ธรรมะ สวดมนต์ สมาธิ และผลที่ได้จากการปฏิบัติ ของจริงหรืออุปาทานครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปลาแมว, 5 ธันวาคม 2010.

  1. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ออกตัวก่อนนะครับว่า เป็นคำถามที่อาจใช้ภาษาไม่รื่นหูนัก และเจตนาในการถามอาจไม่ถูกใจบางท่าน แต่เป็นการถามเพราะอยากรู้ หากท่านใดที่รู้สึกไม่ดีผมก็ขอโทษล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ครับ

    ผมได้เห็นความเสื่อมของสังคม เอาเฉพาะในประเทศไทย ทั้งคนเลวที่มีอำนาจ ทั้งพระที่บวชเป็นอาชีพมากกว่าสืบทอดพระศาสนา ทั้งภาวะความเสื่อมทรามในใจคนที่แสดงออกมาผ่านการกระทำต่าง ๆ ทั้งฉ้อโกง ขโมย ข่มขืน ปล้น และอื่นๆ อีกมากมาย

    สิ่งที่ผมติดใจคือ หลายคนก็มักจะบอกว่า นี่เป็นกรรมเก่า ผลจากกรรมอันนั้นส่งมาอันนี้ กรรมของประเทศบ้างล่ะ กรรมของกลุ่มบุคคลบ้างล่ะ หรืออย่าดูเหตุการณ์ตรงหน้าบ้างล่ะ ผมติดใจว่า สรุปแล้วเหตุการที่เกิดขึ้นนี่ อะไรก็โยนให้กรรมหมดเลยแบบนั้นหรือครับ? แน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลจากกรรมเก่าล้วนๆ ไม่ใช่ว่าเป็นกรรมใหม่ที่เพิ่งเกิด โดยไม่มีเหตุต่อกันมาก่อน หรือ กระทั่งไม่เกี่ยวกับกรรมใด ๆ เลย อย่างนั้นหรือครับ

    อย่างที่ผมเกริ่นนำไปว่า สังคมไทยมีความเสื่อมถอยนั้น ทั้งนักการเมืองที่โกงกิน ตำรวจที่รีดไถประชาชน คนที่ข่มขืนผู้หญิง พระที่กินมาม่าตอนเที่ยงคืน หรือเดินพันทิบซื้อแผ่นเกมส์ ฯลฯ ซึ่งพอหลายคนเจอเรื่องดังกล่าว ก็ได้แต่คิดว่า เดี๋ยวคนเหล่านั้นก็โดนกรรมตามทัน หรือไม่ก็ มันเป็นกรรมที่ส่งให้เค้ามาทำแบบนี้ ผมมีคำถามว่า มันใช่หรือครับ? เรางมงายกันเกินไปหรือไม่ที่อะไรก็โยนให้กรรมทั้งหมด เรามีกฎหมายที่เป็นเพียงเสือกระดาษ และไม่มีการปฏิบัติจริงกับทุกกลุ่ม มีสองมาตรฐานในทุกด้านของสังคม โดยที่คนธรรมดาก็ได้แต่นั่งตาปริบ แล้วบอกว่า "เดี๋ยวกรรมก็สนองมัน" แบบนี้มันใช่หรือครับ?

    คำถามอีกส่วนนึงของผมก็คือ

    1. ผลจากการปฏิบัติตามหลักศาสนาเป็นของจริงหรือไม่? ผลที่ได้จากการปฏิบัติโดยพระอาจารย์ รวมถึงฆราวาสที่เคร่งหลายท่าน เป็นของจริงหรืออุปาทานครับ ส่วนตัวผมเชื่อว่าของจริงมีแต่น้อยมาก ที่เหลือถ้าไม่อุปาทาน ก็พวกหลอกหากินกับคนที่กำลังทุกข์

    2. ศาสนาเป็นของจริง หรือเป็นแค่เครื่องมือของมิจฉาชีพสำหรับใช้กล่อมคนให้อยู่ใต้ศาสนาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยที่เรื่องทั้งหมดอุปโลกน์ขึ้น - เหมือนกับการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือให้คนงมงาย เพื่อที่จะได้ทำชั่วยังไงก็ได้ เมื่อทำแล้วและกฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้ ก็กล่อมให้คนเชื่อว่า เดี๋ยวกรรมก็สนอง ทำให้คนไม่ยึดติดกับกฎหมายจริงในสังคม แต่อิงกฎแห่งกรรมเป็นหลัก

    3. ถ้าศาสนาเป็นของจริง มีกฎแห่งกรรมสนองจริง และจุดมุ่งหมายคือให้ทุกคนทำดีจริง ทำไมถึงไม่มีการสนองต่อกรรมนั้นแบบที่เห็นได้ พิสูจนได้ โดยคนปกติทั่วไปครับ ทำไมการพิสูจน์กรรมมันยากถึงขนาดที่ต้องปฏิบัติ ทำสมาธิ เพื่อจะได้เห็นกรรมเหล่านั้นครับ

    4. พระในไทยมีหลายองค์ที่ผมเห็น ทั้งในพันทิบ ในคลองถม ในวรจักรหรือแม้แต่ในวัด ที่มีพฤติกรรมเสื่อมทราม เน้นเอาปัจจัย ใครให้ซองก็วิ่งเข้าหา ถึงขนาดแย่งกันบิณฑบาต เอาป้จจัยที่ได้ ไปซื้อเครื่องเล่นเกมส์ ทีวีจอยักษ์ โน๊ตบุ้ค เที่ยงคืนกินมาม่า เหมือนกับคนเหล่านี้แค่มาอยู่ในผ้าเหลืองเป็นอาชีพ เกาะศาสนาอาศัยศรัทธาและความงมงายคนในการหากิน ผมถามว่า เสื่อมขนาดนี้ทำไมเราไม่เห็นกรรมสนอง ทั้งตัวผู้บวชเอง ทั้งคนที่ปล่อยให้ศาสนาเสื่อม เรามีการพูดกันว่ากรรมหนักมาก จะต้องตกนรกโน้นนี้ โดนทำโทษแบบนี้ แบบนั้น ทำไมเราจะต้องรอการสนองกรรมที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยที่ไม่มีการจัดการใด ๆ กับพระเหล่านี้เลย เรางมงายกันเกินไปหรือเปล่า

    ขอบคุณครับ
     
  2. ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3,277
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,490
    ขอเชิญท่านผู้รู้ให้ความกระจ่างแก่จขกท. (f)
     
