นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นหิน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ploynoppakaw, 14 มกราคม 2011.

  1. ploynoppakaw

    ploynoppakaw Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +45
    นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าอึดอัดเหมือนถูกจับมัด และกำลังจะจมน้ำ สักพักหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นหิน ลมหายใจยังคงมีอยู่แต่บางเบามาก ครั้งหนึ่งเมื่อเจ็ดปีที่แล้วบวชชีพราหมณ์ครั้งแรก นั่งสมาธิวันแรกตกใจแทบแย่ นั่งไปได้สักครู่รู้สึกเหมือนตัวเองลุกขึ้นไปจากที่นั่ง ตกใจมาก อาราธนาหลวงปู่ให้ช่วย มองเห็นด้านหลังของพระภิกษุรูปหนึ่งจึงรู้สึกตัว ประสบการณ์การนั่งสมาธิของตัวเองไม่เคยเหมือน หรือคล้ายกับของใครเลย จะถามใครก็ไม่ได้ พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรอีก เจอของใหม่ทีไรตกใจทุกที
     
  2. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    อย่าทิ้งคำภาวนาสิครับ การทำกรรมฐานต้องยึดคำบริกรรมไว้ให้ดี เวลาที่จิตเบามากๆ
    สมาธิเริ่มมากเข้า จะยังมีสติทำให้ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่เหนอยู่ตรงหน้าและคลายความกลัวจากจิตใต้สำนึกไปได้มาก เมื่อมีสติในสมาธิดีจะไม่กลัว เวลาภาวนาก้ให้ภาวนาช้า ไม่ต้องรีบ จิตเปนสิ่งที่ละเอียด คิดอะไรได้เร็วมากต้องเอาภาวนาไปถ่วงไว้ และคำว่า "พุทโธ"เป็นที่พึ่งที่ดีสุดเวลาที่จิตนิ่ง การเข้าถึงพระรัตนตรัยต้องอาศัยคำๆนี้
     
  3. มนต์ชัยIM

    มนต์ชัยIM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +473
    กระผมเห็นด้วยกับคุณอินทรีครับ อย่าลืมภาวนา "พุทโธ"

    นั่งเพื่อให้นิ่ง นิ่งเพื่อให้เกิดสมาธิ จะได้มีสตินำมาพิจารณาสติปัฏฐาน 4
    เพื่อให้รู้ตัวทั่วพร้อมเกิดวิปัสสนาญาณ

    ปฏิบัติธรรม จงยึดมั่นในพระรัตนตรัย ตายเป็นตายครับ เพราะถึงยังไงเราก็ต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง ตายขณะปฏิบัติธรรมที่รับรองหลังความตายคือ "สวรรค์" แน่นอน

    แต่ดูจากครูบาอาจารย์ต่างๆ ไม่มีท่านใดที่ท่านตายเพราะปฏิบัติธรรมเลยสักคน...
     
  4. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    แต่ถ้ามาถึงตรงคำภาวนาหาย สติไม่หาย ตัวรู้ไม่หายก็ใช้ได้ ในระดับหนึ่งค่ะ
     
  5. ไตรลักษณ

    ไตรลักษณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +29
    เคยเหมือนกันครับ กายเป็นหินแต่ใจเป็นสุข
    ติดอยู่ตรงนั้นแหละ.........
    ทางออกของผมคือ ตายเป็นตายครับ รู้ เฉย ปล่อยวาง
     
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    อาการในสมาธินี่เป็นได้ร้อยแปดประการนะครับ.....

    อุบายที่จะชักลากให้เคลื่อนของมารทั้ง ๕ มี กิเลสมาร เป็นต้น.....

    ความจริงนั้นไม่มีอะไรยากเลยครับ......สติรู้แล้ววางแค่นี้ก็ผ่านฉลุย......

    เมื่อเจออาการใดมัวแต่ไปสนใจ ไปตรึก ไปค้นหาอยู่ มันก็จะอยู่แค่นั้น.....จริงๆ...พูดง่ายๆก็คือโดนลากไปแล้วแค่นั้นเอง.....

    อย่าไปสนใจครับ....เรื่องปกติ......

    สังเกตอารมณ์ใจและสติไม่คลาดจากกรรมฐานที่กำหนดแค่นั้นพอ.....เกิดอะไรขึ้นช่างหัวมัน....รู้แล้ววางอย่างเดียว.....
     
  7. ทศสึ

    ทศสึ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +313
    ........

