*_________* บุญบาป ไม่มีจริงนะเกิดใหม่ก็ไม่มีจริง

บุญบาป ไม่มีจริงนะเกิดใหม่ก็ไม่มีจริงด้วยทำใจกันหรือยัง

เพราะ ที่ usa ก็มีคนสนับสนุนให้ทดลองเรื่องนี้กันมากจนมีกองทุน
เขาทดลองอยากเห็นผลจริงๆ ไม่ใช่มาพูดเดา หรือบอกว่าตอบไม่ได้
แล้วจึงทุ่มงบไม่อั้น มาทดลองที่
พม่า ลาว เพราะที่นั่นศาสนาเข้มแข็งคนยังเคร่งดี เรื่องศาสนาพุทธเชิญพระเก่งๆหมอดูนักศาสนาเก่งๆมา มากมายเพื่อ ถกปัญหา และ
ทดลองเรื่อง ทิดสะดี ต่างๆ หลายวิธีมากๆ ที่จะโยงไปถึง ทั้งเรื่องตายแล้ว เกิดใหม่ บุญบาป เป็นอย่างไร ผลออกมาไม่ดี นัก พบว่า
ยังไม่เจอหลักฐานอะไร จึงดูเหมือนว่า บุญบาป ไม่มีจริงนะเกิดใหม่ก็ไม่มีจริงด้วย
ถ้าเป็นอย่างว่านี้จริง จะทำยังไงทำใจหรือยัง

แต่เขาก็จะทุ่มเงินวิจัยเรื่องนี้ต่อไป

 

ลองคิดดู เขาบอกว่าหลุมดำ กินดาววันละ 10 ดวง หลุมดำ มีอายุกึ่งอมตะ
มันจะตายเมื่อจักรวาลดับสูน หลุมดำอาจกินดาวที่มีคน อยู่ แล้ว
หลุมดำ จะบาปไหมคิดให้ดีๆ
จักรวาล มีอายุ เมื่อมันหมดอายุทุกอย่างจะเป็น 0 และไม่มีทางเกิดขึ้นมาใหม่ได้
มันเท่ากับเข้าสู่กระบวนการของคำว่าไม่มี ดังนั้นเมื่อมันไม่มี และบาปบุญจะมีได้อย่างไร

 

ตามมาอ่าน เจ้าค่ะ

ตามมาอ่านเจ้าค่ะ ---ได้ สาระ ความรู้ ใน เเบบที่ไม่เคย พบ เคย เห็นมาก่อน --ความรู้ เนื้อหา เเน่น ๆ ------------นี่ เเหละ ค่ะ เเบบ นี้ เขาถึงเรียก ว่า สุดยอดกระทู้ ----ถ้าหนุ เป็น นายก หนู จะยกให้ เป็น กระทุ้ ตัวอย่าง ส่งให้ กินเนส บันทึก กัน ไปเลย ----ขอบคุณ มากค่ะ --ได้ความรุ้ ดี จริง จริง :'(

 

จะเชื่ออเมริกา หรือ เชื่อตัวเองละครับ(ทดลองศึกษาด้วยตัวเอง)

 

ใช้ค่ะ หลุมดําต้อง บาป เเน่นอน

อีน้อง เห้น ว่า หลุมดํา มีบาป หนัก เลย เจ้าค่ะ ----อะหยัง มา กิน ดาวเปิล ไป ได่ จะ ได จะอี๋ เกิด วัน นึง ตาง หน้า เปิล ปิก มา กิน ดาว เฮา บ้าง ละ:'(

 

ที่ usa เขายังทุ่มเงินศึกษาเรื่องนี้อยู่นะ

แต่ต้องคิดอีกว่า ก่อนจักรวาลเกิดมันก็คือ ไม่มีมาก่อนแล้วมันก็เกิด
ดังนั้นเราจึงโยงเหตุของกรรมาก่อนไม่ได้นะเพราะมันไม่มีมาก่อน
เขาว่ากันว่าอีกแสนปีจะมีหลุมดำยังมากินโลก
ทุกคนต้องตายหมดถามว่า แล้ววิญาณจะเกิดใหม่ที่ไหน

