รบกวนถามเรื่องการฝึกสติน่ะครับผม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แชมป์คุง, 1 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. -zen-

    -zen- สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2011
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +8
    นิ้วชี้กับดวงจันทร์
    เราไม่ได้เจตนาให้ท่านดูนิ้วมือเรา เราเจตนาให้ท่านเห็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า ถ้าท่านไม่มองพ้นไปจากนิ้วมือเรา ท่านย่อมไม่อาจแลเห็นดวงจันทร์ หากท่านถือนิ้วมือเราเป็นดวงจันทร์ ท่านย่อมหลงทาง ดังนั้น ท่านต้องใช้นิ้วมือของเราอย่างชาญฉลาด
    คำสอนหรือธรรมะก็มีลักษณะเฉกเช่นเดียวกัน

    ทำไมยิ่งศึกษามาก อัตตากลับยิ่งสูงกันจังเลย แทนที่จะลดอัตตา ลงกันบ้าง

    ไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังเถียงเรื่องอะไรกันอยู่ แค่อยากมีส่วนร่วมเฉยๆ ไม่ว่ากันนะ 0fbbf481.gif

    เจริญสติ สัมผัสรู้ --- พระไพศาล วิสาโล
    download


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มาดูตัวอย่าง คนสอนธรรมะ ที่สอนได้ผลดู


    จะเห็นนะว่า ใช้กรรมฐานที่ชื่อ "อานาปานสติ" แล้วคียเวิร์ดที่ไม่ทิ้งไปคือ
    "พิจารณา" ซึ่งต้อง "หัด" หัดพิจารณาลงที่ไหน ลงที่"ใจตน" คนบาง
    คนนะ พอได้ยินว่า เห้ยอยู่ดีๆ พิจารณาลงในใจตนเลยเหรอ มึงจะเอาสมาธิ
    มาแต่ไหน กายคตาอยู่ที่ไหน อยู่ดีๆพิจารณาใจ ลอยๆ ลอยๆ ขี้ลอยน้ำ
    ก็ว่า

    เนียะ อะไรแบบนี้นะ เรียกว่า พวก รู้มรรคแบบตาตื้น

    ก็เขาพูดอยู่ข้างหน้าว่า "ฝึกการหายใจ" ก็การหายใจนั้นแหละ "กาย"
    ฝึกการหายใจ ก็นั้นแหละ พิจารณากายตน กายคตาหละ

    ทำไมนักโทษ ฟรั่งมังค่า เกิดไกลกว่าเมืองไทย ห่างอินเดีย ห่างเขต
    สัมมาทิฏฐิตั้งเยอะ เขายังทำได้ และเห็นผลอันเป็นประโยชน์กับตนขึ้นมา
    ได้อย่างง่ายๆหละ

    ทำไมถึงง่าย ยังสงสัยกันอีกหรือ

    พระทั่วไปก็พูดเสมอนะว่า พระโพธิสัตว์ทุกยาก ต้องอบรมบ่มนิสัยกันมาอย่างยาว
    นาน ก็ท่านทำมาอย่างยาวนานจนเจอ สิ่งที่ง่ายที่สุด ที่ทุกคนเริ่มได้ทันที สามารถ
    ทำแล้วเห็นผลได้เร็ว ได้ทันที

    ขอย้ำนะว่า ในข่าวระบุว่า ฝึกแค่ 10 วัน!!! แค่นั้นเขาก็เล็งเห็นได้ว่าอะไรมีประโยชน์
     