  3. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    1.คุณถามว่าผลการปฏิบัติต่างๆ เป็นจริงหรือไม่ คือคุณมีความเชื่ออยู่แล้วว่า “ส่วนตัวผมเชื่อว่าของจริงมีแต่น้อยมากที่เหลือถ้าไม่อุปาทาน ก็พวกหลอกหากินกับคนที่กำลังทุกข์ ” ผมเข้าใจถูกไหมครับว่าความเชื่อของคุณมันขัดกับคนหลายๆ คน คุณเลยอยากให้คนเหล่านั้นพิสูจน์ให้คุณเชื่อว่าสิ่งที่คุณคิดมันไม่ถูกต้องอย่างไร ทำไมคนเหล่านั้นถึงมีความเชื่อที่ต่างจากคุณ เป็นเพราะเขางมงายเกินไปหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ลองพิสูจน์ให้คุณเห็นดู แล้วคุณอยากให้คนเหล่านั้นพิสูจน์อย่างไรล่ะครับคุณถึงมองว่าไม่งมงาย ถ้าคุณเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ปฏิบัติไม่ได้แล้วหากินกับคนที่กำลังทุกข์ อย่างนี้ต้องหาเรื่องของคนที่ปฏิบัติส่วนใหญ่คือเกิน 50% มาให้คุณดูหรือแล้วแสดงให้เห็นด้วยว่าเขาไม่ได้หากินกับคนที่กำลังทุกข์ หรือปฏิบัติได้ผลจริงอย่างนั้นหรือเปล่า
    2.คุณมีความเชื่ออยู่แล้วว่า “ศาสนาเป็นแค่เครื่องมือของมิจฉาชีพสำหรับใช้กล่อมคนให้อยู่ใต้ศาสนาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะโดยที่เรื่องทั้งหมดอุปโลกน์ขึ้น - เหมือนกับการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือให้คนงมงายเพื่อที่จะได้ทำชั่วยังไงก็ได้ เมื่อทำแล้วและกฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้ก็กล่อมให้คนเชื่อว่า เดี๋ยวกรรมก็สนอง ทำให้คนไม่ยึดติดกับกฎหมายจริงในสังคมแต่อิงกฎแห่งกรรมเป็นหลัก” พิสูจน์อย่างไรล่ะครับคุณถึงมองว่าไม่งมงาย อย่างแรกคงต้องพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้อุปโลกน์ขึ้น จากนั้นก็ต้องพิสูจน์ว่าผู้ที่ก่อตั้งศาสนาไม่ใช่มิจฉาชีพ แล้วก็พิสูจน์ว่าไม่ได้ทำเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อให้คนงมงายทำชั่วอย่างไรก็ได้ แล้วอย่างนี้คุณไม่ขอมากไปหรือครับ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่ใครจะทำให้คุณขนาดนี้ คุณต้องลองศึกษาดูพิสูจน์ให้เห็นด้วยตัวเอง เหมือนกับผมบอกว่าถ้าคุณหลงป่าหลายวันแล้วคุณต้องทำอย่างนี้ ๆ แล้วคุณจะรอดมาได้ แล้วคุณเกิดหลงป่าขึ้นมาทำตามที่ผมบอกแล้วคุณริดมได้คุณถึงจะรู้ว่าที่ผมพุดเป็นความจริง แต่ก่อนที่คุณจะหลงป่าคุณก็ไม่ต้องเชื่อที่ผมพูดเลย แค่รับฟังไว้เท่านั้น คุณเห็นไหมว่าเมื่อคุณมาพร้อมกับความเชื่ออะไรบางอย่างอยู่แล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น <O:p></O:p>
    3.เรื่องการสนองกรรมแบบเห็นได้พิสูจน์ได้ อย่างศาสนาพุทธสอนว่าการเกิดผลของกรรมมันต้องใช้เวลาอาจจะเป็นปีๆ ก็ได้ มีน้อยที่เห็นผลในชาตินี้ ถ้าคุณอยากที่จะพิสูจน์ความเชื่อนี้คุณจะพิสูจน์อย่างไร คุณจะต้องพิสูจน์ก่อนนะว่าชาติหน้ามีจริง แล้วต้องระบุให้ได้ว่าคนนี้ไปเกิดเป็นใคร แล้วต้องตามดูเขาว่าเขาเคยทำกรรมอย่างนี้ๆ เขารับหรือยัง มันดูจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่มีปฏิบัติจนเกิดความรู้ขึ้นแบบนี้ หรือถ้าคุณลองไปเปิดกรรมกับคนที่เปิดกรรมได้จริงคุณจะเชื่อหรือเปล่า<O:p></O:p>
    4. อย่างพระที่ทำผิดพระวินัยทำไมคุณถึงไม่เห็นกรรมตามสนอง คุณเชื่อว่าเมื่อเห็นท่านทำผิดแล้วท่านจะได้รับกรรมทันทีแบบนั้นหรือเปล่า หรือคิดว่าที่เห็นพระทำผิดพระวินัยแล้วโดนสืบว่าทำผิดมาเป็นสิบๆ ปี แล้วกรมจะสนองให้ตายไปอย่างนี้หรือเปล่า แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ต้องตามติดท่านตลอดเวลา แล้วสังเกตดูท่านว่าท่านไม่ได้รับผลกรรมที่ก่อจริงใช่ไหม แล้วถ้าท่านไม่มรณภาพไปคุณจะไม่เชื่อว่าท่านได้รับผลกรรมหรือ<O:p</O:p
     
  4. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ปลาแมว

    ออกตัวก่อนนะครับว่า เป็นคำถามที่อาจใช้ภาษาไม่รื่นหูนัก และเจตนาในการถามอาจไม่ถูกใจบางท่าน แต่เป็นการถามเพราะอยากรู้ หากท่านใดที่รู้สึกไม่ดีผมก็ขอโทษล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ครับ

    ตามสบาย ครับ ถ้าคิดว่า คำถามเป็นประโยชน์ กับตัวเอง และส่วนรวม

    ผมได้เห็นความเสื่อมของสังคม เอาเฉพาะในประเทศไทย ทั้งคนเลวที่มีอำนาจ ทั้งพระที่บวชเป็นอาชีพมากกว่าสืบทอดพระศาสนา ทั้งภาวะความเสื่อมทรามในใจคนที่แสดงออกมาผ่านการกระทำต่าง ๆ ทั้งฉ้อโกง ขโมย ข่มขืน ปล้น และอื่นๆ อีกมากมาย

    พระพุทธเจ้า แยกคนไว้ ๔ ประเภท ด้วยเหตุ ของ กิเลส ตัณหา อุปทาน และอกุศลกรม

    สิ่งที่ผมติดใจคือ หลายคนก็มักจะบอกว่า นี่เป็นกรรมเก่า ผลจากกรรมอันนั้นส่งมาอันนี้ กรรมของประเทศบ้างล่ะ กรรมของกลุ่มบุคคลบ้างล่ะ หรืออย่าดูเหตุการณ์ตรงหน้าบ้างล่ะ ผมติดใจว่า สรุปแล้วเหตุการที่เกิดขึ้นนี่ อะไรก็โยนให้กรรมหมดเลยแบบนั้นหรือครับ? แน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลจากกรรมเก่าล้วนๆ ไม่ใช่ว่าเป็นกรรมใหม่ที่เพิ่งเกิด โดยไม่มีเหตุต่อกันมาก่อน หรือ กระทั่งไม่เกี่ยวกับกรรมใด ๆ เลย อย่างนั้นหรือครับ

    กรรมคือการ กระทำ ทั้งดี และเลว ทั้งในอดีต และ ปัจจุบัน ถ้าเราสร้างเหตุไว้ดี ผลที่ออกมา ก็ต้องดี วันนี้เราปลูกมะพร้าว ปลูกมะม่วง หากว่าในวันข้างหน้า เรามีมะพร้าว มีมะม่วงกิน ก็จัดว่าเป็นผลของกรรมเหมือนกัน .. นี่อุปมา นะ

    อย่างที่ผมเกริ่นนำไปว่า สังคมไทยมีความเสื่อมถอยนั้น ทั้งนักการเมืองที่โกงกิน ตำรวจที่รีดไถประชาชน คนที่ข่มขืนผู้หญิง พระที่กินมาม่าตอนเที่ยงคืน หรือเดินพันทิบซื้อแผ่นเกมส์ ฯลฯ ซึ่งพอหลายคนเจอเรื่องดังกล่าว ก็ได้แต่คิดว่า เดี๋ยวคนเหล่านั้นก็โดนกรรมตามทัน หรือไม่ก็ มันเป็นกรรมที่ส่งให้เค้ามาทำแบบนี้ ผมมีคำถามว่า มันใช่หรือครับ? เรางมงายกันเกินไปหรือไม่ที่อะไรก็โยนให้กรรมทั้งหมด เรามีกฎหมายที่เป็นเพียงเสือกระดาษ และไม่มีการปฏิบัติจริงกับทุกกลุ่ม มีสองมาตรฐานในทุกด้านของสังคม โดยที่คนธรรมดาก็ได้แต่นั่งตาปริบ แล้วบอกว่า "เดี๋ยวกรรมก็สนองมัน" แบบนี้มันใช่หรือครับ?

    คิดว่าคงพอเข้าใจ เรื่องกรรม มาพอสมควร นะครับ

    คำถามอีกส่วนนึงของผมก็คือ

    1. ผลจากการปฏิบัติตามหลักศาสนาเป็นของจริงหรือไม่? ผลที่ได้จากการปฏิบัติโดยพระอาจารย์ รวมถึงฆราวาสที่เคร่งหลายท่าน เป็นของจริงหรืออุปาทานครับ ส่วนตัวผมเชื่อว่าของจริงมีแต่น้อยมาก ที่เหลือถ้าไม่อุปาทาน ก็พวกหลอกหากินกับคนที่กำลังทุกข์

    ผลของการปฏิบัติ .. หากท่านอิ่ม หรือหิวกระหาย ถามว่าคนอื่นเค้ารู้ กัยท่านด้วยหรือเปล่า และหากว่าท่านอิ่มอยู่ แต่คนอื่นมาบอกว่า ท่านหิว ท่านจะเชื่อเขาไหม ?

    และหากท่านไปฆ่าคน ปล้นทรัพย์ ท่านหลับเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ?

