกระทำให้บรรดาคนที่ไม่ยอมบูชารูปสัตว์ร้ายนั้น ถึงแก่ความตายได้
    16 และมันยังได้บังคับคนทั้งปวง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย คนมั่งมี และคนจน ไทและทาสให้รับเครื่องหมาย ไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผากของเขา
    17 เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้ นอกจากผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ร้ายนั้น หรือเลขชื่อของมัน
    18 ในเรื่องนี้จงใช้สติปัญญาให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจก็ให้คิดตรึกตรองเลขของสัตว์ร้ายนั้น เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือหกร้อยหกสิบหก


    *คำว่าพญานาคในที่นี้ ถ้าเป็นฉบับภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า dragon คำว่านาคภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า naga ดูจากต้นฉบับภาษาอังกฤษแล้ว ก็น่าจะแปลว่ามังกรมากกว่า ในทางศาสนาคริสต์แล้ว งู จะเป็นสัญลักษณ์ของซาตาน เพราะว่างูล่อลวงเอวาให้ทำผิดต่อพระเจ้า มังกรก็มีรูปลักษณ์คล้ายๆ งู ดังนั้นบางทีคำว่ามังกรในทางคริสต์ จึงเป็นสัญลักษณ์หมายถึงซาตานได้เหมือนกัน
     
  10. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    ความปั่นป่วนทั้งหลาย อาจจะมาจาก ดวงอาทิตย์
    (nogood)
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=516 border=0><TBODY><TR><TD align=left width=400>Monster Stellar Flare Seen by NASA Scientists Dwarfs All Others

    <!-- Title ends -->
    </TD><TD align=right width=116>11.06.06

    </TD></TR><TR><TD colSpan=2><!-- Body starts -->Scientists using NASA's Swift satellite have spotted a stellar flare on a nearby star so powerful that, had it been from our sun, it would have triggered a mass extinction on Earth. The flare was perhaps the most energetic magnetic stellar explosion ever detected.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG] Image right: This is a real image of a typical solar flare from our sun, from September 2005, captured in the X-ray waveband by NASA's TRACE satellite. Note the bright magnetic loops of matter. The twisting and reconnecting of these loops initiate the flare. NASA's Swift satellite detected a similar flare from a star system called II Pegasi 135 light-years from Earth... except it was one hundred million times more energetic than the sun's typical solar flare. Had it been from our sun, it would have triggered a mass extinction on Earth. The II Pegasi flare was too distant (fortunately) to image in detail. Click image to enlarge. Credit:
     
  11. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    [​IMG] Image right: This animation depicts the initiation of a solar flare. Magnetic field lines create an arch in the upper atmosphere of the sun, the corona. Some field lines shoot into space. The twisting and touching of field lines starts the flare as fields recombine. Particles, shown in hot white, accelerate down the field lines into the corona and downward towards the surface of the sun, not shown here. The white light represents the highest-energy X-rays, commonly seen by NASA's RHESSI on the sun and now, for the first time, by NASA's Swift on another star. As particles rain down on the solar surface (not shown here) the flaring will continue in
     
  12. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    Image above: This movie shows a massive solar flare from October 2003, captured by the SOHO satellite. Note the burst of high-speed particles after the flare creating a snowstorm effect. The stellar flare that Swift detected from a star system called II Pegasi was millions of times more powerful. Credit: NASA-ESA/SOHO/EIT
     
  13. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
  14. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    ค.ศ.33-150 ชาวคริสต์ยุคแรกกลุ้มใจว่าโลกจะแตกสลาย

    ค.ศ.992-1000 พระชาวยุโรปคิดว่า โลกจะวินาศในปี ค.ศ.1000 ผู้คนจึงหวาดกลัวกันใหญ่

    ค.ศ.1001 ปรากฏว่าโลกยังไม่แตก พระชาวฝรั่งเศสจึงบอกว่า ภัยพิบัติจะเลื่อนไปเกิดปี ค.ศ.1033

    ค.ศ.1033 โลกยังหมุนต่อไป

    ค.ศ.1186 (พ.ศ.1729)เกิดดาวเคราะห์เรียงตัวกัน ชาวยุโรปนึกว่าโลกจะล่มสลาย

    ค.ศ.1346-1418 (พ.ศ.1889-1961) เกิดโรคกาฬโรคขึ้น ประชากร 1 ใน 3 ของยุโรปตาย และคร่าชีวิตประชากรครึ่งประเทศในอังกฤษ แต่มนุษย์โลกก็เพิ่มจํานวนกลับคืนมาตามเดิม