เมื่อ ล้านปีที่แล้วคนบนโลกมี พันกว่าคน ปัจจุบันมีเกือบหมื่นล้าน
เอาวิญาณที่ไหนมาเกิด

เมื่อต่อนเกิดโลกใหม่ๆมี แบคทีเรียทั้งโลกไม่เกิน 4 ตัว
ปัจจุบันมีทั้งแบททีเลียสัตว์คน ๆลๆ เป็นล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แบบนี้เอาวิญาณ ที่ไหนมาเกิดก็ในเมื่อต่อนเกิดโลกใหม่ๆมันมี แบคทีเรียอยู่ไม่เกิน 4 ตัว เอาวิฯยาณที่ไหนมาเกิดหรือ จากต่างดาวหรือ แต่อย่าลืมว่าดาวพวกนั้นตอนมันเกิดมันคงมี แบคทีเรียอยู่ไม่เกิน 4 ตัวเหมือนกันแล้วมันค่อยพัทนามาเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆจนเต็มดาวนะดังนั้น วิยานจึงเกิดก่อน สิ่งมีชีวิตไม่ได้

 

พูดกันแบบคนๆ...... ตายไปเดี๋ยวเราก็รู้ว่ามันมีหรือไม่มี

 

หลายอย่างที่วิทยาศาตร์พิสูจน์ไม่ได้อย่าเพิ่งไปสรุปว่ามันไม่มี ธรรมนั้นลึกซึ้งเกินกว่าจะใช้เครื่องมือใดฯในโลกวัดได้ครับมันเป็นของละเอียดครับ คุณลองศึกษาเรื่องสมาธิดูนะครับเอาตามแบบศาสนาพุทธ คุณอาจจะเขาใจคำว่าศัทธา ศัทธาคืออะไรถ้าเข้าใจจะไม่เกิดคำถามนี้ขึันมา ขอบคุณครับ

 

ลูกศิษย์ : การเกิดใหม่มีจริงไหมครับ

หลวงปู่ชา : ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหม

ลูกศิษย์ : เชื่อครับ

หลวงปู่ชา : ถ้าเชื่อคุณก็โง่

ลูกศิษย์ : ?????

หลวงปู่ชา : ถ้าเชื่อโดยไม่ได้เห็นด้วยปัญญาของตัวเอง ก็ถือว่ายังโง่

 

ก็ถึงได้อยากให้ มีหลักฐานไงค๊ะเขาจะได้ยกศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำโลก

เพราะว่า มันน่าคิดว่าตายแล้วดับศูนย์ หรือไม่
เพราะปกติกลไกของสิ่งมีชีวิต
ไม่มีความจำเป็นต้อง ผูกมัดด้วยวิญาณนะเพราะ
สิ่งมีชีวิตขยายพันได้และมีสมองรับรู้อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องมีวิญาณนะ

 

ชื่องานวิจัยนี้ชื่ออะไรอ่ะ ??? >< เราว่า เขาทดลองแบบ คนตาบอดคลำทางนะ --'

ฟังนะ.... (มันยาว แต่จะพยายาม เล่าละกัน --' อีกใจก็ขี้เกียจเล่า)

1. จักรวาล ไม่ได้เป็นอย่างที่เราๆเห็นหรอกนะ

มันยาวจริงๆ .. เอาแบบสั้นๆรวบรัดตัดตอนไปเลยละกัน(ตอนแรกว่าจะร่ายยาว แต่พิมพ์ทั้งคืนคงไม่จบ --')

สรุปไปเลยดีก่า ......

เรื่องของ กรรม มีจริงแน่นอน 100%

ทุกๆชาติภพ ตอนนี้ เหมือนกงล้อธรรมจักร .. กล่าวคือ..

