ทำอย่างไร ......ให้ชีวิตนี้...... มีความสุข โดย หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี (พระครูเกษมธรรมทัต)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 30 พฤศจิกายน 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ทำอย่างไร .....ให้ชีวิตนี้...... มีความสุข

    โดย หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี (พระครูเกษมธรรมทัต)

    นะมัตถุ ระตะนัตตะยัสสะ
    ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
    ขอความผาสุขความเจริญในธรรมจงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย


    ต่อไปนี้จะได้ปรารภธรรมะ ตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นประโยชน์แห่งการนำมาประกอบการดำเนินชีวิตให้ชีวิตของเราได้มีความ สุขขึ้น พูดถึงว่าเราจะทำอย่างไรให้ชีวิตของเรามีความสุข ชีวิตจะมีความสุขได้เราก็ต้องอยู่ในธรรม ดำเนินชีวิตให้อยู่ในเส้นทางแห่งธรรมะ ธรรมะก็จะคุ้มครองรักษาเรา

    ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริ” ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ถ้าเราประพฤติธรรม ธรรมก็จะรักษาจะคุ้มครองเราไม่ให้ตกไปในทางที่ชั่ว ก็จะไม่มีพิษ ไม่มีโทษ ไม่มีภัยเข้ามาถึงตัว เพราะว่าความชั่วนั้น นำโทษ นำทุกข์ นำภัยมาสู่ตัวเรา

    “ขึ้นชื่อว่าความชั่ว อย่าหลวมตัวไปชื่นชอบ
    เร็วช้ามันจะตอบ ต้องเอาตัวไปชดเชย”

    คนที่เกิดมามีทุกข์ยากลำบากนานัปการก็เพราะว่ามีกรรม มีอกุศลกรรมตามมาเบียดเบียน ทำให้ต้องเจ็บ ต้องป่วย ผ่าตัดตรงนั้นตรงนี้ ต้องประสบอุบัติเหตุบ้าง เสียทรัพย์บ้าง ถูกโกง ถูกแกล้ง ถูกใส่ร้ายป้ายสีอะไรเหล่านี้ คือเราต้องเสวยผลของอกุศลกรรมต้องเอาตัวไปชดเชย ต้องใช้หนี้กรรม

    แต่ถ้าเรามีธรรมะ เมื่อใช้หนี้กรรมแล้วก็กลับได้กุศล คนมีธรรม คนเข้าใจในธรรมะนั้น ใช้หนี้กรรมด้วยดีได้ ใช้หนี้กรรมด้วยดีก็คือเข้าใจและยอมรับว่า นี้เป็นวิบากกรรม คือ ผลของบาป ก็ทำใจยอมรับได้ว่า เออ! เป็นเรื่องที่เราจะต้องชดใช้ จะไปตีโพยตีพายจะไปน้อยใจในวาสนาตัวเอง หรือจะไปโกรธเขาได้อย่างไรในเมื่อเรากำลังใช้หนี้อยู่

    ฉะนั้น เวลาที่ประสบความทุกข์ ก็ให้มีกัมมสกตาปัญญา คือมีความเข้าใจว่า อ๋อ! นี่เป็นการใช้หนี้กรรมนะบาปกรรมเขาตามมาทวงหนี้ เราก็ใช้เขาซะดีๆ เหมือนเราเป็นหนี้สินใคร เมื่อเขามาทวง เราได้ใช้หนี้เขาเสีย เราจะควรโกรธ ควรจะน้อยใจเขาหรือควรจะเบาใจ เราก็ควรจะเบาใจใช่ไหม เบาใจว่า เออ! ได้ปลดหนี้กันเสียที่หนึ่ง ไม่ต้องไปเป็นหนี้ให้ลำบากลำบน หรือไม่ต้องไปใช้หนี้กันในนรกซึ่งยากลำบากกว่านี้ ใช้เสียตอนนี้ให้หมดเรื่องไป

    ฉะนั้น เวลาถูกโกง ถูกแกล้ง ถูกใส่ร้าย ถูกเสียดสีด้วยคำพูดบ้าง ด้วยการกระทำบ้างหรือต้องประสบอะไรต่างๆ ที่ไม่ดี ก็ทำใจว่า เออ! ใช้หนี้ พอทำใจว่าใช้หนี้ได้ก็สบายใจ ปลดเปลื้องความทุกข์ใจออกไป จิตก็กลับเป็นกุศลขึ้นมาเรียกว่า เสีย-ได้ เสียแล้วก็ได้คืน คือได้สติได้ปัญญา ได้ข้อคิด ได้ธรรมะขึ้นมา

    แต่ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราก็จะโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท แช่งเขาบ้าง ทำอะไรเขาไม่ได้ก็แช่งเขาในใจ อย่างนี้เรียกว่า เสีย-หาย ไม่ยอมเสียดีๆ คือสร้างหนี้ต่อ เสียหาย อย่างน้อยก็เสียใจ เสียทรัพย์เสียสิ่งของเสียอะไรไปแล้วก็ยังมาเสียใจอีก เสียใจนี้เป็นเรื่องสำคัญเสียอะไรก็เสียไปแต่อย่าให้เสียใจก็แล้วกัน

    ฉะนั้น ให้ตระหนักว่า เมื่อเรากระทำความชั่วแล้วความชั่วก็จะตามมา ทำให้ต้องชดใช้แต่ถ้าเรามีธรรมะ ธรรมะจะคุ้มครองเรา เราก็อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ธมฺมจารี สุขํ เสติ” ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข ใครที่ประพฤติธรรมจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุขยิ่งมีธรรมะมากขึ้น ก็มีความสุขมากขึ้น ธรรมะก็มีหลายระดับ คือระดับทาน ระดับศีล และระดับการเจริญภาวนาโดยเฉพาะถ้าใครมีธรรมะในระดับของการเจริญภาวนา และรู้จักที่จะนำมาประกอบในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ก็จะมีความสุขมากขึ้น อีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    การเจริญภาวนานั้นมี ๒ อย่างคือ

    การเจริญสมถภาวนา และการเจริญวิปัสสนาภาวนา

    สมถภาวนา

    เป็นการปฏิบัติเพื่อยังจิตให้เข้าถึงความสงบ โดยเพ่งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จนกระทั่งจิตนิ่งสงบเป็นสมาธิ

    • วิปัสสนาภาวนา

    เป็นการเจริญสติให้เกิดปัญญา เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงว่า อ๋อ! สังขารชีวิตนี้เป็นธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลง เกิดดับ บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน อย่างนี้เรียกว่าเกิดปัญญา ปัญญาก็จะชำแรกจะประหารกิเลสเมื่อกิเลสลดน้อยลง ความร้อนใจทุกข์ใจก็ลดลงความเย็นก็ปรากฏ ความสุขก็ปรากฏ ยิ่งความร้อนมอดลงไปดับสนิทเมื่อไร ก็พบกับความเย็นสนิทมากเท่านั้น เรียกว่า นิพพาน