    ค.ศ.1501 (พ.ศ.2044) คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบรหัสไบเบิ้ล เรียกมันว่า"ไบเบิ้ลโค้ด" ได้ผลทํานายออกมาว่า โลกจะแตกใน ปีค.ศ.1656 (พ.ศ.2199)

    ค.ศ.1656 (พ.ศ.2199) คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ทํานายผิด

    ค.ศ. 1844 วิลเลียม มิลเลอร์ บอกสาวก50,000 คนว่า โลกจะพินาศในปีนี้แล้ว แต่ก็ผิดหวัง

    ค.ศ.1848 วิลเลียมบอกว่า มันจะเลื่อนมาเกิดปีนี้ต่างหาก .. แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วิลเลียมจึงบอกว่า มันเลื่อนไปเกิดปีหน้า

    ค.ศ.1849 วิลเลียมไม่ได้รับความเชื่อถืออีกต่อไป

    ค.ศ.1910 ดาวหางฮัลเล่ห์ปรากฏ ผู้คนต่างหวาดกลัวว่าจะเกิดวันสิ้นโลก

    ค.ศ.1925 แม่ชี โรเบิร์ต ไรท์บอกว่า พระเจ้ามาบอกว่า โลกจะพินาศในปีนี้ เผอิญปีนั้น เกิดโรคระบาด แผ่นดินไหวถี่ผิดปกติ ภาวะบ้านเมืองอึมครึม คนเลยเชื่อใหญ่ บางคนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร บางคนขายบ้าน ขายที่นา พอถึงวันที่แม่ชีว่าจะเกิด แม่ชีไรท์พาลูกศิษย์หลบเข้าป่าจําศีลภาวนา แต่แล้วก็ผิดพลาดอีก..

    ค.ศ.1945 ชาร์ล ลอง นักฟิสิกส์อังกฤษ บอกว่า โลกจะพินาศ ซึ่งในระยะเดียวกันนั้น บังเอิญเกิดดาวหางบ่อยๆ เกิดสุริยคราสและจันทราคราส บ่อยๆ
    น้ำท่วมเป็นประจํา แผ่นดินไหวถี่ผิดปกติ จึงเป็นเหตุผลที่ชาวโลกควรเชื่อ แต่ก็ผิดพลาดหนักเข้าไปอีก

    ค.ศ.1975 กลุ่มชาวคริสต์ออกมาทํานายว่าปีนี้โลกจะพินาศ หลังจากทายผิดติดต่อกันมาแล้ว 10 ปี

    ค.ศ.1996 ไมเคิล ดรอสนินท์และเอลิยา ริปป์ ตีความไบเบิ้ลโค้ด แล้วบอกว่า จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3ในวันที่ 25 กรกฏาคม ...แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไมเคิลและริปป์จึงบอกว่า สงครามโลกครั้งที่ 3และภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นแน่ แต่เลื่อนไปในปีค.ศ.1999

    ค.ศ.1999 นอสตราดามุส บอกว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3... นอกจากนอสตราดามุสแล้ว ยังมีไมเคิลกับริปป์ที่หน้าแหกเป็นเพื่อนอีกตั้งหาก

    ค.ศ.2000 ดาวเคราะห์เรียงตัวกันในวันที่ 5 พฤษภาคม ผู้คนบนโลกเชื่อว่าโลกจะแตก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    กันยายน 2005 - สิงหาคม 2006 กลุ่มไบเบิ้ลโค้ดเชื่อว่า จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามที่คัมภีร์ทํานายว่าจะเกิดใน สิงหาคม 2006 แต่ก็ผิดอีก..

    ค.ศ.3420 มีคนพบกลอนที่นอสตราดามุสเขียน ทํานายว่าโลกจะพินาศในปีนี้

    ค.ศ.3797 มีคนพบกลอนว่านอสตราดามุสทํานายว่าโลกจะพินาศปีนี้ตะหาก
    SOURSE :world I magazine ,The book .

     
  15. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    ทําไมไบเบิ้ลโค้ด มันไม่เคยทํานายอะไรถูกเลย

    ก็เพราะมันเป็นเรื่องมั่วน่ะซิครับ ท่านผู้ชม

    มั่วชนิด มั่วได้แบบสุดๆ

    เสียเวลาอ่านสักหน่อยแล้วจะได้ไม่เป็นเหยื่อ"ความโง่"อีกต่อไป...

