สัจจะ ปรมาตมัน-อนาตมัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Amantrai, 29 ธันวาคม 2010.

  1. Amantrai

    Amantrai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +162
    จากการที่ได้อ่านหนังสือธรรมะเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ท่านว่าถึงการเกิดดังนี้ (สำนวนที่ยกมาอาจจะไม่ตรงทุกคำพูด แต่เนื้อหาสาระตรง)

    ...เกิดจากไข่ (อัณฑะชะ) เกิดจากครรภ์ (ชลาพุชะ) และ เกิดโดยการผุดหรือลอยขึ้น (โอปาติกะ) การเกิด 2 แบบแรกเป็นการเกิดของผู้ที่อยู่ในโลกมนุษย์ภูมิ (ไม่ขอบอกว่าใครบ้าง รู้กันดี) แบบที่ 3 เป็นการเกิดของผู้ที่อยู่ในสวรรค์ภูมิ นรกภูมิ อันได้แก่ เทวดา พรหม เปรตและอสุรกาย...

    ลองดูกันที่สวรรค์ภูมิ ท่านแบ่งเป็น เทวโลก กับ พรหมโลก เทวโลก เรียก ฉกามาวจร 6 หรือ สวรรค์ชั้นกาม 6 ชั้น ส่วนพรหมโลก ก็แบ่งเป็น รูปพรหม 16 ชั้น กับ อรูปพรหม 4 ชั้น

    เมื่อกล่าวถึงการเกิด และ ภพภูมิ นั่นย่อมแสดงถึงการมีตัวตน เมื่อมีตัวตนจึงจำเป็นต้องมีภูมิ คือ ที่อยู่ เห็นไหมว่า ทั้งหมดล้วนมีตัวตน มีแต่จิตไม่มีรูปก็ยังมีตัวตน

    .................................................(ไม่ขอเอ่ยเป็นคำพูด แต่ท่านที่มีปัญญา น่าจะรู้ว่าผมจะพูดว่าอย่างไร?)....................................

    เมื่อมีตัวตนเราจะสร้างแกนสัจจะ ปรมาตมัน-อนาตมันดังนี้

    ปรมาตมัน<----------------- อาตมัน ---------------------->อนาตมัน

    ปลายสุดด้านหนึ่งคือ ปรมาตมัน ส่วนปลายสุดอีกด้านคือ อนาตมัน มนุษย์เราเกิดมา จิตก็ดำรงความเป็นอาตมันอยู่บนแกน ปรมาตมัน-อนาตมัน เพียงแต่ว่าจะค่อนไปทางไหน และเราจะมุ่งพัฒนาไปทางปลายด้านไหน? ปรมาตมัน หรือ อนาตมัน

    มีจิตปรมาตมัน แต่ ไม่มีจิตอนาตมัน มีแต่จิตที่เข้าใกล้อนาตมัน เพราะถ้าเข้าสู่ภาวะอนาตมัน ก็จะไม่มีจิตหลงเหลืออยู่อีก เท่ากับไม่มีตัวตนแล้ว

    การฝึกอภิญญาทั้งหลาย เป็นการฝึกเพื่อพัฒนาจิตไปสู่ ปรมาตมัน เพราะนี่เป็นวิชาที่เกิดก่อนพุทธกาล ซึ่งเจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากปลงพระเกศา ท่านได้ไปศึกษาจากอาจารย์ 2 ท่าน (ตามพุทธประวัติ)

    พุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวไว้ในหนังสือธรรมะที่ท่านเขียนว่า อริยะบุคคลที่เข้าสู่นิพพาน คือ ดับไม่เหลือ มี 2 แนวทางคือ เจโตวิมุติ กับ ปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติคือท่านที่ออกด้วยจิตล้วนๆ ส่วนปัญญาวิมุติก็ใช้ปัญญาไตร่ตรองค่อยถอดออกไปเรื่อยๆ ท่านว่า แนวทางเจโตวิมุตินี่สำเร็จยากกว่าสายปัญญาวิมุติมาก