  3. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    ขออนุญาติแทรกแสดงความคิดเห็นนิดหนึ่งค่ะ
    การทำสมถะ วิปัสนา เป็นสิ่งเอื้อประโยชน์ได้จริง เพราะส่วนมากจะใช้สมถะนำหน้าก่อน เพื่อให้จิตได้มีความสงบไม่ซัดส่ายออกนอก จิตจึงมีกำลังที่จะพิณาได้ เพียงแต่ส่วนหนึ่งที่ใช้สมถะมากเกินไปจึงไปติดอยู่ในสุข แต่การเจริญสมถะถือเป็นสิ่งที่ควรต้องมีในเบื้องต้น จนวิปัสนาได้
    เมื่อไรที่วิปัสนาได้อารมณ์แห่งสมถะจึงถือว่าเป็นเรื่องผ่านไป แต่ถ้าจิตไม่มีความสงบ จะยกวิปัสนาขึ้นมา มันจะเป็นวิปัสนึก นึกว่า กันทั้งวัน ถ้าผู้ที่ปฏิบัติได้ จะเห็นทางได้ ว่าประโยชน์ของสมถะเอื้อกับวิปัสนาอย่างไร และเมื่อมีกำลังวิปัสนาแล้วสมถะควรวางอย่างไร ขอให้ผู้ที่ปฏิบัติทำให้จริง ความถ่องแท้มันมี คำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เดิน ให้รู้แล้วนำไปปฏิบัติให้ได้ ท่านไม่ได้สอนให้แบกหอบไปเป็นเสื้อเกาะเพื่อที่จะให้กิเลสมันรู้
    และขออนุโมทนากับทุกท่านที่เอื้อเฟื้อ ในธรรม
     
  4. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ก็คิดซะว่าเป็นการสนทนาแลกเปลี่ยน

    สัญญาอารมณ์อะไรที่ครอบงำจิตใจเราอยู่
    อันเกิดจากกิเลสที่จรมา เพราะผลจากการสนทนา
    ก็พยายามชะ พยายามล้างออกจากใจ ให้ได้

    รู้ให้ชัดว่าสัญญาอารมณ์เหล่านี้
    ครอบงำจิตใจเรายังไงบ้าง

    เมื่อรู้ชัดก็วางเท่านั้นแหละ

    ยิ่งถ้ารู้จักผู้รู้แล้วล่ะก็
    ผู้รู้ก็จะเด่นดวงขึ้นมาในเวลานั้น
    ขณะนั้นนั่นเอง
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เรื่องง่ายๆ ที่เถียงกัน ผมขอฟันธงว่า เอกวีร์ พูดจาให้สุดโต่ง อยู่เป็นประจำ ยกตัวอย่างเช่น การทำสมาธิ เป็นของเดียรถีร์ แบบนี้เป็นต้น

    การทำสมาธิ จะทำอย่างไรก็ตามเป็นเรื่องดี แต่จะดีมากขึ้น คือ ให้สลัด สงบ วาง กิเลสตัณหาลงไป ก็ต้องอบรมไป อยู่ดีๆ จะให้สลัดขาดแบบ เอตัคคะสาวก ก็ไม่ได้ ทีนี้ ซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ จะไปทางไหน
    มันต้องค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสิ

    ทีนี้ จะเป็นสมาธิอย่างไรก็ตาม มันก็ต้องอบรมไป จะบริสุทธิ์ ทั้งหมด ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรบริสุทธิ์ไปทั้งหมด เว้นแต่พระอรหันต์

    วกมาที่ว่า ทำสมาธิ แบบ เดียรถีร์ ที่เอกวีร์ว่า นั้นดีหรือไม่ ตอบว่า ดีมาก เพราะว่า พวกฤาษี ชีไพร นั้น ทำสมาบัติมาได้ก่อน ครั้นมาฟังพระพุทธเจ้าสอน ไม่กี่คำ ก็บรรลุพระอรหันต์

    แล้วถามว่า คนทั่วๆไป ทำสมาธิแบบหลับตา ดีหรือไม่ ตอบว่า ดีสิ ใครมีโอกาสทำได้ ให้ทำ เพราะจะเป็นฐานให้ก้าวเดินต่อไป

    ถามว่า เป็นไปได้ไหม ที่ไม่ทำสมาธิ แล้ว ใช้ปัญญา อย่างเดียว สติอย่างเดียว เพื่อก้าวหน้า ตอบว่า เป็นไปได้ระดับหนึ่ง เพราะถึงอย่างไร จะก้าวหน้าต่อไปได้ ก็ต้องอาศัย สมาธินี้เป็นฐาน ให้ก้าวเดินต่อไปทางปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป

