ทำทานมาเยอะแล้ว เป็นปีๆเลยนะ แต่ทำไมไม่เห็นรวย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 17 ธันวาคม 2010.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,239
    ถาม – ทำทานมาเยอะแล้ว เป็นปีๆเลยนะ แต่ทำไมไม่เห็นรวยซะทีครับ?
    ก่อนอื่นต้องเห็นภาพกว้างที่สุดอย่างนี้ครับ ความรวยที่มั่งคั่งและมั่นคงแต่แรกเกิดมักจะมาจากการมีทานจิตยิ่งใหญ่สม่ำเสมอในอดีตชาติ กล่าวคือถ้าชาติใดมีความคิดเสียสละ มีความคิดอยากให้ทรัพย์แก่คนยาก มีเจตนาทำนุบำรุงสมณะนักบวชให้อยู่ดีมีความสุขในการประพฤติพรหมจรรย์ โดยทำเรื่อยๆตามควรแก่ฐานะ บุญจะสั่งสมเป็นกองภูเขา อีกทั้งจิตใจจะเปิดกว้างไม่ตระหนี่คับแคบ ซึ่งรวมรวบยอดแล้วพอสิ้นสุดภพนั้น กรรมก็จะเลือกสรรแดนเกิดใหม่ให้ โดยมีความสบายรับกับจิตที่ปราศจากโลภะ เมื่อเลือกที่เกิดให้ก็ยังไม่หมดแรงส่ง เพราะทานที่ทำทั้งชาติมีกำลังใหญ่ สายป่านยาว จึงส่งแรงอุดหนุนให้มั่งคั่งสม่ำเสมอเนิ่นนาน โอกาสร่วงหล่นจากบัลลังก์เพชรบัลลังก์พลอยนั้นยากยิ่ง
    ส่วนคนที่รวยปานกลาง แล้วต่อมาประกอบธุรกิจจนร่ำรวยยิ่งใหญ่เป็นอภิมหาเศรษฐีนั้น มีเหตุปัจจัยในปัจจุบันเป็นหลักตั้ง และมีบุญจากการให้ทานในอดีตเป็นส่วนเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทานที่เคยทำในอดีตชาติเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่กำลังประกอบอยู่ในปัจจุบัน เช่นอดีตเคยทำขนมถวายพระด้วยใจปรารถนาให้พวกท่านลิ้มรสดีๆเป็นประจำ แล้วชาติปัจจุบันมีความชอบใจประกอบธุรกิจทำขนม ก็จะเป็นผู้มีความฉลาดเลือกเครื่องปรุง ฉลาดแต่งรส กับทั้งมีโชคด้านการตลาด ทำมาค้าขึ้น เลื่องชื่อลือชาในฝีมือทำขนมชนิดที่ใครๆก็ต้องแห่มาที่ร้านไม่ขาดสาย แต่ถ้าชาติปัจจุบันเลือกจะเป็นลูกจ้าง บุญที่เคยทำขนมถวายพระก็ต้องเก็บไว้ก่อน เป็นต้น
    สำหรับคนที่ยากจนมาแต่เกิด คิดทำงานเป็นลูกจ้างก็ไม่ค่อยได้เลื่อนขั้นเลื่อนเงินเดิน คิดลาออกมาเป็นเถ้าแก่ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดโดยไม่มีกำไรงอกเงยสักที อันนี้อาจจะขาดแรงส่งจากการทำทานในอดีตชาติ และอาจจะขาดความคิดอ่านหรือมุมมองเชิงธุรกิจในชาติปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ว่าอดีตอาจฉ้อฉลคดโกงคนอื่นไว้ หรือลักขโมยคนอื่นไว้มาก ชาตินี้เมื่อคิดมีทรัพย์เป็นของตัวเองจึงอาจถูกหลอก ถูกโกง หรือถูกภัยธรรมชาติย่ำยีเอา นี่พูดอย่างเป็นกลางๆตามเนื้อผ้านะครับ หากโดนใครก็โปรดอย่าเสียอกเสียใจเลย รู้เหตุรู้ผลแล้วก็จะได้ไม่ย่ำซ้ำรอยเดิมอีก