    ดังนั้น เมื่อจิตถึงภาวะปรมาตมันแล้ว ก็สามารถกำหนดตนเองเข้าสู่ภาวะ อนาตมันได้ โดยไม่ต้องค่อยๆถอดทีละขั้นๆ แต่โดยการดับตนเองให้หายวับไปเลย

    หากเลือกไปทางปรมาตมัน หลังจากจิตเข้าสู่ภาวะปรมาตมันแล้ว ก็มีทางเลือก 2 ทาง คือ ดำรงอยู่อย่างปรมาตมัน หรือ เลือกที่จะดับตนเองเป็นอนาตมัน แต่ถ้าเลือกไปทางอนาตมัน หลังจากจิตเข้าสู่ภาวะอนาตมันแล้ว จะเป็นปรมาตมันไม่ได้ เพราะดับไปแล้ว ไม่มีตัวตนอีก!

    ป.ล.
    ปรมาตมัน = ปรมัตตา
    อาตมัน = อัตตา
    อนาตมัน = อนัตตา

    ดังนั้นสาวกขององค์ศากยมุณี น่าจะเรียกตนเองว่า "อนัตตะ" มากกว่า "อาตมา" ในเมื่อถือหลัก เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เพราะคำว่า "อาตมา" เป็นกลุ่มคำเดียวกันกับ "อาตมัน"

    อาตมัน เป็น Noun, Adjective
    อาตมา เป็น Personal Pronoun

    ;);)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2011
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ทุกข์ สุข มันไม่เที่ยง...เพราะเป็นอารมณ์ ****

    แต่ที่เที่ยง คือ สัจจะธรรม
    สัจจะธรรม คือ ธรรมเที่ยง
    ไม่ว่าทำอะไร ก็เกิดเป็นตัวตนที่มีผลตอบแทน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** เข้าสู่ นิพพาน แล้ว ****

    จึงเหลือเป็น ตัวกระทำ...เป็น ตัวกระทำของตนเอง
    ตั้งแต่ต้น จนจบ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. Collon

    Collon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +17
    ชิบหายละ

    มั่วไปหมด
     
  5. เซี่ยมหล่อนั๊ง

    เซี่ยมหล่อนั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +665
    555+o+ อย่างงคะรับ ที่อ่านนะ คิดว่าเป็นทางพราหมณ์ นะครับ แค่เปรียบให้ฟัง กระมังครับ เพราะ ความหมายแม้จะเหมือนกัน แต่เจตนาการใช้ก็คงไม่ใช่สักเท่าไหร่ ละครับ ก็ฟังเอาความรู้ครับ แฮะๆๆ ชิบ ผมอยู่ครับ ไม่งั้นเปิดคอมไม่ได้ ขอโทษนะที่แซว แต่อยากคุยด้วยเท่านั้นละครับ
     
  6. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    อาตมัน ปรมาตมัน เป็นศัพท์สำเนียงภาษาทางศาสนาพราห์มฮินดูแต่โบราณ
    พุทธศาสนาก็มีเรียกอีกอย่าง ภาษาปัจจุบันก็มีเรียกอีกอย่างนึง

    อาตมัน มาจาก อัตตา + มนัส(มโนหรือใจ)
    หมายถึง ความรู้สึกที่เป็นตัวตนที่มีใจครอง อยู่ภายใน

    ปรมาตมัน หมายถึง อาตมันที่เปิดเผยออกสู่อนันตภาวะที่ปราศจากขอบเขตและกาลเวลา ไม่มีที่สิ้นสุด
    ปรมะ+อาตมัน

    เช่นเดียวกับ คำสมาสรากศัพท์วิทยาศาสตร์ ว่า ปรมาณู = พลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อมีการแยกหรือมีการรวมหรือเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียส(อณู) ภายในอะตอม ซึ่งเราเรียกการเปลี่ยนแปลงว่า " ปฏิกิริยานิวเคลียร์ "
    ปรมะ+อณู
     
  7. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    คิดเหมือนกันเลย มั่วมั่กๆๆ อย่าเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ให้มากนัก
     
