เรื่องเด่น จิตวิญญาณแห่งคานธี

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 8 พฤศจิกายน 2010.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    จิตวิญญาณแห่งคานธี

    ในทำเนียบนามแห่งบุคคลของโลกมีชื่อของ “มหาตมะ คานธี” อยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน ในประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จของบุคคลระดับรัฐบุรุษของโลกหลายคน มีพลังแห่งแรงบันดาลใจที่ตกทอดมาจากคานธีอย่างไม่ต้องสงสัย....


    [​IMG]


    เรื่อง ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

    ในทำเนียบนามแห่งบุคคลของโลกมีชื่อของ “มหาตมะ คานธี” อยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน ในประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จของบุคคลระดับรัฐบุรุษของโลกหลายคน มีพลังแห่งแรงบันดาลใจที่ตกทอดมาจากคานธีอย่างไม่ต้องสงสัย
    บุคคลอย่างมาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ จูเนียร์ เนลสัน แมนเดลา อองซานซูจี หรือผู้นำแห่งยุคสมัยของวันนี้อย่างบารัก โอบามา ฯลฯ
    เขาเหล่านี้ล้วนเคยเอ่ยอ้างว่าได้รับอิทธิพลทางความคิดทางการเมือง ทางจิตวิญญาณมาจากมหาตมะ คานธี อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวถึงมหาตมะ คานธีว่า

    “คงเป็นการยากที่อนุชนคนรุ่นหลังจะเชื่อว่า มนุษย์ที่มีเนื้อหนังมังสาอย่างคานธี เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงๆ”

    [​IMG]

    รพินทรนาถ ฐากูร
    มหากวี ผู้นำทางจิตวิญญาณของอินเดีย และผู้เป็นเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ที่มีชื่อเสียงก้องโลก คือ ผู้ขนานนามให้กับชายร่างเล็ก แต่งตัวปอนๆ ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่มีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่อย่างโมหันทาส การามจันทร์ คานธีว่า


    [​IMG]

    “มหาตมะ คานธี”

    มหาตมะ แปลว่า “ผู้มีจิตวิญญาณอันสูงส่ง” หรือ “ผู้มีจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่”

    โมหันทาส การามจันทร์ คานธี สำคัญอย่างไร จึงได้รับการขนานนามให้เป็น “มหาตมะ” ที่คนทั้งประเทศอินเดียและทั่วโลกต่างซ้องสาธุการ

    - คานธี คือ ผู้นำชาวอินเดียในสหภาพแอฟริกาใต้ ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลผิวขาวด้วยสันติวิธี จนรัฐบาลผิวขาวต้องยอมคืน “สิทธิแห่งความเป็นคน” ให้แก่ชาวผิวดำและผิวขาวอย่างเท่าเทียม
    - คานธี คือ ผู้นำชาวอินเดียในบ้านเกิดของตัวเอง ลุกขึ้นมาเรียกร้องอิสรภาพให้กับแผ่นดินถิ่นเกิดด้วยสันติวิธี จนในที่สุดประเทศเจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักรต้องยอมคืนอิสรภาพให้แก่ประชาชนชาวอินเดียทั้งชาติ
    - คานธี คือ ผู้ที่มีส่วนอย่างมีนัยสำคัญในการก่อร่างสร้างประเทศอินเดียขึ้นมาให้เป็นปึกแผ่น จนอินเดียกลายเป็นประเทศเอกราชที่มีรากฐานทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้
    - คานธี คือ ผู้ที่นำเอาศาสนากับการเมืองเคลื่อนเข้ามาบรรจบกัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเรามีความเชื่อกันว่าสองสิ่งนี้จะต้องแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่คานธีไม่เชื่อเช่นนั้น ท่านยืนยันว่า

    “ผู้ที่พูดว่าศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมืองนั้นเป็นผู้ที่ไม่ทราบความหมายของศาสนา สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การเมืองที่ปราศจากหลักธรรมทางศาสนา เป็นเรื่องของความโสมมที่ควรสละละทิ้งเสียเป็นอย่างยิ่ง การเมืองเป็นเรื่องของประเทศชาติ และเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพของประเทศชาตินั้นต้องเป็นเรื่องของผู้ที่มีศีลธรรมประจำใจ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องนำเอาศาสนจักรไปสถาปนาไว้ในวงการการเมืองด้วย”


    [​IMG]

    - คานธี คือ ผู้ที่นำเอาสันติวิธีมาเป็นเครื่องมือในการทำงานทางการเมืองจนประสบความสำเร็จและส่งอิทธิพลไปทั่วโลก สันติวิธีที่ท่านใช้นั้นท่านเรียกว่า “อหิงสธรรม” หรือ Non-Violence และ/หรือ “สัตยาเคราะห์” คำสอนเรื่องอหิงสาอันเป็นชุดจริยธรรมที่เก่าแก่ดั่งขุนเขาที่มีอยู่คู่โลกมาแต่บุราณนั้นเป็นรูปธรรมขึ้นมาอย่างมีความหมายก็เพราะคานธีนำมาใช้อย่างแยบคาย หากคานธีไม่นำอหิงสธรรมมาประยุกต์ใช้ คำสอนส่วนสำคัญที่สุดประการหนึ่งของสินธูธรรมหรือพุทธธรรม ก็คงจะเป็นเพียงถ้อยคำอันสวยหรูที่มีชีวิตอยู่แต่ในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