    ก่อนจะเป็นรหัสไบเบิล
    ขออธิบายสรุปย่อๆ เสียก่อนนะครับว่า สิ่งที่ นายไมเคิล ดรอสนิน ผู้เขียน "The Bible Code" (ซึ่งบางคนก็เรียกว่าเป็น Torah Code ก็มี) อ้างก็คือ เขาสามารถค้นพบ "คำ" หรือ "วลี" ที่ซ่อนตัวอยู่ในไบเบิลฉบับภาษาฮีบรู (ที่เรียกว่า the Book of Genesis) ได้ คำหรือวลีเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงและทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ

    วิธีการค้นหาคำของนายดรอสนิน กล่าวโดยสรุปง่ายๆ ก็คือ ใส่ข้อความที่มีอยู่ในไบเบิลดังกล่าว เข้าไปในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบเป็นพิเศษ ให้สามารถจัดเรียงคำให้เป็นแถวในแบบเดียวกับที่เราเห็นกันใน "ปริศนาอักษรไขว้" นั่นเอง และเมื่อต้องการอ่านคำใด ก็ให้โปรแกรมคัดเลือกอ่านตัวอักษรที่ "ห่างเท่าๆ กัน" ในแนวต่างๆ (แนวนอน, แนวตั้ง และแนวทแยง) ซึ่งก็สามารถอ่านได้ทั้งแบบไปข้างหน้าและย้อนกลับหลังอีกด้วย

    ประเด็นสำคัญก็คือ นายดรอสนินอ้างว่า ด้วยวิธีการดังกล่าว เขาสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นกรณี 9-11, ฮิตเลอร์, ดาวหางชนดาวพฤหัสบดี, สงครามอ่าวเปอร์เซีย ฯลฯ แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ เขาอ้างว่า เขาพบข้อความเกี่ยวกับการลอบสังหาร นายยิตซ์ฮัก ราบิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง และยังได้พยายามแจ้งเตือนนายกฯ ราบิน อีกต่างหาก

    ฟังดูมหัศจรรย์พันลึกนะครับ คราวนี้มาดูหลักฐานที่จะมาหักล้างกัน และเป็นหลักฐานที่จะชี้ชัดว่าทำไมเรื่องของ "The Bible Code" จึงไม่มีคุณค่าควรแก่การเชื่อถือใดๆ

    ปัญหาเรื่องตัวอักษรภาษาฮีบรู

    ผู้เชี่ยวชาญภาษาฮีบรูหลายท่าน ระบุตรงกันว่า ปัญหาแรกสุดของ The Bible Code อยู่ที่ความน่าเชื่อถือของภาษาฮีบรูที่ใช้ เนื่องจากภาษาดังกล่าวมีความยืดหยุ่นสูง (พูดง่ายๆ คือ "ดิ้นได้" มากนั่นเอง)

    ลองดูตัวอย่างรูปสุเหร่ายิวของแร็บไบอะบูลาเฟีย ในเมืองไทเบอริแอส [รูป abulafia_spell] จะเห็นว่า มีการเขียนชื่อของท่าน "อะบูลาเฟีย" แตกต่างกันถึง 4 แบบ [รูป abulafia_1]... ซึ่งก็ถูกต้องทั้ง 4 แบบ !

    ======================

    แต่ที่พิลึกไปกว่านั้นก็คือ ตัวสะกดที่นำมาใช้ในงานของทีม ดร.อีไลยาฮู ริปส์ (ที่นายดรอสนินอ้างว่าเชื่อถือได้ และใช้วิธีการของกลุ่มดังกล่าวในการ "ถอดรหัสไบเบิล" ของเขา) กลับไม่ใช่ทั้ง 4 แบบ แต่กลับเป็นแบบที่ 5 ไปเสียอีก [รูป abulafia_2]

    กลเม็ดลูกเล่นแบบนี้เองที่อาจจะมีส่วนในการช่วยให้คำใน The Bible Code ดูลงตัว และศักดิ์สิทธิ์รวมไปถึงพ้องกับเหตุการณ์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น

    ความน่าเชื่อถือของวิธีการที่ใช้

    วิธีการที่นายดรอสนินใช้ในการถอดรหัสไบเบิลนั้น อ้างอิงจากผลงานที่ทีมนักวิจัย ซึ่งประกอบด้วย โดรอน วิตซ์ทัม, อีไลยาฮู ริปส์ และโยแอฟ โรเซนเบิร์ก ซึ่งจะขอเรียกเพื่ออ้างอิงต่อไปในที่นี้ว่า เป็นงานของ WRR (ตามอักษรย่อนามสกุลของทั้งสามคน) ผลงานดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Statistical Science (vol. 9, pp. 429-438) ปี 1994 ผลงานดังกล่าวใช้ชื่อเรื่องว่า Equidistant Letter Sequences in the Book of Genesis

    ตัววารสารดังกล่าวเองถือได้ว่า เป็นวารสารที่ค่อนข้างจะเชื่อถือได้ในแวดวงวิทยาศาสตร์สถิติ แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่ใช่ว่างานทุกชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าวจะ "ถูกต้อง" เสมอไปแต่อย่างใด และอันที่จริงแล้ว ผลงานของ WRR ดังกล่าวค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อยทีเดียว (ดังจะได้เห็นต่อไป)

