พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตาต่อบรรดาศิษย์อย่างยิ่ง แม้อายุสังขารท่านจะร่วงโรยเพียงใด ท่านก็ยังเมตตาอบรมสั่งสอนศิษย์ ตลอดจนผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายที่มากราบนมัสการ จวบจนกระทั่งท่านอาพาธด้วยโรคหัวใจ ท่านก็ยิ่งให้ความเมตตาแก่ศิษย์โดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ในยามดึกที่ควรจะได้พักผ่อน ท่านก็ยังแสดงธรรมแก่ผู้มากราบนมัสการตลอดมา ธรรมโอวาท ที่ท่านให้เป็นคติเตือนใจแก่ศิษย์ทั้งหลายคือ…….เวลาเหลืออีกไม่มากแล้วให้รีบพากันปฏิบัติ<O:p</O:p
    หลังจากท่านมรณภาพ คณะศิษยานุศิษย์ได้รวบรวมคำสอนของท่านมาจัดพิมพ์เผยแพร่เพื่อเป็นเครื่องบูชาพระคุณ คำสั่งสอนของหลวงปู่ฟังง่าย เข้าใจง่าย แม้บางครั้งจะมีผู้นำเรื่องไม่น่าถาม มาเรียนถาม ท่านก็ได้เมตตาตอบจนกระจ่างแจ้ง ให้ผู้ถามหมดข้อสงสัย ดังได้คัดลอกมาฝากท่านผู้อ่าน ดังนี้
    <O:p</O:p
    ผู้ถาม<O:p</O:p
    หลวงปู่ครับ การจุดธูปเทียนบูชาพระในพิธีกรรมต่างๆ มักจะไม่เหมือนกัน ที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น ควรจุดธูปกี่ดอก<O:p</O:p
    หลวงปู่<O:p</O:p
    จุดกี่ดอกก็ได้ ส่วนใหญ่มักจุด ๓ ดอก บูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กี่ดอกก็มีความหมายทั้งสิ้น
    <O:p</O:p
    ผู้ถาม<O:p</O:p
    ถ้าเช่นนั้นจุดดอกเดียว ก็ถือว่าไหว้ผี ไหว้ศพใช่ไหมครับ<O:p</O:p
    หลวงปู่<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงจิตหนึ่ง<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงกายกับจิตหรือโลกกับธรรม<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงพระรัตนตรัยคืออนิจจังทุกขังอนัตตา<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงอริยสัจ๔<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงพระเจ้าพระองค์นะโมพุทธายะ<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงสิริประการ<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงโพชฌงค์<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงมรรค<O:p</O:p
    จุดดอกหมายถึงนวโลกุตรธรรม<O:p</O:p
    จุด๑๐ดอกหมายถึงบารมี๑๐ประการ
    <O:p</O:p
    ผู้ถาม<O:p</O:p
    ถ้าจุด ๑๑ ดอกล่ะครับหลวงปู่ หมายถึง<O:p</O:p
    หลวงปู่<O:p</O:p
    ก็บารมี ๑๐ ประการ กับจิต ๑<O:p</O:p
    ผู้ถาม<O:p</O:p
    ถ้าไม่มีธูปเทียน<O:p</O:p
    หลวงปู่<O:p</O:p
    ก็ใช้วิธีจิตใจบูชาไม่เห็นต้องมีอะไรพุทธังธัมมังสังฆังชีวิตังเมปูเชมิ - ทุกอย่างอยู่ที่ใจ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    มีเรื่องเล่ากันว่า โยมท่านหนึ่งไปกราบนมัสการพระเถระผู้ใหญ่องค์หนึ่งเป็นประจำ วันหนึ่งได้ถามปัญหาธรรมว่า หลักของพระพุทธศาสนาคืออะไร พระเถระตอบว่า ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว โยมท่านนั้นได้ฟังแล้วก็พูดว่า อย่างนี้เด็ก ๗ ขวบก็รู้ พระเถระองค์นั้นยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า จริงของโยม เด็ก ๗ ขวบก็รู้ แต่ผู้ใหญ่อายุ ๘๐ ก็ยังปฏิบัติไม่ได้ ซึ้งไหมละท่าน นึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า
    <O:p</O:p


    สากัจฉายปุญญเวทิตพพาปัญญารู้ได้ด้วยการสนธนา<O:p</O:p


    .<O:p</O:p
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.geocities.com/sakyaputto/article2.htm

    คุณลักษณะสามประการของผู้รักษาพระพุทธศาสนา
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE height=18 cellSpacing=0 width=601 bgColor=#999966 borderColorLight=#000000 border=1><TBODY><TR><TD width=559 height=18>
    คุณลักษณะสามประการของผู้รักษาพระพุทธศาสนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER><TABLE borderColor=#c0c0c0 height=230 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=586 bgColor=#ffffff borderColorLight=#000000 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top width=580 height=228>
    โดย...พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
    คัดบางตอนจากหนังสือ จากสุขในบ้าน สู่ความเกษมศานติ์ทั่วสังคม

    สภาพความเสื่อมนี้ในปัจจุบันญาติโยมพูดกันมาก เพราะมีข่าวร้ายต่าง ๆ มากมาย เรื่อง อย่างนี้พระสงฆ์ก็ควรจะเอามาพูดบ้าง ไม่งั้นญาติโยมพูดฝ่ายเดียวจะกลายเป็นนินทาพระ แต่ถ้าพระเอามาพูดบ้างในฐานะที่เป็นผู้รู้เรื่องทางธรรม พูดในทางแนะนำและหาทางแก้ปัญหา ก็จะได้มีทางช่วยกันให้รู้จักวางใจได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อเรื่องร้าย ๆ และปัญหาเกิดขึ้น พระจำเป็นต้องเอามาพูดให้โยมรู้ว่า ความเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร มีทางแก้ไขอย่างไร เราจะได้ช่วยกันป้องกัน และที่จริงนั้นตัวเราเองก็มีหน้าที่ด้วย เพราะว่า ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน เรามีหน้าที่ช่วยกันป้องกันพระศาสนา

    อย่างวันสองวันนี้ก็ได้ข่าวอีกแล้วรายใหม่ อาตมาเองก็ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ แต่ท่านมหา และหลวงลุงท่านก็อ่านและท่านเล่าให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่งไปหลอกร้านค้าเพชร เอาเพชรไปแล้วไม่จ่ายเงินให้แก่เขา จำนวนเป็นล้าน ๆ บาท และขอประทานอภัยก็ไปทำศิวลึงค์นำไปแจกในต่างประเทศ พอฟังหรืออ่านข่าวพระประพฤติอย่างนี้แล้ว โยมก็อาจจะพูดว่าพระไม่ดี พระเสียหาย พระหลอกลวง พระเหลวไหล ไม่น่านับถือ จากพระไม่ดี ก็เลยพาลพาโลต่อไปว่าพระพุทธศาสนาไม่ดี แล้วก็จะไม่นับถือพระ จะเลิกนับถือพระพุทธศาสนา

    ที่จริงนั้น พระพุทธศาสนาเป็นของเรา ไม่ใช่เป็นของพระองค์นั้น เพราะว่าคนที่จะมีสิทธิเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา นั้นจะต้องเป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ของชาวพุทธอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นพระก็ต้องเป็นพระที่ประพฤติปฏิบัต ิและทำหน้าที่ของพระอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เป็นคฤหัสถ์ที่ทำหน้าที่ของชาวบ้านอย่างถูกต้อง ถ้าเราทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนถูกต้อง เราเองนี่แหละเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา

    ในทางตรงข้าม พระก็ตาม ญาติโยมก็ตาม แม้จะประกาศตนเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง ทำตัวเหลวไหล ก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา ควรจะระแวงว่าเป็นคนร้ายที่แฝงซ่อนเข้ามาหาประโยชน์จากพระศาสนา ที่เรียกกันว่าเข้ามาปล้นศาสนา

    เพราะฉะนั้น พระที่ประพฤติเลวทรามเหล่านั้นเราไม่ถือว่าเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา โยมจะต้องไม่มองว่าเป็นพระประพฤติชั่ว โยมจะต้องมองว่าคนชั่วเข้ามาทำลายพระศาสนา ถ้าเราวางใจให้ถูกต้องอย่างนี้แล้วพระศาสนาก็จะดีขึ้น เราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อพระศาสนา อย่าถือธุระไม่ใช่ อย่ายกสมบัติของเราให้เขาไป

    อาตมาเคยเปรียบเทียบบ่อย ๆ ว่า ถ้ามีโจรเข้ามาปล้นบ้าน แล้วเรายกสมบัติให้โจรไปเลย อย่างนี้ถือว่าวิปริตใช่ไหม ที่ถูกนั้นเราต้องรักษาทรัพย์สมบัติของเรา แต่ที่เป็นกันเวลานี้เราก็ทำวิปริตกันอยู่โดยไม่รู้ตัว คือ ทั้ง ๆ ที่พระศาสนานี้เป็นของเรา แต่พอมีโจรคือคนที่แฝงตัวมาในเพศของพระประพฤติไม่ดีทำเสียหาย เป็นโจรปล้นศาสนา พอมีโจรเข้ามาปล้นพระของเราอย่างนี้ แทนที่เราจะช่วยกันรักษาพระศาสนาของเรา เรากลับยกศาสนาให้โจรไปเสียนี่ อย่างนี้เขาเรียกว่ายกสมบัติให้โจร เพราะฉะนั้นการทำอย่างนี้ เรากำลังทำผิดพลาด ต้องทำใจให้ถูกต้อง เราต้องรักษาพระพุทธศาสนาของเรา ดูให้ดี ปัญหาอยู่ที่คนร้าย หรืออยู่ที่ตัวเรา