    นิพพานก็คือ ความเย็น หรือความที่เพลิงทุกข์เพลิงกิเลสดับสนิทนั้นแหละ นิพพานก็เป็นไปตามชั้นของอริยบุคคล

    พระโสดาบันก็ละกิเลสได้ระดับหนึ่ง
    พระสกทาคามีก็ละกิเลสได้อีกระดับหนึ่ง
    พระอนาคามีก็ละกิเลสได้ยิ่งขึ้นอีกระดับหนึ่งจนกระทั่งระดับพระอรหันต์ ก็ดับเพลิงทุกข์เพลิงกิเลสได้โดยสิ้นเชิง ใจก็จะเย็นสงบสนิทอย่างชนิดความเร่าร้อนความเศร้าหมองจะไม่กำเริบขึ้นมาได้ อีกเลย

    เราก็มาเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า คือเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ อย่าคิดว่าเราไม่มีหน้าที่ปฏิบัติ เพราะเราทำงาน เรายังอายุไม่มาก เราไม่ได้อยู่วัด ไม่ใช่หน้าที่ของเรา อย่าไปคิดอย่างนั้น

    บุคคลใดที่มีความทุกข์ บุคคลใดที่ยังมีกิเลส บุคคลนั้นก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติก็เพื่อที่จะดับความทุกข์ เพื่อที่จะชำระกิเลสเหมือนคนที่ไม่มีโรค ก็เห็นว่าหมอไม่จำเป็น แต่คนที่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีความเจ็บปวด ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ยา ต้องได้รับการรักษาจากหมอ พวกเราก็มีโรคคือ กิเลส จึงจำเป็นต้องมียารักษาซึ่งธรรมโอสถที่พระพุทธเจ้าได้ประทานไว้ให้ก็คือ สมถะและวิปัสสนากรรมฐาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ต่อไปนี้จะอธิบายแนวทางปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากรรมฐานพอเป็นสังเขป

    แนวทางที่ ๑

    คือ เจริญสมถะก่อนแล้วต่อวิปัสสนาทีหลัง


    วิธีปฏิบัติก็คือ ทำจิตให้นิ่ง โดยเพ่งลมหายใจ หรือเพ่งกสิณต่างๆ ซึ่งมีถึง ๑๐ อย่าง หรือเพ่งอสุภะ เป็นต้น
    เพ่งจนกระทั่งได้ฌาน เมื่อได้ฌานก็จะมีปีติ มีความสุข มีสมาธิ เรียกว่าองค์ฌาน แล้วจึงยกองค์ฌานนั้นๆ มาพิจารณา โดยน้อมมากำหนดที่ปีติ ที่ความสุข ที่สมาธิ ดูจิต ดูผู้รู้ ผู้ดูจนเห็นความเปลี่ยแปลง เกิดดับ เห็นไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เข้าสู่วิปัสสนาได้

    แนวทางที่ ๒

    คือ เจริญวิปัสสนาไปเลยแล้วสมถะก็ตามมาทีหลัง


    แนวทางนี้ก็คือการเจริญสติในชีวิตประจำวันนั่นแหละ

    วิธีการปฏิบัติก็คือ เมื่อ ยืน เดิน นั่นนอน คู้เหยียด เคลื่อนไหว เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส คิดนึก รู้สึก อะไรต่างๆ ก็เจริญสติระลึกรู้ แต่การระลึกรู้นี้ต้องให้ตรงต่อสภาวะปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ คือ ลักษณะการเห็น การได้ยิน การรู้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสเหล่านี้เป็นสภาวะปรมัตถ์ต้องกำหนดรู้ว่า

    • ลักษณะเห็น
    • ลักษณะได้ยินเป็นอย่างไร
    • ลักษณะรู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัสที่เกิดที่ตัวเรานี้เป็นอย่างไร เมื่อเห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัสเย็นบ้าง ร้อนบ้าง ตึงบ้าง หย่อนบ้าง อ่อนแข็งบ้าง ไหวบ้าง สบาย ไม่สบาย คิดนึกใจรู้สึกระลึกไปต่างๆ ก็ให้สังเกตไปทั้งหมดที่เกิดที่กายที่ใจนี้ หมั่นสังเกต หมั่นระลึกบ่อยๆ สติก็จะเจริญขึ้น และจะเก่งเท่าทันต่อสภาวะ

    นอกจากนี้ ก็ให้ฝึกปล่อยวางอยู่ในตัว คือต้องรู้ละรู้ปล่อยรู้วาง ในที่สุดสมาธิก็จะเกิดขึ้นมาเอง

    แนวทางที่ ๓

    คือ เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป


    ซึ่งคนในยุคปัจจุบันส่วนใหญ่จะเหมาะกับประเภทนี้ เพราะคนในยุคปัจจุบันจะให้ไปเจริญสมถะจนได้ฌาน ให้จิตดับนิ่งสามารถเข้าฌาน – ออกฌานได้คล่องแคล่วนั้นไม่ใช่ทำได้ง่าย เพราะต้องอยู่ในสถานะที่ที่สงบวิเวกจริงๆ มีคนเป็นส่วนน้อยที่อยู่ในสถานที่ไม่สงบแต่สามารถทำจิตให้นิ่งจนได้ฌานได้

    ฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติตามแนวทางที่ ๑ คือทำฌานก่อนก็ทำไม่ได้ จะเจริญวิปัสสนาไปเลยตามแนวทางที่ ๒ ก็ยังมีปัญญาไม่พอ ยังไม่รู้จักรูปนาม กำหนดไม่ถูก ไม่รู้ว่าสภาวะปรมัตถ์เป็นอย่างไร บัญญัติเป็นอย่างไร และบางคนถ้าไม่มีสมาธิบ้างเลยจิตก็ล่องลอย ตั้งสติไม่อยู่ บางคนจึงต้องมีสมาธิอยู่บ้างจึงจะระลึกได้ ถ้าเราเป็นเช่นนี้ก็ต้องใช้แนวทางที่ ๓ เรียกว่ายุคนันทสมถวิปัสสนาหมายถึง การเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไปวิธิปฏิบัติก็คือ เจริญสมถกรรมฐานซึ่งมีวิธีการเจริญได้หลายอย่าง จะเจริญอานาปานสติ คือดูลมหายใจเข้าออกคู่กับวิปัสสนาก็ได้ จะเจริญมรณานุสสติ คือระลึกถึงความตายคู่กับวิปัสสนาก็ได้ หรือจะเจริญเมตตา คือแผ่เมตตาคู่กับวิปัสสนาก็ได้ เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  4. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    หลวงพ่อจะพูดถึงแนวทางที่ ๓ คือ การเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไปโดยเน้นที่การเจริญเมตตาคู่กับการเจริญวิปัสสนา