    2. ศาสนาเป็นของจริง หรือเป็นแค่เครื่องมือของมิจฉาชีพสำหรับใช้กล่อมคนให้อยู่ใต้ศาสนาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยที่เรื่องทั้งหมดอุปโลกน์ขึ้น - เหมือนกับการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือให้คนงมงาย เพื่อที่จะได้ทำชั่วยังไงก็ได้ เมื่อทำแล้วและกฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้ ก็กล่อมให้คนเชื่อว่า เดี๋ยวกรรมก็สนอง ทำให้คนไม่ยึดติดกับกฎหมายจริงในสังคม แต่อิงกฎแห่งกรรมเป็นหลัก

    หากว่าท่านหลงทาง และมีคนบอกทางให้ แต่ท่านไม่ยอมเดิน ตามทางที่เขาบอก ท่านจะรู้ได้อย่างไร ว่าที่เขาบอก จริง หรือ เท็จ ? ธรรมมะ ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ นะ

    3. ถ้าศาสนาเป็นของจริง มีกฎแห่งกรรมสนองจริง และจุดมุ่งหมายคือให้ทุกคนทำดีจริง ทำไมถึงไม่มีการสนองต่อกรรมนั้นแบบที่เห็นได้ พิสูจนได้ โดยคนปกติทั่วไปครับ ทำไมการพิสูจน์กรรมมันยากถึงขนาดที่ต้องปฏิบัติ ทำสมาธิ เพื่อจะได้เห็นกรรมเหล่านั้นครับ

    สำหรับคนที่ลังเลสงสัย และเข้าไม่ถึงของแก่นความดีในพระพุทธศาสนา ก็ต้องพิสูจน์ อุปมาเหมือนคนหลงทาง นะ (ด้านบน ) ผลของกรรมมีแน่ แต่จะช้าหรือเร็ว เท่านั้น วันนี้ท่านปลูกข้าว ท่านจะได้ข้าวกิน ในวันนี้หรือเปล่า เพราะเหตุใด ? ท่านเชื่อไหม ข้าวหนึ่งเมล็ด ย่อมให้ผลหนึ่งรวง การทำบุญก็เหมือนกัน นะ

    4. พระในไทยมีหลายองค์ที่ผมเห็น ทั้งในพันทิบ ในคลองถม ในวรจักรหรือแม้แต่ในวัด ที่มีพฤติกรรมเสื่อมทราม เน้นเอาปัจจัย ใครให้ซองก็วิ่งเข้าหา ถึงขนาดแย่งกันบิณฑบาต เอาป้จจัยที่ได้ ไปซื้อเครื่องเล่นเกมส์ ทีวีจอยักษ์ โน๊ตบุ้ค เที่ยงคืนกินมาม่า เหมือนกับคนเหล่านี้แค่มาอยู่ในผ้าเหลืองเป็นอาชีพ เกาะศาสนาอาศัยศรัทธาและความงมงายคนในการหากิน ผมถามว่า เสื่อมขนาดนี้ทำไมเราไม่เห็นกรรมสนอง ทั้งตัวผู้บวชเอง ทั้งคนที่ปล่อยให้ศาสนาเสื่อม เรามีการพูดกันว่ากรรมหนักมาก จะต้องตกนรกโน้นนี้ โดนทำโทษแบบนี้ แบบนั้น ทำไมเราจะต้องรอการสนองกรรมที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยที่ไม่มีการจัดการใด ๆ กับพระเหล่านี้เลย เรางมงายกันเกินไปหรือเปล่า

    การที่เราจะได้บุญ ไม่จำเป็นต้องให้ทานเสมอไป .. สิ่งที่ท่านคิด นั่นเป็นเรื่องของ สมมุติสงฆ์ มิใช่สงฆ์ หรือ พระอริยสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมดาของโลก ย่อมจะมีดี และเลว ประปนกันเสมอ แม้นในสมัยพุทธกาล ... อุปมาว่า หากที่ใดมีแสงสว่าง ที่นั้นก็ย่อมมีเงามืด หากว่าท่านจะเอาเงามืด มาบดบังแสงสว่าง ท่านทำได้หรือ ?

    ขอบคุณครับ

    เพื่อความกระจ่าง .. หากท่านถามเพื่อประโยชน์ ของตัวท่านเอง โดยมิได้มีเจตนาทำลายพระพุทธศาสนา ก็ขอให้ตอบในคำถาม ที่ถามกลับด้วย .. อนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ธันวาคม 2010
  5. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    คุณได้คำตอบแล้วด้วยตัวของคุณเอง
    ต้องเข้าใจคำสอนของพระศาสนาก่อนถึงจะเข้าใจข้อนี้ เพราะพระพุทธเจ้าตลอดถึงพระสาวกทั้งหลายที่เผยแผ่พระศาสนานั้น ต่างก็ไม่ได้รับสินจ้างรางวัลใดๆ จึงไม่จำเป็นต้องนำคำสอนมาสร้างเป็นมิจฉาชีพ
    แม้แต่สายตาของคนยังสู้หมาไม่ได้ ของหยาบๆในความมืดยังมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น(แต่สิ่งนั้นในความมืดยังมีอยู่) จะไปเทียบอะไรกับเรื่องที่ละเอียดกว่านั้น ซึ่งเทียบกันไม่ได้แม้แต่น้อย เรื่อง กายทิพย์ ภพภูมิอื่นๆ หรือแม้แต่เรื่องกรรม เป็นเรื่องละเอียดลึ้งซึ้ง เกินกว่าที่จะใช้สมองอนุมานในความนั้น ต้องใช้จิตที่มีความละเอียดเสมอกันถึงจะรู้ได้
    นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่คุณเห็นเท่านั้น คุณยังเห็นไม่ทั่ว แม้แต่ในใจของเรายังมีทั้งดีและไม่ดี ซึ่งเป็นจุดเล็กๆจุดเดียวเท่านั้น จะนับอะไรกับคนอื่นที่อยู่แวดล้อมเรา พระพุทธศาสนาไม่มีคำว่าเสื่อม ที่เสื่อมนั้นก็เป็นที่คนถอยออกห่างออกจากคำสอนที่ควรประพฤติปฏิบัติ ปัจจุบันผมก็ไม่เห็นว่าศาสนาจะเสื่อมตรงไหน ไม่มีใครปล่อยให้เสื่อมหรอกครับ

    คุณมีญาติสนิทที่คุณรักมากๆไหม? คุณสามารถสอนบอกเขาได้ทุกเรื่องหรือเปล่า สมมตินะว่าคุณมีหลานที่คุณรักมาก อยากให้เขาเป็นคนดีตั้งใจเรียนหนังสือ เพื่อที่เขาเติบโตมาแล้วจะได้มีการงานมีอาชีพที่ดี แต่ถ้าเขาไม่ทำตามคุณๆ จะบังคับเขาได้ไหม

    หรือว่าคุณจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ปล่อยให้เขารู้ด้วยตัวเองเมื่อยามเขาโตขึ้น ว่าสิ่งที่เขาไม่ตั้งใจเรียนนั้นจะให้ผลเป็นประการใด การที่เราปล่อยให้เขาได้รู้เองนั้นเป็นการ "งมงาย" หรือเปล่าละครับ (ในผู้ปฏิบัติท่านใช้คำว่า "อุเบกขา" วางเฉยเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกินวิสัยที่จะแก้ได้)

    พระพุทธศาสนาพร้อมที่จะเปิดรับการพิสูจน์สำหรับคนที่พร้อมที่จะพิสูจน์ ไม่บังคับใครให้ทำตาม ไม่กีดกั้นผู้ใด ใครทำใครได้ รู้ได้ด้วยตัวเอง มีวีธีทำพร้อมสมบูรณ์แล้ว แต่ต้องทำเอง เท่านั้น

    พิจารณาดูนะครับ เจริญๆเถิด
     
  6. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ขอบคุณสำหรับคำตอบของท่านครับ แต่ยังไม่กระจ่างสำหรับผมครับ
    ----------------------------------------------------------------

    เป็นทุกข์แน่นอนครับ

    ไม่มีทางรู้ครับ

    เชื่อครับ เชื่อว่า หากทำสิ่งใดย่อมมีผลตอบกลับ แต่การเทียบอุปมาเพื่อให้เข้าใจง่ายเช่นนี้ คือเปรียบในเชิงวัตถุ จะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับกรรมหรือการสนองกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่กายหยาบไม่สามารถสัมผัสได้ และรู้ได้โดยการปฏิบัติเฉพาะกลุ่ม ได้หรือไม่ครับ

    ทำไม่ได้ครับ

    ขอบคุณสำหรับคำตอบที่ละเอียดและเข้าใจง่ายครับ คำถามผมไม่ได้มีเจตนาทำลายศาสนาครับ ผมถามเพราะอย่างแรก ผมปฏิบัติยังไงก็ไม่เห็น หรือสัมผัสในสิ่งที่คนอื่นทำได้ อันนี้เป็นความอ่อนด้อยส่วนตัว อย่างที่สอง เพราะผมเห็นความเสื่อมในสังคม ทั้งในรูปของฆราวาสที่ทำมาหากินปกติ หรือกระทั่งตอนบวชพระ ที่เคยเจอพฤติกรรมที่ผมไม่อยากเรียกคนเหล่านั้นว่าพระ แต่ทั้งคนในสังคมที่เลวและพระที่เลว ต่างก็ยังกินดีอยู่ดี มีความสมบูรณ์ เมื่อคุยกับใคร ต่างคนต่างก็พูดแต่ว่า เดี๋ยวกรรมก็สนองเอง หรือ ปล่อยให้กรรมสนองไป ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น แต่ความรู้สึกผมคือ เรามีกฎหมายทั้งในสังคมฆราวาสและสงฆ์ เพื่อใช้จัดการปัญหาเหล่านี้ แต่ทำไมพอมีเหตุเกิด เรากลับเห็นความนิ่งดูดายของสังคม อะไรก็โยนให้กรรมจัดการ มันเหมือนกับความงมงายมากกว่าความเป็นเหตุผล เหมือนเรามีเพียงกฎหมายที่ใช้งานไม่ได้ ถ้าคนในสังคมต่างโยนว่า อันนี้เป้นกรรม อันนั้นก็เป็นกรรม คนนี้เป็นพระแตะต้องไม่ได้นะ ให้กรรมจัดการไป แล้วเราจะมีกฎหมาย กฎระเบียบในสังคมเพื่ออะไรครับ อันนี้คือที่มาของตั้งกระทู้นี้ครับ