    คนที่แนะนำ ให้คนเจริญสติแต่อย่างเดียว โดยอ้างว่า สมาธิแบบหลับตานั้นไม่จำเป็น คือ คนที่ยังไม่มองให้รอบ ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น เพราะตนไม่ได้สังเกตุผลย้อนหลัง ในสายทางที่เดินมา จึงย้อนไประยะสั้นๆ ว่าเป็นเหตุ เช่นว่า เจริญสติเดี๋ยวเดียว ก็เห็นธรรม ไม่มองว่า กว่าเจริญสติได้ กว่าจะมีอินทรีย์กล้า ปัญญากล้า ที่จะดับนิวรณ์ ทะลุถึง ความดับไปของสรรพสิ่งนั้น จะต้องอาศัยกำลังสมาธิ สูง คนเลื่อนลอย ไม่อาจจะทำได้

    จึงสรุปว่า จะเป็นสมาธิ อย่างไร ให้ฝึกให้เป็น สติเจริญให้มาก ในอริยาบท ปัญญา คอยสอดส่อง หาธรรมะ จาก ฟังเขา กลายมาเป็น คิดเอง แล้ว รู้เอง ขยับไปตามฐานะ
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ว้าว สำนวนนี้แจ่มใสนะนี่ ค่อยดูเหมือน พี่เกสท์ คนเดิม ก่อนหน้า
    นู้นขึ้นมาหน่อย

    สะเทือนใจนะนี่ บทนี้สะเทือนใจมาก

    หากมีโพสไหน ผมพูดได้เหมือนอย่างนี้ อย่ามาว่ากันนะว่าผมขโมย

    ถ้าจะโทษ โทษนู้นเลย โทษขันธ์นู้น สัญญาขันธ์มันทะลึ่งของมัน
    อย่างนั้นหละ เวลามันสะเทือนแรงๆนี่ มันจะจำของมันได้ ทุกข์แท้ๆน๊อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มันก็จำต้องสุดโต่งหละครับ หากจะปรักปรำว่าสุดโต่ง

    ทำไมถึงต้องพูดส่วนสุดโต่ง เน้นมาทางที่ท่านลุงเห็นว่าสุดโต่ง

    ก็เพราะว่า เราต้องกล้าหาญ องอาจ ที่จะประกาศ ส่วนที่มีเฉพาะในพุทธศาสนา ให้มัน
    ชัดเจน ให้คนสดับได้สะเทือน ให้ฤาษีตาไฟย้อนเห็นไฟในตน

    หากคุณไปพบฤาษีตาไฟ เสกไฟได้ ไปพบพยานาคาเสกไฟได้ คุณลุงจะทำอย่างไร

    กราบพวกนั้นเหรอ ชมพวกนั้นเหรอ แน่ใจเหรอว่า จะไม่กล้าพอที่จะประกาศว่า

    "เห้ย ไอ้ที่ทำอยู่หนะ ยังไม่ใช่อรหันต์หรอก"

    สังเกตดีๆนะว่า เรื่องเจอฤาษีตาไฟนี้ เป็น พุทธกิจลำดับที่เท่าไหร่ ทำไมถึง
    เป็นพุทธกิจลำดับที่เท่านั้น

    หากยก พุทธกิจเรื่อง การกตัญญูต่อผู้มีอุปการะออกไปโดยลำดับ ทำไมกลุ่ม
    ฤาษีตาไฟ พยานาคาบูชาไฟ ถึงได้เป็นผู้ได้ยินเป็นกลุ่มที่.....ว่า

    "ที่ท่านผู้เจริญทำอยู่หนะ ยังไม่ใช่อรหันต์หรอก"