    พระพุทธเจ้าทรงระวังมากในเรื่อง อามิสไพบูลย์ และ ธรรมไพบูลย์ ทรงเตือนให้เตรียมสร้างธรรมไพบูลย์ไว้ให้พร้อมและ ให้ไม่ประมาทในเวลามีอามิสไพบูลย์ เช่น ก่อนที่จะปรินิพพานพระองค์ก็ได้ทรงวางเงื่อนไขไว้ว่า ต้องให้พุทธบริษัททุกฝ่ายมีคุณสมบัติ อย่างน้อย ๓ ประการ จะเป็นพระคือภิกษ ุหรือภิกษุณีก็ตาม เป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ทุกคนควรจะมีคุณสมบัติ ๓ ประการต่อไปนี้ จึงจะถือว่ามีธรรมไพบูลย์ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ยืนยาวได้

    พระพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไข ๓ ประการนี้ไว้ในตอนจะรับอาราธนาปรินิพพาน มีเรื่องว่ามารมาอาราธนาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ตรัสว่าจะยังไม่ปรินิพพาน และพระองค์ก็ทรงวางเงื่อนไขไว้สามประการ ต่อมาครั้งสุดท้ายมารก็มาอาราธนาอีกโดยทวงว่า เงื่อนไขที่พระองค์ได้ทรงวางไว้นั้นสมบูรณ์แล้ว ขอนิมนต์ปรินิพพานได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงสำรวจดู ปรากฏว่าเงื่อนไขที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ ๓ ประการ ครบแล้วจริง พระองค์ก็เลยรับอาราธนาปรินิพพาน แล้วทรงปลงพระชนมายุสังขาร คือตกลงพระทัยว่าจะปรินิพพาน ในที่นี้สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าการปลงพระ ชนมายุสังขาร ก็คือเงื่อนไข ๓ ประการนี้ ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ว่า

    พุทธบริษัททุกประเภท คือทั้ง ๔ พวก จะต้องมีความสามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้ พระองค์จึงจะปรินิพพาน มิฉะนั้นพระองค์ก็จะต้องทำหน้าที่ของพระศาสดาต่อไป หมายความว่าพระองค์ทรงฝากพระศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ที่มีความสามารถ ๓ ประการ ความสามารถ ๓ ประการนี้มีอะไรบ้าง

    ๑.ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาจะต้องรู้หลักธรรมเข้าใจคำสั่งสอนของพระองค์แล้วนำไปปฏิบัติได้ถูกต้อง พูดสั้น ๆ ว่า รู้คำสอนและปฏิบัติได้ถูกต้อง

    ๒.ให้สามารถยิ่งกว่านั้นอีก คือ นอกจากรู้เข้าใจปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเองแล้ว ยังนำไปบอกกล่าวชี้แจงสั่งสอนคนอื่นได้ด้วย คนที่จะไปบอกกล่าวแนะนำสั่งสอนชี้แจงคนอื่นได้นั้น

    (๑) จะต้องมีความสามารถที่จะแนะนำสั่งสอน และ
    (๒) ต้องมีน้ำใจประกอบด้วยเมตตากรุณา บางคนถึงจะมีความสามารถแต่ไม่มีน้ำใจกรุณา ก็ไม่ใส่ใจที่จะสอนก็ไม่ได้ผล เหมือนกัน จึงต้องมีทั้งน้ำใจ ต้องมีทั้งความสามารถ แล้วก็เอา ธรรมไปแนะนำสั่งสอนแก่คนอื่นต่อไป

    ๓.ข้อสุดท้ายว่า ถ้ามีการจาบจ้วง คำว่าจาบจ้วงนี่เป็นภาษาโบราณ หมายความว่ามีการกล่าวร้ายต่อพระศาสนา หรือมีการสั่งสอนลัทธิที่ผิดจากธรรมผิดจากพระวินัยขึ้น ก็สามารถกล่าวแก้ ชี้แจงกำราบได้ เรียกว่ากำราบปรับวาทได้

    เงื่อนไขคุณสมบัติของพุทธบริษัท ๓
    ประการนี้เราจะต้องเอามาใช้เกณฑ์มาตรฐานสำหรับสำรวจตรวจสอบพุทธศาสนิกชนว่า จะสามารถรักษาพระศาสนาได้หรือไม่ เพราะว่าเมื่อตรัสหลักการ ๓ ประการนี้ก็เท่ากับว่า พระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพาน ได้ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้แก่เราแล้ว ถ้าพุทธศาสนิกชนไม่มีคุณสมบัติ ๓ ประการนี้แล้วก็จะรักษาศาสนาของพระพุทธเจ้าไว้ไม่ได้ พระพุทธศาสนาก็ต้องเสื่อมแน่นอน

    เราไม่ต้องไปคำนึงมากนัก เรื่องพระที่ประพฤติเสียหายอะไรนั้นเป็นเรื่องรองลงไป คุณสมบัติ ๓ อย่างของตัวเราเองนี้แหละสำคัญกว่า เรื่องพระประพฤติเสียหายทำไม่ดีนั้น ถ้ามีขึ้นมาเราถือว่าเป็นโจร เป็นคนร้ายเข้ามาทำลายพระศาสนา เราก็ต้องช่วยกันรักษาพระศาสนา เพราะพระศาสนานี้เป็นสมบัติส่วนรวมของเรา แต่ถ้าเราไม่มีคุณสมบัติ ๓ อย่างนั้น โจรจะเข้ามาหรือไม่ เราก็จะรักษาพระศาสนาไว้ไม่ได้ ดีร้ายตัวเราอาจจะกลายเป็นโจรไปเสียเอง แต่ถ้าเรามีคุณสมบัติสามประการนี้แล้วเราก็รักษาพระศาสนาของเราไว้ได้ ขอทวนอีกครั้ง

    ๑.รู้เข้าใจธรรมวินัย และปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง
    ๒.มีความสามารถและเอาใจใส่ที่จะบอกกล่าว ชี้แจงสั่งสอนธรรมแก่ผู้อื่น
    ๓.เมื่อมีลัทธิคำสอนที่ผิดพลาดแปลกปลอมขึ้นมาก็สามารถกล่าวชี้แจงกำราบได้

    สามประการนี้แหละเป็นธรรมไพบูลย์ ซึ่งจะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เพียงแต่เราปฏิบัติถูกต้อง ธรรมก็ไพบูลย์อยู่ในตัวเราแล้ว เมื่อเราเอาไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่นให้รู้และปฏิบัติกันกว้างขวางยิ่งขึ้น ธรรมก็ไพบูลย์กว้างขวางออกไปทุกที แม้จะมี คำสอนอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นมาก็ชี้แจงแก้ไขได้ อุปสรรคก็หมด ไป นี่แหละเป็นธรรมไพบูลย์ที่แท้จริง .
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อานิสงส์ของการรักษาศีล ๕
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->http://www.kanlayanatam.com/sara/sara5.htm
    อานิสงส์ของการรักษาศีล ๕
    ผู้รักษาศีลข้อที่ ๑ คือไม่ฆ่าสัตว์ตัวชีวิต (ไม่ทำปาณาติบาต) ย่อมได้รับอานิสงส์ถึง ๒๓ ประการ คือ
    ๑. บริบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ คือร่างกายไม่พิกลพิการ
    ๒. มีกายสูงและสมส่วน
    ๓. สมบูรณ์ด้วยความคล่องแคล่ว
    ๔. เป็นผู้มีเท้าประดิษฐานลงด้วยดี
    ๕. เป็นผู้สดใสรุ่งเรือง
    ๖. เป็นคนสะอาด
    ๗. เป็นคนอ่อนโยน
    ๘. เป็นคนมีความสุข
    ๙. เป็นคนแกล้วกล้า
    ๑๐. เป็นคนมีกำลังมาก
    ๑๑. มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง
    ๑๒. มีบริษัทบริวารมิได้พลัดพรากจากตน
    ๑๓. เป็นคนไม่สะดุ้งตกใจกลัว
    ๑๔. ข้าศึกศัตรูทำร้ายมิได้
    ๑๕. ไม่ตายด้วยความเพียรของผู้อื่น
    ๑๖. มีบริวารหาที่สุดมิได้
    ๑๗. รูปสวย
    ๑๘. ทรวดทรงสมส่วน
    ๑๙. ป่วยไข้น้อย
    ๒๐. ไม่มีเรื่องเสียใจ
    ๒๑. เป็นที่รักของชาวโลก
    ๒๒. มิได้พลัดพรากจากผู้หรือสิ่งที่รักและชอบใจ
    ๒๓. มีอายุยืน
    รักษาศีลข้อ ๑ คือไม่ฆ่า ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีคุณานิสงส์ ล้วนแต่น่าพอใจ ล้วนแต่ทำให้สุขใจ