มันกำลัง เกิดขึ้น มีอยู่ และดำเนินไปพร้อมๆกัน

ถ้าเราทำอะไรใน ปัจจุบัน .. การกระทำนั้น จะส่งผลกระทบแบบ แผ่กระจาย เหมือนกับที่เราโยนก้อนหินลงไปในน้ำ แล้วกลายเป็นคลื่นวงกลมรอบๆก้อนหินนั่นแหละ

คำว่า ปัจจุบัน .. คือ .. ปัจจุบันของแต่ละภพชาติ

แต่ละภพชาติ ไม่ได้ดำเนินไปและสิ้นสุดลงแล้วค่อยไปเป็นอีกภพ.. แต่ทุกๆภพชาติ กำลังดำเนินอยู่ไปพร้อมๆกัน

เรื่องของเวลาไม่มีอยู่จริง ถ้าจะเอาแบบวิทยาศาสตร์ ก็ให้ไปศึกษาสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เถิด(เพราะเล่าไปหลายหนแล้ว เหนื่อยพิมพ์ อิอิ ^^)

ถ้าจะเอาแบบวิทยาศาสตร์ นักวิจัยเรื่องบาป-บุญกลุ่มนี้ อาจจะตกข่าวไปหน่อย .. เพราะปัจจุบันนี้ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เขาก็ค้นพบแล้วว่า ไม่ได้มีจักรวาลเดียว .. ไอ้ที่ว่า .. จักรวาลเกิดจาก Big Bang นั่นมันแค่ 1 จักรวาล

ในเอกภพ(เอกภพ หรือ cosmos คือ ทุกๆสิ่งอย่าง รวมไปถึงที่ยังศึกษาไม่ได้) ประกอบไปด้วย หลายๆจักรวาลแบบนับไม่ถ้วน อยู่ในลักษณะของฟองสบู่

และวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ปัจจุบัน เขาบอกมาแล้วว่า .. มวล พลังงาน และอวกาศ ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด มวลมีอยู่มากมายมหาศาลเป็นอนันต์ และพลังงานก็เป็นอนันต์ เช่นกัน!

---------

และเรื่อง วิญญาณสัตว์ นี่ก็จะพูดแบบ สั้นๆไปเลย จะไม่อธิบายต้นตอนะคะ เพราะยาวมาก พิมพ์ไม่ไหวล่ะคืนนี้ ><

เอาเป็นว่า

จิตวิญญาณ อยู่ในลักษณะของเครือข่าย

พวกเรามาเกิดในร่าง 1 ร่าง ก็เหมาเอาว่า จิตดวงนี้ในร่างกายนี้ คือตัวตนของเรา แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่เลย

ในขณะที่พวกเราเกิดเป็นมนุษย์(ซึ่งทุกๆภพชาติกำลังดำเนินไปพร้อมๆกันเหมือนกงล้อธรรมจักร)อยู่นี่ พวกเรา ก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน รวมไปถึง สิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่นในโลกอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง

ทุกๆอย่าง กำลังดำเนินไปพร้อมๆกัน

จักรวาล(หรือทั้งเอกภพ) ไม่มีจุดกำเนิด และไม่มีจุดสิ้นสุด

การดำเนินไปเป็นลำดับ และการสมมติเวลาขึ้นมา เป็นการคิดและทำความเข้าใจในแบบมนุษย์โลก .. พวกเราจึงตั้งคำถาม ค้นหาจุดกำเนิดของทุกๆสรรพสิ่ง และค้นหาจุดสิ้นสุด.. ทั้งๆที่ 2 อย่างนี้ มันไม่มี มันมีแต่ สิ่งที่กำลังดำเนินไปเรื่อยๆ

ในโลกของจิตวิญญาณที่หลุดพ้นวัฏสงสารแล้วนั้น .. จิตวิญญาณ สามารถไปที่ไหนก็ได้ เป็นอย่างไร ดำรงอยู่อย่างไร ก็ได้ .. ทุกๆสิ่ง เกิดขึ้นและเป็นไปได้

โลกมนุษย์มีเครื่องอำพรางตา ให้เราควบคุมเวลาไม่ได้ ให้เราอยู่ในโลก 3 มิติ ของ กว้าง ยาว สูง .. เราจึงเป็นเช่นนี้ ..