    เพราะเห็นว่าจะได้รับประโยชน์ ๒ อย่าง คือ

    ๑. ประโยชน์จากการเจริญเมตตา ซึ่งมีอานิสงส์มาก

    ๒. ประโยชน์จากการเจริญวิปัสสนา ซึ่งยิ่งประเสริฐมากในการที่จะชำระกิเลสให้หมดสิ้นไป

    สำหรับประโยชน์ของการเจริญเมตตานั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ที่เจริญเมตตาอยู่เนืองนิตย์จนจิตมีเมตตาได้จริงๆ จะประสบผลเป็นอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ

    ๑. หลับเป็นสุข

    หลับอย่างสบาย หลับสนิทดี ไม่ใช่หลับๆ ตื่นๆ อะไรอย่างนั้น

    ๒. ตื่นเป็นสุข

    ตื่นมาก็เป็นสุข จิตใจแจ่มใสเบิกบาน บางทีไม่ต้องใช้เวลาหลับนานก็พอ เพราะว่าได้หลับสนิทนอนเต็มอิ่มเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

    ๓. ไม่ฝันร้าย

    ถ้าจะฝันก็ฝันดี บางคนนอกจากนอนหลับไม่สนิทแล้วยังฝันมั่วไปหมด ฝันแล้วก็จำไม่ได้ เวลาฝันสมองหนึ่งไม่ได้พัก เพราะจิตส่วนหนึ่งต้องขึ้นมาคิดในวิถีจิต เมื่อหลับไม่สนิทร่างกายก็เลยไม่สบาย เพราะพักไม่สนิท แต่ถ้าเราเจริญเมตตาอยู่เนืองนิตย์ แม้เพียงก่อนนอนเจริญเมตตาให้ดี ให้จิตใจเกลี้ยงเกลามีความเมตตาจริงๆ หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข ไม่ฝันร้าย

    ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย

    ถ้าเรามีเมตตา ใครเห็นเราก็จะมีความรัก มีความเมตตาต่อเรา อยากจะช่วย อยากเอื้อเฟื้อ อยากคุย อยากเห็นเรา ไม่ใช่ว่าเห็นหน้าเราแล้วก็อยากจะหนี ไม่อยากมอง ไม่อยากพูด ไม่อยากเอื้อเฟื้อช่วยเหลือ นั่นแสดงว่าเป็นคนไม่มีเมตตา
    เพราะฉะนั้นให้เจริญเมตตาไว้ แล้วจะเป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย

    ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย

    อมนุษย์ก็คือไม่ใช่มนุษย์ เช่นพวกเทวดาก็ดี ภูตผีปีศาจอะไรก็แล้วแต่เหล่านี้ก็ดี ซึ่งบางทีก็เล่นงานเบียดเบียนมนุษย์ได้อย่างเราไปนอนในสถานที่บางแห่งเขาก็ มาเบียดเบียนเรา แต่ถ้าเราเจริญเมตตา แผ่เมตตาให้เขา เขาก็จะกลับจิตกลับใจมีเมตตาต่อเรา บางทีเขาก็จะสงเคราะห์อนุเคราะห์เราเหมือนกับแม่อนุเคราะห์บุตร

    ๖. เทวดารักษา

    เทวดารักษาน่ะดีกว่ามนุษย์รักษา เช่นมีบางสิ่งบางอย่างมาอย่างรี้ลับเราก็ต้องอาศัยเทวดาคุ้มครองรักษา ปัดเป่าให้เราปลอดภัย เดินทางปลอดภัยทำอะไรก็ปลอดภัย หรือเมื่อมีพวกคิดร้ายคิดไม่ดีเข้ามา เทวดาก็ช่วยปัดเป่าให้ได้เหมือนกัน

    ๗. ศาสตราอาวุธ ไฟ ยาพิษ เป็นต้น ทำอันตรายไม่ได้

    ๘. หน้าตาผ่องใส

    คนมีเมตตาผิวหน้าก็ผ่องใส แววตาก็แจ่มใส ไม่เครียด ทำให้มีคนอยากพบ อยากเห็น อยากคุย อยากช่วยเหลือ เพราะว่าหน้าตาน่าดูไม่บึ้งตึง

    ๙. สมาธิตั้งมั่นได้เร็ว
    ผู้ที่เจริญเมตตาจะมีจิตที่มีความสุข อันจะยังผลให้เกิดสมาธิได้เพราะความสุขเป็นเหตุของสมาธิ

    ๑๐. ไม่หลงตาย

    คือในขณะที่จะตายจิตไม่เศร้าหมอง อันจะเป็นประโยชน์ในภพชาติต่อไป เพราะว่าถ้าไม่หลงตายก็ไปเกิดในสุคติภูมิ ถ้าคนหลงตายคือจิตเศร้าหมองก็ลงไปสู่อบายภูมิ ไปเกิดเป็นสัตว์ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรฉานได้

    ๑๑. ตายแล้วไปสู่พรหมโลก

    ไปเกิดเป็นพรหม แต่ผู้นั้นต้องได้ฌานด้วยนะเพราะการเจริญเมตตาสามารถทำให้ได้ถึงฌานจิต หรือแม้ว่าเราไม่ได้ฌานแต่ถ้าจิตของการเจริยเมตตาส่งผลในขณะใกล้จะตาย ก็จะไปเกิดในสุคติภูมิเป็นมนุษย์ หรือเทวดาได้


    เมื่ออานิสงส์ของการเจริญเมตตามีมากมายถึง ๑๑ ประการดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นี้ เราจึงควรจะเจริญเมตตาอยู่เนืองนิตย์

    วิธีการแผ่เมตตาสามารถทำได้โดยอันดับแรก แผ่ให้แก่ตนเองก่อนโดยจะกล่าวในใจก็ได้ว่า

    ได้ว่า “อะหัง สุขิโต โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข

    อะหัง นิททุกโข โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากทุกข์

    อะหัง อะเวโร โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร

    อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากความลำบาก

    อะหัง อะนีโฆ โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากอุปสรรค

    สุขี อัตตนัง ปะริหะรามิ
    รักษาตนให้มีความสุขตลอดกาลนาน (เทอญ)”

    แผ่ให้ตนเองก่อนเพื่อเอาตนเองเป็นพยานว่า เรานี่ก็มีความรักตนเอง คนอื่นๆ เขาก็รักตัวเอง รักตัวของเขาเหมือนกัน เวลานึกถึงสัตว์อื่น เราจะได้เห็นอกเห็นใจมีเมตตาต่อเขาได้ง่าย