  8. Amantrai

    Amantrai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +162
    ไม่มีภาษาพราหมณ์ ภาษาพุทธหรอกครับ มีแต่ สันสกฤต กับ บาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ชนเผ่าในภูมิภาคนั้นใช้กัน ไม่ใช่ว่าพอมีศาสนาพุทธก็มีภาษาบาลีเกิดขึ้น

    ที่ผมใช้ภาษาสันสกฤตก็เพราะปัจจุบันยังใช้กันอยู่ เทียบกับบาลีที่มีแต่คัมภีร์ในพุทธศาสนาเท่านั้น

    ส่วน ที่ว่า อาตมัน = อัตตา+มนัส นี่ใช้วิธีไหนครับ? เพราะไม่ใช่ทั้งสมาสทั้งสนธิ

    ปรมาณู นี่เป็นคำสนธิครับ ไม่ใช่สมาส เหมือนการปฏิสนธิ คือ ม+อณู แปลงรูปเหมือนการเกิด เป็น มาณู

    ถ้าสมาสต้องเป็นแบบนี้ครับ ศร + บถ = ศรบถ (สอนระบด) แปลจากข้างหลังมา = วิถีแห่งลูกธนู คือต้องอ่านตัวท้าย คือ ศร(สอน) เป็น (สอนระ)

    ;););););)
     
  9. Kinglondon

    Kinglondon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +70
    คำโบราณ ถ้าเข้าใจความหมายดีๆ ผมว่ามันลึกซึ่งนะครับ สังเกตุดู เหมือนคนคิดคำเค้าเข้าใจ
    อย่างแตกฉาน แล้วจับมาใส่เป็นภาษาได้กระชับและได้ใจความในตัวของมัน ^_^

    อนุโมธนา จขกท ครับ
     
  10. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    การสมาสคำ สนธิรวมคำ จริงๆแล้วไม่เก่งภาษาไทยนักครับ
    เลยเรียกไม่ค่อยถูกเท่าไหร่

    เท่าที่ทราบสมัยก่อนนอกจากสันสกฤต บาลี
    ก่อนนั้นยังมีภาษาอินเดียโบราณ อักษรพราหมี ภาษาปรากฤต
     
  11. Amantrai

    Amantrai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +162
    ทางพราหมณ์นี่ผมไม่เคยรู้อะไรไปมากกว่า อ่านหนังสือเทพปรณัมในห้องสมุด ในช่วงระหว่างวัยรุ่นจนถึงเรียนมหาลัยตอนต้น มันนานมากจนไม่แน่ใจ ก็เป็นไปตามวัยที่ชื่นชอบในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่จำได้ว่าพออยู่ม.ปลาย ก็ไม่ได้แขวนพระ หรือเครื่องลางของขลังเลย ได้มาก็ให้เขาไปหมด เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ พ่อแม่ให้มาติดตัวก็รับแบบขัดไม่ได้ เสร็จแล้วก็ให้เขาไปบ้าง ทิ้งขว้างไปบ้าง

    แล้วก็อ่านหนังสือเต๋า พุทธมหายานแบบเซ็น แต่ที่มากที่สุดก็คงจะเป็นพุทธหินยาน ซึ่งเคยเข้าคอร์สวิปัสนากรรมฐาน ที่ถือกันว่านี่เป็นของพุทธแท้ๆ เพราะสายอภิญญานั้นรับช่วงต่อมาจากอาฬาระดาบส กับอุทกะดาบส

    แต่เมื่อมาถึงตอนที่ตาที่ 3 เปิดแล้ว (จะเป็นการเปิดได้ด้วยตนเอง หรือ เทพเปิดให้แล้วแต่มุมมอง) ศัพท์เหล่านี้ก็เข้ามาเอง ถ้าเป็นศัพท์ทางพราหมณ์ฮินดูก็แปลก เพราะเทพเบื้องบนของผมไม่ใช่เทพทางโน้น เป็นเทพที่เคยรุ่งเรืองเป็นที่นับถือในประเทศจีนก่อนครั้งพุทธกาล มันนานมากจนเป็นนิยายปรัมปรา มีเพียงชนกลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่รู้