เรื่องดวงดาวเช่นกัน ..

ดาวโลกตอนนี้ เรามองไม่เห็นคนอื่นๆ เพราะมันอยู่คนละมิติ .. ขอให้ลองคิดดูว่า ตอนนี้ ไดโนเสาร์ ก็คงกำลังเดินผ่านเรา ผ่านไปผ่านมา

เรื่องนี้ ถ้าจะเอาแบบวิทยาศาสตร์ ก็พิสูจน์ได้แล้ว ไปหาดูสารคดีเรื่อง จักรวาลคู่ขนานและ mult-universes ละกัน --'

พวกดาวอังคาร ... และดาวนพเคราะห์ดวงอื่นๆ ก็ล้วนมีสิ่งมีชีวิต แต่อยู่ที่ว่า ดาวของเขาจะมีเครื่องอำพรางตาเป็นอะไรบ้าง ?? และเขาเป็นสิ่งมีชีวิตกี่มิติ และที่เรามองไม่เห็นเขา เพราะมันอยู่กันคนละมิติ เราจึงมองเห็นดาวรอบๆโลกของเรา เป็นดาวที่ ตายแล้ว(ไม่มีสิ่งมีชีวิต) แต่จริงๆอ่ะ "มี" แต่เรามองไม่เห็น

---------------

เรื่องของ บาป-กรรม มีอยู่จริง 100% ไม่ต้องไปถามคนอื่น ..

ทุกๆเหตุการณ์ .. เกิดขึ้นอย่างมีเหตุและผลต่อเนื่องกัน อย่างมีระบบระเบียบเกินกว่าที่มนุษย์อย่างเราๆจะไปจับผิดหรือตั้งเป็นทฤษฎี

ถ้าอยากพิสูจน์ให้รู้จริงๆ ก็ลองไประลึกชาติดูสิ่ .. แล้วจะตกใจว่า .. ทุกๆย่างก้าวของเรา ทุกๆวินาที มีเหตุและผล เสมอ

ไม่มีเรื่องบังเอิญในจักรวาล

หลุมดำ ดาวหาง ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ไม่ใช่ก้อนหินที่มีอยู่อย่างไร้เหตุผล

โลก 2 โลก ไม่ได้ถูกกำหนดให้มาพบเจอกัน ... แต่ที่มนุษย์ต่างดาวเค้ามาโลกเราได้ เพราะมันเป็นการเหลื่อมล้ำของมิติที่มนุษย์ต่างดาว เขาบังเอิญเจอเข้า และหลังๆ เขาเริ่มค้นคว้าวิจัย และต่อๆมา ก็ไม่ได้มาอย่างบังเอิญ แต่ตั้งใจมา

และมนุษย์โลกของเรา ก็เคยเหลื่อมล้ำมิติไปโลกของเขาเช่นกัน .. (ได้ดูข่าวไหม ที่ชายคนหนึ่งชาวอเมริกัน อยู่ดีๆ ก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาภรรยาและลูก จนทุกวันนี้ ก็ยังหาไม่เจอ ว่าหายไปไหน) แล้วไม่ได้มีคนเดียว มนุษย์โลกหลายคน หายไปในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่พวกเราไม่ได้นำมาทำวิจัยต่อ

ในตอนแรกๆ มนุษย์ต่างดาว ก็มาค้นเจอโลกในลักษณะเดียวกัน

ดาวที่มีเครื่องอำพรางตาในลักษณะเดียวกับโลกมนุษย์ จะไม่ได้อยู่ใกล้โลก เพราะแต่ละโลก ไม่ได้ถูกกำหนดให้ค้นพบกัน .. ต้องแยกกัน เพราะมันมีกระบวนการต่างๆที่ต้องเป็นไปตามแบบฉบับของโลกนั้น