    ผู้รักษาศีลข้อที่ ๒ คือข้อไม่ลักทรัพย์(อทินนาทาน) ผู้รักษาย่อมได้รับอานิสงส์ถึง ๑๑ ประการ ดังนี้
    ๑. มีทรัพย์มาก
    ๒. มีข้าวของและอาหารเพียงพอ
    ๓. ได้โภคทรัพย์ไม่สิ้นสุด
    ๔. โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ก็ย่อมได้
    ๕. โภคทรัพย์ที่ได้ไว้แล้วก็ยั่งยืน
    ๖. หาสิ่งที่ปรารถนาได้อย่างรวดเร็ว
    ๗. สมบัติไม่กระจัดกระจายด้วย ราชภัย โจรภัย อุทกภัย อัคคีภัย หรือญาติฉ้อโกง
    ๘. หาทรัพย์ได้โดยไม่ถูกแบ่ง
    ๙. ได้โลกุตตรทรัพย์
    ๑๐. ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยินคำว่าไม่มี
    ๑๑. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
    ผู้รักษาศีลข้อ ๓ คือ เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ได้แก่เว้นจากการประพฤติผิดในการ (ไม่ทำชู้กับคู่ครองของผู้อื่น) ได้รับอานิสงส์ผลถึง ๒๐ ประการ (ปรมตฺถโชติกา) คือ
    ๑. ไม่มีข้าศึกศัตรู
    ๒. เป็นที่รักแห่งชนทั่วไป
    ๓. หาข้าวน้ำเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ อาศัยได้ง่าย
    ๔. หลับก็เป็นสุข
    ๕. ตื่นก็เป็นสุข
    ๖. พ้นภัยในอบาย
    ๗. ไม่ต้องเกิดเป็นหญิงหรือเป็นกะเทยอีก
    ๘. ไม่โกรธง่าย
    ๙. ทำอะไรก็ทำได้ โดยเรียบร้อย
    ๑๐. ทำอะไรก็ทำโดยเปิดเผย
    ๑๑. คอไม่ตก (คือมี สง่า)
    ๑๒. หน้าไม่ก้ม (คือมีอำนาจ)
    ๑๓. มีแต่เพื่อนรัก
    ๑๔. มีอินทรีย์ ๕ บริบูรณ์
    ๑๕. มีลักษณะบริบูรณ์
    ๑๖. ไม่มีใครรังเกียจ
    ๑๗. ขวนขวายน้อยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย หากินง่าย
    ๑๘. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
    ๑๙. ไม่ต้องกลัวภัยจากใคร ๆ
    ๒๐. ไม่ค่อยพลัดพรากจากของที่รัก

    ผู้รักษาศีลข้อที่ ๔ คือเว้นจาการพูดปด พูดหลอกลวงปลิ้นปล้อน ย่อมได้รับอานิสงส์ ๑๔ ประการ (ปรมตฺถโชติกา)
    ๑. มีอินทรีย์ ๕ ผ่องใส
    ๒. มีวาจาไพเราะสละสลวย
    ๓. มีไรฟันอันเสมอชิตบริสุทธิ์
    ๔. ไม่อ้วนเกินไป
    ๕. ไม่ผอมเกินไป
    ๖. ไม่ต่ำเกินไป
    ๗. ไม่สูงเกินไป
    ๘. ได้แต่สัมผัสอันเป็นสุข
    ๙. ปากหอมเหมือนดอกบัว
    ๑๐. มีบริวารล้วนแต่ขยันขันแข็ง
    ๑๑. มีถ้อยคำที่บุคคลเชื่อได้
    ๑๒.ลิ้นบางแดงอ่อนเหมือนกลีบดอกบัว
    ๑๓. ใจไม่ฟุ้งซ่าน
    ๑๔. ไม่เป็นอ่าง ไม่เป็นใบ้

    ผู้รักษาศีล ๕ คือเว้นจากการเสพสุราเมรัย สารเสพย์ติดทุกชนิด ย่อมได้รับอานิสงส์ ๓๕ ประการ (ปรมตฺถโชติการ)
    ๑. รู้กิจการอดีต อนาคต ปัจจุบันได้รวดเร็ว
    ๒. มีสติตั้งมั่งทุกเมื่อ
    ๓. ไม่เป็นบ้า
    ๔. มีความรู้มาก
    ๕. ไม่หวั่นไหว (ผู้ใดชวนในทางผิดไม่ร่วมมือด้วย)
    ๖. ไม่งุนงง ไม่เซอะ
    ๗. ไม่ใบ้
    ๘. ไม่มัวเมา
    ๙. ไม่ประมาท
    ๑๐. ไม่หลงใหล
    ๑๑. ไม่หวาดสะดุ้งกลัว
    ๑๒. ไม่มีความรำคาญ
    ๑๓. ไม่มีใครริษยา
    ๑๔. มีความขวนขวายน้อย
    ๑๕. มีแต่ความสุข
    ๑๖. มีอต่คนนับถือยำเกรง
    ๑๗. พูดแต่คำสัตย์
    ๑๘. ไม่ส่อเสียดใคร ไม่มีใครส่อเสียด
    ๑๙. ไม่พูดหยาบกับใคร ไม่มีใครพูดหยาบด้วย
    ๒๐. ไม่พูดเล่นโปรยประโยชน์
    ๒๑. ไม่เกียจคร้านทุกคืนวัน
    ๒๒. มีความกตัญญู
    ๒๓. มีกตเวที
    ๒๔. ไม่ตระหนี่
    ๒๕. รู้เฉลี่ยเจือจาน
    ๒๖. มีศีลบริสุทธิ์
    ๒๗. ซื่อตรง
    ๒๘. ไม่โกรธใคร
    ๒๙. มีใจละอายแก่บาป
    ๓๐. รู้จักกลัวบาป
    ๓๑. มีความเห็นถูกทาง
    ๓๒. มีปัญญามาก
    ๓๓. มีธัมโมชปัญญา (มีปัญญารสอันเกิดแต่ธรรม)
    ๓๔. เป็นปราชญ์ มีญาณคติ (เป็นคลังแห่งปัญญา)
    ๓๕. ฉลาดรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และรู้ในสิ่งอันเป็นโทษ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โทษของการละเมิดศีล ๕ มีดังต่อไปนี้
    http://www.kanlayanatam.com/sara/sara6.htm
    ละเมิดศีลข้อแรกคือ การทำลายชีวิต หากทำลายชีวิตบุพพการีถือว่าเป็นอนันตริยกรรมคือกรรมหนัก กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าประหารชีวิตสถานเดียว การฆ่า การทำลายชีวิตซึ่งเป็นการละเมิดศีลข้อ ๑ ผิดทั้งกฎหมายของบ้านเมือง และผิดศีล ผิดหลักพระพุทธศาสนาด้วย
    โทษขอการละเมิดศีลข้อที่ ๑ คือการทำลายชีวิตนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย ปาณาติบาต (การทำลายชีวิต) ที่บุคคลทำจนคุ้น ทำจนเคยตัวทำอยู่เรื่อย ๆ ไป ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในกำเนิดเปรตวิสัย
    วิบากคือเศษกรรม (ผลกรรมที่เหลือ) ของการทำลายชีวิตอย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำซึ่งเป็นมนุษย์ กลายเป็นคนอายุสั้น (พลันตาย)
    โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๒ คือ อทินนาทาน ได้แก่ลักทรัพย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย อทินนาทาน (การลักทรัพย์) ที่บุคคลทำจนคุ้น ทำจนเคยตัวทำอยู่เรื่อยไป ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
    วิบากหรือเศษกรรม เศษของโทษ ที่ละเมิดศีลข้อ ๒ คือลักทรัพย์ (อทินนาทาน) อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลาย เป็นคนมีทรัพย์วินาศย่อยยับ (เช่น ถูกไฟ ไหม้หรือโจรผู้ร้ายปล้น เป็นต้น)
    โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๓ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า กาเมสุมิจฉาจาร (การทำชู้) ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ
    วิบากของกาเมสุมิจฉาจาร (การทำชู้) อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลายเป็นคนถูกจองเวร
    โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๔ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาท (พูดปดหลอกลวง) ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ
    วิบากคือเศษกรรม ของการพูดปดหลอกลวง อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลายเป็นคนถูกกล่าวตู่ด้วยความเท็จ
    โทษขอการละเมิดศีลข้อที่ ๕ คือ สุราเมรัย นั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย การดื่มสุราเมรัย ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ฯลฯ
    วิบากของการดื่มสุราเมรัย (เสพยาเสพย์ติด) อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์ กลายเป็นคนบ้า
    สำหรับศีลข้อ ๕ การเสพยาเสพย์ติดทุกชนิด เช่น เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ยาม้า ยาบ้าน ยาอี โคเคน เป็นอาที ก็สงเคราะห์เข้าในศีลข้อนี้ ผู้ใดเสพ ก็ถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อ ๕ นี้ด้วยเช่นกัน
    ปกติมนุษย์ก็เมาอยู่แล้วด้วยกิเลส คือ ราคะ โลภะ โทสะและโมหะ ยิ่งเติมสิ่งเสพย์ติดเข้าไปอีก จึงเมาและบ้ากำลัง ๒ (ยิ่งบ้ากันใหญ่) เที่ยวจับคนเป็นตัวประกันบ้าง โดดตึกตายบ้าง ฆ่าเมีย ฆ่าลูก ฆ่าตัวเองฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองตายบ้าง
    เมืองไทยคนไทยเดินอยู่ตามถนนเตียน ๆ แท้ ๆยังถูกจับไปเป็นตัวประกันและถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
    เมืองไทยคนไทยเดินอยู่ตามถนนเตียน ๆ แท้ ๆ ยังถูกจับไปเป็นตัวประกันและถูกทำร้ายจนเสียชีวิต
    เพราะฉะนั้น จงรีบเร่งรักษาศีล ๕ กันเถิดครับ เพื่อกำจัดปัญหาทางสังคมที่เกิดจากการที่มนุษย์ไม่รักษาศีล ๕ จึงเกิดโทษต่าง ๆ นานา มากหลายดังที่ปรากฏเป็นประจักษ์พยานให้เห็นอยู่
    ผู้ละเมิดศีลข้อ ๕ ท่านกล่าวว่าวิบากกรรมที่เหลือย่อมทำให้เป็นบ้าเป็นคนเสียสติ
    ในเวสสัตตรทีปนี ภาค ๒ ท่านพรรณนาให้เห็นคนบ้า ๘ จำพวก ดังนี้
    . บ้าเพราะกาม
    . บ้าเพราะโทสะ
    . บ้าเพราะทิฎฐิ
    . บ้าเพราะหลงใหล
    . บ้านเพราะผีสิง (คือโลภ โกรธ หลง)
    . บ้าเพราะดีเดือด
    . บ้าเพราะเหล้า และ
    . บ้าเพราะประสบเหตุร้าย
    .
    มีคำอธิบายขยายความดังนี้ครับ
    . คนบ้ากาม ย่อมทำอะไรตามใจตกอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ
    . คนบ้าเพราะโทสะ ย่อมมุ่งร้ายตกอยู่ในอำนาจการเบียดเบียน
    . คนบ้าเพราะทิฎฐิ จิตย่อมวิปลาส คือมีความเป็นคลาดเคลื่อน
    . คนบ้าเพราะหลง ความคิดย่อม เลอะเลือน
    . คนบ้าเพราะผีสิง ย่อมตกอยู่ในอำนาจผี (กิเลส)
    . คนบ้าเพราะดีกำเริบ ย่อมแล้วแต่ดีจะกำเริบ
    . คนบ้าเพราเหล้า ย่อมตกอยู่ในอำนาจการดื่ม
    . คนบ้าเพราะประสบเหตุร้ายย่อมตกอยู่ในอำนาจของความเศร้าโศก
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ของดีที่ชาวพุทธมองข้าม