    ------------------------------------------------------------
    ขอบคุณสำหรับคำตอบที่ละเอียด จะนำไปพิจารณาอย่างแน่นอน ขอให้มีความเจริญเช่นกันครับ
     
  7. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ปลาแมว


    เชื่อครับ เชื่อว่า หากทำสิ่งใดย่อมมีผลตอบกลับ แต่การเทียบอุปมาเพื่อให้เข้าใจง่ายเช่นนี้ คือเปรียบในเชิงวัตถุ จะสามารถนำไปเปรียบเทียบกับกรรมหรือการสนองกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่กายหยาบไม่สามารถสัมผัสได้ และรู้ได้โดยการปฏิบัติเฉพาะกลุ่ม ได้หรือไม่ครับ

    การเปรียบเทียบ ด้วยการ อุปมา ก็เพื่อความเข้าใจ นั่นเอง เพราะกรรมเป็นสิ่ง ที่ละเอียดอ่อน เข้าใจยาก ..

    ขอบคุณสำหรับคำตอบที่ละเอียดและเข้าใจง่ายครับ คำถามผมไม่ได้มีเจตนาทำลายศาสนาครับ

    อนุโมทนา ครับ ปัญหาของท่าน ก็เป็นปัญหาค้างคาใจ ของนักปฏิบัติหลายท่าน เหมือนกัน ถือว่าเป็นปัญหา มีประโยชน์ และ เกื้อกูลในพระพุทธศาสนา

    ผมปฏิบัติยังไงก็ไม่เห็น หรือสัมผัสในสิ่งที่คนอื่นทำได้ อันนี้เป็นความอ่อนด้อยส่วนตัว

    หากเราก้าวเดิน อย่างมั่นคง โดยไม่ท้อต่อกิเลสมาร และไม่หลงทางในการปฏิบัติ สักวันจุดมุ่งหมาย ที่เราคาดหวังไว้ ย่อมจะมาถึงเรา .. ส่วนเรื่องปฏิบัติ แล้วสัมผัส ในความเป็นทิพย์ไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะ การวางอารมณ์ เหมือนช่างปั้นหม้อ จะให้ไปตีเหล็ก มันก็ยากอยู่ .. ต้องฝึกเฉพาะทางนะ

    อย่างที่สอง เพราะผมเห็นความเสื่อมในสังคม ทั้งในรูปของฆราวาสที่ทำมาหากินปกติ หรือกระทั่งตอนบวชพระ ที่เคยเจอพฤติกรรมที่ผมไม่อยากเรียกคนเหล่านั้นว่าพระ แต่ทั้งคนในสังคมที่เลวและพระที่เลว ต่างก็ยังกินดีอยู่ดี มีความสมบูรณ์ เมื่อคุยกับใคร ต่างคนต่างก็พูดแต่ว่า เดี๋ยวกรรมก็สนองเอง หรือ ปล่อยให้กรรมสนองไป ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น แต่ความรู้สึกผมคือ เรามีกฎหมายทั้งในสังคมฆราวาสและสงฆ์ เพื่อใช้จัดการปัญหาเหล่านี้ แต่ทำไมพอมีเหตุเกิด เรากลับเห็นความนิ่งดูดายของสังคม อะไรก็โยนให้กรรมจัดการ มันเหมือนกับความงมงายมากกว่าความเป็นเหตุผล เหมือนเรามีเพียงกฎหมายที่ใช้งานไม่ได้ ถ้าคนในสังคมต่างโยนว่า อันนี้เป้นกรรม อันนั้นก็เป็นกรรม คนนี้เป็นพระแตะต้องไม่ได้นะ ให้กรรมจัดการไป แล้วเราจะมีกฎหมาย กฎระเบียบในสังคมเพื่ออะไรครับ อันนี้คือที่มาของตั้งกระทู้นี้ครับ

    ฉะนั้น การอ้างถึงกรรม ก็คือการอ้าง ถึงผลของการกระทำ ทีผ่านมานั่นเอง .. ท่านเชื่อไหมว่า กฎของกรรมมีจริง ตายแล้วไม่สูญ นรก เปรต อสุรกาย ( สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ ) เทวดา พรหม อรูปพรหม และ พระนิพานมีจริง ?
     
  8. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง "ครึ่งหนึ่ง" อีกครึ่งที่เหลือเพราะยังไม่เห็นด้วยตนเองครับ ยกเว้นเรื่องพระนิพพาน ที่เชื่อว่ามีแน่นอน

    ในศาสนาพุทธ สิ่งที่ผมเชื่อมั่นว่ามีแน่นอน มีแค่ 2 อย่าง คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ การนิพพาน (ไม่มีทั้งความชอบ ไม่ชอบ / ความดี ความเลว / ความสุข ทุกข์) แต่ในเรื่องนอกจากนั้น ทั้งภพภูมิ ภูตผี เทวดา ฯลฯ อยากพิสูจน์ให้เห็นด้วยตนเองว่ามี และถ้าวันนึงมีปัญญาถึงพิสูจน์ได้ อยากจะถามท่านเหล่านั้นว่า ทำไมคนบางคนยังเสวยลาภไม่หยุดหย่อนทั้งที่เลวเหลือลาก เพราะกรรมเก่าที่เค้าทำมาแค่นั้นหรือเปล่า หรือมีอะไรมากกว่านั้น

    และที่ต้องการถามมากที่สุดคือ ถ้าหากท่านเหล่านั้นไม่อยากให้คนทำชั่ว ทำไมจึงไม่ออกมาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นกับตาเลย เอาให้ตาในกายหยาบมนุษย์เห็นเลย ผมเชื่่อว่า หากมีการแสดงกฎแห่งกรรมที่ชัดเจน เอาคนที่เคยทำเลวมาเชือดให้ดูตรงหน้า โลกจะสงบโดยไม่ต้องมีกฎหมายเลยครับ เพราะพวกเค้าเห้นแล้วว่า การกระทำของพวกเค้า ทั้งดีและเลว จะส่งผลต่อที่ ๆ จะไปอย่างไร จะไม่ใช่เพียงเพราะการเชื่อเพราะเค้าบอกมา เชื่อเพราะห้ามลบหลู่ หรือเชื่อเพราะผู้ใหญ่บอกให้เชื่อ แบบนั้นครับ

    ขอบคุณครับ
     
  9. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ปลาแมว

    ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง "ครึ่งหนึ่ง" อีกครึ่งที่เหลือเพราะยังไม่เห็นด้วยตนเองครับ ยกเว้นเรื่องพระนิพพาน ที่เชื่อว่ามีแน่นอน

    เราท่านทั้งหลาย ต่างก็เดินเข้าหาความเสื่อมสลาย ของร่างกาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และมรณะภัย ที่จะมาถึง

    ท่านเชื่อไหม ว่าวันพรุ่งนี้ มีจริง เพราะอะไรถึงเชื่อ .. ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ยังไม่เห็น วันพรุ่งนี้ ด้วยตนเอง มิใช่หรือ ? ความเชื่อในบางอย่าง บางครั้ง ก็ไม่จำต้องเห็นเพื่อพิสูจน์ (หมายถึงคำสอน)

    ในศาสนาพุทธ สิ่งที่ผมเชื่อมั่นว่ามีแน่นอน มีแค่ 2 อย่าง คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ การนิพพาน (ไม่มีทั้งความชอบ ไม่ชอบ / ความดี ความเลว / ความสุข ทุกข์)

    เพราะอะไร ท่านถึงเชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีจริง ? หากเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง เราเชื่อไหมว่า พระธรรม คำสอนของท่านก็มีจริง และพร้อมให้พิสูจน์ ด้วยการปฏิบัติ

    แต่ในเรื่องนอกจากนั้น ทั้งภพภูมิ ภูตผี เทวดา ฯลฯ อยากพิสูจน์ให้เห็นด้วยตนเองว่ามี และถ้าวันนึงมีปัญญาถึงพิสูจน์ได้ อยากจะถามท่านเหล่านั้นว่า ทำไมคนบางคนยังเสวยลาภไม่หยุดหย่อนทั้งที่เลวเหลือลาก เพราะกรรมเก่าที่เค้าทำมาแค่นั้นหรือเปล่า หรือมีอะไรมากกว่านั้น