    เมื่อมองภาพใหญ่ให้ได้ ๓ ระดับคร่าวๆข้างต้นแล้ว คราวนี้วกกลับมาถึงคำถามว่าทำไมทำทาน (ในชาติปัจจุบัน) มาเป็นปี ไม่เห็นมีผลเป็นความร่ำรวยปรากฏสักที? อันนี้ก็พอจะตอบได้ว่า เพราะเหตุปัจจัยในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ ทั้งแง่ของความฉลาดหาเงิน และทั้งในแง่ของลำดับกาลให้ผลกรรมเกี่ยวกับทาน ขอจงอย่าไปยึดผิดๆว่าทานในปัจจุบันเป็นเหตุผลเดียวโดดๆที่ทำให้ร่ำรวยขึ้นได้ทันที เพราะทานที่ทำในปัจจุบันชาติมักมาในรูปของกำลังหนุน ไม่ใช่หัวรถจักรฉุดดึงฐานะทางการเงิน
    ถ้าอดีตใครเคยตระหนี่มาทั้งชาติ กระแสความตระหนี่นั้นยังท่วมท้น ยังบีบให้อยู่ในภพที่คับแคบ ยังไม่หมดเวลาให้ผล มาชาติปัจจุบันถ้าไม่มีเงื่อนไข ไม่มีแรงส่งให้ถีบตัวหนีการเกาะกุมของวิบากเก่า อย่างนี้แม้พยายามทำทานก็อาจยังไม่เห็นผลเป็นความร่ำรวยเร็วนัก
    ถาม – ผมเข้าใจถูกไหมว่าการทำทานเป็นเหตุแห่งความร่ำรวย? ถ้าหากเข้าใจผิด หรือยังทำบุญไม่ถูกอย่างไร จะขอคำแนะนำหน่อยได้ไหม?
    ขอสรุปง่ายๆคือถามว่าทำบุญอย่างไรจึงจะรวยเร็วทันตาเห็นนะครับ ประทานโทษ นี่พูดตามเนื้อผ้า ไม่ได้ว่ากระทบกัน แต่ผมเห็นคนตั้งคำถามแบบนี้หรือคิดทำนองนี้เมื่อใด ดูแล้วทำบุญด้วยจิตของนักเก็งกำไรทุกที คือคิดในแง่การลงทุนที่ต้องการได้ผลตอบแทน ไม่ใช่ทำทานด้วยจิตคิดสละเอาเลย และเมื่อไม่ได้ทำทานด้วยจิตคิดสละ ไม่ได้ทำเพราะอยากอนุเคราะห์อย่างแท้จริง ทานนั้นก็มักมีผลน้อย หรือให้ผลช้า เนื่องจากความโลภเป็นของหนัก นอกจากทำจิตให้ทึบ ไม่ปลอดโปร่งเป็นกุศลเต็มที่แล้ว ยังบั่นทอนกำลังบุญ หรือหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เกิดผลเร็วอีกด้วย
    ลงทุนทำธุรกิจยังมีความเสี่ยง ยังผิดหวังบ้าง สมหวังบ้าง แล้วลงทุนในรูปแบบของทาน จะให้ได้ดังใจทุกครั้งอย่างไรไหว? กฎแห่งกรรมวิบากเขาไม่ได้ทำงานแบบให้ทานแล้วต้องรวยทันทีเสมอไปครับ เขาดูก่อนว่าคุณคิดให้ด้วยเจตนาอะไร ดูว่าใจคุณ
    จริง แค่ไหน ถ้าตรวจสอบแล้วผ่าน เขาก็ให้ ไม่มีการอั้นไว้ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชังใดๆอย่างแน่นอน
    เพื่อให้เปรียบเทียบง่ายว่าทานที่ดีต้องหลีกเลี่ยงอาการท่าไหน ผมจะพาสำรวจการทำงานของจิตขณะให้ทานแบบเก็งกำไรดังนี้
    ๑) ก่อนให้มีความโลภครอบงำ จิตจึงมืด ไม่สว่าง
    ๒) ขณะให้อาจมีความรู้สึกดีๆบ้าง จิตจึงอาจสว่าง แต่ก็ยืนอยู่บนฐานของความโลภอยู่ดี
    ๓) หลังทำจะมีความคาดหวัง รอคอย ชนิดแทบจะชะเง้อออกมานอกหน้าต่างทุก ๕ นาทีว่าเมื่อไหร่ลาภจะชะลอลงมาจากฟากฟ้า
    เห็นชัดๆทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำอย่างนี้ ลองหาให้เจอสิครับว่ากุศลจิตขนานแท้อยู่ตรงไหน กฎแห่งกรรมวิบากที่ชัดเจนข้อหนึ่งคือถ้าก่อกรรมโดยมีโลภะ โทสะ โมหะเจืออยู่ กรรมนั้นจะเป็นอกุศล หรือกระเดียดไปในทางอกุศล หรืออย่างน้อยที่สุดถึงตั้งต้นเป็นกุศลจริงก็จะถูกแย่งพื้นที่ความสว่างไป ด้วยเพราะมีเงาอกุศลทาบทับอยู่ดี