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]

    ของดี...ที่ชาวพุทธมองข้าม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หนังสือญาณทิพย์ ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๘ เดือนเมษายน ๒๕๔๓<O:p</O:p
    พุทธบูชา ช้าง กจ. ผู้แต่ง<O:p</O:p
    sithiphong ผู้พิมพ์และพิมพ์แจกเป็นทาน<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ปัจจุบันชาวพุทธฯ ส่วนใหญ่มักจะมีหิ้งพระหรือโต๊ะหมู่เพื่อวางพระพุทธรูป รูปเหมือนพระสงฆ์ รูปเจ้าพ่อเจ้าแม่ พระบรมรูปรัชกาลต่างๆ ไว้สักการะบูชา การตั้งหิ้งไม่ควรตั้งสูงเกินไป ให้อยู่ในระดับที่สามารถเอาธูปปักลงในกระถางธูปได้โดยไม่ต้องต่อเก้าอี้ ง่ายต่อการรักษาความสะอาดและสะดวกในการบูชาพระความสูงต่ำของหิ้งขึ้นอยู่กับความสูงต่ำของท่านเจ้าของบ้าน<O:p</O:p
    การวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิ้งพระหรือโต๊ะหมู่<O:p</O:p
    ควรวางตามลำดับความสำคัญดังนี้ คือ
    <O:p</O:p
    . พระพุทธรูป<O:p</O:p
    . พระสังกัจจายน์ พระสิวลี ( อริยสงฆ์ )<O:p</O:p
    . รูปเหมือนหลวงปู่ หลวงพ่อ ( สมมติสงฆ์ )<O:p</O:p
    . ฤาษี ( ถ้ามี )<O:p</O:p
    . นางกวัก แม่โพสพ เสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕ กรมหลวงชุมพร ฯ เจ้าพ่อเจ้าแม่
    <O:p</O:p
    <<<<< ตามความคิดของข้าพเจ้า ( sithiphong ) ในการวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนโต๊ะหมู่บูชานั้น ควรวางตามลำดับความสำคัญ ดังนี้<O:p</O:p
    . พระพุทธรูป <O:p</O:p
    . พระปัจเจกพุทธเจ้า<O:p</O:p
    . พระอรหันต์ <O:p</O:p

    เป็นพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลหรือมีประวัติอยู่ในพระสูตรหรือพระปริตร ต่างๆ หรือ พระอรหันต์ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน เช่น พระโกทัณโญ , พระกัสสะโป , พระสารีบุตร , พระโมคคัลลาน์ , พระอุบาลี , พระอานนท์ , พระราหุล , พระควัมปติ ( พระปิดตา ) , พระสิวลี , พระสังกัจจายน์ , พระบัวเข็มหรือพระอุปคุต ฯลฯ
    <O:p</O:p

    . พระอริยสงฆ์<O:p</O:p
    เป็นพระสงฆ์ในปัจจุบัน เช่น หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ , หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส , เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส เป็นต้น <O:p</O:p
    . รูปเหมือนสมมติสงฆ์ <O:p</O:p
    เป็นพระที่พุทธศาสนิกชนเคารพนับถือกันในสมัยปัจจุบัน ( หลวงปู่ หลวงตา หรือ หลวงพ่อต่างๆ )<O:p</O:p
    . พระสยามเทวาธิราช<O:p</O:p
    . เสาหลักเมือง<O:p</O:p
    . พระบรมรูปพระมหากษัตริย์ไทย<O:p</O:p
    ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติในช่วงเวลาต่างๆมาได้ ถึงแม้ในช่วงที่ประเทศชาติถูกรุกรานจากต่างชาติ และอยู่เย็นเป็นสุข เนื่องมาจากพระบารมี พระปรีชาสามารถ ของพระมหากษัตริย์ไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน อีกทั้งพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคประสพกับความสันติสุขมาจนทุกวันนี้ เช่น พ่อขุนรามคำแหงมหาราช , สมเด็จพระนารายณ์มหาราช , สมเด็จพระนเรศวรมหาราช , สมเด็จพระเอกาทศรถ , สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช , พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช , พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฯลฯ
    <O:p</O:p
    . วีรบุรุษ และวีรสตรี ของคนไทยในอดีต <O:p</O:p
    วีรบุรุษและวีรสตรีผู้กล้าของคนไทยเหล่านี้ ได้ยอมลำบาก ยอมเสียเลือด เสียเนื้อ เสียสละทุกๆอย่าง เพื่อให้ประเทศไทยมีเอกราช อยู่รอดปลอดภัยและประชาชนชาวไทยได้อยู่เย็นเป็นสุขมาจวบจนทุกวันนี้ เช่นพระยาพิชัยดาบหัก , กรมบวรมหาสุรสิงหนาท , กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ , ชาวบ้านบางระจัน , พระนางศรีสุริโยทัย , ท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม) , ท้าวเทพสตรี ท้าวศรีสุนทร (คุณหญิงมุก คุณหญิงจัน) , สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี (สมเด็จย่า) ฯลฯ
    <O:p</O:p
    ๑๐. แม่โพสพ , แม่ธรณี , พระแม่กวนอิม ,พระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ , เทพเจ้าต่างๆ , ฤาษี <O:p</O:p
    ในกรณีที่มีเทพเจ้าต่างๆ พระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ แม่โพสพ แม่ธรณี ฤาษี ควรจะจัดชั้นอีกต่างหากในโต๊ะหมู่บูชานั้น เช่น พระศิวะ , พระนารายณ์ , พระพรหม , พระพิฆเนศ , เจ้าแม่อุมา , เจ้าแม่กาลี , พระอินทร์ , ท้าวเวสสุวรรณ , ฤาษี , ฮก ลก ซิ่ว , โป๊ยเซียน , พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นต้น ในด้านเทพเจ้านั้น ต้องจัดตามลำดับดังนี้ ๑.พระศิวะ , เจ้าแม่อุมา , เจ้าแม่กาลี ๒.พระนารายณ์ , พระลักษมี ๓.พระพรหม , พระสุรัสวดี ๔.พระพิฆเนศ ๕.พระอินทร์ ๖.ท้าวเวสสุวรรณ , .ฤาษี ฯลฯ อีกด้านหนึ่งต้องจัดเรียงตามลำดับคือ ๑.พระโพธิสัตว์กวนอิม ๒.ฮก ลก ซิ่ว , .โป๊ยเซียน ฯลฯ ส่วนแม่โพสพ แม่ธรณี จัดไว้รวมกัน เหตุที่ต้องจัด แม่โพสพ แม่ธรณี พระโพธิสัตว์ต่างๆ เทพเจ้าต่างๆ มาไว้ในชั้นนี้นั้นเนื่องจาก แม่โพสพ แม่ธรณี พระโพธิสัตว์ต่างๆ เทพเจ้าต่างๆ ได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย อยู่ใต้ความเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของวีรบุรุษและวีรสตรีของไทย จึงได้มีโอกาสในการบำเพ็ญบารมีของแต่ละองค์ได้ หากไปอยู่ยังประเทศอื่นๆ เช่น กลุ่มประเทศอาหรับ อิสราเอล ปาเลสไตล์ หรือแม้แต่ในประเทศอังกฤษ เยอรมัน สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ก็คงไม่มีโอกาส หรือถ้ามีก็มีน้อยโอกาสในการบำเพ็ญบารมีของแต่ละองค์นั้น
    <O:p</O:p
    ๑๑. พระยามัจจุราช <O:p</O:p
    ๑๒. พันท้ายนรสิงห์ ( เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ต่อสมเด็จพระเจ้าเสือ กษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา ซื่อสัตย์ต่อกฎมณเฑียรบาล ซื่อสัตย์ต่อกฎหมายบ้านเมือง ) เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ เจ้าพ่อเสือ , เห้งเจีย , หนุมาน , นางกวัก , เจ้าพ่อกวนอู ฯลฯ<O:p</O:p
    ๑๓. กุมารทอง ลักยม นกคุ้ม เสือ สิงห์ มังกร วัวธนู ควายธนู ฯลฯ >>>>><O:p></O:p>
    <O:p</O:p