ส่วนโลกที่อยู่ใกล้กัน หรือที่แห่งเดียวกัน มันจะเป็นคนละมิติ มองไม่เห็นกัน

---

ถ้าอยากวิจัยเรื่องนี้ ให้เป็นผลงานทางวิทยาศาสตร์จริงๆ ต้องให้คนที่ เข้าใจทฤษฎีของไอน์สไตน์ มานั่งสมาธิให้เขาศึกษาเรื่องโลกความเป็นจริงหลากมิติด้วย คนๆนั้นถึงจะสามารถพิสูจน์เรื่องกฎแห่งกรรมได้

คนที่ศึกษาแต่วิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์ คือการศึกษาแบบ 3 มิติ ในความเข้าใจของมนุษย์) หรือคนที่ศึกษาแต่จิตวิญญาณ จะไม่สามารถทำงานวิจัยเรื่องกฎแห่งกรรมให้เป็นไปในทางวิทยาศาสตร์ได้หรอก

---

นี่เราไม่ได้ร่ายยาวนะ .. นี่คือ สรุปให้ฟังเลย ถ้าอยากรู้ตรงไหนว่า ทำไมเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ มีคนถามก่อนค่อยจะเล่าต่อ เพราะมันยาวมากจริงๆ!

 

หลวงปู่ชาไม่ได้บอกว่าไม่มีนะ เพียงแต่บอกให้ไปฝึกตนแล้วเห็นเอาเอง

 

ผมเคยเอาสัตว์เลี้ยงไปฝังศพ

ลูกหมา ตอนตายแล้ว ทำไมตัวมันเย็นเหมือนเอาไปเข้าตู้เย็นเลยนะ

เย็นจนน่าตกใจ เหมือนมีอะไรในตัวมันหายไป

ทั้งที่เลือดก็มี อวัยวะก็ครบ อะไรนา หายไป

 

ค่ะก็จริงนะเรื่องจักรวาลคู่ขนานแบบมีมากมายเนี่ย
แต่ทีนี้ว่า สิ่งมีชีวิตเนี่ยเกิดขึ้นมันน่าจะต้องมีการวิวัทนาการหลายๆอย่างที่จำเป็นนะ
เช่น วิญาณมีเพื่อเก็บข้อมูลส่งต่อไปชาติหน้า
แต่เด็กที่เกิดใหม่ไม่สามารถจำอดีตได้ ดังนั้นรการส่งต่อข้อมูลจึงไม่จำเป็น
และสิ่งมีชีวิตมักใช้ สันชาตยาน ทีนี้
มันมีอยู่เหตุผลเดียวที่คิดออกคือมีวิญาณไว้เพื่อแฝงในกายเพื่อเสพความรู้สึกต่างๆ
แต่อันนี้ บางคนก็บอกว่า มันอาจขัดแย้งกับการทำงานของสมองนะค๊ะ
เพราะสมองเหมือนกับว่ามันสำคันมากที่สุดเพราะถ้ามันผิดปกติเล็กน้อยบุคคลิกภาพของคนนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวทั้งที่วิญาณน่าจะควบคุมสมองได้

 

ตัวมันเย็นเหมือนเอาไปเข้าตู้เย็น

อันนี้ไม่ใช่น้ำหนักลดเล็กน้อยหรือค๊ะ
บางคนอ้างว่ากำลังทดลองชั่งคนใกล้ตายและเมื่อเขาตายไปแล้วจะตัวเบาลงเล็กน้อยหรือไม่
คือเขาคิดถึงกับจะชั่งน้ำหนักวิญาณเชียวค่ะ

 

