เรื่องเด่น นักปฏิบัติ ควรสังวร ระวัง อนันตริยกรรม!!!

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 22 กันยายน 2010.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ก้ไหน ว่าพี่เกิด เข้าใจไง ว่า
    จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน

    หัวแถวไปทางที่ดีได้ฉันใด
    หางแถวย่อมได้ดีด้วยฉันนั้น


    เหตุ อยู่ที่หัวหรือ ที่หาง
    เหตุอยู่ข้างในหรือข้างนอก

    สู้ๆนะพี่เกิด หมั่นเอาชนะ จิตใจตนเอง
    พึงยืนอยู่ในทางที่ดีเข้าไว้
     
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    การช่วยกัน กำจัดอลัชชี..เท่ากับช่วยกันรักษาพระศาสนา สังคมจะอยู่เป็นสุข เท่ากับผมตั้งจิตไว้ชอบแล้วเพื่อสังคมหมู่มาก เพื่อลูกหลาน เพื่ออายุศาสนา สมเหตุสมผลในเพศฆราวาสของผม พี่ปราบแกล้งลืมเพศ..?
     
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    พี่ปราบโลกนี้มี2 ด้านเสมอ...จะเอาแต่ดีๆใครก็เป็นกันทั้งนั้น แล้วเหตุจะมาจากไหนให้เรามาเกิด บารมีสิบทิศของพระพุทธองค์ละท่านบำเพ็ญสร้างทำไม

    ธรรมเป็นของเฉพาะตน..ใครทำใครก็ได้ไปเป็นอริยะสมบัติตน แล้วคนรอบข้างล่ะไม่สร้างอะไรไว้ให้เขาบ้างหรือ ทั้งๆที่โอกาสก็มาแล้ว อีกทั้งหากไม่ทำภัยพิบัติก็จะเข้าใกล้เราและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง สังคมก็จะเสื่อมไวเพราะการเอาแบบอย่าง เหตุใดมิรีบกำหนดเหตุด้วยเหตุผล..ใยมาปล่อยวางเอาแต่ส่วนตัวเล่าพี่ปราบบบ หรือเพราะเหตุไม่ดีใช่ไหม..จึงไม่เอา ไม่อยากยุ่ง..ชิมิ?
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ
    อุบัติเหตุจะเกิดทั่วทุกทิศานต์
    มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล
    เกิดนิมิตรพิศดารทุกบ้านเมือง..?
    .............................. เอางั้นรึพี่ปราบ ?
     
  5. คนวิเชียร

    คนวิเชียร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +1,298
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ ครับ สำรวม กาย วาจา ใจ ไม่ประมาท อนันตริยกรรม เป็นกรรมนหนักจริงๆ เมื่อผู้ทำ ตายไปย่อมตกนรกทันที แม้จะทำบุญอื่นไว้มาก ก็ต้องไปรับผลกรรมนั้นก่อน สาธุ
     
  6. oyo-oho

    oyo-oho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +400
    ผมรบกวนผู้รู้หน่อยนะครับว่า
    "อนันตริยกรรมนั้น ถ้าทำลงไปแล้วเสื่อมจากมรรคผล นิพพาน ตั้งอยู่ในศาล ปาราชิก คือผู้พ่ายแพ้ ในพระพุทธศาสนา"
    แล้วทำไมพระโมคคัลลา(ไม่แน่ใจว่าใช่รึป่าว) ถึงนิพพานได้หล่ะ ในชาติก่อนที่จะบรรลุอรหันต์ก็ทำ อนันตริยกรรม
    ปล. ไม่ได้ตั้งคำถามกวนหรือลบหลู่นะครับ แค่ต้องการรู้คำตอบเสริมความรู้เท่านั้น
     
  7. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    จากที่ได้เคยฟังมา พระโมคลาท่านทำอนันตริกรรม ในภพชาติก่อน
    มาในชาตินี้ท่านได้สัมมาทิฐิแล้ว และเพียรจนรู้ธรรม
    แต่ก่อนที่ท่านจะลานิพพาน ท่านไม่สามารถหนีกฏแห่งกรรมได้
    จึงถูกทุบตี เพราะผลกรรมฆ่าบิดา มารดา
    อนันนตริกรรม หมายถึง ในชาติปัจจุบันที่ห้ามนิพพาน
    เหมือนเท่านเทวทัต ที่ทำอนันตริกรรม แต่ก็ไปชดใช้กรรมก่อน จะมาตรัสรู้
    เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

    หากอยากบรรลุนิพพานในปัจจุบันชาติ ห้ามทำอนันตริกรรมเด็ดขาด!!
     
