ตาย ไม่สูญ... แล้วไปไหน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย อรชร, 30 ตุลาคม 2010.

  1. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]

    ความจริง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สายคือ

    <O:p
    ๑) อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    <O:p
    ๒) เกิดเป็นมนุษย์

    <O:p
    ๓) เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์

    <O:p
    ๔) เกิดเป็นพรหม

    <O:p
    ๕) ไปพระนิพพาน

    <O:p
    ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง

    กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้

    [​IMG]

    <O:p
    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ<O:p

    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้ ๕ ประการคือ

    <O:p
    ๑) เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑

    <O:p
    ๒) มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่๒

    <O:p
    ๓) ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๓

    <O:p
    ๔) พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๔

    <O:p
    ๕) ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยนํ้าเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๕

    <O:p
    กรรม คือความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

    [​IMG]
    <O:p

    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์<O:p

    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่

    <O:p
    ๑) เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง

    <O:p
    ๒) ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ

    <O:p
    ๓) ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น

    <O:p
    ๔) ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง

    <O:p
    ๕) ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฎของกรรม ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ

    <O:p
    ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

    [​IMG]

    <O:p
    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์<O:p

    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ

    <O:p
    ๑) เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน

    <O:p
    ๒) เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน

    <O:p
    เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

    <O:p
    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก<O:p

    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา

    แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด

    ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย

    [​IMG]

    <O:p
    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน<O:p

    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ” กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

    ๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน

    ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

    ๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

    ๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

    ๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

    ๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

    ๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

    ๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์

    ๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

    ๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไปและมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด

    ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร

    ๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ

    [​IMG]


    ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ

    ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

    <O:p
    เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง

    เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด

    สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก็เพราะคนไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง

    <O:p
    เรื่องของ “การตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้

    ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม

    [​IMG]

    ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณเพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน

    แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้

    การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้

    เวลานี้มีผู้ฝึก มโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “ตายแล้วไม่สูญ” แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน นั้นมีจริง

    เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ..”

    อ้างอิง...ตายแล้วไปไหน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 ตุลาคม 2010
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    [​IMG]
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O:p>
    *
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2010
  3. ศรีสิทธิ

    ศรีสิทธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1,515
    <TABLE cellSpacing=9 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    กรรมจำแนกสัตว์ ๓๑ ภูมิ ๓ ภพ ทาง ๗ สาย
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=6 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>กรรมจำแนกสัตว์เป็น ๓๑ ภูมิ แบ่งเป็นเส้นทางได้ ๗ สาย


    สายที่ ๑-๓ อบายภูมิ ๔ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต – อสูรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เนื่องด้วยอกุศลกิเลส โลภะ โทสะ และโมหะ

    สายที่ ๔ มนุษย์ภูมิ ได้แก่ มนุษย์ในโลก เนื่องด้วยรักษาศีล

    สายที่ ๕ สวรรค์ภูมิ ได้แก่ สวรรค์ ๖ ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ยามา ดุสิต นิมมานนรดี ปรินิมมิตตวสวัสตี เนื่องด้วยบริจาคทาน

    สายที่ ๖ พรหมภูมิ ได้แก่ พรหม ๒๐ ชั้น แบ่งเป็นรูปพรหมภูมิ๑๖ ชั้น และอรูปพรหมภูมิ ๔ ชั้น รูปพรหมตั้งแต่พรหมชั้นต้น คือ ปาริสัชชาพรหม จนถึงอกนิฏฐะพรหม (ชั้นสุทธาวาส) เนื่องด้วยฌานขั้นต้น และอรูปพรหมตั้งแต่ อากาสานัญจายตนะ จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ เนื่องด้วยฌานขั้นสูง

    สายที่ ๗ นิพพาน ได้แก่ การดับไม่เหลือทั้งรูปและนาม เนื่องด้วยวิปัสสนากรรมฐานเกิดปัญญาญาณ

    ทาง ๗ สายนำมาแบ่งโดยภพได้ ๓ ภพ ดังนี้

    ๑. กามภพ คือ ทางสายที่ ๑-๕ ได้แก่ อบายภูมิ ๔ เร่าร้อนด้วยไฟกิเลส ๓ กอง ได้แก่ ราคะ โทสะ และโมหะ มนุษย์และสวรรค์ ๖ ชั้น ปรารถนากามตัณหา คือ กามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ เป็นอารมณ์กำจัดกิเลสหยาบได้ด้วยศีล

    ๒. รูปภพ คือ ทางสายที่ ๖ ในส่วนรูปพรหมชั้นที่ ๑-๑๖ ปรารถนาภวตัณหา คือ มีแต่รูปไม่ปรารถนาในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะโดยกำจัดด้วยปฏิบัติสมาธิ ให้เกิดฌาน เป็นอารมณ์กำจัดกิเลสอย่างกลางด้วยฌาน

    ๓. อรูปภพ คือ ทางสายที่ ๖ ในส่วนอรูปพรหมชั้นที่ ๑๗-๒๐ปรารถนาวิภวตัณหา คือ ไม่มีภพ (รูป) แต่ยังมีนามจิตเจตสิก ด้วยการเจริญสมาธิจนได้ฌานขั้นสูง กำจัดกิเลสอย่างกลางด้วยฌาน

    แต่ยังมีอีกทางหนึ่ง คือ พระนิพพาน ซึ่งไม่มีภพตัณหาทั้ง ๓ กำจัดกิเลสอย่างละเอียดด้วยการเจริญปัญญา (วิปัสสนา) ทำปัญญาให้รู้แจ้ง รูป นาม เกิด ดับ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา กำจัดอนุสัยกิเลสทั้งหมดได้เป็นสมุจเฉทประหาน

    ข้อควรคำนึงที่สำคัญที่สุดอย่างยิ่งที่เป็นเหตุชักนำให้หมู่สัตว์โลกทั้งหลายไม่หลงเข้าไปอยู่ในวังวนวัฏฏะสงสารของโลก ประการที่สำคัญอย่างยิ่งคือ “สัมมาทิฏฐิ” คือความเห็นชอบหรือความเห็นตรง (ทิฏฐุชุกัมม์) คือความเห็นไม่เบี่ยงเบนไปจากหลักของความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญาที่เรียกว่า“สัทธาญาณสัมปยุตต์” หากมีความเชื่อที่ปราศจากปัญญาหรือที่เรียกว่า “สัทธาญาณวิปปยุตต์” แล้วก็จะเป็นมิจฉะทิฏฐิไม่สามารถที่จะพาให้พ้นทุคติอบายภูมิ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    @@@@@@@@@@@@
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    กราบอนุโมทนา สา ..ธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2010
  4. สุขสว่าง

    สุขสว่าง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +23
    สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ

    [​IMG]
    วันอาทิตย์นี้
    ขอเชิญทอดกฐิน
    ณ วัดแสงแก้วโพธิญาณ
    อ.แม่สรวย เชียงราย
     
  5. *~*Sea Anemone*~*

    *~*Sea Anemone*~* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    791
    ค่าพลัง:
    +9,121
    อนุโมทนา สาธุ ขอบคุณ จขกท ที่นำเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปันให้ได้อ่านกัน
     
  6. waythai

    waythai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,499
    ค่าพลัง:
    +15,192
  7. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    กราบอนุโมทนาค่ะ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2012
  8. เกิดมานาน

    เกิดมานาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +2,547
    ผมขอกราบและขออนุโทนาในกุศลจิตที่ดีที่นำธรรมที่ดีมีประโยชน์มากๆเลยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...