    ต่อจากนั้นจึงแผ่ให้แก่คนอื่น

    การแผ่ให้คนอื่นนั้น ถ้าแผ่เดี่ยวๆ แผ่เป็นคนๆ ก็มีวิธีว่า อย่าเพิ่งแผ่ให้กับคนที่ไม่ถูกกัน ที่เป็นศัตรูกันหรือคนที่เรารักมากก่อน เพราะว่าแผ่ให้กับคนที่ไม่ถูกกัน หรือเป็นศัตรูกันนั้น แผ่ไปทีไรเดี๋ยวก็แผ่ไปแต่ความโกรธ จึงไม่ได้แผ่เมตตา นึกถึงทีไร โกรธทุกที

    ส่วนคนที่เรารักมาก เวลาแผ่ไปจะเป็นเมตตาเทียม กลายเป็นแผ่ตัณหาเสียมากกว่าแผ่เมตตา แล้วความเสียใจก็ตามมาอีก

    ท่านจึงสอนว่า ถ้าแผ่เมตตาเดี่ยวๆ ให้แผ่แก่คนที่เป็นที่รักพอประมาณหรือคนรักนับถือพอกลางๆ ก่อนแล้วค่อยแผ่ให้คนที่เรารักมาก หรือจนสุดท้ายจึงแผ่ให้ศัตรู แผ่กลับไปกลับมาอย่างนี้ แต่ถ้าแผ่ไปให้ศัตรูแล้วใจมันไม่ไป ก็กลับมาแผ่ให้แก่คนที่เราแผ่ได้ก่อน แล้วค่อยกลับไปแผ่ให้ศัตรูหใหม่

    ส่วนการแผ่รวมๆ สามารถแผ่ร่วมไปหมดแก่ใครๆ ก็ตามได้เลย โดยกล่าวว่า

    “สัพเพ สัตตา
    ขอให้สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น

    อะเวรา
    จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

    อัพยาปัชฌา
    จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

    อะนีฆา
    จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด"

    แผ่อย่างนี้ นึกซ้ำๆ บ่อยๆ เข้า เพื่อจะดึงจิตเราให้คล้อยตาม ถ้าแผ่เป็นภาษาบาลีไม่ได้ก็แผ่เป็นภาษาไทย

    ถ้ายังยาวไปมันหลายบท จำยาก จำไม่ได้

    ก็ใช้บทเดียวก็ได้ว่า "ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เถิด

    ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เถิด" ว่าอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา

    "ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เถิด" แล้วก็พยายามน้อมให้จิตคล้อยตาม คือเราอาจจะไม่ต้องไปนึกเห็นหน้าตาของคนที่เราแผ่ให้ชัดเจน

    แต่ให้นึกแบบรวมๆ เหมือนเราแผ่เมตตาให้เป็นวงกว้างออกจากตัวออกจากใจของเรา
    แผ่ขยายออกไป แผ่ออกไปกว้างๆ เหมือนแสงที่กระจายออกไปจากรอบตัวเรา กว้างออกไป...กว้างออกไป.... นึกแผ่ออกไปให้รวมๆ ไปทั้งหมดทุกชีวิต ทั้งมนุษย์ ทั้งเทวดา ทั้งสัตว์ในอบายภูมิซึ่งเรารวมเรียกว่าสัตว์ทั้งหลาย

    นอกจากนี้ก็ต้องแผ่อยู่บ่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็แผ่ว่า สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เถิด สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เถิด
    เดินทางไปไหนมาไหน นั่งอยู่ในรถเราก็แผ่ไปในรถ แผ่ไปนึกไปทั่วไปหมด ขอให้มีความสุข มีความสุขทั้งมนุษย์ ทั้งที่ไม่ใช่มนุษย์ก้ตาม

    อยู่ที่ทำงานก็แผ่ให้คนที่ทำงานทุกคนว่า ขอให้มีความสุขๆ อยู่ตรงไหนก็นึกแผ่อยู่เรื่อยๆ แผ่ให้จิตมีความสุข

    ถ้าจิตมีเมตตาจริงๆ ก็จะเกิดความสุขความอิ่มเอิบขึ้นในใจ แล้วก็จะแผ่ขยายฉายออกไปทางใบหน้าและแววตาหน้าตาและแววตาก็จะแจ่มใสมีความ สุขขึ้น ผิวหน้าจะสดใส มันจะฉายออกมา เมตตาเป็นจิตที่เป็นกุศล เมื่อจิตมีเมตตา กุศลก็เกิดขึ้นบุญเกิดขึ้นก็จะคุ้มครองรักษาตัวเราให้มีความสุข ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องของการเจริญเมตตา ซึ่งเป็นสมถกรรมฐาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    วิธีการเจริญสมถะโดยเฉพาะการเจริญเมตตาควบคู่กับการเจริญวิปัสสนาว่าจะทำได้อย่างไร

    การเจริญวิปัสสนามีหลักอยู่ว่า

    ผู้ปฏิบัติจะต้องมีสติระลึกรู้สภาวธรรมที่ปรากฏ ในที่นี้เมื่อเราเจริญเมตตา ก็ให้ระลึกรู้เข้ามาที่หน้าตาและที่ใจ ในขณะที่เราแผ่เมตตาออกไป แผ่ไป....แผ่ไป.... ก็ให้มีสติระลึกสังเกตดูสภาพของใจสังเกตว่าใจรู้สึกอิ่มเอิบ มีความสุขมั้ย

    ส่วนความรู้สึกของแก้ม ของหน้า ของตา เราสามารถสังเกตความรู้สึกด้วยตัวเองได้ว่าหน้าตาเราบึ้งหรือหน้าตาเราแจ่ม ใสคลี่คลาย ปากเราเป็นอย่างไร ยิ้มมั้ย

    ถ้าเรารู้สึกได้ว่าใจอิ่มเอิบมีความสุข ปากยิ้มได้ แสดงว่าจิตมีเมตตาจริงและก็เป็นวิปัสสนาด้วย เพราะสติได้มาระลึกรู้ที่ใจหรือที่จิตซึ่งเป็นสภาวะส่วนความรู้สึกที่หน้าตา และที่ปากนั้นเป็นจิตตชรูป เพราะปากจะยิ้มได้ต้องมาจากจิต ถ้าจิตอิ่ม จิตมีความสุขปากจะยิ้ม ปากที่ยิ้มเกิดจากจิตเรียกว่า จิตตชรูป คือจิตที่ทำให้เกิดการยิ้มได้ และผู้มีเมตตานั้นนอกจากจิตจะรู้สึกแจ่มใสแล้ว ดวงตายังแจ่มใสเหมือนยิ้มได้นะ

    คนที่เขามีนิสัยมีจิตใจเมตตาเวลาพูดไปก็เหมือนกับเขายิ้มไปในตัว ตายิ้ม ปากยิ้ม ใจยิ้ม มันมาจากใจ เพราฉะนั้นถ้าใจขุ่น ตาก็ขุ่น ปากก็ไม่ยิ้ม หน้าก็เครียด ดวงตาเป็นหน้าต่างของใจ ถ้าดูที่ตาก็จะรู้ไปถึงใจ ถ้าใจดีใจอิ่มเอิบ แววตาก็ดี ปากก็ยิ้ม