    มันอาจจะเป็นดังที่ผมตั้งชื่อกระทู้นะแหล่ะ

    เมื่อเป็นสัจจะความจริง ต่างกันที่ภาษา แม้แต่สารบบเทพก็แตกต่าง แต่ก็รับรู้ในสัจจะนั้นได้

    ;););););)
     
  12. CLEAR ATOMIC

    CLEAR ATOMIC สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +21
    คนทั่วไปแสวงหาความสุขและความยินดี ไม่ปราภนาความเศร้าความน่าสมเพช โดยคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ความคิดเช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง เพราะในช่วงที่เรามีความสุขคือช่วงที่เรามีความเสี่ยงมากที่สุดต่อการตกลงสู่ความทุกข์ ความกลัวการสูญเสียควมสุขจะไปกัดกร่อนเขา ในขณะที่ความเศร้าสามารถกระตุ้นให้เราทบทวนแก้ไขตัวเองได้ ความสุขสุดยอดคือการมีสันติภายในใจเรา ว่าแต่ว่าคนเราจะได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร คนเราสามารถมีความสุขชั้นยอดนั้นได้ ถ้าหากคนเราตระหนักรู้ตัวเราเองได้ว่าตัวเราคือ อาตมัน ที่ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ไม่มีเศร้าหมอง ไม่มีจม ไม่มีลอย ความสุขอันเป็นนิรันดร์จะมีได้จากความรู้เท่านั้น ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาของอุปนิษัทที่เป็นศาสตร์ของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นความจริง ที่ไม่มีภูมิปัญญาใดๆเทียบได้
    ส่วนปรมาตทมัน
    คือความเป็นจริงในพระเจ้า
    พระเจ้าคือทั้งหมด คือรูปทั้งหมด คือนามทั้งหมด ไม่มีที่ใดที่ไม่มีพระเจ้า และไม่มีเวลาใดที่ไม่มีพระเจ้า พวกเราจงยอมรับพระเจ้าทุกรูปทุกนาม ทั้งปวงเข้ามาอยู่ในใจของพวกเรา พระเจ้าคือความรัก ความงาม ความเมตตา คือน้ำอมฤต ดังนั้นผู้ที่ค้นหาและพบพระเจ้าก็คือ ปรมัตมัน พระเจ้าเป็นสิ่งอัศจรรย์ ในโลกแห่งวัตถุภายนอกไม่มีวันที่จะรับรู้พระเจ้าได้ พระเจ้าอยู่ในท่ามกลางแห่งความเป็นหนึ่งเดียว หากจะค้นหาเพชรก็ต้องขุดไปใต้ดินให้ลึกๆ เพราะเพชรไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศ หากจะค้นพบพระเจ้าก็จงหาในส่วนลึกของหัวใจ เพราะพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ออกมาล่อใจในรูปแบบต่างๆ หลายคนยอมรับพระเจ้าอยู่ในทุกหนทุกแห่ง แต่กลับลืมไปว่าพระเจ้าก็อยู่ในตัวเรา
     
  13. CLEAR ATOMIC

    CLEAR ATOMIC สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +21
    ส่วนสัจธรรมก็เปรียบคือ โลกภายใน ซึ่งตรงข้ามกับโลกภายนอกคือ อากาศ น้ำ ดวงอาทิตย์ รถยนต์ โทรทัศน์ กระเป๋า เสื้อผ้า กางเกง รองเท้า โลกภายในจะไม่มีโลกของวัตถุ หรือเรียกอีกอย่างนึงก็คือจิต จิตสำนึกอันบริสุทธิ์ที่แท้จริง ความหมายก็อาจจะใกล้เคียงกับ อาตมัน เช่นผู้ที่แสวงหาบรมสุขของอาตมันจะต้องไม่แสวงหาความสุขจากประสาทสัมผัส
    และอีกตัวอย่างหนึ่ง ผู้นำต้องมีขันติ และยึดสัจธรรม ก็คือความหมายจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ที่แท้จริงและสัตย์ซื่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...