    หากมีความจำเป็นที่จะต้องวางรวมบนหิ้งเดียวกัน ก็ควรจะยกพื้นให้พระพุทธรูปสูงกว่าพระ พระองค์อื่นๆ นอกจากนี้รูปภาพพระสงฆ์ไม่ควรแขวนสูงกว่าพระพุทธรูป เพราะพระสงฆ์ยังไหว้พระพุทธ
    <O:p</O:p
    การหันหน้าของหิ้งพระหรือโต๊ะหมู่<O:p</O:p
    ปกติควรหันไปทางทิศตะวันออก หากสถานที่ไม่อำนวยจะหันไปทางทิศเหนือหรือทิศใต้ก็ได้ ยกเว้นทิศตะวันตก<O:p</O:p

    การสร้างพระพุทธรูปและสัญลักษณ์ต่างๆ ในพระพุทธศาสนา เป็นการสร้างเพื่อเตือนสติให้ระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านได้สร้างไว้ เมื่อมีรูปแทนคือ พระพุทธรูปก็ดี พระเครื่องก็ดี เหรียญหลวงพ่อ หลวงปู่ต่างๆ อยู่กับตัวหรือบูชาไว้ก็ควรระลึกว่า มีของดีอยู่กับตัว ความชั่วไม่ควรทำ ควรน้อมนำเอาคำสั่งสอนของท่านมาประพฤติปฎิบัติ ก็จะได้รับความสุขกายสุขใจตามสมควรแก่ธรรมนั้นๆ
    <O:p</O:p
    เมื่อมีพระพุทธรูป และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนหิ้งหรือโต๊ะหมู่ จึงมีการบูชาพระ หากมีพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่บูชาก็เหมือนเอาตุ๊กตามาประดับบ้าน
    <O:p</O:p
    การบูชาพระ<O:p</O:p
    มี ๒ ประการ คือ<O:p</O:p
    อามิสบูชาบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน สิ่งของต่างๆ<O:p</O:p
    ปฏิบัติบูชาการปฎิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์สรรเสริญว่า เป็นการบูชาพระองค์โดยแท้จริง
    <O:p</O:p
    การสวดมนต์บูชาพระ เป็นการปฏิบัติธรรม เป็นการทำความดีอย่างง่ายๆ อยู่กับบ้าน<O:p</O:p
    ทานการบริจาคซื้อดอกไม้ ธูป เทียน สิ่งของมาบูชา<O:p</O:p
    ศีลระหว่างการสวดมนต์ของท่านเป็นผู้ที่มีศีล ๕ บริบูรณ์<O:p</O:p
    ภาวนาการสวดมนต์ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    การจุดธูป เทียน บูชาพระ<O:p</O:p
    ให้ใช้ ปัญญา พิจารณาดังนี้
    <O:p</O:p
    . ก้านธูปที่จุดบูชาพระ อย่าสะสม นั่นคือเชื้อไฟอย่างดี เป็นเหตุให้ไฟไหม้บ้านเรือนที่อยู่อาศัย<O:p</O:p
    . การปักธูปลงในกระถาง ระวังธูปล้มหรือเอียง<O:p</O:p
    . วัสดุในกระถางธูป ควรจะเป็นทรายละเอียด ล้างน้ำแล้วตากแห้ง แทนที่จะเป็นข้าวสาร หรือวัสดุอื่นๆ เพราะจะปักธูปได้แน่นกว่า<O:p</O:p
    . ดับเทียน เมื่อท่านสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว อย่าปล่อยให้หมดโดยไม่มีคนเฝ้า อาจเป็นชนวนเหตุให้ไฟไหม้ <<<<<การดับเทียน ตามความคิดเห็นของผม(sithiphong) ควรจะใช้มือหรืออุปกรณ์อื่นเช่น พัด ฯลฯ พัดเทียนให้ดับ ไม่ควรใช้ปาก เป่าเทียนให้ดับ >>><O:p></O:p>

    ๕. ใช้ภาชนะรองรับกระถางธูป เชิงเทียนไว้จะเป็นการดี เป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราท่านก็ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะพระท่านสอนให้ใช้ปัญญา<O:p</O:p

    . การบูชาพระด้วยพวงมาลัย ควรใส่พาน จาน หรือถาด นำไปวางที่หิ้งหรือหน้าที่บูชาพระ ไม่ควรคล้องคอ ดูไม่งาม ไม่เหมาะสม เพราะพระไม่ใช่นักร้อง<O:p</O:p
    . หากท่านออกนอกเคหะสถาน ไม่สะดวกในการจุดธูปเทียนบูชาพระ ก็ให้สวดมนต์ภาวนาในใจ เมื่อกลับบ้านในตอนเย็นหรือค่ำ ก็ควรจะสักการะท่านด้วยธูปเทียน ถ้าหากเดินทางไปค้างแรมต่างถิ่นต่างที่ ก็ให้สวดมนต์ภาวนาเอาเถิด<O:p</O:p
    . ควรจุดเทียนทั้งสองเล่มก่อน แล้วจึงเอาธูปจุดที่เทียน<O:p</O:p

    การบนบานศาลกล่าว<O:p</O:p

    ชาวพุทธฯ บางท่านที่ยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย ก็มักจะขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ช่วย ทั้งเจ้าที่เจ้าทาง ผีสาง นางไม้ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ หลวงพ่อ หลวงปู่ ตลอดจนพระพุทธปฎิมากรต่างๆ จะพบเห็นได้ทั่วไป<O:p</O:p

    ตัวท่านผู้ไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเป็นเสมือนผู้ไปทำสัญญาผูกมัดตนเอง คือ ถ้าสำเร็จผลตามที่บนไว้ ก็จะเอาของมาแก้บน แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็จะไม่นำของมาแก้บนให้ ในกรณีที่ไม่สำเร็จแล้วไม่แก้บน ถือว่าท่านยังติดสินบนอยู่ เพราะโดยทั่วไป บนบานไว้ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ไม่มีการยกเลิกสินบน จึงยังติดสินบนอยู่ ทำให้ขัดข้องในการดำเนินชีวิต การงาน การเงิน ตลอดจนที่อยู่มีปัญหา<O:p</O:p

    ฉะนั้น การบนบานควรกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน และบอกยกเลิกสินบนเมื่อไม่ได้ตามที่ประสงค์<O:p</O:p
    ยกตัวอย่างการบนบานที่มีกำหนดเวลาและการยกเลิก<O:p</O:p
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ห้องพระ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->http://www.homeloverthai.com/houng.php?action=22
    "คนรักบ้าน" ฉบับที่ 22 วันที่ 5 มิถุนายน 2547
    ห้องพระ

    [​IMG] การกำหนดตำแหน่งที่จะจัดตั้งเป็นห้องพระเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แฟน ๆ คนรักบ้านจะใช้หลักการและเหตุผลอย่างเดียวมาวิเคราะห์ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมที่อธิบายยาก ตามหลักเคหะศาสตร์มีหลักเกณฑ์อยู่หลายประการ ดังนี้ครับ
    1. ห้องพระต้องอยู่ในทำเลที่สงบ หลีกเหลี่ยงตำแหน่งที่วุ่นวายเช่น ห้องดู ทีวี เครื่องเสียง ติดกับห้องครัวที่มีเสียงทำกับข้าวและมีกลิ่นรบกวนความสงบ ฉะนั้นการเลือกวางห้องพระไว้ชั้นบนจะหามุมสงบได้ง่ายกว่า เพราะการใช้งานในบ้านจะมีแค่ห้องนอนเป็นส่วนใหญ่
    2. ห้องพระชั้นบนดีกว่าชั้นล่าง ควรเลือกวางห้องพระไว้ชั้นบนสุดของบ้าน ไม่ว่าชั้นบนจะมีกี่ชั้นก็ตามเพราะพระเป็นของสูงเป็นที่สักการบูชา การวางห้องพระต่ำกว่าคนในบ้านย่อมดูไม่เป็นมงคล กรณีบ้านที่วางตำแหน่งห้องพระไว้ด้านล่าง ชั้นบนที่ตรงกับห้องพระต้องเป็นห้องที่ไม่มีคนอยู่ถึงจะใช้ได้
    3. ห้องพระติดกับห้องนอน ต้องระวังเรื่องการวางเตียงควรวางในลักษณะที่ขวางกับห้องพระ ห้ามหันปลายเตียงไปหาห้องพระเพราะคนจะหันเท้าไปทางห้องพระ เป็นลักษณะที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
    4. ห้องพระห้ามติดกับห้องน้ำห้องส้วม ถ้าจำเป็นต้องวางติดกันก็ไม่ควรวางองค์พระติดผนังห้องน้ำ เอาตู้มาพิงด้านที่เป็นกำแพงห้องน้ำก็ถือว่าพอจะใช้ได้
    ดังนั้นกฎเกณฑ์การวางตำแหน่งห้องพระนอกจากดูความเหมาะสมแล้วยังมีเรื่องทิศทางและตำแหน่งควรจะให้ห้องพระหันไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือก็จะดี เพราะถือว่าเป็นทิศที่เป็นมงคลครับ แต่อะไรก็ไม่เท่าเรื่องของความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการเลือกวางตำแหน่งห้องพระที่ดีที่สุดแต่ทั้งนี้ท้งนั้นก็อยู่ในเหตุผลของความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมของแต่ละคนด้วยครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันสำคัญทางศาสนา
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=30360