    ที่กล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่า ในปี 1998 ก็มีผลงานชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Chance ของสมาคมสถิติอเมริกัน (ชื่อเรื่องคือ The Torah Codes: Puzzle and Solution) โดยหัวหน้าทีมนักวิจัยเจ้าของผลงานก็คือ เบรดัน แมกเคย์ ศาสตราจารย์ด้าน Computer Science แห่ง Australian National University ประเทศออสเตรเลีย งานชิ้นดังกล่าว เสนอหลักฐานทางสถิติซึ่งมีจุดที่น่าสนใจก็คือ ทีมดังกล่าวพิสูจน์ว่าวิธีการที่ทีม WRR ใช้นั้น ไม่มีความน่าเชื่อถือทางสถิติแต่อย่างใด แม้แต่เมื่อเปลี่ยนจากไบเบิลมาเป็นหนังสือ "สงครามและสันติภาพ" ของ ตอลสตอย (ในฉบับภาษาฮีบรู) ก็ยังได้ผลในลักษณะที่คล้ายกันอยู่นั่นเอง... หากเลือกค่าบางอย่างในกระบวนการถอดรหัสดังกล่าวให้เหมาะสม

    แต่ข้อสรุปอีกอันหนึ่งของทีมดังกล่าว กลับยิ่งน่าตกใจมากขึ้นไปอีก ก็คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากงานของ WRR ในปี 1994 (ที่นำมาสู่หนังสือ The Bible Code ในที่สุด) มีลักษณะของการแต่งข้อมูล และน่าจะเกิดจากความจงใจของผู้ทำการทดลอง ไม่ได้เกิดมาจากความน่าจะเป็นทางสถิติ หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ของไบเบิลแต่อย่างใด ที่ผมบอกว่าน่าตกใจเพราะในทางวิทยาศาสตร์แล้ว การจงใจสร้างหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือผลการทดลองถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ยอมความกันไม่ได้นะครับ เรียกว่า ใครเผลอไปทำเข้าแล้วถูกจับได้นี่ จะถึงกับหมดอนาคตกันเลยทีเดียว

    ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ออกมาคัดง้างกับงานของ WRR ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Statistical Science (ใช่แล้วครับ วารสารเดียวกันกับที่ตีพิมพ์งานของ WRR นั่นแหละครับ) ฉบับเดือนพฤศจิกายน 1999 (ชื่อเรื่องก็คือ Solving the Bible Code Puzzles) ผลงานชิ้นนี้เป็นฝีมือของทีมที่มี ศาสตราจารย์กิล คาไล แห่ง The Hebrew University ประเทศอิสราเอล เป็นหัวหน้า ซึ่งก็ได้ข้อสรุปที่คล้ายกันกับงานของกลุ่มของศาสตราจารย์แมกเคย์ ในปี 1998 ว่า งานของ WRR นั้น เป็นเพียงผลที่เกิดจากการเลือก และการเก็บค่าบางอย่างในการทดลอง "อย่างจงใจให้มันเป็นเช่นนั้น"

    ใน Statistical Science ฉบับเดือนพฤษภาคม 1999 ดังกล่าว ยังได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการอธิบายเหตุผลว่า การตีพิมพ์งานของ WRR ในปี 1994 นั้น ไม่ได้เป็นการจงใจพิสูจน์ "ความเชื่อถือได้" ของงานดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะไม่มีกรรมการผู้กลั่นกรองบทความ (หรือ reviewer) ของวารสารท่านใดเลยที่คล้อยตามข้อความในบทความดังกล่าว ตรงกันข้าม ต่างรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุได้ชัดเจนก็ตาม (ในเวลาอันจำกัดตอนนั้น) กรรมการส่วนใหญ่คาดว่า มีบางส่วนในกระบวนการทดลองที่ไม่ถูกต้อง)

    แม้กระนั้น ทางบรรณาธิการก็ยังตัดสินใจตีพิมพ์งานดังกล่าว ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อเป็นการเสนอ "ปริศนาที่ท้าทาย (challenging puzzle)" ต่อผู้อ่าน มากกว่าจะเป็นการรับประกันความถูกต้องของชิ้นงาน