    จึงให้สังเกตความรู้สึกที่อิ่มเอิบ สังเกตใจที่มีปีติมีความสุข สังเกตความผ่องใสในใจ ใจที่มีเมตตาจะผ่องใส เพราะกิเลสในใจขณะนั้นได้ถูกชำระออกไป ใจจึงอิ่มเอิบ หน้าตาแจ่มใส เมื่อมีสติมาระลึกถึงสภาพธรรมเหล่านี้ก็เป็นวิปัสสนา

    แต่ถ้าเราเจริญเมตตาเสียจังหวะ บางทีก็ทำให้เคร่งตึงได้ ถ้าเราแผ่เมตตาแล้วรู้สึกว่าสมองเครียด แผ่แล้วรู้สึกเคร่งตึง ก็ต้องลดการแผ่เมตตาลง แล้วให้มาเจริญวิปัสสนาด้วยความปล่อยวางมากขึ้น คือเปลี่ยนจากการเจริญเมตตาที่นึกในสัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เปลี่ยนมาเป็นคำว่า “ปล่อยวาง” แทน

    ดังนั้นเมื่อเราจับความรู้สึกในสมองในสรีระได้ว่ามันตึงๆ สติระลึกรู้ความรู้สึกที่เคร่งตึงนั้น ก็สอนใจตนเองว่าปล่อยวางนะ..... ปล่อยวาง.... ปล่อยวาง..... ซึ่งเป็นวิปัสสนา เป็นวิปัสสนาที่รวบยอด คือจะระลึกรู้อย่างปล่อยวาง พอรู้อย่างปล่อยวาง ความรู้สึกตึงๆ ในสมองจะคลายสรีระจะคลาย

    - นอกจากนี้การเจริญเมตตายังช่วยทำให้จิตตื่นและช่วยให้มีสติได้ด้วย

    สมมุติว่าเราเป็นคนที่ระลึกไม่ค่อยจะได้ เป็นคนไม่ค่อยมีสติชอบเผลอ ตามหลักแล้ว การเจริญสติสามารถระลึกรู้ได้ทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา ทุกสถานที่แต่เราไม่ยอมมีสติ จะทำอย่างไง บังคับก็ไม่ได้ก็ให้ลองเจริญเมตตาก็มีสติได้ พอเจริญเมตตาที่ไรก็จะกลับมามีสติระลึกได้ทุกที เลยกลายเป็นว่า เราอาศัยการเจริญเมตตาแล้วทำให้มีวิปัสสนาตามมา

    - อีกประการหนึ่งที่เป็นผลพลอยได้ คือทำให้จิตไม่เบลอ

    คนที่จิตเลื่อนลอย คือจิตไม่ทำงาน นั่งแล้วเบลอ ง่วงๆ ไม่มีสติสัมปชัญญะ ถ้าเจริญเมตตา จิตก็จะทำงานขึ้นมา เพียงแค่นึกว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมี ความสุขนะ....
    ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขนะ.....
    จิตจะทำงาน จิตจะตื่น มีสติมาดูจิตได้อีก อย่างนี้เรียกว่าเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป

    สมถะ คือการเจริญเมตตาทำให้จิตสงบ

    วิปัสสนา คือระลึกรู้สภาวะที่กำลังปรากฏด้วยความปล่อยวาง

    การเจริญเมตตากับการเจริญวิปัสสนาควบคู่กันไป

    - การเจริญเมตตาเป็นสมถกรรมฐาน

    - ระลึกรู้สถาวะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน เรียกว่า ยุคนันทสมถะวิปัสสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  6. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    "วันเวลาผ่านไปทุกนาที

    กลืนกินชีวิตนี้ไปทุกขณะ

    เราทำอะไรเป็นแก่นสารบ้างล่ะ

    หรือแค่เกะกะเกิดแก่เจ็บตาย"


    ชีวิตนี้เกิดมา เพียงแค่หมดไปวันหนึ่งๆ ถ้าไม่ได้ทำอะไรให้เป็นสาระ หรือเป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น มันก็เท่านั้นเอง แค่เกิดมาแล้วก็แก่เจ็บตายไป ใครๆ ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้สาระอะไร สาระของชีวิต อยู่ที่คิดดี ทำดี พูดดี ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ตามควรลองประโยชน์ตนและคนอื่น

    ฉะนั้น เราต้องทำประโยชน์ตอนนี้ เพื่อสะสมเหตุปัจจัยความดีของเราไว้

    "อันความดีทำไว้ไม่หายสูญ

    จะเกื้อกูลตามต้องสนองผล

    ให้ความสุขสมหมายดังใจตน

    เกิดเป็นคนควรทำแต่กรรมดี"


    ให้คิดเสมอว่า ชีวิตของเราร่อยหรอลงไปทุกวันๆ เราอุ่นใจหรือยังว่า เรามีเสบียงเต็มที่แล้วในการจะเดินทางไปยังสัมปรายภพ ว่ายังไงเสียเราก็ไปดี จะไปสุ่ที่สบาย ไม่ไปสู่อบายแน่ อุ่นใจหรือยังว่า เวลาจะตายแล้ว เราจะพร้อมเสมอ ถ้าความดียังไม่เต็ม ยังไม่พอ ก็ยังไม่ควรอุ่นใจ

    ฉะนั้น เราต้องพร้อมเสมอ ต้องปฏิบัติจนกระทั่งเราอุ่นใจ

    ชีวิตนี้ไม่แน่นอน หลวงปู่เหรียญท่านก็มรณภาพไปเมื่อวาน เดี๋ยววันนี้ก็สรงน้ำศพ อายุท่านก็ ๙๓ แล้วมั้ง แต่บางท่านบางคนนี้อายุยังไม่มาก ปุ๊ปปั้บตายไปก็มีเอาแน่ไม่ได้นะ

    เพราะฉะนั้น ก็เตือนตัวเองไว้เพื่อจะได้สะสมคุณงามความดี สร้างบารมีของเราทั้งการให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา

    การเจริญภาวนาก็ให้

    ๑. แผ่เมตตาอยู่เนืองนิตย์

    ๒. เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป

    เราก็จะได้รับประโยชน์ ได้รับอานิสงส์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    “…ชีวิตนี้เกิดมา เพียงแค่หมด