    ใครไม่รู้ ดูไม่ออก ก็คิดว่า นี่อัตตามากนะ ไปย่ำยีสำนักเขา

    คนที่มองออก ก็ดูออกว่า ก็เอาประโยชน์ไปให้ ให้กันตรงๆกันไปเลย

    ชื่นชมฤาษีเหล่านั้นไหม พระพุทธองค์เข้าไป ทำไมไม่กราบพวกฤาษีหละ

    ต้องดูให้ออกนะว่า จะชื่นชม กันอย่างไร แบบไหน ถึงจะถูกต้องเป็นประโยชน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถ้าเขามีคุณธรรม ก็ต้องกราบต้องไหว้ ส่วนเราจะไปทางใด ก็อีกเรื่องหนึ่ง
    ท่านเอกวีร์ ท่านต้องพิจารณา ว่า สมาธิ พระศาสดาสอนให้เจริญ ท่านจะไปผลักให้เป็นของฤาษี ได้อย่างไร

    อุปมาว่า ในโลกนี้ มีสัจธรรม คนเก็บขยะก็คิดสัจธรรมขึ้นมาได้ บังเอิญว่า เราไปเจอเข้า เราบอกว่า นี่เป็นสัจธรรมของคนเก็บขยะ
    เราไม่ทำ เราจะไม่สนใจ เราจะสนใจเฉพาะสัจธรรมของพระศาสดาเท่านั้น
    มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ สัจธรรมของพระศาสดาครอบลงในสัจธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าของใครก็ตาม ไม่เช่นนั้น เราเองนั้นแหละ เป็นผู้ลบสัจธรรมของพระศาสดาบางส่วนเอง
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ใครผลักให้เป็นของฤาษี กันหละครับ จะยึดกลับมาต่างหากหละ

    นี่ฟังยังไง กลายเป็นผมผลักให้เขาหละ มีเหรอ ที่คนศาสนาพุทธ
    จะทำเพื่อให้ เขายึด เขาถือ เขาเห็นว่าเขามี

    ถ้าเมื่อไหร่ เจอคนมีสัจจธรรมเก็บขยะ ก็ต้องบอกกันหละครับว่า
    นั้นคือ คุณธรรมของคนเก็บขยะ ซึ่งไม่ใช่ของจริง ไม่มีอยู่จริง

    หากเขาเป็นบัณฑิต แม้จะ มีสัจจธรรมเก็บขยะ อยู่ในมือ เราก็
    ขอเขามาชม แล้ว แลกกันกับให้เขาได้สดับ สิ่งที่ดียิ่งกว่ามีอยู่

    ทีนี้ คนที่เป็นบัณฑิตนี่ เขาไม่มานั่งคอตกอยู่หรอก เขาย่อม
    ต้องให้เราจรนัยเพิ่ม ย่อมให้ท่านลุงจรนัยทางอันเกษมเพิ่มเติม
    หรือไม่ก็ กล่าวตู่ว่าอริยสัจจ4ไม่มี(ซึ่งอาจจะไม่แสดงออกมา)

    แต่จะทำได้หรือเปล่า คนที่ไม่มีกำลังใจ จนปัญญา เป็นพยาน
    ให้กับพระศาสดาไม่ได้ อย่าว่าแต่จะ จรนัยเลย

    อาจจะก้มกราบ ผู้ถือสัจธรรมขยะ นั้น แล้วจากไป
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ท่านเอกวีร์ ท่านคงต้องย้อนกลับไปต้นทางใหม่ ว่า ท่านเป็นคนเริ่มให้ สมาธิ ที่ทำกัน เป็น สมาธิแบบนั่งหลับตา
    แต่ ผมเป็นคนบอกให้ คนนั่งสมาธิแบบหลับตา เพราะนั่นคือ สายทาง
    ดังนั้น แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไปบอกว่า สมาธิฤาษี เพราะนั่นคือ สมาธิที่ทุกคนจะต้องเดิน แม้ว่ายังไม่บริสุทธิ์
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็แค่นั้นแหละ

