ปรามาสในใจห้ามเท่าไหรก็ห้ามไม่อยู่ ใครเคยเป็นบ้างครับ-*-

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย czbz, 28 มีนาคม 2011.

  1. nopnaja

    nopnaja สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +16
    อือ...มีเป็นหลายคนเหมือนกันนะนึกว่าเราเป็นอยู่คนเดียว...พอคิดก็รีบเปลี่ยนเรื่องเลย...ทำทุกครั้งที่คิดแต่จะไม่ไห้คิดไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงแต่ก็ไม่บ่อยมากเป็นบางครั้ง...
     
  2. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    ถ้าเมธาวีคิด เมธาวีอธิษฐานเลยจิตดวงใดที่คิดลบหลู่........( แล้วแต่จะว่าไป) ขอจงอย่าเกิดอย่ามีกับข้าพเจ้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
     
  3. czbz

    czbz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +7
    ไอหย่า ผมบอกว่า ผมจะตกนรกหมกไหม้ ไหมนี่ น่าจะเข้าใจนะครับ เหอๆๆ อืมแต่ผมก็เคยอ่านๆ มานะครับที่เขาว่า บังคับให้เราคิดได้
    แต่เราจะไม่พูดหรือทำ เป็นอันขาด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2011
  4. Cutie Kung

    Cutie Kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +1,283
    เป็นเหมือนกันค่ะ ทำไงดี เครียดมาก
    บางทีรู้สึกผิด แล้วจิตก็เศร้าหมองอีกด้วยอ่ะค่ะ
     
  5. Sonaz

    Sonaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    761
    ค่าพลัง:
    +348
    ผมคร๊าบ เมื่อ วานนี้เลยสดๆ ล่าสุด ผมอาบน้ำ คิดอะไรเพลินๆ แล้ว มาคิดเืรื่อง ธรรม สักพัก เผลอไป คิดปรามาสพระอรหันต์ อ้าวเห้ยๆๆ ผมคิดในใจ ผมทำอะไรไปวะ คิดไปได้ไง หยุดๆ หยุดเดี๋ยวนี้ ผมก็ หยุดคิด แล้วก็จะวก กลับไปอย่างเดียวเลย ผมเลย ไปคิดเรื่องอื่น แล้วผม ก็ ตั้งจิต ขอขมา พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า ขอรับ ที่กระผม คิดปรามาส ท่าน รู้สึกเสียใจนะขอรับ แต่กระผม ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจจิงๆ อยู่ดีๆ คิดได้ไงผมยังไม่รู้เลย แล้วพอ ห้ามไม่ให้่คิด มันยังรั้นจะคิดต่ออีก พูดแล้ว ตอนนี้ยังเสียใจไม่หายเลยนะขอรับ

    บาปกร๊รม บาป กรรม
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สังเกตไหม เวลาอาบน้ำ เราจะเพลินกับ กายเนื้อ

    การที่เรา ต้องดูแลรักษากายเนื้อให้สะอาด ประธินด้วยของหอม มันจะทำให้
    จิต ลืมทำสมถะ ไปชั่วขณะ แล้วแกว่งกระโดดไปฝั่ง กามสุข ตามวาสนา
    ซึ่งจะต้องดูแล วาสนาที่ได้มา(กายมะนุด)นี้ทุกวัน ด้วยอารยธรรม ประเพณี

    จังหวะที่อาบน้ำ จิตของนักภาวนาที่คุ้นสมาธิแล้ว แต่ด้วยความที่ต้องดูแลกาย
    ตามวาสนา ทำให้เกิดการ ครองสมาธิแบบหลวมๆ สลับกับการ หายไปเลย
    ของการภาวนา

    จังหวะนี้เอง ที่นักภาวนาจะได้ พิจารณากายเข้ามา ในขณะที่มีกำลังสมาธิแบบ
    สบายๆ(ธรรมชาติ)

    เมื่อสมถะสมาธิไม่ให้ผล(เจโตวิมุตติกำเริบ--หายไป)* และ กามสุข(การดูแลกายให้สะอาด
    อย่างพอใจ)ไม่ให้ผล(ปัญญาวิมุตติ--หายไป)* เมื่อนั้น กรรมชนิดอื่นจะให้ผลต่อจิตที่ไม่ใช่
    ของๆเรา แทน

    จะเห็นว่า "กรรมหนัก"(ฝ่ายกุศลคือทำสมาธิ ทำฌาณ) สมาธิไม่ได้ครองอยู่
    ก็คือสมาธิจิตไม่ให้ผล "กรรมที่ทำให้ตาย" ก็จะเป็นผู้ให้ผล

    ที่นี้ขณะอาบน้ำ "กรรมที่ทำให้ตาย" ยังไม่ให้ผลในเวลานั้น "อจิณกรรม" ก็จะ
    ให้ผล ซึ่งก็คือ เพลินกับการอาบน้ำต่อไป

    แต่เพราะ เห็นความเพลินในการอาบน้ำ และจิตก็หมดกำลังสมาธิ นั่นคือ อจิณกรรม
    ไม่เกิดการให้ผลด้วย สุดท้าย......