    อาการที่รู้สุกเป็นหิน คือจิตเข้าญาณ4 ครับ

    บางที จะรู้สึกลมหายใจจะไม่มี รึถ้ามีจะเหมือนเส้นเล็กๆบางๆ

    จากที่ หลวงพี่เล็กบอก

    ก็แค่ให้ตามดู ตามรู้ เฉยๆ ครับ

    ปล่อยให้มันเป็นไป มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน มันไม่ตายหรอกครับ

    ถ้าจิตกลัวตายมากๆ ก็ ก่อนนั่งให้อธิษฐานไว้ เลย
    ว่า ลูกขอถวายชีวิต เป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา หากครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ตายเมื่อไหร่ก็ไปนิพพานเมื่อนั้น

    ถ้าตั้งอารมณ์ว่า ตาย เป็นตาย ก็ผ่านไปได้ไม่ยาก

    ครั้งหลัง ถ้าทำได้อีก ก็ให้ตั้งเวลาไว้เลยว่า เราจะอยู่ในอารมณ์ นี้ซัก 15นาที

    30นาที หรือ 1 ชม ท่านว่าไม่ควรเกิน 1ชม เดี๋ยวมันจะบ้าตาย ที่เข้าเรียกว่ากรรมฐานแตก ลืมวันลืมคืน ไม่กิน ไม่ นอน ไม่ทำอย่างอื่น แบบนี้จะเสียประโยชน์ครับ เพราะสมาธิไม่ได้แก้กิเลส ปัญญาต่างหาก แต่ใช้กำลังของสมาธิทำให้ใจเรามีกำลังในการตัดกิเลส ครับ พอครบเวลา จิตจะถอนออกมาเองครับ มาสู่อารณ์ปกติ คืออุปจารสมาธิ เราก็ มาใคร่ครวญพิจารณา ตัดร่างกาย และโลกครับ ทำอย่างนี้สลับกัน ถ้ารุ้สึกว่าหนัก ก็จับอานาปานสติใหม่ พออารมณ์สบาย แล้วก็มาพิจารณา สลับแบบนี้เรื่อยไป ครับ ความก้าวหน้าถึงมี

    บางวัน กำลังฌาณ หรือสมาธิไม่เท่ากัน บางวันได้แค่ อุปจารสมาธิ รึ อาจจจะเป็น ฌาณ 1 2 3 4 หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ว่าไม่ต้องไปสนใจ พอใจในสมาธิระดับนั้น มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน ปล่อยมันให้เต็มที่ ถ้าไม่ปล่อยมัน เมื่อทำถึงอีก มันก็จะเกิดอีก จนหลายคนเลิกทำไปเลย เพราะกลัว

    ที่สุด ของความกลัวก็คือ ล้วนลงมาที่กลัวตายทั้งหมด เราแค่ตามดู ตามรู้เฉยๆ ก็จะผ่านไปได้ ครับ ควรอธิษฐานจิตก่อนทำ และหลังทำครับ ขณะทำก็ลืมความปรารถนาซะ มีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว

    วิธีอธิษฐานฤทธิ์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    วิธีอธิษฐานจิตที่จะให้เกิดผลตามฤทธิ์ที่ต้องการ ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้เข้าฌาน ๔
    ก่อน แล้วออกจากฌาน ๔ แล้วอธิษฐานในสิ่งที่ตนต้องการจะให้เป็นอย่างนั้น แล้วกลับเข้าฌาน ๔ อีก
    ออกจากฌาน ๔ แล้วอธิษฐานจิตทับลงไปอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการจะปรากฏสมความปรารถนา

    แต่อย่าอยากให้เป็นฌานจนเกิดไป นะครับบ เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน สมาธิทุกขั้น ต้องมีตัวอุเบกขา คือวางเฉย ช่างมัน รับรู้แล้ววาง

    สรุป คือเรามีหน้าที่ภาวนาไป ตายเป็นตาย จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มีหน้าที่ตามดู ตามรู้ อย่างเดียว เมื่อรู้สุกใจสบายแล้ว ก็พิจาณาทุกข์ของร่างกาย ทุกข์ของโลก จิตจะได้คลายความยึดมั่นจากร่างกาย เรา ร่างกายเขา คน สัตว์ วัตถธาตุ ต่างๆ คลายจากโลก3 นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน มนุษย์ สวรรค์ พรหมโลก

    เห็นความเร่าร้อน ไม่เที่ยง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เราเกิดในดินแดนทั้ง3โลกนี้อีก ก็ทุกข์อีก เกิดชาติไหนก็ทุกข์ ทุกข์จากการเกิด การแก่ การเจ็บป่วย ไสบาย หนาวร้อน หิวกระหาย ทุกข์จากการงาน ที่ต้องทำเพื่อมาเลี้ยงชีวิต ของตนของคนอื่นให้รอด ทุกข์จากการกระทบกระทั่งอารมณ์ต่างๆ ความไม่ได้ตามที่หวัง พลัดพรากจากของ รัก ของหวง คน รัก สัตว์ที่รัก วัตถุที่รัก สุดท้ายทุกข์จากความตาย ความทุกข์มีมากมายมหาศาล อันนี้คือพื้นฐานทีทุกคนต้องเจอเมื่อมาเกิดอีก เพราะถ้ามีเกิดแล้ว ทกข์ ทุกอย่างก็ตามมา จะเกิดอีกกี่ชาติ ก็ทุกข์แบบนี้อีก แต่ละชาติที่เกิดก็ทุกข์หนักเข้าไปอีกคือ สิ่งที่เราได้กระทบไว้ เราต้องรับคือกฎแห่งกรรม ทุกข์ก็จะเกิดตามหนักเบาที่เราได้สร้างไว้ ในเมื่อเราอยากโง่มาเกิดอีก ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาทั้งหมดนี้อีก ฉนั้น ดินแดนใดหนอ ที่ปราศจากความทุกข์ทั้งหมด ปราศจากความเร่าร้อนฉิบหาย ไม่เที่ยง