    ทำไมจะต้องให้เค้นออกมาด้วยหละ

    การที่ไม่พูดเลย กับ การพูดออกมาบ้าง อันไหนมันมีประโยชน์

    ผมไม่เถียงหรอกว่า คนเขาทำอยู่ จุมปุ๊กอยู่ อยู่ดีๆให้ไปสะกิด มันก็ไม่ถูก
    กาลเทศะ

    แต่ตรงนี้มันคืออะไร มันคือ หน้ากระทู้ ไม่มีงูตัวไหนหรอกที่หลับตา
    นั่งสมาธิอยู่หน้าบอร์ด

    ดังนั้น การที่ใครคนใดคนหนึ่ง จะอาศัย บอร์ด เป็น กาลเทศะที่เหมาะ
    สมในการปรารภยกว่า "สมาธิฤาษี ยังไม่บริสุทธิ" อย่างที่ลุงขันธ์ประกาศ
    ออกมา มันก็เหมาะควรแล้ว ต้องให้เขาเหล่านั้น ได้ผ่านหูผ่านตาบ้าง
    จะได้ มีโยนิโสมนสิการ ติดตัวไปด้วย ไม่ใช่เข้ามาในบอร์ดแล้วผ่าน
    เลยไป ไม่มีโอกาสเห็น ถ้อยคำที่มีคุณค่ายิ่งอย่างที่ลุงขันธ์กล่าวมาว่า

    "สมาธิฤาษี ยังไม่บริสุทธิ"

    จริงไหม......

    * * * *

    ทีนี้ ก้อย่างเดิม มันจะมี ผู้ห่วงเสียเหลือเกินว่า คนมาเห็นข้อความอัมตวาจา
    อันสะเทือนเรือนลั่นดั่งกล่าว จะหัวหด หมดใจ กระทำ

    ผมก็ว่า พวกเขาเหล่านั้น พูดมาอย่างคนไม่รู้จักในกิเลส คนไม่รู้จักกิเลส
    เท่านั้นที่จะเห็นว่า คนที่ทำสมาธิด้วยกิเลสไม่บริสุทธิเหล่านั้น กิเลสที่พาไป
    ทำจะขาดกระเด็นเอาดื้อๆ เลิกทำสมาธิแบบฤาษีเอาดื้อๆ เป็นไปไม่ได้หรอก

    หากพวกเขาทำสมาธิเหล่านั้น ด้วยกิเลสพาไป มีเหรอ มาเจอคำพูดอำมตะ
    วาจาของลุงขันธ์แล้วจะฝ่อ ฟ่อ ฟ่อ หละไม่ว่า(เลยใช้คำว่า งู เนาะ)

    แต่นะ....หากว่า เขาเหล่านั้น จะกิเลสหดตดหายไปจริง กิเลสขาดกระเด็น
    ไปจริง เลิกทำสมาธิแบบฤาษีจริง ปัดโถ่ นั้นมันเรื่องดี เพราะ กิเลสมันหาย
    ไปไง ไม่ใช่ทำอะไรด้วยอำนาจกิเลสอีกต่อไป มันดีหรือไม่ดีเล่า

    คนฉลาดนะ พอเลิกทำสิ่งต่างๆด้วยกิเลส เห็นจริงว่าตนทำสิ่งเหล่านั้นด้วย
    กิเลส ใคร่ครวญเงี่ยหูฟังลุงขันธ์อยู่ เขาก็มีแต่จะก้าวหน้า

    ส่วนคนที่ห่างจากธรรมะ ห่างจากกิเลส ไม่ทำสมาธิด้วยกิเลส แต่หันไป
    ทำอย่างอื่นที่สงบรำงับ เป็นกุศลต่อตน มันก็ควรอยู่ ดีกว่าปล่อยให้ทำ
    ไปด้วยกิเลสอย่างไม่เคยออกมาฟังธรรมะดีๆเอาเลย