    เป็นยังไงบ้างครับ ... เริ่มได้กลิ่นทะ***ๆ ของ The Bible Code มากขึ้นหรือยังครับ

    หากหลักฐานเพียงเท่านี้ ยังไม่พอที่จะทำให้คุณเชื่อว่า The Bible Code เป็นเรื่องหลอกลวงเชื่อถือไม่ได้ ก็ลองเข้าไปดูที่ http://math.caltech.edu/code/petition.htm1 อันเป็นเว็บเพจ ที่เหล่านักคณิตศาสตร์ทั่วโลกมากกว่าครึ่งร้อย เข้ามาร่วมกันลงชื่อ (และที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ เพื่อพร้อมใจประกาศว่า The Bible Code เป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้

    ข้อสรุปส่วนหนึ่งในเว็บเพจดังกล่าว ที่ควรจะได้นำมากล่าวถึงไว้ในที่นี้ ก็คือ "...การทดลองดังกล่าวมีปัญหาสำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับวิธีการที่ใช้ และการตีความข้อสรุป ..." และ

    "...ข้ออ้างทั้งมวลเกี่ยวกับความน่าจะเป็นอันน่าอัศจรรย์ สำหรับการเกิดคำต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องไม่จริง เนื่องจากการคำนวณของพวกเขาขัดแย้งกับกฎมาตรฐานทางด้านความน่าจะเป็นและสถิติ"

    ความขัดแย้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

    ความไม่น่าเชื่อถือของรหัสไบเบิลที่ได้ ยังแสดงออกอีกแบบหนึ่งในรูปของ "รหัสลบ" (Negative Code) อีกด้วย

    "รหัสลบ" ที่ว่า ก็คือรหัสที่มีข้อความเป็นลบ มีนัยยะเป็นลบ หรือ ลบหลู่ต่อพระเจ้า ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งไม่ควรจะปรากฏมีอยู่ในไบเบิล ... หากว่าพระเจ้าเป็นผู้ใส่รหัสเหล่านั้นไว้ในไบเบิลจริง ตัวอย่างข้อความที่พบแล้ว เช่น (ขออนุญาตไม่แปลครับ)

    There is no God (พบทั้งหมด 5 แห่ง)

    Jehovah is a liar (พบทั้งหมด 8 แห่ง)

    There is no Jehova (พบทั้งหมดหลายสิบแห่ง)

    Jehovah is dead (พบทั้งหมดมากกว่าร้อยแห่ง)

    ที่ยกมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างนะครับ อันที่จริงมีผู้พบมากกว่านี้อีกมากครับ นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อความที่ขัดแย้งกันเอง ปรากฏอยู่ตลอดไบเบิลทั้งเล่ม เช่น มีทั้งข้อความ There is a God และ There is no God เป็นต้น นอกจากคำว่า God แล้วก็ยังมีคำอื่นๆ อีกที่ปรากฏในลักษณะเดียวกันอีก ไม่ว่าจะเป็น Heaven, Spirit, soul ฯลฯ เป็นต้น

    ขอย้ำตรงนี้อีกครั้งนะครับว่า บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ต่อความเชื่อทางศาสนา แต่เรากำลังวิเคราะห์ว่า เหตุใด The Bible Code จึงเป็นเรื่องหลอกลวงที่เชื่อไม่ได้

    คำท้าทายและข้อพิสูจน์

    เขียนมาถึงตรงนี้ ก็ยังอาจจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเชื่อฝ่ายใดดี ก็เลยจะขอยกตัวอย่างชนิด "หนามยอกเอาหนามบ่ง" มาให้เห็นกันดีกว่านะครับ

    นายดรอสนิน ผู้เขียนเรื่อง The Bible Code เคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวนิตยสาร Newsweek (June 9, 1997) ไว้ว่า "หากผู้ที่วิจารณ์งานของผม สามารถหาพบข้อความ เกี่ยวกับการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี ซ่อนอยู่ในหนังสือ โมบี้ ดิกค์ ผมก็จะเชื่อเขา"

    แน่นอนครับ เล่นท้าทายกันแบบนี้ ก็ต้องมีคนคิดลองดีกันบ้างล่ะครับ แล้วในที่สุด นายดรอสนินแกก็เจอดีเข้าจนได้ครับ เพราะ ศ. แมกเคย์ (เจ้าเก่า) แกรับคำท้า แล้วลองไปค้นหารหัสลับในหนังสือโมบี้ ดิกค์ ผลที่ได้น่ะหรือครับ นายดรอสนินคงแทบอาเจียนเป็นเลือดถ้ารู้เข้า เพราะ ศ. แมกเคย์ ท่านไม่ได้เจอกรณีการลอบสังหารแค่เพียงหนึ่งเท่านั้น แต่พบทั้งหมดถึง 9 กรณีด้วยกัน !