    ไปวันหนึ่งๆ ถ้าไม่ได้ทำอะไรให้

    เป็นสาระ หรือเป็นประโยชน์

    กับตนเองและผู้อื่น มันก็เท่านั้นเอง

    แค่เกิดมาแล้วก็แก่เจ็บตายไป

    ใครๆ ก็เป็นเช่นนี้ไม่ได้สาระอะไร

    สาระของชีวิต อยู่ที่คิดดี ทำดี

    พูดดี ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ตาม

    ครรลองประโยชน์ตนและคนอื่น

    ฉะนั้น เราต้องทำประโยชน์

    ตอนนี้ เพื่อสะสมเหตุปัจจัย

    ความดีของเราไว้

    อันความดีทำไว้ไม่หายสูญ จะเกื้อกูลตามต้องสนองผล

    ให้ความสุขสมหมายดังใจตน เกิดเป็นคนควรทำแต่กรรมดี”

    เขมรํสี ภิกฺขุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    หลวงพ่อเพิ่มเติมเรื่องการเจริญสมถะและวิปัสสนา สามารถไปคู่กับสมถะบทอื่นได้หลายๆ อย่าง เช่น คู่กับอานาปานสติ คือ การกำหนดระลึกรู้ลม

    หายใจเข้าออก แล้วก็เจริญวิปัสสนาควบคู่กัน

    การเจริญอานาปานสตินี้เป็นสมถกรรมฐานเพราะเป็นการระลึกอารมณ์บัญญัติ

    การเจริญอานาปานสติทำอย่างไรตามแนวมหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า

    ให้มีสติรู้ลมหายใจเข้า มีสติรู้ลมหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว

    เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว

    เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น

    สำเหนียกว่าจะกำหนดรู้กองลมหายใจทั้งหมดหายใจเข้า สำเหนียกว่าจะกำหนดรู้กองลมหายใจทั้งหมดหายใจออก สำเหนียกว่าจะระงับกายสังขาร (ลมหายใจ) หายใจเข้า สำเหนียกว่าจะระงับกายสังขารหายใจออก นี้เป็นวิธีการเจริญอานาปานสติ ซึ่งทำให้เกิดสมาธิ

    อรรถกถาจารย์ท่านได้แนะนำวิธีดูลมหายใจไว้ ๕ นัย
    คือ

    ๑. วิธีนับลมหายใจ เรียกว่าคณนานัย

    ให้นับเป็นคู่ๆ ก่อน แล้วค่อยนับเรียงที่หลัง นับเป็นคู่ๆ ก็คือ

    เมื่อหายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๑,

    หายใจเข้านับ ๒ หายใจออกนับ ๒,

    หายใจเข้านับ ๓ หายใจออกนับ ๓,

    หายใจเข้านับ ๔ หายใจออกนับ ๔,

    หายใจเข้านับ ๕ หายใจออกนับ ๕,

    หายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๑ คือพอถึง ๕ แล้วก็มาขึ้น ๑-๑ ไปถึง ๖-๖,
    ๑-๑ ไปถึง ๗-๗,
    ๑-๑ ไปถึง ๘-๘,
    ๑-๑ ไปถึง ๙-๙,
    ๑-๑ ไปถึง ๑๐-๑๐ แล้วก็วน ๑-๑ ไปถึง ๕-๕ โดยตั้งกติกาว่าจะไม่ให้ผิดพลาดนะ ถ้านับเรื่อยเฉื่อยไปแทนที่จะหยุดแค่ ๖ เลยไป ๗ ไป ๘ ก็ต้องขึ้นต้นใหม่ ๑-๑ ถึง ๕-๕ นับไป เอ๊ะ! มันจะถึงไหน ก็ขึ้นต้นใหม่ ๑-๑ ถึง ๕-๕ จิตจะเกิดความระวังตัว ต้องคอยระวังละ ถ้าไม่ระวังก็นับไม่ถูก

    ใครที่ฟุ้งซ่านมากๆ เมื่อนับลมหายใจ เรื่องที่ฟุ้งจะถูกตัดออกไป จิตก็ทรงตัวอยู่

    เมื่อจิตทรงตัวอยู่ดี ต่อไปก็ให้นับเรียงโดยหายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๒
    หายใจเข้านับ ๓ หายใจออกนับ ๔
    หายใจเข้านับ ๕
    หายใจออกนับ ๑,… ๒,… ๓,… ๔,… ๕,… ๖,…

    ๑,… ๒,… ๓,… ๔,… ๕,… ๖,… ๗,…

    ๑,… ๒,… ๓,… ๔,… ๕,… ๖,… ๗,… ๘,…

    ๑,… ๒,… ๓,… ๔,… ๕,… ๖,… ๗,… ๘,… ๙,…

    ๑,… ๒,… ๓,… ๔,… ๕,… ๖,… ๗,… ๘,… ๙,…๑๐,…

    แล้วก็มาวน ๑ ถึง ๕ ใหม่ นับเรียงอย่าให้ผิด ถ้าผิดก็เริ่มนับ ๑ ถึง ๕ แต่ไม่ใช่นับเร็วอย่างที่อาตมาพูดนี่นะเดี๋ยวยิ่งหายใจเร็วยิ่งเหนื่อยใหญ่

    ถ้าเราหายใจช้าก็นับไปช้าๆ อย่าไปเร่งลมหายใจ อย่างนี้ท่านเรียกว่าคณนานัย นัยแห่งการนับลมหายใจ

    นี่คือท่านอรรถกถาจารย์ท่านสอนไว้ แม้ครูบาอาจารย์ในสมัยยุคปัจจุบัน เช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านก็สอนให้ภาวนาพุธโธ หายใจเข้าว่าพุธ หายใจออกว่าโธ ซึ่งก็สงเคราะห์อยู่ในการนับลมหายใจ

    แต่เราจะใช้คำบริกรรมอื่นๆ ก็ได้ เพื่อที่จะกำกับจิตให้อยู่กับลมหายใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  9. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ๒. วิธีตามลมหายใจ เรียกว่า อนุพันธนานัย

    อนุพันธนานัย ก็คือ ตามลมหายใจเข้าไป ตามลมหายใจออกมา หายใจเข้าแล้วลมกระทบผ่านโพรงจมูกลงไปทรวงอก ถึงหน้าท้อง แล้วหายใจออกจากหน้าท้องย้อนขึ้นมาทรวงอก ออกมาถึงโพรงจมูก แล้วก็ตามลมเข้าไป ตามลมออกมาตามไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่ถนัดวิธีแรก ก็ใช้วิธีที่ ๒ นี้ก็ได้

    ๓. วิธีดูการกระทบ เรียกว่า ผุสนานัย

    ผุสนานัย คือ นัยกระทบ โดยดูอยู่ที่เดียวเฉพาะตรงที่รู้สึกว่าลมกระทบ จะดูลมที่กระทบตรงโพรงจมูก หรือปลายจมูก หรือริมฝีปากบนหรือบางคนอาจจะรู้สึกกระทบที่ทรวงอก หรือ บางคนก็รู้สึกที่หน้าท้อง เช่น ที่เขาดูท้องพอง ท้องยุบก็ได้ ให้รู้สึกลมหายใจเข้ากระทบ หายใจออกกระทบ อย่างนี้เรียกว่า ผุสนานัย