    อวิชา ความไม่รู้ ทำให้สัตว์ผู้มืดบอด เพลิดเพลินหลงติดอยู่ในวัฎฎะสงสาร คือการ เวียน ว่าย ตาย เกิด ..โดยไม่รู้จัก จบสิ้น

    และที่ต้องการถามมากที่สุดคือ ถ้าหากท่านเหล่านั้นไม่อยากให้คนทำชั่ว ทำไมจึงไม่ออกมาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นกับตาเลย
    เอาให้ตาในกายหยาบมนุษย์เห็นเลย ผมเชื่่อว่า หากมีการแสดงกฎแห่งกรรมที่ชัดเจน เอาคนที่เคยทำเลวมาเชือดให้ดูตรงหน้า โลกจะสงบโดยไม่ต้องมีกฎหมายเลยครับ เพราะพวกเค้าเห้นแล้วว่า การกระทำของพวกเค้า ทั้งดีและเลว จะส่งผลต่อที่ ๆ จะไปอย่างไร จะไม่ใช่เพียงเพราะการเชื่อเพราะเค้าบอกมา เชื่อเพราะห้ามลบหลู่ หรือเชื่อเพราะผู้ใหญ่บอกให้เชื่อ แบบนั้นครับ

    "ท่านทั้งหลายจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย เราตถาคตเองเป็นที่พึ่งแก่ท่านทั้งหลายไม่ได้ ตถาคตเป็นแค่เพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น ส่วนความเพียรพยายามเพื่อเผาบาปอกุศล ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ทางมีอยู่ เราชี้แล้วบอกแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเดินเอง"

    ขอบคุณครับ

    อนุโมทนา .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 ธันวาคม 2010
  10. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ถ้าเราสามารถเห็นนรกได้ด้วยตาเปล่า
    เหมือนเราดูทีวีทุกช่องนี่แหละ ทุกวันตั้งแต่เช้าจนค่ำ
    มองเห็นนรกเหมือนได้ดูทีวีนี่
    ลองดูสิใครจะกล้าทำบาปทำกรรมชั่ว

    แต่นี่มันรู้มันเห็นไม่ได้
    ก็เพราะกิเลสมันปิดเอาไว้
    มันต้องตัดต้องฟันกิเลสให้สิ้นซากก่อนจึงจะเห็นได้

    เอากิเลสให้หมดจากใจตนซะก่อน
    ความจริงก็จะปรากฎขึ้นกับใจตนเองเมื่อนั้นแหละ
    เมื่อรู้เองเห็นเอง ก็ไม่จำเป็นต้องถามใครให้สงสัย

    เพราะคุณไปถามใคร ๆ พอเค้าตอบมา
    คุณก็จะสงสัยอีกล่ะว่า จะรู้จริงหรือเปล่าว้า
    เอาให้รู้เองเห็นเองนั้นล่ะ หมดสงสัย
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เป็นคำถามที่ดี และ ถือว่า เป็นคำถามที่ ผู้ตั้งคำถาม จะก้าวไปสูู่่ การปฏิบัติเพื่อลืมตา หรือ ก้าวไปสู่วิถีชีวิตแบบหลับตาเหมือน คนส่วนมาก

    ข้อแรก ผลของการปฏิบัตินั้น ผู้เห็นจริงคือตัวเราเอง ไม่มีใครหลอกเราให้เชื่อได้
    เรากินข้าวเอง อิ่มเอง แต่ทุกวันนี้ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติต่างหากที่อยู่ในอุปาทาน เห็นจริงเป็นเท็จเห็นเท็จเป็นจริง มากกว่า ส่วนคนที่เห็นจริงมีน้อยมาก ก็เรื่องของเขา เราเอาของเราให้ดี เท่านั้นพอ

    ข้อที่ 2 ถ้าเรารู้่จักความดีได้ คนที่ดีกว่าเรา จนถึง ดีที่สุดไม่มีเลยหรือ ถึงได้จะเอาความบริสุทธิ์ไปเป็นเครื่องมือให้สังคม

    ข้อ 3 ทำไมกรรมไม่สนอง ตอบว่า คุณไปนั่งมองกรรมทุกวินาทีหรือเปล่า ใครที่ทำชั่วแล้ว คุณไปนั่งจ้องเขาทุกวินาทีหรือไม่ ว่าใจเขาเป็นอย่างไร
    หรือว่า มองหยาบๆ เอาแค่ สังเกตุภายนอก

    ข้อที่ 4 เราทำตัวเราให้ดีก่อน ถามตัวเองว่า เราดีจนไม่มีที่ต้องติเลยหรือไม่ จึงได้ไปสนใจที่จะไปต้องติ ผู้อื่น รวมถึงพระที่ทำไม่ดี ใครๆ ก็มีกิเลส หยาบน้อย แตกต่างกันไป เราไปสนใจกรรมผู้อื่น นั้นเป็นเพราะว่ากิเลสของเรามันพาไป ให้เราไปสนใจเรื่องไม่มีประโยชน์กับตัวเรา จนเราลืมที่จะทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์


    สรุปว่า เราจะมองไม่เห็นสิ่งที่จริงเลย หากว่า เรายังไม่ศึกษา จิตใจ ให้สว่าง เพราะเราจะเห็นแต่สิ่งที่ ไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราจิตใจขุ่นมัว เราก็มองโลกไม่สวยงาม ทั้งๆที่ ความจริงไม่เป็นอย่างนั้นออกบ่อยไป นั่นเป็นเพราะว่า จิตใจเราถูกบังด้วยกิเลส

    ก็ลองศึกษาดูก่อน วางใจเป็นกลาง หลักธรรมในศาสนาเป็นของบริสุทธิ์ และ นำไปใช้ได้จริง แต่ ตัวคนมีกิเลส เราอย่าเอาใจไปจับที่คน ให้เอาใจไปสนใจหลักธรรม แล้วศึกษา แล้วเราจะพบธรรมที่ัตัวเอง
     
  12. ไตรลักษณ

    ไตรลักษณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +29
    เห็นด้วยกับคุณ Bluebaby2 ครับ
    แนะนำให้คุณปลาแมวน้อมใจให้มีศรัทธา เชื่อในพระรัตนตรัยก่อนครับ ให้มีสัมมาทิฏฐิก่อน วางความลังเลสงสัยลงชั่วคราว แล้วตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานแห่งตนเอง ธรรมะเป็นปัจจัตตังครับ ขัดเกลาจิตใจเราเองก่อน สร้างปัญญาเราให้เกิด แล้วก็ช่วยแนะนำทางขัดเกลาและสร้างปัญญาให้ผู้อื่น ไม่ต้องไปเพ่งโทษคนอื่นชั่วคราว วันหนึ่งเราจะรู้จะเห็นโดยไม่ต้องถามใคร
    สายตามนุษย์มีข้อจำกัด เรามองไม่เห็นโจรก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีโจร เช่นเดียวกันเราไม่เคยเจอผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนถึงอริยะมรรค อริยะผลจะไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 ธันวาคม 2010
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เอกวีร์*, ปลาแมว </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธรรมสวัสดี ท่านเจ้าของกระทู้

    ผมนั้นเชื่อว่า คุณมีความรู้ทางธรรมมาก และก็ศรัทธาต่อคุณเช่นกันว่า ที่คุณปรารภ
    ว่าเชื่อในพระพุทธองค์ และเชื่อในนิพพานนั้นมีอยู่ เป็นการกล่าวมาจากใจ ไม่ได้มี
    เจตนาเสแสร้ง

    แต่....คำพูดของคนทั่วไปนั้น จะพูดจริงได้แค่ไหน ?......มาดูกันก่อน

    ธรรมดาคำพูดของคนที่ออกมาแต่ละคำ มีกี่ครั้งที่ตรงกับความคิดภายใน

    บางคนก็พูดไม่ทันที่ตัวคิด บางคนคิดแต่ไม่พูด บางคนพูดแบบไม่ทันคิด
    บางคนคิดไปพูดไปช้าๆติดๆ นี่แปลว่า คำพูด กับ ความคิด เป็นสภาพ
    ธรรมสองอย่างที่ต่างกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน และเพราะส่วนใหญ่ คำพูด
    มีแนวโน้มไม่เท่าทันความคิด ดังนั้น คำพูดนั้นมีสิทธิไม่จริงมากกว่าความคิด

    แต่นักวิทยศาสตร์ นักปรัชญา ที่พึ่งศึกษาหาความรู้ แต่ยังไม่มีความคิดของ
    ตัวเอง นักวิทยศาสตร์ และ นักปรัชญาเหล่านั้น จะอาศัย คำพูดเป็นเครื่องมือ
    แสดงความเป็นจริง ซึ่งสุดท้าย คนเหล่านี้จะกลายเป็น นักกฏหมาย และทนาย
    ที่โลดแล่นไปตามตัวบท(หนังสือที่เรียบเรียงแล้ว)