    ไม่ใช่ว่าทำบุญแบบเก็งกำไรแล้วสูญเปล่าหรอกนะครับ ผลบุญยังมีอยู่ดี เพียงแต่จะมาช้า แล้วก็ไม่หนักแน่น ทำนองเดียวกับนักดนตรีที่เล่นไม่เก่ง ใช่ว่าทำให้เสียงดนตรีดังไม่ได้ แต่ดังแล้วไม่เพราะ ไม่ได้จังหวะจะโคน ไม่หนักแน่นเร้าใจเท่านั้นเอง
    มาถึงข้อที่ว่าทำทานอย่างไรจะเรียกว่าเป็นทานอย่างแท้จริง เป็นบุญที่อำนวยผลใหญ่รวดเร็ว ก่อนอื่นคุณต้องเลื่อมใสว่าทานมีผลทั้งปัจจุบันและอนาคต
    ผลปัจจุบันคือมีความสุขที่จะให้ มีความสุขกับการได้ช่วยเหลือ มีความสุขจากการสละขยะหมักหมมพะรุงพะรังออกจากจิต พูดง่ายๆคือได้เสพสุขจากจิตอันทรงภาวะเมตตากรุณานั่นเอง
    ผลในอนาคตคือการสะท้อนตอบแบบให้ไปย่อมได้มา คุณช่วยคนอื่น ก็คือการสร้างแรงขึ้นมาแรงหนึ่งส่งออกไป ย่อมมีแรงสะท้อนกลับเป็นการมีมือมนุษย์ช่วยเหลือ หรือมีเหตุการณ์ประจวบเหมาะช่วยเหลือ หรือถือกำเนิดใหม่ในแดนเกิดที่พร้อมช่วยเหลือให้คุณอยู่สบายไม่เดือดร้อน
    การมีความเลื่อมใสว่าทานมีผลนั้น แตกต่างจากการโลภว่าทำทานต้องได้ผลตอบแทนคืนมา จิตคุณจะเชื่อมั่นว่ากำลังทำดี สร้างทางน่าอบอุ่นใจให้ตนเองเดินทั้งในปัจจุบันและอนาคต ก่อนทำคุณไม่คาดหวังว่าต้องได้ผลคืนเป็นเงินทองเท่าใด ขณะทำคุณเป็นสุขกับบุญอันวิเศษ หลังทำคุณอิ่มใจที่ประกอบกรรมดีสำเร็จ
    เมื่อไหร่ที่คุณให้จนเกิดความรู้สึกราวกับซื้อของให้ตัวเอง นั่นแหละคุณ
    ทำทาน อย่างแท้จริง ฝึกจนถึงจุดจริงๆจะรู้ครับว่ารู้สึกอย่างไร เหมือนดีใจที่ได้ของเอง เพราะเข้าใจล่วงหน้าอย่างลึกซึ้งว่าผู้รับเขาจะเกิดปีติสุขและอิ่มเอมกับการใช้ของขนาดไหน แล้วคุณพลอยร่วมยินดีในระดับเดียวกันหรือเกินกว่าเขา
    สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และทุกคนเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็คือมีคนจนมากกว่าคนรวย ซึ่งก็สอดคล้องกันดีกับความจริงที่ว่ามีคนอยากเอามากกว่าอยากให้ นี่เป็นกฎธรรมชาติ และธรรมชาติก็แสดงผลให้ดูกระจะตาอยู่ตลอดเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงแต่สิ่งมีชีวิตทั่วไปไม่อาจจับเหตุมาชนผลได้ถูก ต้องอาศัยผู้รู้เช่นพระพุทธเจ้ามาประกาศ ท่านทั้งยืนยันและตรัสในลักษณะคะยั้นคะยอให้ทำบุญอย่างถูกต้อง ทำบุญให้มากเถิด ผลคือความสุขความสวัสดีย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน
    จะว่าไปถ้าคิดตามสามัญสำนึกของคนทั่วไปที่ถูกครอบงำด้วยความไม่รู้และอุปาทาน ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจเหมือนกันนะครับ เพราะหลักการเบื้องต้นฟังขัดแย้งกันชอบกล อยากมีมาก แต่หากให้คนอื่นไปแล้วมันจะมีมากได้อย่างไร ก็ต้องมีน้อยลงน่ะซี เห็นด้วยตาเปล่าชัดๆ