    ใน 9 กรณีดังกล่าว รวมเอาการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี แห่งอินเดีย ในวันที่ 31 ตุลาคม 1884 [รูป gandhi] การลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์น ในวันที่ 14 เมษายน 1865 [รูป lincoln1] และการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ในปี 1963 [kennedy1, kennedy2, kennedy3] เข้าไว้ด้วย

    แต่ที่เด็ดขาดที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า หนึ่งในกรณีลอบสังหารที่พบก็คือ กรณีการลอบสังหารนายกรัฐมนตรียิตซ์ฮัก ราบิน ของอิสราเอล ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1995 [รูป rabin] ซึ่งเป็นกรณีที่นายดรอสนินยกมาหากินตลอดเวลานั่นเอง

    อย่างนี้สำนวนภาษากำลังภายในจีน เขาเรียกกันว่าเป็นการ "ยืมดาบสนองคืนผู้ใช้" โดยแท้นะครับ

    แต่ยังครับ ยังไม่หมดเท่านั้น... นอกจากจะพบว่าโมบี้ ดิกค์ ทำนายการลอบสังหารผู้นำไว้ถึง 9 กรณีแล้ว ศ.แมกเคย์ ยังพบการทำนายกรณีของ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" (ซึ่งรวมทั้ง กรณีวินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์) ในนั้นอีกด้วย [รูป osama]

    ยังมีอีกครับ กรณีของเจ้าหญิงไดอาน่า ก็อยู่ในหนังสือเล่มดังกล่าวด้วย [รูป diana]

    และที่ผมเห็นว่าเป็นที่สุดของที่สุดก็ได้แก่ การที่ ศ.แมกเคย์ แกพบว่ามีการทำนายเรื่องลอบสังหารตัวนายดรอสนินเองอีกด้วย (ฮา) [รูป drosnin1]

    ก่อนจบขอแถมอีกสักหน่อย สำหรับหนังสือของนายดรอสนินก็แล้วกันนะครับ ดร.เดฟ โธมัส ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ และเป็นบรรณาธิการที่ปรึกษาของนิตยสาร Skeptical Inquirer ได้ลองใช้วิธีการของนายดรอสนินเอง ถอดรหัสตัวอย่างหนังสือ The Bible Code II ที่ไปดาวน์โหลดมาจาก Amazon.com (เดาว่าแกคงเสียดายเงิน คิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะซื้อมังครับ - ฮา) ที่มีข้อความรวม 1,617 คำ หรือ 6,966 ตัวอักษรเท่านั้น

    ปรากฏว่า ข้อความสุดอะเมซิ่งที่ ดร.โธมัส พบก็คือ [รูป drosnin2b]

    "The Bible Code is a silly, dumb, fake, false, evil, nasty, dismal fraud and snake-oil hoax"

    ขอความสุข สวัสดีจงมีแด่บรรดา "เหยื่อ" ที่ถูกอำทั้งมวลครับ ว่าแต่... วันนี้ คุณเลิกเชื่อใครง่ายๆ หรือยังครับ ?

    ======================

    สำหรับท่านที่สนใจจะอ่านผลงานตีพิมพ์ทั้ง 3 เรื่องที่อ้างถึงในบทความ สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ URL ดังนี้ งานของ WRR และ งานของทีม ศ.แมกเคย์ : http://cs.anu.edu.au/~bdm/dilugim/torah.htm1 งานของทีม ศ. คาไล: http://cs.anu.edu.au/~bdm/dilugim/StatSci/
     
  16. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    ผมแค่อยากให้คนไทยเลิกงมงายอะไรที่มันไม่จริงซะที
    อะไรที่เขาพิสูจน์มาแล้ว ความจริงย่อมกระจ่าง
    พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสเรื่องกาลามสูตรขึ้นมา
    ไม่ให้เชื่อ แม้เขาจะเป็นครูของเรา ฯลฯ

    อย่างเรื่องเจลลดไข้ไงครับ
    อ.เทพนม ถึงกับบอกว่า จะส่งไปให้อเมริกาตรวจ
    ส่งไปเถอะครับท่าน
    [​IMG]


    รูปการทดลอง โดย ริน-otto

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    มีคนเสียเวลานั่งรอวันสิ้นโลกมา 2000 ปีแล้ว
    ถ้าใครอยากรอต่อก็รอต่อไป..
    ผมไม่ได้ขัดแย้งอะไรนะครับ
     
  17. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    สรุปว่าผมเชื่อพระพุทธเจ้าที่สุด ครับ
    พุทธศาสนา อายุ ถึงพ.ศ.5000

    ข้อมูลจาก อรรถกถา
    อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

    ก็คำว่า <!--emo&:103:--><!--endemo-->วสฺสสหสฺสํ นี้
    ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น

    แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น
    พ.ศ. 1000 - พ.ศ.2000 มากไปด้วยพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก
    พ.ศ.2000-3000 มากไปด้วยพระอนาคามี
    พ.ศ.3000-4000 มากไปด้วยพระสกทาคามี
    พ.ศ.4000- 5000 มากไปด้วยพระโสดาบัน

    ปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้ 5000 ปี โดยอาการดังกล่าวมานี้
    แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ 5000 ปีนั้นเหมือนกัน.