    สำหรับคนที่มี "ความคิด" เป็นของตัวเอง ก็จะมีดีกว่า คือ สามารถสร้าง คำพูด
    ให้กับคนที่ยึดมั่นความจริงจากคำพูด เอาไปอม เอาไปใช้ เป็นสมบัติของตนเพื่อ
    อวดอ้างการกล่าววาทะที่เป็นจริง

    แต่.....ความคิดของคนทั่วไปนั้น จะมีความจริงได้แค่ไหน ?......มาดูกันก่อน

    ธรรมดาความคิดของคนที่ออกมาแต่ละห้วงคำนึง มีกี่ครั้งที่ตรงกับความนึกภายใน

    บางคนก็จับความคิดไม่ทันที่ตัวนึก บางคนนึกแต่ไม่คิด บางคนคิดแบบไม่ทันนึก
    บางคนคิดไปนึกไปช้าๆติดๆ นี่แปลว่า ความคิด กับ ความนึก เป็นสภาพ
    ธรรมสองอย่างที่ต่างกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน และเพราะส่วนใหญ่ ความคิด
    มีแนวโน้มไม่เท่าทันความนึก ดังนั้น ความคิดนั้นมีสิทธิไม่จริงมากกว่าความนึก

    แต่นักวิทยศาสตร์ นักปรัชญา ที่พึ่งศึกษาหาความรู้ แต่ไม่มีความนึกของ
    ตัวเอง นักวิทยศาสตร์ และ นักปรัชญาเหล่านั้น จะอาศัย ความคิดเป็นเครื่องมือ
    แสดงความเป็นจริง ซึ่งสุดท้าย คนเหล่านี้จะกลายเป็น นักอภิปรัญา และปริพาชก
    นักกลอน นักนวนิยาย ที่โลดแล่นไปตามความคิด

    สำหรับคนใช้ "ความนึก" ออกมาจากตัวเอง ก็จะมีดีกว่า คือ สามารถสร้าง ความคิด
    ให้กับคนที่ยึดมั่นความจริงจากความนึก เอาไปอม เอาไปใช้ เป็นสมบัติของตนเพื่อ
    อวดอ้างการกล่าวปริวาทะ นวนิยม(SiFi etc.) แลตำนาน ที่เป็นจริง

    ............................

    กว่านี้มีอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2010
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แต่.....ความนึกของคนทั่วไปนั้น จะมีความจริงได้แค่ไหน ?......มาดูกันก่อน

    ธรรมดาความนึกของคนที่ออกมาแต่ละสมุทธ มีกี่ครั้งที่ตรงกับความรู้สึกภายใน

    บางคนก็จับความนึกไม่ทันที่ตัวรู้สึก บางคนนึกแต่ไม่รู้สึก บางคนรู้สึกแบบไม่ทันนึก
    บางคนรู้สึกไปนึกไปช้าๆติดๆ นี่แปลว่า ความนึก กับ ความรู้สึก เป็นสภาพ
    ธรรมสองอย่างที่ต่างกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน และเพราะส่วนใหญ่ ความนึก
    มีแนวโน้มไม่เท่าทันความรู้สึก ดังนั้น ความนึกนั้นมีสิทธิไม่จริงมากกว่าความรู้สึก

    แต่นักวิทยศาสตร์ นักปรัชญา ที่พึ่งศึกษาหาความรู้ แต่ไม่มีความรู้สึก(หยั่งรู้)ของ
    ตัวเอง นักวิทยศาสตร์ และ นักปรัชญาเหล่านั้น จะอาศัย ความนึกเป็นเครื่องมือ
    แสดงความเป็นจริง ซึ่งสุดท้าย คนเหล่านี้จะกลายเป็น นักวิทยาศาตร์นำหน้านาม
    ว่า ดร. มีบทบาทในทางโลก และอาจจะเป็นได้ถึง เจ้าลัทธิ

    สำหรับคนใช้ "ความรู้สึก" ออกมาจากตัวเอง ก็จะมีดีกว่า คือ สามารถสร้าง ความนึก
    ให้กับคนที่ยึดมั่นความจริงจากความนึก เอาไปอม เอาไปใช้ เป็นสมบัติของตนเพื่อ
    อวดอ้างการกล่าวกฏ อภิวาทะ เทวนิยม(Mythe Mistery etc.) แลคัมภีร์ ที่เป็นจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2010
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สรุปคือ [ รู้สึก นึก คิด ] + [ วาทะ ] เหล่านี้คือ เครื่องมือ แต่ละตัวจะ
    เป็นเครื่องมือที่ต่างกัน มีคุณภาพต่างกัน การที่บุคคลใดจะเอาเครื่องมือ
    ตัวใดมาใช้ ขึ้นอยู่กับ เหตุปัจจัยบางประการ หากมี ปัจจัยนั้นๆ มาก ระดับ
    ความสามารถในการใช้ ก็จะเปลี่ยนระดับไป

    หาก ปัจจัยตัวนั้น มีน้อย คนๆนั้น จะใช้ วาทะ เป็นเครื่องมือ ทั้งแสดง และ ทั้งแสวงหา ความจริง
    หาก ปัจจัยตัวนั้น มีพอใช้ คนๆนั้น จะใช้ ความคิด เป็นเครื่องมือ ทั้งแสดง และ ทั้งแสวงหา ความจริง
    หาก ปัจจัยตัวนั้น มีปานกลาง คนๆนั้น จะใช้ ความนึก เป็นเครื่องมือ ทั้งแสดง และ ทั้งแสวงหา ความจริง
    หาก ปัจจัยตัวนั้น มีมาก คนๆนั้น จะใช้ ความรู้สึก เป็นเครื่องมือ ทั้งแสดง และ ทั้งแสวงหา ความจริง

    และ ปัจจัยตัวนั้น คือ ...................

    ศีล5

    กล่าวคือ

    คนๆนั้น มีศีลเล็กน้อย เขาก็พึงเชื่อได้ว่า คำพูดนั้นๆ ไม่หลอกตัวเอง

    คนๆนั้น มีศีลในตัวมากเท่าใด เขาก็พึงเชื่อได้ว่า ความคิดนั้นๆ ไม่หลอกตัวเอง

    คนๆนั้น มีศีลในตัวมากขึ้นมาอีก เขาก็พึงเชื่อได้ว่า ความนึกนั้นๆ ไม่หลอกตัวเอง

    คนๆนั้น มีศีลในตัวมากเท่าความเพียงพอ เขาก็พึงเชื่อได้ว่า ความรู้สึกนั้นๆ ไม่หลอกตัวเอง
     
  17. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991
    อนุโมทนา สาธุ ค่ะ แจ่มแจ้ง มาก โดยเฉพาะ พุทธโอวาท
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ผมนั้นยังเชื่อว่า คุณเจ้าของกระทู้ มีความรู้ทางธรรมมาก

    และก็ศรัทธาต่อคุณเช่นกันว่า ที่คุณปรารภว่าเชื่อในพระพุทธองค์ และเชื่อในนิพพาน
    นั้นมีอยู่ เป็นการกล่าวมาจากใจ ไม่ได้มีเจตนาเสแสร้ง

    แต่คุณเท่านั้นที่จะ ตอบตัวเองได้ว่า ศีล5 มีเท่าใด บริสุทธิเท่าใด

    ไม่ว่าศีลของท่านเจ้ากระทู้มีได้เท่าใด คุณก็จะพึงเชื่อได้ว่า คนอื่นเหล่านั้นมี
    บางคนในโลกที่มี ศีล ได้ต่ำกว่าที่คุณเคยมี มีอยู่

    ไม่ว่าศีลของท่านเจ้ากระทู้มีได้เท่าใด คุณก็จะพึงเชื่อได้ว่า คนอื่นเหล่านั้นมี
    บางคนในโลกที่มี ศีล ได้เท่าคุณมี มีอยู่

    ไม่ว่าศีลของท่านเจ้ากระทู้มีได้เท่าใด คุณก็จะพึงเชื่อได้ว่า คนอื่นเหล่านั้นมี
    บางคนในโลกที่มี ศีล ได้เท่าที่คุณจะมีเพิ่ม มีอยู่

    เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณเชื่อว่า คนที่มีศีลบริบูรณ์มีอยู่ อยู่ในพรหมย์จรรย์อันงามมีอยู่
    คุณก็จะพึงเชื่อได้ว่า

    นรก สววรค์ เทวดา อินพรหย์ ยม ยักษ์ มีอยู่ด้วยเช่นกัน และ อาจถึงขั้นมองเห็น
    หรือสัมผัสด้วยตัวเองได้ เพียงแค่ มีศีลประกอบให้พร้อม คุณก็จะไม่อาศัยเพียง
    ตัวหนังสือ วาทะ คำพูด แต่จะค่อยๆเชื่อ ความนึก ความรู้สึก ที่ตนสัมผัสได้ว่า
    มีความจริงปรากฏอยู่มากขึ้นเท่านั้น