  8. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พระไตรปิฎกก็มีกล่าวถึงพระเจ้าอชาติศัตรูที่ทำอนันตริกรรมปิตุฆาต(ฆ่าพระบิดา) ทำให้ตัดมรรคผล
    นิพพานในชาตินั้น ตอนที่เสด็จไปหาพระพุทธเจ้าเมื่อได้ฟังธรรมก็ไม่อาจบรรลุธรรม
    ได้เพียงเข้าถึงพระรัตนตรัย ในคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี กล่าวว่าในอนาคตอชาตศัตรู จะได้เป็น
    พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า
    ชีวิตวิเสส


    พระไตรปิฏก พระสุตตันตปิฏก เล่มที่ ๙
    ทีฆนิกาย สีลขันธวรรคสามัญญผลสูตร

    ๒. สามัญญผลสูตร


    พระพุทะเจ้า ทรงประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของหมอชีวก โกมารภัจ
    เขตกรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ จำนวน 1250 รูป
    ในคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ วันอุโบสถ เดือนที่ ๔ พระราชาแห่งแคว้นมคธ
    พระนามว่า อชาตศัตรู ได้เสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า


    สหายชีวก พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ไหนเล่า
    ขอเดชะ ผู้ประทับนั่งพิงเสากลาง
    พินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ข้างหน้าภิกษุสงฆ์
    นั่นแลคือพระผู้มีพระภาค พระเจ้าข้า


    พระเจ้าอชาตศัตรู ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
    ผู้มีศิลปะย่อมอาสัยศิลปะของตนเลี้ยงชีพ
    ทำตนให้เป็นสุข เป็นผลแห่งศิลปะที่เข้ามีอยู่ในปัจจุบัน
    ยังจะเอื้อเฟื้อแก่สมณพราหมณ์ซึ่งจะอำนวยผลให้เขามีสุขต่อไปอีกด้วย


    พระพุทธเจ้าทรงแสดงสามัญผลคือผลแงความเป็นสมณะ
    หรือผลแห่งการบำเพ็ญคุณงามความดีถวายพระเจ้าศัตรู ดังนี้
    ๑. ผู้ที่เคยเป็นทาส เมื่อบวชแล้วย่อมพ้นจากความเป็นทาส
    ๒. ผู้ที่เคยทำนา เป็นกรรมกร เมื่อบวชแล้วย่อมพ้นจากความเป็นชาวนา หรือกรรมกร
    ทั้ง ๒ นี้ เป็นผลทางโลกที่เห็นได้ในปัจจุบัน
    ๓. ผู้ออกบวชด้วยศรัทธา มีความเสื่อมใสในพระรัตนตรัย
    สำรวจในศีลดีแล้ว สมบูรณ์ด้วยศีล มีสติสัมปชัญญะ
    มีความสันโดษ เมื่อปลีกตนออกไปอยู่ในเสนาสนะอันสงัด
    บำเพ็ญสมถะภาวนา ทำให้ใจสงบเป็นสมาธิ ย่อมละนิวรณ์ ๕ ได้
    ย่อมบรรลุณานที่ ๑ ย่อมบรรลุณานที่ ๒ ย่อมบรรลุณานที่ ๓
    ย่อมบรรลุณานที่ ๔
    ๔. ได้ตามความรู้เห็นตามเป็นจริง ได้วิชชา ๘ ได้อภิญญา ๖


    สิ้นคำสอนจากพระพุทธเจ้า
    พระเจ้าอชาตศัตรู นั้นทรงเสื่อมใสทันที
    ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาว่าแจ่มแจ้งยิ่งนัก
    เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
    ส่องประทีปในที่มืดให้ผู้มีจักษุได้เห็นรูป
    ทรงปฏิญาณตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย
    และทูลขอขมาโทษในการที่หลงผิดปลงพรชนม์พระเจ้าพิมพิสาร พระราชบิดา
    พระพุทธเจ้าทรงรับขมา และขอให้ทรงระมัดระวังพระองค์ในการที่จะทำอะไรต่อไป