    (พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย
    สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 554-ฉบับมหามงกุฏ)

    ส่วนใครจะมาอ้างเรื่องพุทธทํานายภัยกึ่งพุทธกาล อย่ามาอ้างให้เปลืองเวลาเลยครับ ของปลอมทั้งนั้น
    เรื่องภัยพิบัติ ตลอดเวลาที่ผ่านมา 10,000ปี อารยธรรมสูญสลายและเกิดใหม่ไม่รู้กี่ครั้งแล้วครับ สําหรับผมไม่กลัวเพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาโลก


    ถาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2007
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    โลกไม่แตกครับ แต่มีการเกิดภัยพิบัติครั้งรุนแรงตะหาก ผมว่าหลายๆท่านที่โพสต์ ต่างก็ไม่มีใครระบุว่าโลกจะแตกสลายกันในเวลาอันใกล้นี้เลย

    สิ่งที่หลายๆคน ช่วยกันเตือนผู้อื่น ด้วยความหวังดี หลายๆครั้ง ก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ตนเองถูกหัวเราะเยาะ หรือแม้แต่ ถูกฆ่าตายในข้อหาว่าเป็นแม่มดหมอผี โดยที่ความจริงผู้ทำร้ายนั้นเป็นผู้ที่หวาดกลัวในสิ่งที่ผู้ที่เตือนบอกต่างหาก

    ถ้าอ้างเนื้อหาในคัมภีร์ ไบเบิ้ล แล้ว มีการกล่าวถึง บุคคลท่านหนึ่งที่ชื่อว่า โนอาห์ เขาเชื่อในเรื่องที่รู้เกี่ยวกับภัยพิบัติที่จะมีน้ำท่วมโลก หลายๆคนหัวเราะเยาะเขาว่าบ้า ประสาทเสีย ทำอะไรไร้สาระ

    คงเหลือแต่ ญาติพี่น้องของเขา และคนที่เชื่อ ช่วยกันเตรียมตัว เตรียมการ ต่อเรือขนาดใหญ่ จุสัตว์ทุกชนิดอย่างละคู่ อาหารและน้ำ

    เมื่อถึงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ ผู้คนที่หัวเราะเยาะเขา จมน้ำตายจนหมดสิ้น
    ส่วนโนอาห์และพรรคพวกก็รอดพ้นจากภัยพิบัติ ช่วยกันก่อร่าง อารยะธรรมต่อๆมา

    พวกเราในเวบนี้หลายๆคนก็เช่นกันครับ อาจมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อในเรื่องนี้ ขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล เราควรจะต้องเคารพ ในความคิดเห็นของทุกๆท่าน

    หลายท่านพยายามให้ข้อมูลในหลากหลายแง่มุม จากที่ต่างๆ ทั้งในส่วนภาคที่เป็นคำทำนาย จิตทัศน์จากญาณทัศนะ ของครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระบ้าง จากฆราวาสบ้าง และทั้งในประเทศไทยเอง และจาก ต่างประเทศ

    ในอีกส่วนหนึ่ง พวกเราช่วยกันเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ภูมิอากาศ ธรณีวิทยา สิ่งแวดล้อม ที่บ่งชี้ถึงอันตรายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นถี่ขึ้น และรุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ

    สำหรับเรื่องการเกิดมหาสงครามนิวเคลียร์นั้น มีครูบาอาจารย์ของหลายๆท่านในเวบนี้ได้กล่าวไว้นานหลายปีก่อนที่ท่านจะมรณะภาพ

    และในวันนี้เอง ศ.ดร. สตีเฟนน์ ฮอลกิ้น ที่วงการนักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีไอคิวสูงที่สุดในโลกขณะนี้ ได้ออกมากล่าวเตือนถึงการเกิดสงครามนิวเคลียร์ว่ากำลังจะเกิดขึ้น รวมทั้งกล่าวถึงเรื่องของนาฬิกาอะตอมด้วย

    ดังนั้นเรื่องเหล่านี้เราไม่อาจจะบังคับใครให้เชื่อหรือไม่เชื่อได้ครับ

    แต่พวกเราหลายคน รู้สึกได้ด้วยตัวเองครับว่า เป็นหน้าที่ที่ตนเองต้องทำเพื่อ
    -ช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์
    -รักษาความเป็นชาติไทย และสถาบันกษัตริย์
    -รักษาพระพุทธศาสนาให้ครบห้าพันปี
    -สืบทอดอารยธรรมและสังคมคุณธรรม
    -เล่าความผิดพลาดของบรรพบุรุษที่ได้กระทำย่ำยีกับโลกไว้ อย่างไร้จิตสำนึก