    หากศีลไม่บริบูรณ์แล้ว มันเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่แม้แต่ภพภูมิใดๆ ปรากฏต่อหน้า
    ต่อตา ตามโน ต่อวิญญาณการหยั่งรู้ คุณก็อาจตัดสินใจเลือกข้างไม่เชื่อสิ่งที่ปรากฏ
    นั้น เพราะเกรงว่า ความพร่องในศีลของตนเองจะทำให้การเห็นนั้นเป็นของลวง

    ผิดกันกับ นักปฏิบัติที่มีศีลบริบูรณ์ เขาก็จะเชื่อตา ตามโน ต่อวิญญาณหยั่งรู้ จาก
    สิ่งที่ปรากฏนั้นได้มากเท่ากับที่ศีลบริบูรณ์อยู่

    และเพราะความที่ ศีล นั้นยังไงเสียก็เป็นเรื่องที่ คนๆนั้น พึงรู้ได้ด้วยตัวเอง คนอื่น
    ไม่อาจล่วงรู้ในศีลของคนๆนั้น

    ดังนั้น

    เจ้าของกระทู้จะพึงเชื่อคนอื่นได้ ก็เพราะว่าศีลที่ตนมีบริบูรณ์

    เจ้าของกระทู้จะพึงรับคำสอนของคนอื่นได้ ก็เพราะว่าศีลที่ตนมีบริบูรณ์

    เจ้าของกระทู้จะพึงสอนคนอื่นได้ ก็เพราะว่าศีลที่ตนมีบริบูรณ์

    มันก็เลยเป็นธรรมดา ที่คำถามของเจ้าของกระทู้ มักจะได้คำตอบว่า "ดูที่ตัวเองก่อน"

    ซึ่งวิธีบอกของเพื่อนๆ ก็อาจจะ รุนแรงบ้าง อลุ่มอะหล่วยบ้าง สั่งสอนบ้าง แนะนำบ้าง
    จรนัยบ้าง ปรักปรำบ้าง ก็ว่ากันไป เนาะ

    นักปราชญ์ ยังไงเสียก็เป็นผู้ชื่อว่า อดทนต่อการฟัง จึงเป็นผู้ฟังมาก(พหูสูต)
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขอฝากอีกหน่อย

    ในเรื่อง ความรู้สึก นึก คิด เหล่านี้ใครจะใช้ตัวใดเป็นเครื่องมือได้ นอกจาก ศีล
    จะเป็นเครื่องประกัน เป็นเหตุปัจจัยประกอบแล้ว สภาพของความกว้างในการ
    ก้าวข้ามไปใช้นั้น ไม่ง่าย

    แต่ละตัวจะมีความกว้างดั่ง มหาสมุทร ซึ่งมองไม่เห็นอีกฝั่งว่า เราจะก้าว
    ไปใช้เครื่องมืออีกตัวได้เมื่อไหร่ ตอนไหน ทุกคนจึงต้องมีความเพียร
    และความกล้าในการตัดสินใจกระทำ ประกอบความเพียร เพื่อว่ายข้าม
    โอฆะเพื่อไปถึงอีกฝั่งให้ได้แม้นว่าจะมองไม่เห็นฝั่ง(เหมือนแลไม่เห็น
    ความสำเร็จ เหมือนแลไม่เห็นผลของการประกอบกรรมดี) ถ้าคุณเชื่อ
    ในพระพุทธองค์ คุณก็ต้องเชื่อด้วยว่า พระพุทธองค์ประกอบจริยานั้นจริง

    และเพื่อให้เข้าใจ สภาพมหาสมุทธที่ข้ามได้ยากมีอย่างไร ก็ขอยกเรื่อง

    โอฆะ4 ประกอบไว้เพิ่มเติมดังนี้

    หมายเหตุ : ในทางพุทธเราจะใช้ รู้สึก นึก คิด เป็นเครื่องมือต้นๆ ในที่สุด
    แล้ว(เมื่อศีลบริบูรณ์พอเพียงเต็มที่) จะต้องมีเครื่องมืออีกชนิด ซึ่งข้ามฝาก
    เครื่องมือทั้งสามตัวนี้ไปอย่างไม่มีกำหนดหมาย เครื่องมืนนั้นจะปรากฏหรือ
    ไม่ในเบื้องต้นนี้ ก็อยู่ที่การเพียรประกอบศีลให้ถูกต้องตามอริยวินัย

    โอฆะ4





    <CENTER><TABLE style="BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px" border=1 cellSpacing=0 borderColor=#111111 cellPadding=0 width="41%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" width="100%">กาโมฆะ โอฆะคือกาม</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" width="100%">ภโวฆะ โอฆะคือภพ</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" width="100%">ทิฏโฐฆะ โอฆะคือทิฏฐิ</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" width="100%">อวิชโชฆะ โอฆะคืออวิชชา</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>