อืมก็จริงนะ เห็นหลายคนละ ที่อารมณ์ร้อน ดุๆ พอไปประสบอุบัติเหตุ

กระทบกระเทือนทางสมอง กลับมากลายเป็นสุภาพ ใจดี เรียบร้อย

อารมณ์ดี หรือมันมีกระบวนการอื่นๆอีก

 

รู้ย้อนหลังได้ตั้งเป็นล้านปีแบคทีเรียมี4ตัวแต่ไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน:boo::boo::boo:

 

เท่าที่ทราบนะค๊ะคนปกตินี่
มักมีนิสัยอย่างไรก็เป็นแบบนั้น เช่นคนที่ฝึกจิตมาดีมีสมาธิสูงมากๆ มีพลังจิตสูงมากๆ
พิสูจน์พลังจิตเขาได้และก็
ใจบุญเป็นคนมี iq 124 แต่ถ้าสมองเขาผิดปกติ กระทันหัน เช่น ป่วยหรือเขาได้รับความกระทบกระเทือนในสมอง ต่อมา อยู่ๆเขาเกิดสมองพิการบางส่วนทำให้เขากลายเป็นคนจิตใจผิดปกติมาก
สติไม่ดีจำอะไรไม่ได้ เล่นอึเล่นฉี่ หรือกลายเป็นคนชั่วร้าย อันนี้ สิน่าคิดว่าวิญาณเขายังมีอยู่
วิญาณรับรู้กายใจอย่างไรในขณะที่สมองพิการ วิญาณจำเป็นต้องพิการตามสมองหรือไม่
แล้วทำไมวิญาณไม่ควบคุมร่างกายให้รับรู้ปกติ หรือสามาธิที่เขาสร้างมาทำไมถึงเอาชนะการทำงานที่ผิดปกติของสมองไม่ได้ อันนี้น่าคิดมากๆค่ะ

 

ไม่ค่อยเข้าใจที่น้อง 000000000 กล่าวมาเลยอ่ะ --' อ่านแล้ว งงๆ ><

รู้มั้ย ???

วงการวิทยาศาสตร์เนี่ย มี 2 แบบ..

แบบที่ 1. ศึกษาสิ่งเล็กๆบนโลก ไม่เกินขอบโลกอ่ะ .. แล้วนักวิทยาสตร์พวกนี้ เขาจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย

ตรงกันข้ามกับ..

แบบที่ 2. พวกนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ทั้งหลายแห่งองค์การ NASA อ่ะแหละ(พอดี mamboo เป็นคนชอบดูสารคดีอวกาศมากๆๆ อิอิ ^^) แล้วจะอึ้ง ถ้าน้องได้ยินกับหูว่า.. นักฟิสิกส์พวกนี้ พูดถึง พระเจ้าและพระผู้สร้างด้วย --' (โดยส่วนตัว จากการศึกษาเรื่องโลกความเป็นจริงหลากมิติ mamboo ค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่มีพระเจ้า .. พวกเรานี่แหละ คือพระเจ้า .. พวกเราเป็น หนึ่งเดียว หรือ The one นั่นเอง) แต่ที่นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์เขาชอบพูดถึงแต่พระเจ้า เพราะเขาไม่ได้มาศึกษาเรื่องโลกของจิตวิญญาณโดยตรง เพียงแต่เขาศึกษาเรื่อง เอกภพ และ จักรวาล มันทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจในเรื่อง โลกหลังความตาย

นี่คือความแตกต่าง .. ก็วันนั้น mamboo นั่งดูสารคดี .. เขาก็ฟันธงมาแล้วว่า มวลและพลังงาน ที่มีอยู่ในเอกภพ มีเป็น อนันต์

พูดง่ายๆคือ ไม่มีที่สิ้นสุด

แล้วการค้นพบล่าสุดตอนนี้เกี่ยวกับอวกาศคือ

การถือกำเนิดของ จักรวาล(เหตุการณ์ก่อนหน้า Big Bang)

คือการชนกันของ Branes 2 แผ่น ...