    วันสำคัญทางศาสนา
    http://www.dhammathai.org/day/buddhismday.php

    <TABLE cellPadding=5 width=500 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=110><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>[​IMG] วันมาฆบูชา : โ อ ว า ท ป า ฏิ โ ม ก ข์

    ตรงกับวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ในปีอธิกมาส

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ พระองค์ประทับเสวยวิมุติสุขในเขตปริมณฑลนั้นเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ จากนั้นจึงเสด็จไปโปรดคณะปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี » อ่านต่อ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE height=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=5 width=500 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=99><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=100 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>[​IMG] วันวิสาขบูชา : ประสูติ - ตรัสรู้ - ปรินิพพาน

    ตรงกับวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖

    ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสา - ขบุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน ๗ » อ่านต่อ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE height=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=5 width=500 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=99><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>[​IMG] วันอัฏฐมีบูชา : วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ

    ตรงกับ วันแรม ๘ ค่ำ แห่งเดือนวิสาขะ (เดือน ๖)

    ความหมาย เนื่องด้วยอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ แห่งเดือนวิสาขะ (เดือน ๖) เป็นวันที่ถือกันว่าตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เมื่อถึงวันนี้แล้ว พุทธศาสนิกชนบางส่วน ผู้มีความเคารพกล้าในพระพุทธองค์ มักนิยมประกอบพิธีบูชา ณ ปูชนียสถานนั้น ๆ วันนี้จึงเรียกว่า "วันอัฏฐมีบูชา" » อ่านต่อ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE height=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=5 width=500 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=99><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>[​IMG] วันอาสาฬหบูชา : พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา
    ตรงกับวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘

    วันอาสาฬหบูชา เป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนา เพราะเป็นครั้งแรกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสชิ ซึ่งล้วนแล้วแต่ เป็นผู้อุปฐากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาในครั้งนี้มีชื่อว่า "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร" ซึ่งได้แก่อริยสัจ 4 ซึ่งหมายถึง ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว โกญฑัญญะ ก็สำเร็จพระโสดา รู้ตามกระแสพระธรรมของพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงนับได้ว่า วันนี้ เป็นวันแรกที่มีพระรัตนตรัยครบเป็นองค์ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า นับเป็นวันแรกที่ พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา
    » อ่านต่อ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE height=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=5 width=500 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=99><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>[​IMG] วันเข้าพรรษา
    ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ จนถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑

    ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงมีพระชนม์อยู่ ได้ทรงเสด็จ ไปยังทุกแห่งหน เพื่อสั่งสอนหลักธรรมอันประเสริฐ จนมีพุทธสาวกมากมาย โดยมุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์สุขแก่หมู่มวลมนุษย์โลก พระองค์ได้เสด็จไปยังถิ่นทุรกันดาร ในทุกฤดูกาล ต่อมา ปรากฏว่าในช่วงพรรษาหรือช่วงฤดูฝนได้มีผู้ร้องขอต่อพระองค์ว่าได้เกิดความเสียหาย แก่ข้าวกล้าเพราะถูกเหยียบโดยพุทธบริษัท ซึ่งไม่ได้เจตนา ดังนั้นพระองค์จึงออกพุทธบัญญัติกำหนดให้ พระสงฆ์ทุกรูป จำพรรษา เป็นหลักเป็นแหล่งในช่วงฤดูฝน โดยให้เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 จนกระทั่งถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 นับเป็น เวลา 3 เดือน ในวันเข้าพรรษานี้ จะมีการทำบุญตักบาตร ถวายผ้าอาบน้ำฝนและจตุปัจจัยแก่ พระภิกษุ สามเณร รวมทั้งยังมีการ ถวายเทียนพรรษา แก่วัดอีกด้วย » อ่านต่อ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE height=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=5 width=500 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=99><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>[​IMG] วันออกพรรษา
    ตรงกับวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑

    วันออกพรรษา คือวันสิ้นสุดระยะการจำพรรษา หรือออกจากการอยู่ประจำที่ในฤดูฝนซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ » อ่านต่อ
    หลังจากวันออกพรรษาแล้วมีประเพณีอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธนิยมทำกันมากคือ การทอดกฐิน [รายละเอียด]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE height=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD background=../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=5 width=500 align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width=99><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>[​IMG] วันโกน - วันพระ
    วันโกน คือ วันขึ้น ๗ ค่ำ กับ ๑๔ ค่ำ และแรม ๗ ค่ำ กับแรม ๑๔ ค่ำ ของทุก เดือน ( หรือ แรม ๑๓ ค่ำ หากตรง กับเดือนขาด ) ซึ่งเป็นวันก่อนวัน พระ ๑ วัน นั่นเอง

    วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ คือ วันขึ้น ๘ ค่ำ กับ ๑๕ ค่ำ และ แรม ๘ ค่ำ กับแรม ๑๕ ค่ำ ของทุกเดือน(หากตรงกับเดือนขาด อาจเป็น แรม ๑๔ ค่ำ ) » อ่านต่อ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  8. อู๊ดลาดพร้าว

    อู๊ดลาดพร้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +262
    พวกที่เช่าพระจากวัดมาปล่อยขายทำเป็นอาชีพ ตามสนามต่างๆ เอาความรู้สึก ชั่ว-ดีทางศาสนา พี่ๆมีความรู้สึกอย่างไร ขัดแย้งกับศีลธรรมรึปล่าวกับกลุ่มคนที่ทำอาชีพนี้ หรือเป็นการเผยแพร่ ช่วยกิจกรรมทางวัดให้บรรลุเป้าหมาย ได้บาปหรือบุญกันแน่ ผมมองไม่ออกจริงๆ เพราะมีกันมานานหลายรุ่นแล้ว บางคนก็ปลอมขายก็มี บางคนก้ขายพระแท้จากวัดอย่างเดียวแต่บวกกำไรตามความอยู่รอด ชาวบ้านที่พอรู้ประวัติและศรัทธา ก็เช่าหากันตามความพอใจ
    จึงกลายเป็นอาชีพใหม่ของคนบางคนก็มี ส่วนตัวผมแล้วพวกขายพระแท้ถ้าคิดจะเช่า ก็ถือว่าให้ค่ารถค่าเสียเวลาถ้าเราไม่มีโอกาศไปแต่ใจศรัทธาในพุทธคุณที่หลวงพ่อนั้นปลุกเสก ในราคาสมเหตุสมผล แต่ถ้าได้มาเป็นพระปลอมขาดพุทธคุณก้เสียกำลังใจเหมือนกัน
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    <TABLE class=tborder id=post396610 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">28-11-2006, 03:15 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #2369 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>อู๊ดลาดพร้าว<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_396610", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:08 AM
    วันที่สมัคร: Nov 2006
    อายุ: 38 ปี
    ข้อความ: 7 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 3 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 36 ครั้ง ใน 7 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_396610 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ผมรบกวนถามเรื่องนึงนะครับ พอดีที่บ้านผมเป็นคอนโด เนื้อที่บังคับมั้ยรู้ว่าผมจัดหิ้งพระแบบนี้ถูกต้องหรือปล่าวครับ
    • พระมีหลายองค์เวลาถวายน้ำและผลไม้ผมแยกไว้อีกชั้นนึง แบบในรูปอย่างนี้ถูกต้องหรือปล่าวครับเพราะไม่มีที่วางชั้นเดียวกัน
    • แต่ละชั้นของหิ้งพระ ผมแยก พระ กุมารทอง นางกวัก รูปด้านหลังซึ่งเป็นแผ่นใหญ่ชิ้นเดียว พ่อปู่ชูชก และอัฐฐิของแม่ผม ไม่รู้ว่าจัดตามลำดับความเหมาะสมถูกหรือปล่าว รบกวนผู้รู้ตอบด้วยครับ เนื้อที่บังคับให้ได้แบบนี้
    เพื่อหายสงสัยและสบายใจ ขอรบกวนเท่านี้ละครับ ขอบคุณครับ
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    **************************************************

    ผมนำบทความที่ผมเคยลงไว้ในกระทู้นี้ มาลงอีกครั้งเพื่อให้ทราบกันครับ


    ส่วนเรื่องพระพิมพ์นั้น บางครั้งพระพิมพ์ที่แท้ แต่ผู้คนที่ไม่รู้จัก(จากการศึกษา ค้นคว้า จากตำราที่เชื่อถือได้) แล้วไปบอกว่าพระพิมพ์นั้น พิมพ์นี้ปลอมบ้างละ พระลิเกบ้างละ พระแก้สินบนบ้างละ อย่างนี้ยิ่งบาป แถมยังดูถูกภูมิปัญญาคนสมัยก่อน ทั้งๆที่คนสมัยนี้ ที่เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ภูมิปัญญายิ่งลดน้อยถอยลง !!!!!!!


    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post396615 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">28-11-2006, 03:20 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #2370 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ขุนท้าว...<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_396615", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:06 AM
    วันที่สมัคร: Mar 2006
    สถานที่: ทะเล
    ข้อความ: 343 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 532 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 672 ครั้ง ใน 218 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 110 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_396615 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->
    ใครพอจะทราบไหมค่ะว่าเป็นพระสมเด็จ ตระกูลใด

    [​IMG]

    <!-- / message --><!-- attachments --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    พิมพ์นี้ ผมไม่ทราบครับ ท่านใดทราบช่วยบอกกันด้วยนะครับ

    .
     