    แต่ถ้า คนๆนั้นเลิกทำสมาธิด้วยกิเลส แล้ววิ่งไปนู้น เข้าป่ากิเลสไปนู้น
    อันนั้น เรื่องของเขาแล้วหละ แบบนั้นยังไงก็ไม่พร้อม เรื่องของกิเลสเขา
    ไม่ใช่ว่า จะมาโทษลุงขันธ์ที่พูดอัมตวาจาก็หาไม่ เคยได้ฟังยังดีกว่า
    ไม่เคยได้ฟังเอาเลย คงมีสักครั้งในกาลอนาคตที่ได้ฟังแล้วหยุดเข้าป่า
    แต่หันมาเงี่ยหูฟังด้วยดีสักที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  12. ฟ้าทมิฬ

    ฟ้าทมิฬ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +24
    ฝึกสติก็ พุทโธๆ ไปก็ดีครับ แต่สติมันไม่มาเร็วพรึ่บๆนะครับ
    มันจะค่อยๆ มีสติทีละน้อยๆนะครับ ของแบบนี้ต้องใช้เวลา เอ่อ ไม่ใช่ใช้เวลานั่งนานๆนะครับ
    ใช้เวลานั่งสมาธิซักวันละ 15 นาทีก็ได้ครับ ไม่เครียดดี ทำทุกวัน เดี๋ยวก็ดีเองครับ
    ของผมเองก็นั่งสมาธิมานานพอสมควร แรกๆอาจจะท้อหน่อยแต่พยามยามเอาครับ
    เดี๋ยวก็จะดีเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  13. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    ต้องขออนุญาติอย่างรีบด่วน
    จริงๆไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย แต่รู้ว่า สุดโต่งคืออะไร โยงใยจนถึง...........ได้
    ต่อไปนี้ห้องอภิญญาจะต้องแบ่งขั้วหรือเปล่า ถ้าใครเน้นสมถะ ความบริสุทธิ์บกพร่องเป็นเดียรถีย์ อย่าได้อาจหาญเสอนหน้ามาต่อกลอนกับคุณเอกวีร์ ต้องขอโทษที่เอ่ยนามคุณ จริงๆ เพราะถ้าคิดเห็นส่วนตัว คุณเอกวีร์ ใจแคบ เล่นยึดหัวหาดแบบนี้ ถ้าเป็นผู้นำจะได้หุ่นยนต์ร่วมด้วยทั้งหมด เพราะสมองมีแต่ผู้นำคนเดียว
    ธรรมปฏิบัติให้ได้จริงๆเหอะ มันไม่เป็นโจรหรอก เว้นแต่พวกที่คลำๆเอานั่นแหละ
    จะยึดคุณธรรมเป็นหลัก ก็ต้องสำรวจคุณธรรมด้วย เนอะ ถ้ามีปัญญาก็จะแยกได้ว่าหลอกหรือจริง
     
  14. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    อนุโมทนาสาธุ ๆๆๆๆๆๆค่ะ
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อดทนไว้ครับคุณป้า

    กว่านี้ยังมีอีก

    ว่าแต่ว่า ใครคือเจ้าของหัวหาดที่คุณแดงพูดอยู่เหรอ
     
  16. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สมาธิและฌาน ที่พระศาสดาทรงสอนล้วนเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น เป็นตัวช่วยให้มีอำนาจหยุดยั้งกิเลสอ่อน ๆ ที่รบกวนไม่ให้จิตเป็นสมาธิได้ ทั้งยังเป็นเหตุให้ญาณทั้งหลายเกิดด้วย ซึ่งพระศาสดาก็จำแนกและเน้นไว้อย่างมากมาย สมาธิและฌานนี้ อำนวย และจำเป็นต่อการดับทุกข์เป็นอย่างยิ่ง

    ส่วนสมาธิ และฌานที่เรียกว่าเดียรถีย์ ก็เป็นคำเปรียบของพวกที่ทำสมาธิ ทำฌาน โดยที่ไม่ได้หวังทำเพื่อดับทุกข์ ทำโดยเป็นไปตามกิเลส ทำเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว เอาฤทธิ์ เอาอำนาจ เอาความเห็นผิดเป็นที่ตั้ง หรือเป็นไปด้วยความหลงเข้าใจว่าฌานนี้เป็นอันสิ้นชาติภพแล้ว สิ้นสุดแล้ว