    กตัตตากรรม ก็ออกมาให้ผล นั่นคือ จิตแล่นไปสู่ กรรมที่ไม่เจตนา(จริงมีเจตนา แต่
    เป็นเพราะ เจตนาในกาลก่อนๆ ทั้งที่ใกล้และไกลโพ้น)

    ดังนั้น จิตปรามาส ก็ออกมาโลดแล่นในฐานะ กตัตตากรรม

    นักภาวนา ที่ภาวนามาถึงจุดนี้ แทนที่จะ ฟังธรรม อันเป็น วาระกรรม ที่เห็น
    ได้ยาก แล้วเอาธรรมปฏิบัติเป็นที่พึ่ง (พิจารณา ปัจจุบันจิตขณะนั้นไปเลย) ก็
    ดันไปคว้าเอามาเป็น ตน กลายเป็นเห็นว่า ตนมีเจตนาโดยไม่ได้เจตนา เกิด
    การแว่งยิ่งกว่า กามตัณหา(ภวตัณหา - อาบน้ำชำระกาย) คือ แกว่งไปสู่
    วิภวตัณหา(ความไม่พอใจใน กรรมเก่าๆที่เบาๆ)

    ทั้งนี้เพราะ ความยึดมั่นถือมั่น ในสมาธิ และ ทนไม่ได้ที่ สมาธิที่ตนหวงแหน
    ไม่ปรากฏ ซึ่งผลก็คือ วิ่งวุ่นสร้างภพ(การงาน)ให้กับจิต ไปสู่ลัทธิพระเจ้าบันดาล
    เลยนั่งขอขมากรรม เป็นวรรคเป็นเวร

    จริงๆ ในแง่ของ กรรมที่ทำต่อผู้มีคุณ โดยเฉพาะพระอรหันต์ จะให้ผลอยู่ก็ต่อ
    เมื่อ "ผู้มีคุณ หรือ พระอรหันต์" ไม่อดโทษให้

    ตรงจุดๆนี้ สาธุชนผู้มีมานะมาก จะลืมไปว่า พระอรหันต์ ท่านไม่ถือโทษกับใคร

    ดังนั้น หากพระอรหันต์ท่านไม่นึกในใจที่จะกำหนดโทษ โทษ ไม่เกิดตั้งแต่ต้น

    เราจึงเป็น ฝ่ายกระทำกรรมฝ่ายเดียว และ แน่นอนผลย่อมมีอยู่บ้าง แต่หาก
    พระอรหันต์ไม่กำหนดโทษขึ้นมาในใจแล้ว ผลร้ายแรงที่จะเกิดจะไม่มี จะมีก็
    เพียงเศษกรรม(ส่วนใหญ่ทำให้ คนๆนั้น ไม่ได้รับการเคารพ ไม่ได้รับศรัทธา)
    เท่านั้น

    ด้วยความไม่เข้าใจ ไปคิดแทนพระอรหันต์ คิดว่า ท่านจะลงโทษ ไปลังเล
    ว่า ท่านจะไม่บริสุทธิ ทำให้ ผู้ภาวนาเผลอสร้างมานะสังโยชน์มาร้อยรัดตน
    เองไปสู่การ ทำรูปฌาณบ้าง อรูปฌาณบ้าง แทนที่จะพิจารณา ถึงลำดับ
    การให้ผลของกรรม(ครุกรรม อาสัณกรรม อจิณกรรม กตัตตากรรม)ด้วย
    ความเข้าใจในธรรม มีธรรมเป็นที่พึ่ง

    ผลิกไปเป็น การมีพระเจ้า(พระพรหม ผู้ลิขิต ผู้ให้อภัย)