    <HR color=#008000 SIZE=3>คำว่า "โอฆะ" แปลว่า ห้วงน้ำ ท่านนำมาใช้เป็นชื่อของกิเลส 4 ประเภท ว่าเป็นเหมือนห้วงน้ำใหญ่ เพราะว่าห้วงน้ำใหญ่นั้น ไม่ว่าอะไรจะไปก็ตาม ย่อมซัดพัดพาสิ่งเหล่านั้นไปด้วยกระแสของตน สิ่งที่ตกลงในกระแสน้ำ ย่อมขาดความเป็นตัวของตัว จนถึงกับต้องเป็นอันตรายเพราะห้วงน้ำฉันใด ใจของคนที่ถูกวังวนคือกิเลสพัดพาไปก็จะมีลักษณะเช่นเดียวกันฉันนั้น โอฆะ 4 ประเภทนั้นคือ
    1.กาโมฆะ โอฆะคือกาม ได้แก่ความใคร่ ความพอใจ ความยินดี ปรารถนา ต้องการความอยากได้ ในสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัตถุกามคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์อันตนผูกใจว่า สิ่งเหล่านั้นน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ และภายในจิตของตนได้มี"กามธาตุ" คือธาตุความใคร่ในสิ่งนั้นอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของเขาก็จะดำริถึงรูปเป็นต้น สิ่งเหล่านั้นด้วยแรงปรารถนา จากการดำริถึงด้วยความใคร่นี้เอง ทำให้ความเร่าร้อนเพราะแรงปรารถนาเกิดขึ้น จึงมีการแสวงหาเพื่อสนองตอบความต้องการของตน ด้วยทางถูกบ้างผิดบ้าง จนได้สิ่งเหล่านั้นมาไว้ในครอบครอง แต่ก็ต้องเป็นทุกข์ด้วยการรักษา การเสื่อมสลายหรือแตกดับไปของสิ่งเหล่านั้นทุกช่วงของความคิดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น ใจของบุคคลเหมือนถูกท่วมทับด้วยกระแสน้ำ ยิ่งคิดมากแสวงหามาก ได้มามาก จิตก็จะถูกท่วมทับด้วยแรงความใคร่ได้ ใคร่มีในวัตถุกามเหล่านั้น จนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เพราะใจของบุคคลที่ถูกท่วมทับด้วยกาโมฆะ เป็นจิตที่พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่อาจให้เต็มให้อิ่มได้ ด้วยการพยายามตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้น ความทุกข์ที่เกิดจากกาโมหะท่วมทับจนต้องเหนื่อยยากลำบากในการแสวงหาเป็นต้น จะเกิดขึ้นหาที่สิ้นสุดไม่ได้
    2.ภโวฆะ โอฆะคือภพ ได้แก่ความใคร่ในความมีความเป็นเพราความฝังใจว่ายศ ตำแหน่ง ฐานะนั้นๆ เป็นภาวะที่นำความสุข ความยิ่งใหญ่มาให้แก่ตน ทั้งในกาลปัจจุบันและอนาคต ทั้งชาติปัจจุบันและชาติหน้า ความใคร่ พอใจในฐานะต่างๆ นั้นจะแสดงอาการออกมาทำนองเดียวกับกาโมฆะ คือจิตดำริถึงสิ่งที่ตนพอใจมากๆ จนเกิดความกำหนดหมายที่จะได้ฐานะนั้นๆ เกิดความเร่าร้อนเพราะแรงปรารถนาจนต้องแสวงหาต่อสู้แย่งชิงกัน จนบ้างครั้งมีการล้มตาย มีคนจำนวนไม่น้อยเลย ที่ความปรารถนาของตนยังไม่เต็ม แต่ต้องตายไปก่อน ยิ่งเป็นความต้องการให้ภาวะที่ตนต้องการ บังเกิดขึ้นในอนาคต กาลด้วยแล้ว จิตจะมีแต่ความวิตกกังวลขาดความเป็นอิสระ จิตของเขาเป็นเหมือนถูกท่วมทับด้วยกระแสน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ เป็นการอยากที่จะทำตนให้สวัสดีได้
    3.ทิฏโฐฆะ โอฆะคือทิฏฐิ คำว่า ทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นโดยปกติ เป็นคำกลางๆ คือไม่ความหมายว่าดีหรือชั่ว แต่เมื่อมาคำเดียวไม่มีคำอื่นต่อหน้าหรือหลัง ท่านเอาความเห็นที่ไม่ดี ในที่นี้มีความหายไปในทางไม่ดีโดยตรง เพราะเป็นชื่อของกิเลส ความเห็นที่เป็นโอฆะคือ ทิฏฐิ เช่น เห็นว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว มารดาบิดาไม่มีคุณ กรรมที่ได้ชื่อว่าบุญบาปไม่มี การกระทำที่ว่าเป็นดีเป็นชั่วจึงไม่มี ผลที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนไม่มีเหตุ ชาติก่อน ชาติหน้าไม่มี เป็นต้น ความเห็นผิดในลักษณะต่างๆ ดังกล่าวนี้ มีอิทธิพลอย่างสำคัญในชีวิตของคน เพราะคนเราจะทำพูดทางกายทางวาจา เกิดจากความเห็นภายในจิตใจของเขาเป็นสำคัญ เมื่อความเห็นผิด การกระทำของเขาก็จะผิดตามไปด้วย และที่เป็นอันตรายมากก็คือ เมื่อเขาปฏิเสธบาป บุญ ทั้งที่เป็นส่วนเหตุและผล ทำให้เขาขาดความรับผิดชอบในการกระทำ โอฆะคือทิฏฐิจะท่วมทับใจของเขาให้ไหลไปตามอำนาจของทิฏฐิคือความเห็นผิด ซึ่งมีความทุกข์ความเดือดร้อนเป็นผลทั้งแก่ตนและคนอื่น ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
    4.อวิชโชฆะ โอฆะคือวิชชาความเขลา ไม่รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลาย ซึ่งท่านจัดเป็นอวิชชา 8 ประการดังกล่าวแล้ว คือความรู้ไม่จริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่รู้จริงในเรื่องชีวิตในอดีต อนาคตกาล ทั้งอดีตและอนาคตกาล และการไม่รู้ที่ธรรมทั้งหลายเป็นปัจจัยของกันและกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ดับไป คือ ปฏิจจสมุปบาท
    ผลเสียจากใจที่ถูกโอฆะท่วมทับ
    - ห้วงน้ำคือกาม เมื่อท่วมทับใจของบุคคลใดแล้ว ทำให้ใจของบุคคลนั้นซัดส่ายไปหา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และอารมณ์อันตนน่าใคร่ปรารถนา พอใจ มีความวิตกกังวล เร่าร้อน ผจญอุปสรรค เหน็ดเหนื่อยเพราะวัตถุกามที่ตนใคร่ แสวงหา และได้มาไว้ในครอบครอง เมื่อสิ่งเหล่านั้นเสื่อมสลายไป เปลี่ยนแปลงไป ก็เกิดความทุกข์โทมนัส หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ความรู้สึกเป็นอิสระสุขสบายอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้โดยยาก
    - ห้วงน้ำคือภพ ทำให้จิตใคร่ในความเป็นต่างๆ ที่สังคมยอมรับและตนเห็นว่าดี เมื่อห้วงน้ำคือภพครองงำจิต ความคิดของคนจะหมุนเวียนอยู่ด้วยการกำหนดหมายว่า ฐานะ ตำแหน่ง ชั้น ยศ ภพอย่างนั้นอย่างนี้ น่าพอใจ จิตจะดำริถึงแต่เรื่องนั้นๆ จนเกิดความเร่าร้อนเพราะแรงปรารถนา จากนั้นการแสวงหาสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นด้วยความยากลำบาก มีการต่อสู้แย่งชิงกัน และต้องเกิดความทุกข์โทมนัส เมื่อฐานะตำแหน่งของตนต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตนไม่ต้องการ
    - ห้วงน้ำคือทิฏฐิ เมื่อไหลมาท่วมทับจิตใจใคร ทำให้บุคคลนั้นมีความคิดเห็นเห็นห่างไกลจากความจริงออกไป จนปฏิเสธสัจธรรมทั้งหลาย ใจของเขาประกอบมโนทุจริต การทำพูดคิดจะมากไปด้วยบาปกิเลส อันมีผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะการไหลไปตามอำนาจกิเลสของจิต พัฒนาการในด้านจิตใจจะเกิดขึ้นได้ยากหากยังไม่ปรับจิตของตนให้ถูกต้องตามธรรม
    - ห้วงน้ำคืออวิชชา ถือว่าเป็นตัวการสำคัญ อันนำสัตว์เข้าสู่ความมืดบอดทางปัญญา เพราะอวิชชาความรู้ไม่จริงนี้เอง ที่ทำให้คนมีความหลง มัวเมา งมงาย ไร้เหตุผล ไม่ทราบปัญหาที่แท้จริงของชีวิต ของโลกของสังสารวัฏ คนที่ถูกห้วงน้ำคืออวิชชาพัดพาไป จะเป็นเหมือนเต่าตาบอดตกอยู่ในกระแสน้ำ ย่อมไม่อาจพบความสวัสดีในชีวิตได้
    สิ่งที่อาจเป็นทำนบกั้นกระแสห้วงน้ำเหล่านี้โดยตรงคือสติปัญญา แต่เมื่อจะกล่าวเป็นข้อๆ ตามลำดับแล้ว บุคคลอาจอาศัยหลักธรรมต่อไปนี้คือ.-
    - อสุภสัญญา อสุภกรรมฐานคือการกำหนดว่าไม่สวย ไม่งาม และการเจริญอสุภกรรมฐาน จะช่วยลด ทำลายห้วงน้ำคือกามได้
    - ความมีสติระลึกถึงเหตุผลแล้ว ทำใจตนให้เกิดความยินดีในฐานะที่ตนเป็น คือสันโดษ จะช่วยบรรเทาห้วงน้ำคือภพได้
    - สัมมาทิฏฐิ คือปัญญาอันเห็นชอบในระดับต่างๆ จะผ่อนคลายความเห็นผิดให้เบาบางจนถึงหมดสิ้นไปได้ในที่สุด
    - จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อันเป็นตัวปัญญาที่แท้จริง เมื่อบังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมขจัดห้วงน้ำคืออวิชชาให้หมดไป ดุจพระอาทิตย์อุทัย กำจัดมืดให้หมดไปฉะนั้น
    อย่างไรก็ตามในระดับที่ลดหลั่นลงมานั้น เหมือนคนตกลงไปในกระแสน้ำ ถ้าไม่ปล่อยให้น้ำพัดจนจมลงไปในสายน้ำ พยายามประคองตัวไว้ให้ได้ ย่อมช่วยให้ปลอดภัยระดับหนึ่ง โอฆะ ห้วงน้ำคือกิเลสก็มีลักษณะอย่างนั้น แม้จะทำลายไม่ได้ แต่อยากให้ถึงกับตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น ย่อมช่วยดำรงตนอยู่ในธรรมได้ตามสมควร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2010
  20. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ขอลองตอบจากมุมของผมบ้างนะครับ
    ผมเชื่อว่ากรรมนั้นมีจริง แต่เป็นประโยชน์เมื่อได้ระลึกว่าผลแห่งกระทำปัจจุบันจะส่งผลอย่างไรต่อไป พึงกระทำแต่กรรม อันตนจะพึงรับได้ต่อไป

    ผลจากการปฏิบัตินั้น ถึงแม้จะเป็นอุปทาน แต่หากอุปทานนั้้น ไม่เป็นทุกข์อยู่ ทุกข์ทำอะไรเราไม่ได้ เราไม่เป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเรียกว่า คืออะไร
    อะไร อะไร ก็ไม่สำคัญ

    กฎแห่งกรรมไม่ได้มีไว้อ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องทำอะไร แต่เพื่อให้ะลึกได้ว่า ทำลงไปแล้วในปัจจุบันขณะจะเกิดผลอย่างไร ต่อไป ต่อตน จึง เป็นประโยชน์

    เข้าใจศาสนา เข้าใจกรรม ก็เป็นคนทำดี
    จะเข้าใจได้ ก็มีการปฏิบัติ ทำสมาธิวิปัสนาเป็นทาง เป็นตัวช่วย
    จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธ คือการพ้นทุกข์ การจัดระเบียบสังคม สังคมที่สงบสุขเป็นของแถม
    การจัดระเบียบสังคมที่เริ่มง่ายที่สุด ดีที่สุด คือการเริ่มจัดจากตัวเอง
    แค่เราทำดี พอโลกจะเปลี่ยนตามกำลัง
    ทั้งจากโลกที่เราเห็น และโลกที่เห็นเรา
    อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...