    นี่แหละ เรามัวแต่เชื่อตาเปล่าจนลืมชำเลืองกลับมาที่ใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนยิ่งคิดให้มากเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งเบาลงจากความโลภและความตระหนี่เท่านั้น เป็นกุศลสว่างยิ่งๆขึ้นเท่านั้น
    ขอให้สังเกตเถิดครับ นักให้ทานมือใหม่ โดยเฉพาะที่ให้แบบนักลงทุนเก็งกำไรนั้น จะให้แบบเกร็งๆ ยั้งๆ เหนียวๆ ไม่ค่อยให้เต็มที่หรอก สมมุติว่าในมือมีอยู่ร้อย ก็จะเจียดให้เพียงหนึ่ง หรือไม่ใจป้ำที่สุดก็สิบ แต่เวลาหวังผลจะให้คูณแสนคูณล้าน กลายเป็นเสริมความงกไปเสียนี่ พูดง่ายๆ ยิ่งจนก็ยิ่งหลงประกอบเหตุแห่งความยากจนหนักเข้าไปใหญ่
    คำแนะนำที่ดีที่สุด คือประกอบสัมมาอาชีพ ขยันขันแข็งให้เต็มกำลัง และอย่าหวังรวยทางลัด การมีอาชีพซื่อสัตย์สุจริตและความขยันขันแข็งนั้น ไม่ใช่อำนวยผลเฉพาะหน้าที่การงานนะครับ แต่ยังเหมือนเป็นฐานรองรับความกินดีอยู่ดีที่สมตัวในระยะยาวด้วย
    เมื่อประกอบอาชีพสุจริต มีรายได้มา ก็ลองฝึกที่จะเผื่อแผ่ เจือจาน ได้น้อยก็ทำน้อย แต่ขอให้มีใจใหญ่เป็นหลักก็แล้วกัน คุณจะพบด้วยตนเองว่าการให้ในแต่ละครั้งนั้น มีปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับใจตน คือเบาลงเรื่อยๆ ยินดีมากขึ้นเรื่อยๆ เลื่อมใสในการให้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตรงนั้นต่อให้ไม่มีผลตอบแทนเป็นรูปธรรมใดๆ ใจคุณก็ไม่รอแล้ว เพราะอิ่มสุขอิ่มปีติอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว
    ตรงจุดนั้นแหละครับ ความช่วยเหลือจากธรรมชาติจะเริ่มไหลมาเทมา คุณไม่อยากได้ก็ต้องได้ คุณไม่อยากรวยก็ต้องรวย เพื่อเอาไว้เป็นทุนทำทาน เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวต่อไปไงครับ
    ที่มา http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare031.htm

     
  2. จำนนกรรม

    จำนนกรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +54
    อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ อ่านแล้วมีความรู้สึกดีจัง อยากทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง
     
  3. pyramid1974

    pyramid1974 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +48
    ศึกษา เรื่องการทำบุญ การทำทาน ที่ให้ผลเต็ม 100 ได้ จากเวปไซด์บ้านสวนพีระมิด อ.บ้านนา จ.นครนายก
    1.วัตถุทานบริสุทธิ์
    2.ผู้ให้ทานบริสุทธิ์
    3.ผู้รับทานบริสุทธิ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...