    ตรัสว่า การทำผิดพลาดแล้ว ยอมรับผิดนั้นเป็นโอกาสให้เจริญต่อไป


    เพราะพระเจ้าอชาตศัตรู เห็นผลประจักษ์เช่นนี้

    แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็ทรงได้รับประโยชน์จากพระธรรมเทศนา
    กัณฑ์นี้มาก ก่อนจะมาพบพระพุทธเจ้า พระเจ้าอชาตศัตรู บรรทมไม่หลับ
    หลังจากได้เฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงบรรทมหลับ
    ปฏิบัติกิจเป็นพุทธมามกชนไว้มาก เช่นทรงบำรุงพระสงฆ์
    ทะนุบำรุงและส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
    ทรงเป็นศาสนูปถัมภกในการทำสังคายนาพระธรรมวินัย
    ครั้งแรกหลังพุทธปรินิพานได้ ๓ เดือน


    ในคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี กล่าวว่าในอนาคต
    อชาตศัตรู จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า ชีวิตวิเสส


    ที่มาจาก พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค สามัญญผลสูตร
    เล่มที่ ๙ หน้า ๔๘ ถึง ๘๖
    ก้อนหินยิ้ม
    ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2010
  10. จิดา

    จิดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,505
    ขอบคุณน่ะค่ะที่ได้เตือนความจำอีกครั้งนึงค่ะ
    อนุโมทนา
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อธิบายสั้นๆว่า

    หาก ในชาตินี้ เราเผลอ ทำกรรม อนันตริยกรรมแล้ว
    หมดสิทธิ จะบรรลุธรรมในชาตินี้


    แม้นหากสำนึกผิดแล้ว
    จะทำความดีอย่างไรก็ตาม
    ก็หมดสิทธิ จะรับสุคติเป็นที่ไป
    จะต้องไปรับกรรมจากผลอนันตริยกรรมก่อน
    ซึ่งคือ อเวจีมหานรกอย่างเดียว
    (กลัวมั๊ย อเวจีมหานรก :boo::boo:)
    จนกว่ากรรมชั่วนั้นจะให้ผลเบาบางลง จนกรรมดีที่ทำไว้ ให้ผล
    ได้เลื่อน จาก อเวจีมหานรก ขึ้น ตามลำดับชั้นไปเรื่อยๆ
    จนมาได้เสวย สุคติ จากกรรมดีที่ให้ผล
     
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แล้วรู้ได้ไงว่าหลังจากชาติที่พระโมคคัลลานะตอนที่เกิดเป็นบุตรคนทุกข์ยากหลงเชื่อเมียจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น กระทำการทุบตีบิดามารดาตนไม่ได้รับผลกรรมละครับ หลังจากภพนั้นแล้วแน่ใจว่าท่านเองก็ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่ด้วยบารมีที่สั่งสมและอฐิษฐานบารมีของท่านที่ทำไว้ในอดีตชาติ ว่าด้วยการปราถนาจะเป็นสาวกเบื้องขว่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็เป็นกุศลใหญ๋ และสุดท้ายก่อนปรินิพพานก็ไม่อาจพ้นกรรมที่ทำไว้อยู่ดี อุปมาเหมือนระยะทางที่ถูกก้อนหินนั้นไกลขึ้นเป็นเพียงอย่างเบา แต่เบาของเหล่าพระอรหันต์ก็เท่ากับหนักของคนธรรมดามาก น่าจะเป็นเช่นนี้ นี่ก็เป็นคุณแห่งพระอรหันต์ หรืออรหัตคุณ แต่ไม่ใช่ว่าไม่รับเลย หรือก้าวพ้นกฏของกรรมทั้งหลายนั้นเลย พระศาสดาของเรายังต้องทนทุกขเวทนากับการกระหายน้ำขณะที่ทรงพระประชวรตอนที่พระองค์ทรงเดินทางเพื่อเสด็จปรินิพพานที่เมืองกุสินาราย เลย พิจารณาดูสิครับ
    อนุโมทนาคั๊บ
     
  13. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เป็นนักปฏิบัติที่มุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพานอย่างถึงใจนั้น
    พึงเป็นผู้หนักแน่นในเหตุผล
    ไม่พึงเป็นผู้เหม่อลอย ปล่อยตนให้ล่องลอย
    ไปตามการชักจูงของผู้ใด
    โดยขาดการไตร่ตรองด้วยเหตุและผลต่าง ๆ

    หลวงพ่อพุธ องค์ท่านกล่าวเตือนลูกศิษย์ท่าน
    ในขณะที่รับธรรมจากท่านในขณะนั้นเท่านั้นเอง
    ผู้หยิบธรรมขององค์ท่านมา
    ไม่ควรเหมารวมไปหมด
    การกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงว่า
    เป็นการนำเอาธรรมะขององค์่ท่านมาเพื่อสนองกิเลสตนเท่านั้นเอง

    ทุกท่านคงเคยฟังนิทานเรื่องกระต่ายตื่นตูม...