    หากท่านมีสติปัญญาสว่างไสวพอ ไม่ยึดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ไม่โอนตัวเองออก
    ไปสู่การเป็นคนนอกศาสนาชั่วครั้งชั่วคราว ไปสู่ศาสนาพระเจ้าดลบันดาล
    รอการให้อภัย ณ วันตัดสินใดๆ (ขอขมาไปโดยที่ก็ไม่รู้วันตัดสิน เท่ากับ
    โอนกรรมสิทธิในชีวิตให้แก่ ผู้ดลบันดาล )

    ก็เล็งเห็นไปเลยว่า

    จะอาบน้ำ ก็เกิดจาก อาจิณกรรม ให้ผล
    ระหว่างนั้น จิตไปทำสมาธิบ้าง นั่นคือ คุรุกรรม ให้ผล
    ระหว่างนั้น จับพัดจับพลู เกิดอุบัติวัติเหตุเพศภัย อาสัณกรรม ให้ผล

    เมื่อไม่มีอะไรจะให้ผล กรรมเก่าๆ ที่เป็นเศษกรรมเบาบาง กตัตตากรรม ก็ออกมา ให้ผล

    จิตมันแปรผันไปตาม สิ่งที่เรียกว่า กรรม กฏแห่งกรรมเขาอยุ่เหนือจิต*

    แต่เป็นเพราะ *จิตยังมีอวิชชา จึงน้อมไปรับกรรมต่างๆนานา เข้ามาให้ผล
    เข้ามาปฏิสนธิการณ์ เขามาชักนำให้ตกไปสู่ คลองของกรรม มีความเกิด
    ความตายเท่านั้นรอให้ผล

    ตัวคุณอยู่ตรงไหน มีเสียที่ไหน มีแต่ จิตที่ติดอวิชชา ที่ชักนำเราไป

    อย่ากลัวว่าจะไม่มีอะไรติดมือ อย่ามัวแต่หวงสิ่งทีเป็น กรรรที่รอให้ผล
    เป็นสิ่งวิเศษอยู่

    จงพิจารณาอริยสัจจ ทำนิพพานให้แจ้งเสีย กรรมหนัก กรรมเบาเหล่านั้น
    จะตามไปส่งผลให้กับผู้มี ธรรมเป็นที่พึ่ง ได้อย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2011
  7. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    สาูธุ สาธุ

    -มีแรง มากระทบ เนื่องจากมีตัวตน มีตัวตนก็มีการปรุงแต่ง ถ้าตัดการปรุงแต่ง ก็ลดตัวตนลง แรก ๆ มีกระทบ แล้วกระเทือน ต่อไปก็จะกระทบ ไม่กระเทือน เพราะตัวตนลดลง
    ถ้ามีแรงกระทำ ปกติจะออกแรงกระทำให้มากกว่าเพื่อเอาชนะ จึงเป็นการสร้างให้มีมากขึ้น แต่ถ้าเราลดลง แรงตรงข้ามก็จะลดลงตามลำดับ เพราะไม่มีการกระทบกับอะไร

    -การลดแรงกระทบมีหลาย วิธี เช่น
    1.ลดการปรุงแต่ง
    2.ขอขมาบ่อยๆ เพื่อให้จิตลดลง อ่อนลง เข้าสู่ธรรมชาิติในที่สุด
    3.ให้บ่อยๆ โดยทำแบบทำทิ้ง เช่น ทำบุญ ก็ทำทิ้ง อย่าทำเอา(ทำบุญไม่ต้องหวังผล) เมตตาก็เมตตาทิ้ง อย่าเมตตาเอาเส้น เอาพวก เอาสาย เมตตา ก็ได้ ไม่เมตตาก็ได้ ไม่ติดการจะต้องเมตตา
    4.ไม่ยึดติด เพราะทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ผ่านมา ผ่านไป เกิดมาใช้กรรม ดี-ไม่ดี
     
  8. devbara

    devbara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +5,400
    พี่ๆทั้งหลาย แล้วถ้าผมคิดปรามาส แล้ว ผมก็คิดว่าตัวเองว่า คิดอีกแล้วเหมือนพูดในใจแล้วก็พูดในใจว่าเกลียดจิตตัวเองเหลือเกิน พี่ว่าผม บ้าหรือเปล่า ขอบคุณพี่มาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2011
  9. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    สาูธุ สาธุ
    มี 2 ทาง สำหรับการแก้ปัญหาหลัก ๆ ต้องเลือกก่อนว่าจะเอาทางไหน
    1.สร้างจิตให้เข้มแข็งมากขึ้นไป (รวมจิต)
    2.สลายความเป็นจิต (คลายจิต)
     

แชร์หน้านี้

Loading...