    ดังนั้น พวกเราก็ยังคงทำสิ่งที่เราควรทำต่อไป อาจมีอุปสรรคบ้างแต่ในไม่ช้า ทุกคนจะเห็นในประโยชน์ที่เราทำ

    ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือสิ่งที่พวกเราทุกคนเสียสละทุน เวลา สติปัญญา ความสามารถ เพื่อส่วนรวมนั้น หากไม่เกิดภัยพิบัติขึ้นจริง สิ่งที่เราได้ทำลงไป ก็จะกลายเป็น
    งานที่ส่งเสริม ระบบเศรษฐกิจพอเพียง
    วิถีการพึ่งพาตนเอง
    สังคมคุณธรรม
    ชุมชนแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
    โครงการเผยแพร่ธรรมมะสู่สังคม
    และโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชน ครับ

    ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เราทำ หากไม่เกิดภัยพิบัติ(ซึ่งทุกคนก็ล้วนไม่อยากให้เกิด) ทุกสิ่งที่พวกเราได้ทำงานลงไป จะไม่สูญเปล่าอย่างเด็ดขาด แต่จะกลับเป็นการช่วยบรรเทาพระราชกรณีกิจของในหลวงท่านให้ เจริญก้าวหน้าขึ้นไปด้วย

    แต่หากภัยพิบัติเกิดขึ้นจริง งานที่พวกเราได้ช่วยกันก็จะกลับมาช่วยชีวิตผู้คนได้อีกเป็นจำนวนมากครับ

    คำทำนายคือคำเตือนครับ ฟัง ใช้สติ ไตร่ตรอง หาข้อมูล แล้วค่อยเชื่อ

    ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบเชื่อก็ได้ครับ

    รอให้มันเกิดขึ้นก่อน

    แต่..............ว่าเมื่อถึงเวลานั้นมันก็อาจจะสายไปแล้วครับ

    ขอให้โชคดี
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตคุณZipper มาแปะหน่อยครับ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    [​IMG] นักวิทยาศาสตร์หมุนเข็มนาฬิกา"วันโลกาวินาศ"ให้ใกล้เที่ยงคืนมากขึ้น
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->คณะผู้อำนวยการของนิตยสารชื่อ "เดอะ บุลเลอติน ออฟ ดิ อตอมมิค ไซแอนทิสต์" (the Bulletin of the Atomic Scientists ) ซึ่งเป็นผู้กำหนดเวลาบนนาฬิกา "วันโลกาวินาศ" หรือ "เดอะ ดูมสเดย์ คล็อค" (The Doomsday Clock ) ออกมาเตือนวานนี้ ถึงภัยคุกคามต่อมนุษยชาติทั้งจากอาวุธนิวเคลียร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ที่ปัจจุบันมีอันตรายพอๆ กัน ขณะที่ได้เลื่อนเข็มบอกเวลาของนาฬิกาเพิ่มอีก 2 นาที ให้อยู่ที่อีก 5 นาทีจะเที่ยงคืน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ว่า มนุษยชาติใกล้จะถึงกาลล่มสลายมากเพียงใด ท่ามกลางความวิตกเรื่องการชะงักงันของความพยายามแก้ปัญหานิวเคลียร์อิหร่านและเกาหลีเหนือ รวมทั้งคำเตือนเรื่องอันตรายจากปัญหาโลกร้อน

    การเลื่อนเข็มนาฬิกามาจากการตัดสินใจร่วมกันของคณะกรรมการบริหารนิตยสาร ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย กับบรรดาสปอนเซอร์ รวมทั้งเจ้าของรางวัลโนเบล 18 คน และนับเป็นครั้งแรกที่นิตยสารฉบับนี้ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2488 เพื่อแจกจ่ายในหมู่นักฟิสิกส์ที่วิตกเรื่องสงครามนิวเคลียร์ ระบุชัดเจนถึงภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก

    ทั้งนี้ เข็มของนาฬิกาเคยอยู่ใกล้เที่ยงคืนมากที่สุด คือห่างเพียง 2 นาทีเมื่อปี 2496 หลังสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการทดลองระเบิดไฮโดรเจน และเข็มนาฬิกาเคยอยู่ไกลเที่ยงคืนมากที่สุด คือ 17 นาที เมื่อปี 2534 หลังการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียด

    ที่มา http://203.154.97.19/citizen_report/...?newsid=237303
    <!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...