    ๔. วิธีดูลักษณะ เรียกว่า สัลลักขณานัย

    สัลลักขณานัย คือ การดูลักษณะของลมหายใจโดยให้ดูลมหายใจว่า ลมหายใจมีลักษณะต่างๆ กัน
    หายใจเข้าก็อย่างหนึ่ง หายใจออกก็อย่างหนึ่ง
    หายใจออกหายใจเข้า ยาว สั้น หยาบ หรือ ละเอียด บางทีก็หยาบ บางทีก็ละเอียด เป็นต้น

    ๕. วิธีดูแบบนิ่งๆ เรียกว่า ฐปนานัย

    ฐปนานัย ก็คือ เพ่งดูอย่างนิ่ง ดูไปนิ่งๆ เรียกว่า จิตจดจ่ออยู่กับนิมิตก็สงบได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สรุปแล้วไม่ว่าจะใช้วิธีดูลมหายใจวิธีใดก็ดีทั้ง ๕ วิธี

    ที่ได้กล่าวมานี้เป็นการเจริญสมถะเป็นการทำเพื่อให้จิตนิ่งสงบ ทำๆ ไปแล้วเมื่อจิตสงบก็อาจจะเกิดนิมิตขึ้นมาเป็นวงเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เหมือนปุยนุ่น เหมือนละอองไอน้ำ หรือเหมือนสายรุ้ง เป็นต้น

    แล้วแต่ใครจะเห็นนิมิตอะไร ก็จะเพ่งนิมิตนั้น เพ่ง... เพ่ง... ประคองไว้ นึกให้เห็นชัด นิมิตนั้นก็จะใส เกิดรัศมี นึกให้ใหญ่นึกให้เล็กได้ตามความปรารถนา ในที่สุดจิตก็จะฟุบตัวเข้าสู่ อัปปนาสมาธิ ได้ฌาน

    แต่นี่เราไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ เราจะทำสมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน คือไม่ต้องเพ่งนิมิต แค่ดูลมหายใจเข้าออกตามสมควรเพื่อให้มีสมาธิบ้าง

    แล้วก็สังเกตความรู้สึกไปเลยตอนระลึกรู้ความรู้สึกนี้แหละเป็นแนวทางของ วิปัสสนา เช่น เวลาหายใจเข้าออกก็ให้หัดสังเกตว่า เออ! มีความรู้สึกสบาย ไม่สบาย มีความ ตึงๆ หย่อนๆ ไหวๆ ที่ทรวงอก หน้าท้อง หายใจเข้ารู้สึกตึงๆ หายใจออกรู้สึกหย่อนๆ เป็นต้น

    ความรู้สึกสบาย ไม่สบาย ความตึงๆ หย่อนๆ ไหวๆ เหล่านี้เป็นสภาวธรรม หรือเป็นปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา

    แต่การเจริญวิปัสสนานั้น ควรจะต้องระลึกเข้าไปถึงจิตใจ ใจผู้รู้ และใจที่รู้สึกด้วยโดยให้หัดสังเกตว่า ขณะที่หายใจเข้าออกนั้น หายใจเข้าออกก็อย่างหนึ่ง ใจที่ระลึกรู้ลม หายใจว่าเข้าว่าออกนี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง คือ มีใจที่รู้อยู่ แล้วใจที่รู้นี้มีความรู้สึกอย่างไร
    สบายใจก็รู้ ไม่สบายใจก็รู้
    สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้

    แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรู้ลมหายใจอยู่นะ รู้ลมหายใจเข้าออก แต่สังเกตความรู้สึกในใจได้ด้วย

    • ขณะที่รู้ลมหายใจเข้าออกยาวสั้น หรือ บริกรรม นับ ๑...๒...๓... หรือพุทโธอยู่นี้ เป็น สมถกรรมฐาน เพราะเป็นการเพ่งบัญญัติ

    • ขณะเดียวกันก็สังเกตใจรู้อยู่
    รู้สึกอยู่ว่าใจสบาย หรือไม่สบาย
    หรือใจสงบ
    หรือหน้าท้อง
    หน้าอกตึงๆ หย่อนๆ ไหวๆ กระเพื่อมเหล่านี้เป็นวิปัสสนาเพราะว่าสติรูปรมัตถ์ ความรู้สึกสบายไม่สบายเป็นเวทนาเป็นปรมัตถธรรม ความตึงๆ หย่อนๆ ไหวๆ ใจที่รู้ๆ ใจที่สงบ ไม่สงบก็ตาม ใจที่อิ่มเอิบ ผ่องใส ก็เป็นสภาวะเป็นปรมัตถธรรมเช่นกัน

    เราต้องเจริญสติสังเกตดูสภาวะเหล่านี้ จึงจะเป็นวิปัสสนา แต่ก็ยังต้องไม่ทิ้งลมหายใจ ยังดูลมหายใจเข้าดูลมหายใจออก ดูว่ายาว หรือสั้น ก็จะเป็นการเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป

    เมื่อเจริญควบคู่กันไปอย่างนี้ ที่สุดแล้วมันก็แยกกันไป บางคนแยกไปสู่สมถะ คือเมื่อปฏิบัติมากเข้าๆ จิตรวมตัวนิ่งไปสู่นิมิต หรือไปสู่ความว่าง ดับความรู้สึกเงียบไปเลย บางทีก็ได้ฌานโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

    ถ้าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นไป เวลาจิตรวมดิ่งนิ่งลงไปจิตบางทีเหมือนถูกดูด พอถึงตรงนี้บางคนไปดึงจิตเข้าไว้ กลัวจะมีสมาธิมาก อย่างนี้ก็ทำให้ไม่ไปถึงไหน แถมเครียดอีก

    ถ้าจิตจะรวมต้องยอมให้รวมต้องยอมไป จิตจึงจะลงไปสู่ความสงบเต็มที่ขึ้น ถ้าเรารั้งไว้ จิตก็ไม่ลงไปสู่สมาธิใหญ่ ใจต้องยอมลงไปสู่สมาธิใหญ่เสียก่อน แล้วจึงมาต่อวิปัสสนาทีหลังก็ได้ โดยพอสมาธิเริ่มคลาย ก็ให้สังเกตใจและความรู้สึกต่างๆ ที่เป็นสภาวะ แต่ถ้ามันไม่ลงไป ก็ระลึกไปเรื่อยๆ ดูความรู้สึก ดูใจที่รู้ ใจที่รู้สึก ฝึกมากๆ เข้าก็จะทิ้งบัญญัติ คือ ทิ้งรูปร่าง ทิ้งความหมาย ไม่มีรูปร่างไม่มี ชื่อภาษา ไม่มีความหมายใดๆ มีแต่ความรู้สึก... รู้สึก... รู้สึกทางกายทางใจ อย่างนี้ก็มาสู่วิปัสสนาล้วนๆ ขึ้น