    - คานธี เป็นนักการศาสนาที่ใช้ศาสนามาเป็นเครื่องมือในการค้นหาความจริงของชีวิต และในขณะที่ตนค้นหาความจริงของชีวิตนั้น ท่านก็ช่วยเหลือเกื้อกูลให้คนอื่นได้ค้นพบความจริงนั้นร่วมกันกับตนเองด้วย
    - คานธี เป็นนักคิด นักปรัชญา นักเขียนที่มีความคิดคมคายยิ่ง ถ้อยธรรมกถาของท่านได้รับการเอ่ยอ้างถึงไปทั่วโลก ไม้เว้นแม้แต่ในภาพยนตร์ของฮอลลีวูด สุนทรพจน์ครั้งสำคัญๆ ของท่าน ข้อเขียนในบทความหลายชิ้น ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า ท่านเป็นนักคิดที่ปราดเปรื่อง เป็นนักปรัชญาที่ลุ่มลึก และเป็นนักเขียนที่แหลมคม สุนทรกถาที่ชาวโลกรู้จักเป็นอย่างดีเช่น

    [​IMG]


    “ทรัพยากรในโลกมีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก แต่ไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนละโมบเพียงคนเดียว” หรือบาป 7 ประการ ที่ว่า

    “เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ
    หาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิด
    ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน
    มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี
    ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลธรรม
    วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์
    บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ”



    [​IMG]

    - เหนืออื่นใดคานธีเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ทำภารกิจสูงส่งต่อมนุษยชาติ ทว่ากลับทำตัวต่ำต้อยอย่างยิ่ง ภาพชินตาที่ทุกคนนึกถึงเมื่อเอ่ยอ้างถึงท่านก็คือ ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่นุ่งเจียม ห่มเจียม สมถะ สันโดษ มีศีลมีสัตย์ หนักแน่นในสัจจะ ลอยอยู่เหนือกองผลประโยชน์ทั้งปวง แม้ทั่วโลกยกย่อง แต่ท่านกลับถ่อมตัวต่ำติดดินดังท่านเขียนถึงตัวเองว่า

    “ข้าพเจ้านั้นหาใช่เป็นนายไม่ หากแต่เป็นคนรับใช้ของอินเดียและของมนุษยชาติโดยผ่านการเป็นคนรับใช้ของอินเดียอีกทีหนึ่ง และเป็นคนรับใช้ที่เจียมใจ เจียมกาย คนรับใช้ที่เพียรดิ้นรนทนต่อสู้ และ (ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่) ถึงอย่างไรก็ยังหนีความผิดพลาดบกพร่องไปไม่พ้น...”


    “ข้าพเจ้าเป็นนักบวชที่ยากจน ทรัพย์สินที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในโลกนี้ มีกงล้อปั่นด้าย 6 เครื่อง จานรับประทานอาหารตั้งแต่อยู่ในคุก 1 ใบ กระป๋องใส่นมแพะ 1 ใบ ผ้านุ่งโธตี และผ้าเช็ดตัวทอด้วยมือ 6 ชิ้น นอกนั้นก็มีแต่ชื่อเสียง ซึ่งก็ไม่มีราคาค่างวดหรือความหมายอะไร”


    [​IMG]

    ในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง คานธีย่อมไม่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้าน แต่ผู้เขียนไม่ถนัดในการมองหาความบกพร่องของผู้อื่น จึงขอเอ่ยถึงเฉพาะด้านที่ควรเจริญรอยตามของคานธีเป็นสำคัญคุณูปการโดยสังเขป แห่งบาปูจีที่กล่าวมานี้ คือ รากฐานอันมั่นคงที่ทำให้ปฏิมาแห่ง “มหาตมะ คานธี” สถิตอย่างมั่นคงอยู่ในใจของคนเรือนล้านทั่วโลกจากอดีตสู่ปัจจุบัน และจากปัจจุบันสู่อนาคต

    [​IMG]

    สำหรับประชาชาติอินเดียแล้ว คานธี ไม่เพียงแต่เป็น “มหาตมะ” เท่านั้น ทว่าท่านยังเป็น “บาปูจี” หรือ “บิดาของประชาชาติ” อีกด้วย

    ไม่ง่ายเลยที่ในรอบร้อยปี จะมีคนอย่างมหาตมะ คานธี เกิดขึ้นมาในโลก

    -----------
    ที่มา::: จิตวิญญาณแห่งคานธี
    รูปภาพประกอบกระทู้จากอินเตอร์เน็ต
     
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    รัฐบุรุษคนสำคัญของโลกคนหนึ่งเลยค่ะ
     
  3. pawinee

    pawinee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +467
    ในรอบร้อยปีนี้ ยังมีในหลวงของเรา รัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๙ ด้วย
    :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...