มันคล้ายๆ เป็นแผ่นบางๆยวบๆเต็มไปด้วยพลังงานมหาศาล มันชนกัน(ที่จริงมันแตะกันนิดหน่อย) แล้วมันก็เกิดเป็น จักรวาล(ในลักษณะของฟองสบู่)ลอยละล่องอยู่ระหว่าง branes 2 แผ่นนี้

ตอนนี้ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ยังไม่สามารถบอกได้ว่า รูปทรงจริงๆของ branes ทั้ง 2 แผ่นนี้เป็นอย่างไร .. เพราะมันใหญ่มาก ใหญ่จนมองไม่เห็นขอบของ brane

และเนื่องจากมันใหญ่มาก เลยไม่รู้ว่า เป็นทรงกลม หรือแบน หรือกลวง หรือตัน

ก็เหมือนกับ มนุษย์เดินไปมาบนโลก เรามองเห็นพื้นโลกมันเรียบๆเป็นแผ่นตรงๆ ทั้งๆที่จริงๆ พื้นผิวโลกเป็นทรงกลม

ไอ้แผ่น branes 2 แผ่นนี้ก็เช่นเดียวกัน .. นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์เขาบอกว่า.. วงการดาราศาสตร์คงมาได้ไกลเพียงแค่นี้(ในยุคนี้)

ถ้าไม่สามารถออกไปนอกระบบสุริยะได้ คงไม่สามารถศึกษาแผ่น branes 2 แผ่นนี้ได้ เพราะอยู่เหนือความสามารถของมนุษย์จริงๆ

แล้วจากที่ mamboo เคยดูสารคดีและตามอ่านบทความทางวิทยาศาสตร์มาเยอะแยะมากมาย ..

มนุษย์โลกเรา ถ้าจะออกนอกระบบสุริยะ .. โน่นนนนนนนนนนนนนนนนน >>> ใช้เวลา ไม่ต่ำกว่า 1,000,000 ปี และมากกว่า 1 ล้านปีแน่นอน! อิอิ ^^

---------

 

เรื่องของสัญชาตญาณมนุษย์ หรือสัญชาตญาณสัตว์เนี่ย แล้วก็การทำงานของสมองเนี่ย ไม่เกี่ยวเลยนะคะ ><

สมอง ถูกสั่งให้ทำงาน ภายใต้จิตใต้สำนึก อีกที .. สิ่งมีชีวิตแบบมนุษย์ ก็มีรูปแบบการทำงานของสมองแบบนี้ ><

ลองถาม คุณหมอดูสิ่ ว่าทำไม ตาของมนุษย์เรา ถึงมองไม่เห็นดวงดาวที่อยู่ไกลๆ และทำไมตาของพวกเรา มองไม่เห็นอะตอม ><

ทางการแพทย์ ไม่เคยให้คำตอบพวกนี้หรอกค่ะ .. ส่วนมากวงการแพทย์ แค่จะบอกว่า .. เรามองไม่เห็น cell ไม่เห็นอะตอม เพราะตาของเราไม่สามารถมองเห็นสิ่งเล็กๆได้ .. ประมวลผลไม่ได้ .. อะไรก็ว่าไป

ทำไมหูของเรา ได้ยินแค่ระดับความถี่ 0-20,000 Hz ทำไมความถี่ที่สูงหรือต่ำกว่านี้ กลับไม่ได้ยิน ><

ทำไมเราได้ยินแค่ 80-120 decibel ???

ทำไมเราถึงได้กลิ่นอันนี้ๆ แต่กลับไม่ได้กลิ่นอันนี้ๆ ?? ทำไมสัตว์บางชนิดได้กลิ่นอันนี้ แต่เราไม่ได้กลิ่น

สัตว์แต่ละชนิด มีขอบเขต มีโลก มีการจำกัด การรับรู้และการเข้าใจ ในระดับที่แตกต่างกันไป

ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ??? เพราะจิตวิญญาณ ต้องการประสบการณ์ที่หลากหลาย .. ในรูปแบบชีวิตที่หลากหลาย แตกต่างกันไป ..