    คือ พระนิพพาน พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็อยู่ดินแดนบรมสุขหมด ท่าสวรรค์ หรือพรหมโลกสุขจริง ทำไมท่านถึงไม่ต้องการไปเกิดละครับ เพราะท่านรู้ว่า สวรรค์ กับพรหมก็ต้องลงมาเกิดอีก เมื่อหมดกำลังบุญ เกิดอีกก็ทุกข์อีก ตามที่ได้พูดมาตอนต้น เฉพาะถ้าเกิดเป็นมนุษย์นะครับ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ยิ่งทุกข์หนักกว่ามนุษย์หลายยยยเท่า

    ขอให้ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเถอะครับ ทั้งทาน ศีล ภาวนาทำทุกอย่าง เพื่อพระนิพพาน อธิษฐานนิพพาน ชาตินี้ ก็จะไปได้ จะได้พ้นทุกข์เสียที




    คำสอนง่ายๆและสั้นๆเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม (พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของอนันตจักรวาล) ถ้าฝึกมโนยิทธิจะเห็นเลยครับว่า วิมานท่านอยู่หลังแรกสุด และใหญ่ที่สุด ขนาดวรกายพระองค์ที่นิพพานก็ใหญ่ที่สุด เพราะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก มีบารมีมากที่สุด และเข้านิพพานได้พระองค์แรกทรงตรัสว่าเจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้
    จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูก หลาน เหลน ก็ไม่มี แม้ร่างกายเราก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้วเราจะไปพระนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า วาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชินจะเห็นเหตุผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายและจะเข้านิพพานได้ทัน<O:p</O:p



    เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน<O:p</O:p


    พระราชพรหมญาณ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)<O:p</O:p


    <O:p</O:p


    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความรู้สึกว่าการเกิดเป็นคนเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถ้าเราจะเกิดไปอีกกี่ชาติ เราก็จะพบกับความทุกข์อย่างนี้อีก และคิดว่าการตายของเราคราวนี้จะเป็นการตายครั้งสุดท้าย ฉะนั้นทุกคนก่อนจะหลับให้คิดง่ายๆ ดังนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเราอีก การตายคราวนี้เราขอไปพระนิพพาน และก็ภาวนาต่อท้ายสักเล็กน้อยว่า<O:p</O:p


    <O:p</O:p


    "นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง"<O:p</O:p


    <O:p</O:p


    ภาวนาอย่างนี้สัก ๓ ครั้งด้วยความเต็มใจ การทำอย่างนี้ได้ชื่อว่า เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน เวลาที่ท่านจะตายบุญกุศลทั้งหลายที่ทำแล้วจะรวมตัวทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้ มโนมยิทธิ คืออภิญญาและวิชชาสามควบกัน ก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน เอาจิตไปตั้งไว้ที่พระนิพพาน ไปที่วิมานพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือไปที่วิมานของเราก็ได้ ถ้าไปที่วิมานของเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก็จะพบท่านทันที แล้วตัดสินใจว่าถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น เพียงเท่านี้ แต่ต้องทำทุกวันนะ ตายเมื่อไรไปพระนิพพานเมื่อนั้น.."<O:p</O:p


    <O:p</O:p

    <O:p</O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2011
  8. (JD)

    (JD) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +270
    ผมก็เป็น......ผ่านไปไม่ได้ซักกะที....ติดแหง็ก ๆ ๆ
     
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    นั่งเข้าฌานเป็นก้อนหิน

    นั่งแบบนี้ไม่มีปัญญา สมาธิแบบนี้ถอนออกมา
    ก็ไม่สงบยังจิตไม่นิ่ง

    เอาเวทนามาพิจารณาแนะนำให้ถอนเหล็กในของเวทนาออกให้หมด
     
  10. Ricky

    Ricky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +682
    ขอถามว่าที่บอกว่าเหมือนจมน้ำนั้น สภาวะใช่เหมือนกับตัวเราอยู่ใต้น้ำรึป่าว
     

แชร์หน้านี้

Loading...