    ถึงตอนนี้ไม่ต้องเกาะกับลมหายใจแล้ว ไม่ต้องให้ความสำคัญว่าเข้าว่าออก แต่สำคัญที่ความรู้สึก... รู้สึก... รู้สึก... ก็จะเห็นว่าความรู้สึกทางกายทางใจนั้นมีความเกิดดับ มีความเปลี่ยนแปลง มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ที่สุดก็เกิดปัญญารู้แจ้งว่า ชีวิตนี้เป็นเพียงสักแต่สภาพธรรม ที่มีความเกิดขึ้นและดับไปโดยธรรมดา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา ว่าเป็นตัวตนของเราก็ เข้ามาสู่วิปัสสนาได้อย่างเต็มที่

    ฉะนั้น ใหม่ๆ เราก็ควรเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป จะเป็นคู่กันระหว่าง อานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออก กับวิปัสสนา หรือจะคู่กันระหว่างเจริญเมตตา กับวิปัสสนาก็ได้

    แล้วก็ฝากอีกข้อหนึ่ง ในโอกาสที่เวลายังเหลืออยู่ ก็คือ การเจริญสติในชีวิตประจำวันให้หัดใส่ใจในอิริยาบถใหญ่ ได้แก่การยืน เดิน นั่ง นอน เช่น ในการเดิน ก็หัดระลึกรู้สึกตัวในการเดิน เราเดินอยู่ทุกวัน เดินแบบไม่มีสติก็ยังเดินได้ใช้มั้ย เช่น ขณะที่เดินไปจิตก็คิดไปถึงเรื่องต่างๆ แต่ขาก็ยังก้าวไปได้ หรือเดินจะไปว่าคนนั้นคนนี้ เดินไปด้วยความโกรธ เดินไปด้วยความโลภ หลง ก็ยังเดินไปได้

    เราลองเปลี่ยนมาเป็นเดินด้วยมีสติบ้างไม่ได้หรือ เดินไปอย่างมีการรู้เนื้อรู้ตัว โดยใหม่ๆ เราอาจจะฝึกอย่างนี้นะเดินก้าวไปให้รู้... ก้าวไปให้รู้... ก้าวให้รู้... ขาแกว่ง ไปให้รู้... แขนแกว่งให้รู้... ลำตัวแกว่งให้รู้... ศีรษะแกว่งให้รู้... หมั่นสังเกตร่างกายของเราจะทำให้จิตเราอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่เสมอๆ อย่างนี้เป็นการเจริญสติ เป็นกุศลเกิดขึ้นทีละขณะๆ เพราะสติเกิดทีไร กุศลก็เกิด

    นอกจากนี้ก็ยังต้องใส่ใจในอิริยาบถย่อยต่างๆ ด้วย เช่น การคู้ เหยียด เคลื่อนไหว การพูด การจับ การยก การก้ม การเงย การเหลียวซ้ายแลขวา ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน แทนที่จะเหลียวไปมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็หัดรู้สึกตัวในการก้ม ในการเงย เป็นต้น

    ใหม่ๆ ก็รู้แบบบัญญัติไปก่อน รู้ว่าก้ม รู้ว่าเงย รู้ว่าเหลียวซ้ายแลขวา รู้ว่าจับ รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
    เหล่านี้เป็นการเจริญสติ แต่ก็ยังเป็นบัญญัติอยู่ คือก้มเงยนี้ เรารู้ว่าก้มรู้ว่าเงย เหลียวซ้ายและแลขวาซึ่งเป็นบัญญัติ

    แต่ต่อไปต้องพยายามปล่อยบัญญัติ มารู้สภาวะปรมัตถ์รู้ปรมัตถ์ คือ รู้ความรู้สึก สภาวะปรมัตถ์ทางกายก็จะมีความรู้สึกเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ต้องหัดสังเกตลึกซึ้งไปถึงความรู้สึกของการเคลื่อนไหว และของการกระทบ เช่นในขณะที่ก้มเงย เหลียวซ้ายแลขวา จะมีตึงๆ หย่อนๆ ไหวๆ ในกล้ามเนื้อตามตัว ปากที่หุบบ้าง อ้าบ้าง กลืนน้ำลายที่คอบีบรัดก็รู้สึก แม้ตาที่กระพริบๆ ลูกตากลอกกลิ้งกระทบเปลือกตาไหวๆ

    หรืออย่างเวลาจับอะไร เมื่อก่อนเคยรู้แต่จับ แต่ที่จริงแล้วพอจับปุ๊ปลองสังเกตความรู้สึกที่กระทบจะพบว่า มีเย็น มีร้อน หรือมีแข็ง อันนี้แหละเป็นตัวสภาวะ เป็นปรมัตถธรรม ถ้าระลึกรู้อย่างนี้ได้ก็เป็นวิปัสสนา เป็นการรู้ที่กาย

    แต่ที่ให้เริ่มสังเกตที่ร่างกายก่อนก็เพราะว่ากายเป็นของหยาบ รู้ได้ง่าย จึงให้รู้กายไปก่อน แล้วขั้นต่อไปก็ให้หัดรู้ใจ

    เพราะความสำคัญของการปฏิบัติที่สุดแล้วก็คือ ต้องให้มีการระลึกรู้ถึงที่จิตใจ ว่าใจรู้สึกอย่างไร แต่ละขณะๆ ใจดี ใจไม่ดี ใจคิด ใจนึก ใจรู้สึกต่างๆ เสียใจ หรือดีใจ หรือเฉยๆ หรือหงุดหงิด มีความขุ่นมัว หรือผ่องใส สบายใจ ไม่สบายใจ สงบ ไม่สงบ วิตก วิจาร วิจัย สงสัย พอใจ ไม่พอใจ เป็นต้น ให้พยายามมีสติระลึกรู้เท่าทันในปัจจุบันอารมณ์เหล่านี้ด้วย

    ความปล่อยวางอยู่เสมอ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับได้ดูแลรักษาจิตใจแก้ไขให้ดีงาม แล้วก็เป็นการสะสมเก็บคะแนนสติสัมปชัญญะบ่อยๆ เนืองๆ

    เพื่อความสมบูรณ์ของสติปัญญา ทำเช่นนี้เราก็ได้ปฏิบัติธรรมโดยไม่ต้องคอยเวลา ไม่เสียเวลากับชีวิตที่ผ่านไปหมดไป

    คัดลอกจาก http://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=31]0031
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2010
  11. จำนนกรรม

    จำนนกรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +54
    สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ขออนุญาตคัดลอกไว้ศึกษา และปฏิบัตินะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...