แค่จังหวะที่คุณก้าวเท้าออกนอกบ้าน หากคุณก้าวเท้าซ้าย เหตุการณ์หลังจากนั้นจะเป็นอีกแบบหนึ่ง หากคุณก้าวเท้าขวา เหตุการณ์ของวันนั้นจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ..

แต่ละก้าวที่คุณก้าวออกไปข้างหน้า มันจะเกิดเป็น โลกอีกโลกหนึ่ง เป็นจักรวาลอีกจักรวาลหนึ่ง ที่มันจะดำเนินไปพร้อมๆกันกับจักรวาลนี้ๆที่คุณกำลังอ่านข้อความนี้ ..

และถ้าคุณ สามารถออกไปอยู่นอกโลก ถ้าคุณเป็นจิตวิญญาณที่สามารถมองเห็นทุกๆอณู ทุกๆเส้น strings (การสั่นของ string ก่อให้เกิดเป็น quarks, electrons และในที่สุด เป็นอะตอม) ถ้าคุณมองเห็นได้ทั้งสิ่งที่ใหญ่ที่สุดและเล็กที่สุด

ถ้าคุณมองเห็นได้ทุกอย่าง แม้แต่เวลา ก็ไม่อาจขัดขวางการรับรู้ของคุณ

ให้คุณลองมอง ชีวิตของจิตวิญญาณ หนึ่งๆ แล้วจะรู้ว่า .. แต่ละสิ่งมีชีวิต แต่ละชาติภพ แต่ละการกระทำ แต่ละขณะของทุกๆลมหายใจ แต่ละเสี้ยววินาที ทุกๆอณู ทุกๆสรรพสิ่ง มันเกิดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ อย่างคล้องจองกัน .. และประสานกัน อย่างมีเหตุและผล

อย่าถามเลยว่า .. กฎแห่งกรรมมีจริงไหม ??? มันมีของมันอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม!

ถ้าคุณยังระลึกชาติได้แค่ 4-5 ชาติ คุณก็ยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า กฎแห่งกรรม ไม่มีจริง

แต่หากเมื่อไหร่ คุณระลึกได้สัก ล้าน ชาติ .. เมื่อนั้น คุณคงบอกชาวโลกได้เต็มปากเต็มคำว่า มันมีอยู่จริง

พวกเราไม่ได้ถือกำเนิดแค่ ชาติเดียว หรือ สิบชาติ

เราถือกำเนิด หลายๆมิติ หลายๆดวงดาว หลายๆรูปแบบชีวิต หลายๆภพ หลายๆมิติ

เอาเป็นว่า นับไม่ถ้วน เป็นล้านล้าน ล้านล้านชาติ ก็ยังนับไม่ถ้วนเลย ><

สัญชาตญาณของสัตว์ ก็เป็นแค่ตัวบ่งบอกบุคลิกลักษณะและวิถีการดำเนินชีวิตของสัตว์ชนิดนั้นๆ ซึ่งจิตวิญญาณจะต้องมาเกิดเป็นสัตว์นั้นๆเช่นกัน .. และจิตวิญญาณไม่ได้เป็นแค่ดวงเดียวอยู่แบบโดดเดี่ยวในร่างนี้ตอนนี้ มันมีอยู่เป็นเครื่อข่าย และมันกำลังดำเนินไปพร้อมๆกันหมด ไม่ว่าจะแบคทีเรีย ไดโนเสาร์ หรือรูปธรรมหรือนามธรรมชีวิตแบบไหน พวกเราก็ล้วนกำลังถือกำเนิดอยู่และเป็นไป อย่างมีระเบียบแบบแผน และมีเหตุมีผล อย่างที่ มนุษย์อย่างเราๆ จินตนาการไม่ออกเลยแหละ

^^