  11. อู๊ดลาดพร้าว

    อู๊ดลาดพร้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +262
    วันก่อนผมเปิดเวปเจอประวัติการสร้างพระ 25 พุทธศตวรรต ปี2500
    เห็มมีอาจร์ยเกจิร่วมกันปลุกเสกมากมาย เจตนา พิธี มวลสาร พุทธคุณเป็นเลิศ เห็นบอกว่ายังเหลืออยู่ที่พุทธมณฑณกับวัดศรีสุดาราม ออกมาจำหน่ายเพื่อสมทบทุนสร้างห้องจัดแสดงและปรับปรุงซ่อมแซมอาคาร
    ในราคา เนื้อชิน 300 บาท เนื้อดินผง 200 บาท ซึ่งได้อ่านราคา+ประวัติ ผมก็ดีใจอย่างมากที่จะได้พระดี แท้
    ในราคาถูก เมื่อเทียบกับพระที่สร้างใหม่ในปัจจุบัน จึงคิดจะไปเช่าสวยๆมาเลี่ยมห้อยไว้สักองค์ แถมร่วมสร้างบุญอีกต่างหาก ดีกว่าไปเช่าในสนาม จึงรีบไปพุทธมณฑณเห็นคนมุงเลือกพระกัน4-5คนข้างในศาลา พอเดินเข้าไปใกล้ๆจึงรู้ว่าเป็นพนักงานที่ทำงานในนี้ ผมจึงไปเลือกบ้างแต่ถูกตะคอกกลับมาว่าในลังนี้เลือกไม่ได้ เดี๋ยวจะหยิบมาให้เลือก แล้วพนักงานก็หยิบมาให้เลือกทีละสามองค์ ผมก็หยิบมาดูด้วยตาปล่าว (ในนั้นมีป้ายบอกห้ามเอากล้องมาส่องพระ) แต่ละองค์ส่วนมากจะซำรุดซะส่วนมาก 2-3 เที่ยว ผมก็บอกว่าขอเลือกในลังได้ไหมเพราะพี่หยิบมามีแต่สภาพไม่สมบูรณ์เลย พนักงานก็บอกว่าในลังก็มีแต่แบบนี้ทั้งนั้นแหละ ปกติคนอื่นจะไม่ให้เลือกมาเช่าก็ส่งให้เลย ไม่งั้นก็ไม่มี มีแต่แบบนี้ ตอบแบบไม่พอใจ ผมก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ทั้งๆที่พวกเขายืนเลือกกันอยู่ตั้งนาน ผมจึงจำใจเช่ามาแบบเสียความตั้งใจ แต่ก็ไม่คิดอะไร ได้เนื้อชินกับเนื้อดินมาอย่างละองค์ พอไปส่องดู (กะจะเอาไปร้านทองเพื่อเลี่ยม) เนื้อชิน มีรอยขีดข่วนด่างๆทั่วไปตามองค์พระ จมูกมีรอยแบนบี้กระจายเต็มหน้า
    ส่วนเนื้อดิน ก็แขนหายตั้งแต่ศอกลงไป ยอดเกศก็มีรอยหักหายไป ไม่มี ตา จมูก ปาก ผมจึงเสียดายเวลาเลี่ยม
    ไม่เป้นไรวันรุ่งขึ้นไปอีกเพราะตั้งใจจะห้อยคออยู่แล้วนี่ ผมจึงไปวัดศรีสุดาราม พอเข้าวัดก็เห็นป้ายเช่าวัตถุมงคลของทางวัดซึ่งอยู่ในศาลาวัดนั่นเอง ที่นี่เลือกได้แต่ราคา เนื้อชิน 400 บาท เนื้อดิน 300 บาท ผมจึงบอกว่าเห็นประกาศตามราคาเท่าพุทธมณฑณนี่ ทำไมจึงขายแพงกว่า เขาบอกว่าหมดช่วงนั้นไปแล้วไม่มี มีแต่พระที่รอส่งทางไปรณีย์เท่านั้น ถ้าอยากได้ก็ตามราคานี้ ถ้าจะเอาสภาพสวยๆคัดมาก็อีกราคานึง ผมจึงต้องทำใจหนีไม่พ้นพวกนี้ อยากได้พระแท้และสวยห้อยคอ พระที่ได้มี
    • เนื้อชินมีเข็มตามนิยม องค์ละ 1000 บาท 2 องค์
    • เนื้อชินไม่มีเข็ม องค์ละ 400 บาท 1 องค์
    • เนื้อดิน องค์ละ 1000 บาท 3 องค์
    • เนื้อดิน องค์ละ 1200 บาท 1 องค์
    • เนื้อดิน องค์ละ 300 บาท 2 องค์
    งานนี้เลยโดนไป 7200 บาท แบบยอมจำนนจริงๆ เพราะความอยากแท้ๆ นี่ละหนากิเลสในใจ ทนความยั่วยุ ทางอารมณ์ ได้รู้ ได้เห็น ตาดู หูฟัง มือสัมผัส ...........ไม่ไหวจริงๆ
     
  12. อู๊ดลาดพร้าว

    อู๊ดลาดพร้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +262
    **มีของดีอยู่กับตัว ความชั่วไม่ควรทำ**
    ผมชอบคำนี้ของพี่ sithiphong จังเลย ฟังแล้วซึ้งดี ส่วนตัวผมจะออกจากบ้านก็ขาดพระไม่ได้ เพราะคำๆนี้มากกว่าครับ เป็นเครื่องเตือนใจให้เราทำดีไม่คิดร้าย อยู่ในศีลในธรรม แต่ถ้าวันไหนทำไม่ได้หรือไม่คิดจะทำก้ถอดซะ อย่าให้พระที่เรากราบไหว้ต้องมารับรู้ในสิ่งที่ไม่ดีไม่ควรเลย ส่วนเรื่องพุทธคุณที่ส่งผลตามมาก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล ส่วนผมชอบไปทางเมตตามากกว่าครับ เพราะผมไม่ได้คิดที่จะไปสู้รบ ตบมือสร้างศัตรตรูกับใคร จึงไม่กลัวใครที่คิดจะมาทำร้าย นอกจากสุดวิสัยก็เป็นเรื่องของกรรมก็แล้วกัน
     
  13. อู๊ดลาดพร้าว

    อู๊ดลาดพร้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +262
    ส่วนข้อความของพี่ sithipong ผมต้องขออนุยาติพิ่copy ข้อมูลบางส่วนที่มีประโยชน์และเนื้อหาที่มีความรู้ มาเก็บไว้เป็นข้อมูลส่วนตัว เผื่อมีโอกาสผมจะได้ทำหนังสือเพื่อ เผยแพร่ถวายเป็นวิทยาทานให้กับคนทั่วไปที่ไม่รู้ หรือรู้แบถูกๆผิดๆ หนึ่งในนั้นก็มีผมคนนึงแหละ ผมได้ความรู้จากพี่มากพอสมควร ซึ่งไม่ต้องไปเสียเวลาหาที่ไหนอีกแล้ว เหมือนผมได้เจอห้องสมุดเล่มใหญ่เล่มนึง โดยไม่ต้องเสียเวลามากในการเรียนรู้ จึงขออนุยาติมาล่วงหน้าก่อนเลยนะครับ
    เพราะผมแอบcopy ไปหลายรายการแล้ว ผมขอฝากตัวเป้นลูกศิษย์คนนึงเลยนะครับ........เพราะข้อมูลบางส่วนทำให้ผมต้องยอมรับเป้นครู ช่วยผมได้จริงๆ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านเป็นผู้ที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์ตรงและคำบอกเล่าของอาจารย์ท่าน และเรื่องราวต่างๆที่ผมได้เขียนนั้น บางอย่างเป็นเรื่องราวที่ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครท่านเป็นผู้ที่เขียนขึ้น ผมเองนั้นยังรู้ไม่มาก ยังต้องอาศัยเรียนรู้จากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครและลูกศิษย์ของท่านอีกมากมาย ท่านอาจารย์ประถม ท่านเคยบอกผมไว้ว่า เรื่องพระพิมพ์ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสกนั้น เรียนกันไม่มีวันจบสิ้น ผมคงเป็นอาจารย์ใครไม่ได้ครับ เพียงแต่แลกเปลี่ยนความรู้กัน ส่วนเรื่องประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น หากจะนำไปพิมพ์ ผมแนะนำให้บอกท่านอาจารย์ประถมก่อน หรือให้ผมเป็นคนกลางช่วยประสานงานเรื่องนี้ให้ก็ได้ครับ

    ผมขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร มา ณ ที่นี้ด้วย เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่อบรม สั่งสอนในเรื่องต่างๆมากมายครับ
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ทำอย่างไรให้ไม่ “ล้า” ขณะทำงาน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>30 พฤศจิกายน 2549 08:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ทุกวันนี้...ผู้คนจำนวนมากแทบไม่มีเวลาให้กับตัวเองสักเท่าไหร่ เนื่องจากต้องเร่งรีบออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อหลีกหนีปัญหารถติด เมื่อถึงที่ทำงานก็ต้องรีบทำงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่ทุกวัน เมื่อเลิกงานก็ต้องรีบกลับบ้านเพราะกลัวรถจะติด และเมื่อเลิกงานก็ต้องเผชิญกับปัญหาเดิม กระทั่งส่งผลทำให้ความเครียดกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่นับวันจะขยายตัวขึ้นเป็นทำดับ ขณะที่สุขภาพร่างกายเองก็พลอยย่ำแย่เนื่องจากไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
    คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ในขณะที่เราต้องเผชิญสภาพดังกล่าวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น มีวิธีใดบ้างที่จะช่วยผ่อนคลายความเครียด มีวิธีใดบ้างที่จะช่วยให้ออกกำลังกายแบบง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลามากมาย

    ธนกร ไข่มุสิก จากคณะคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เมื่อเราต้องนั่งทำงานนานๆ ความเมื่อยล้าก็จะเกิดขึ้น เนื่องเพราะกล้ามเนื้อไม่มีโอกาสได้ยืดเส้นยืดสายเท่าที่ควร ทำให้การไหลเวียนโลหิตเป็นไปอย่างไม่สะดวกเท่าที่ควร รวมถึงกระทบต่อกระดูกและกล้ามเนื้อได้

    ทั้งนี้ วิธีที่จะบำบัดความเมื่อยล้าในขณะทำงานก็คือการออกกำลังกาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าต้องออกไปวิ่งข้างนอกแล้วรีบกลับมาทำงาน หากหมายความว่าขณะทำงานต้องมีเวลาให้กับตัวเองบ้าง จะได้มีเวลาผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังจากการทำงาน เพื่อทำให้กล้ามเนื้อนั้นได้มีเวลาในการพักผ่อนและส่งเลือดไปเลี้ยงให้ทั่วร่างกาย ทำให้ข้อต่อต่างๆได้มีการเคลื่อนไหว ซึ่งส่งผลทำให้รู้สึกสดชื่นและมีจิตใจที่แจ่มใส พร้อมที่จะทำงานได้ต่อโดยไม่รู้สึกเมื่อยล้า

    สำหรับวิธีในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อนั้น เป็นวิธีที่ทำได้ไม่ยากแค่มีพื้นที่เล็กน้อยก็ทำได้แล้ว โดยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ การเหยียดกล้ามเนื้อ, การออกกำลังกายแบบแอโรบิกและการออกกำลังกายด้วยแรงต้าน

    “การออกกำลังกายในที่ทำงานเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเรื่องหนึ่ง สามารถทดสอบสมรรถภาพของตนเองได้ ขึ้นอยู่กับเพศและวัยด้วย ปัญหาการที่นั่งทำงานอยู่ในที่ทำงานนานๆโดยไม่ได้ยืดเส้นยืดสายเลยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เนื่องจากกล้ามเนื้อจะไม่ได้มีโอกาสได้ยืดหยุ่นและการไหลเวียนของโลหิตจะเป็นไปอย่างไม่คล่องตัว ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือ หาเวลาว่างและละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์บ้างและควรหยุดพักสายตาบ้างในขณะทำงาน เพื่อลดความตึงล้าของดวงตา ควรเปลี่ยนอิริยาบถท่าทางการทำงานบ้าง การทำงานก็ควรที่จะไม่ต้องเร็วเกินไป เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการล้าขึ้น ถ้าช้าเกินไปก็จะเบื่อ ควรที่จะให้อยู่ในความเหมาะสม”

    อาจารย์ธนกรอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเริ่มจาก ท่าเหยียดกล้ามเนื้อ ว่า มี 4 ขั้นตอนคือ 1. ประสานนิ้วมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน จากนั้นให้เหยียดทั้งสองข้างตรงขึ้นไปบนศีรษะ ยืดให้สุดหายใจลึกๆ 2. นำมือข้างหนึ่งจับที่สะบักแล้วนำมืออีกข้างจับที่ข้อศอกแล้วบิดเข้าหาศีรษะช้า จากนั้นให้สลับข้าง 3.นำมือซ้ายมาสัมผัสบริเวณขมับแล้วค่อยเอนศีรษะลงไปทางด้านขวา จากนั้นทำสลับกันในท่าเดียวกัน 4. บิดคอไปมาสลับข้างเท่าๆกัน

    สำหรับ ท่าที่เกี่ยวกับแบบแอโรบิก มี 2 ท่าคือ 1. ยกแขนสองข้างขึ้นลงไปมาให้แขนทั้งสองข้างขนานกัน 2. ยกแขนข้างใดข้างหนึ่งเหยียดตรงไปข้างหน้า แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งจับที่ข้อศอกแล้วบิดเข้าหาตัว

    และสุดท้ายเป็นท่าง่ายๆ คือ ออกกำลังกายด้วยแรงต้าน โดยให้นำหนังสือที่มีน้ำหนักไม่ต้องมากมาวางไว้ที่มือทั้งสองข้างแล้วยกขึ้นยกลง

    “การออกกำลังกายแบบเหยียดกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายแบบแอโรบิกและการออกกำลังกายด้วยแรงต้าน ถือว่ามีประโยชน์หลายด้านทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ไม่เจ็บป่วยง่ายไม่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ ทำให้การไหลเวียนโลหิตในร่างกายเป็นไปอย่างปกติไม่เจ็บป่วยง่ายและยังทำให้จิตใจสดชื่นไม่เครียดในขณะทำงาน ส่งผลต่องานที่ทำมีประสิทธิภาพมากขึ้น”อาจารย์ธนกรสรุป

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. อู๊ดลาดพร้าว

    อู๊ดลาดพร้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +262
    ไหนๆก็ไหนๆแล้วผมก็เลยถามอีกสักเรื่องนึงเลยนะครับ
    1. เวลาไปเที่ยวตามวัดโบราณต่างๆจะมีดอกไม้ ธูปเทียน ทอง ขั้นตอนต้องทำอย่างไร แล้วตั้งจิตอธิฐานแบบไหน
    วิธีกราบพระพุทธรูปกราบแบบไหน และกราบพระสงค์กราบแบบไหน แล้วเวลาส่วนมนต์ต่อหน้าองค์พระที่ไปนมัสการมีแบบย่อสั้นๆไหม สวดอะไรบ้าง เพื่อเป็นศิริมงคลและเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่มากราบไหว้ จะได้ไม่ท้อแล้วยุ่งยากอยากที่คิด อุตส่าห์มาตั้งไกลแต่ได้แค่กราบเฉยๆ ผมเชื่อว่าการสวดมนต์จะทำให้จิตใจสะอาดขึ้น แต่คนส่วนมากยังสวดไม่ค่อยเป้นกันเลย เพราะไม่ค่อยรู้ จึงขอแบบสั้นๆสำหรับมือใหม่เที่ยววัด
    2. เวลาไปกราบพระเกจิ พอถึงวัดแล้วไปกราบพระพุทธก่อนหรือเข้าหาหลวงพ่อเลย แล้วพระพุทธที่จะกราบส่วนมากอยู่ตรงไหนของวัด จะสังเกตอย่างไร แล้วขั้นตอนมีอะไรบ้าง
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    คนส่วนใหญ่ชักชวนกันไปไหว้พระดังหรือเก้าวัด ใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมงหรือเป้นวันก็มี แต่พอไปถึงกลับใช้เวลากราบพระหรืออยู่ในสถานที่นั้นไม่ถึงสิบนาที ซะส่วนมาก เพราะไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าต้องทำอย่างไรบ้าง อยากรู้ก็ไม่รู้จะถามใคร หรือไม่กล้าถามจึงได้แต่ชื่นชมในบรรพบรุษของเรา เกิดความเลื่อมใสอยู่ลึกๆแล้วก็กลับไปโดยเสียโอกาส ที่ดีงาม จึงขอถามเป็นวิทยาทานดังนี้นะครับ
     
  17. อู๊ดลาดพร้าว

    อู๊ดลาดพร้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +262
    ผมกำลังหาโอกาสเหมาะๆ ทำหนังสือบทสวดมนต์ แจกตามวัดที่นักท่องเที่ยวซอบไป กำลังหาข้อมูลเพิ่มเติมครับ จะทำแบบฉบับย่อสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ และเนื้อหาเพิ่มเติมโดยเฉพาะของพี่ที่เอามาลงมีประโยช์และเตือนใจมาก เช่น อานิสงส์ของการรักษาศีล ๕ ใช้ธูปเท่าไร ไหว้พระไหว้เจ้า
    ของดี...ที่ชาวพุทธมองข้าม เป็นสิ่งทีผมคิดทำเป็นหนังสือสร้างถวายครับ<O:p
     
  18. อู๊ดลาดพร้าว

    อู๊ดลาดพร้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +262
    ส่วนประวัติการสร้าง การเล่า ผมปล่อยให้เป็นไปตามเล่าขานของสถานที่นั้น มิได้ไปยุ่งเกี่ยวหรือก๊อปข้อมูลมาแต่อย่างใด ปล่อยให้เป็นไปตามความเชื่อของแต่ละบุคคลที่รับรู้มา ผมเน้นเผยแพร่บทสวดมนต์ ไหว้พระเป็นหลักครับ และองค์ประกอบต่างๆเป็นของเสริม
     
  19. sacrifar

    sacrifar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,221
    พี่ sithiphong ครับ รบกวนถามหน่อยว่ารู้จักสมเด็จองค์นี้มั้ยครับ อยู่ยุคไหน ประมาณปีอะไรครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    โมทนาสาธุครับ

    เรื่องบทความ ถ้าจะนำไปพิมพ์ อย่าลืมแจ้งที่มาที่ไปด้วยนะครับ ว่าพิมพ์มาจากไหน ใครเป็นคนเขียน เราควรให้เกียรติกับผู้เขียนดีที่สุดครับ และอย่าลืมลงว่าเราเป็นผู้พิมพ์แจกเป็นทานด้วยนะครับ ผมเองก็ชอบพิมพ์ในลักษณะนี้อยู่เหมือนกัน พิมพ์บ่อยครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...