    แต่ที่นี้การที่ไปเข้าใจว่าฌานและสมาธิเป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์ มันเป็นมิจฉาทิฐิ
     
  17. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    เวลาที่นั่งภาวนา เอาแต่คิดในเรื่อง ปริยัติธรรม (แผนที่ธรรม)
    คอยแต่รอดูว่า เมื่อไรหนอ จะเกิดวิปัสสนาญาณขั้นนั้นขั้นนี้...เมื่อไรหนอจะบรรลุธรรม
    จิตใจล่องลอย ฟุ้งซ่าน ทำเท่าไรก็ไม่เกิดผลเสียที
    สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร...หลอกตัวเอง คุยอวดข่มคนอื่น เพื่อหวังรักษาหน้าตัวเอง

    เพราะว่า เราโลภ จะเอาแต่ผลการปฏิบัติเท่่านั้น
    โดยไม่สนใจว่า...ผลของการปฏิบัติมาจากเหตุที่สมควรแก่ผล
    ไม่ใช่มาจากการคาดคะเนละเมอเพ้อฝันคิดเข้าข้างตัวเอง
    จิตเราถึงขั้นนั้น ขั้นนี้...แล้วนะ
    ทั้งๆที่ ขณะที่นั่งภาวนาแล้ว จิตใจไม่ีสงบจิตฟุ้งซ่าน คิดแต่เรื่องไร้สาระ

    ตามดูจิต จิตไหลไปเข้าๆออกๆ อารมณ์ไม่เป็นปกติ จิตไม่สงบ
    เดี๋ยวสงบเดี๋ยวฟุ้งซ่าน สงบ 2 นาที ฟุ้งซ่าน 2 นาที เป็นๆหายๆ
    เอาแน่นอนไม่ได้ ลงหลักปักฐานไม่ได้ เป็นหนอนใบลานเปล่า

    เราศึกษาปริยัติ ไม่ใช่เพื่อมาตั้งตารอผล เอาไว้คุยข่มคนอื่น
    กิเลสตัวเองยังหนา เอาปัญญาที่ไหนมาสอนคนอื่น
    ธรรมะผสมน้ำลาย ยิ่งพูดยิ่งเลอะ
     
  18. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    หลักของศาสนาพุทธ

    การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
    การทำความดีให้ถึงพร้อม
    การทำจิตของตนให้บริสุทธิ์
    นี่เป็นคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน
    มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ
    ความเพ่งพินิจ ย่อมไม่มีแก่ผู้หาปัญญามิได้
    ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เพ่งพินิจ
    ผู้ใดมีความเพ่งพินิจมีทั้งปัญญา
    ผู้นั้นย่อมใกล้นิพพาน
    ขันธ์ห้าเป็นภาระหนักแล คนเราเป็นผู้แบกภาระไว้
    การรรับภาระเป็นทุกข์หนักในโลก วางภาระเสีย จะได้เป็นสุข
    หมดความปราถนาแล้วนิพพาน

    หลบภัย
    คำว่าเพ่งพินิจ ไม่ได้หมายถึง การจ้องการข่มแต่หมายถึงการรู้อาการปัจจุบัน
    สมถะหมายถึงส่วนประกอบ วิปัสนาก็คือส่วนประกอบ
    ดังนั้นเพ่งพินิจ คือการทำใจให้แคบลง เพื่อแทงให้ทะลุป้องเมื่อถึงเวลาของเขาเอง
    คาดหวังไม่ได้ แค่เตรียมการ แต่ไม่ใช่การรอคอย
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    วู้ วู้ นาต้า ว่าไง
     
  20. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ไม่มีอะไรเริ่มต้น ไม่มีอะไรสิ้นสุด

    เพราะยังไม่ได้เริ่มต้น ลงมือทำ เอาแต่อ่านแผนที่
     

แชร์หน้านี้

Loading...