    กระต่ายนอนหลับอยู่ใต้ต้นตาลที่อยู่ใกล้กับต้นมะตูม
    พอลูกมะตูมตกลงมาโดนก้านตาล
    ทำให้ก้านตาลและลูกมะตูมหล่นลงมาที่พื้นดินเสียงดังสนั่น
    กระต่ายก็ตกใจตื่นนึกว่าฟ้าถล่ม
    จึงวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
    ในขณะที่วิ่งหนี พบสัตว์ตัวใดเข้า
    ก็ประกาศว่าฟ้าถล่ม ฟ้าถล่ม
    ชวนให้สัตว์ตัวอื่นวิ่งหนีฟ้าถล่มไปพร้อมกับตนเอง
    ทำให้สัตว์ทั้งหลายในป่าวิ่งหนีฟ้าถล่มกันอลหม่าน
    เมื่อสัตว์ทั้งหลายวิ่งมาพบพญาราชสีห์
    ด้วยอำนาจของพญาราชสีห์สั่งให้หยุด
    สัตว์ทั้งหลายจึงยอมหยุดเพราะกลัวอำนาจของพญาราชสีห์
    แล้วพญาราชสีห์ถามว่า "พวกเจ้าวิ่งหนีอะไรมา"
    สัตว์ทุกตัวต่างตอบว่าหนีฟ้าถล่ม และชักชวนให้พญาราชสีห์วิ่งหนีไปด้วยกัน
    แต่พญาราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีสติปัญญาจึงครุ่นคิดและถามเหล่าสัตว์ว่า
    ใครเป็นผู้เห็นว่าฟ้าถล่ม สัตว์ทั้งหลายต่างบอกว่า ช้างเห็น
    แต่ช้างก็บอกว่า เสือเห็น แต่เสือก็บอกว่า แรดเป็นผู้เห็น
    แต่แรดก็บอกว่าควายเห็น สุดท้ายมาลงที่ กระต่ายเป็นผู้เห็น
    และกระต่ายก็ยืนยันว่าตนเห็น พญาราชสีห์จึงบอกให้กระต่าย
    พาตนไปดูซิว่าที่ใดเป็นที่ที่ฟ้าถล่มลงมา
    กระต่ายจึงเป็นผู้นำพาพญาราชสีห์และสัตว์ทั้งหลายไปดู
    เมื่อพญาราชสีห์ไปตรวจดูสถานที่ที่กระต่ายว่าฟ้าถล่มลงมาแล้ว
    จึงบอกสัตว์ทั้งหลายว่าเสียงดังสนั่นที่กระต่ายบอกว่าฟ้าถล่มนั้น
    เป็นเพียงลูกมะตูมตกมาใส่ก้านตาล
    แล้วตกลงมาที่ืพื้นดินเสียงสนั่นหวั่นไหวเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลัว

    เพราะเหตุนี้สัตว์ทั้งหลายจึงอาศัยชีวิตรอดมาได้
    ไม่ต้องวิ่งเหยียบกันตายเพราะหนีฟ้าถล่ม
    ก็ด้วยสติปัญญาของพญาราชสีห์ันั่นเอง.....
     
  14. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    คราวนี้มาดูเหตุของสังฆเภท และ สังฆสามัคคี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2010
  15. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    การจะพิจารณาว่าเป็นสังฆเภทหรือไม่นั้น
    ก็ต้องดูว่ามีผู้ได้กระทำการตามเหตุของสังฆเภท 18 ประการนั้นหรือไม่
    เมื่อมีผู้คัดค้านว่ามีผู้กระทำตามเหตุของสังฆเภท 18 ประการ
    และการกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสื่อมของพระพุทธศาสนา

    ผู้ที่คัดค้านผู้ที่กระทำเหตุของสังฆเภท
    ย่อมชอบที่จะประกาศแยกตนออกจากผู้กระทำการอันเป็นเหตุของสังฆเภทนั้น
    นี่แหละจึงจะเกิดสังฆเภทขึ้น
    ดังนั้นผู้ที่คัดค้านดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นผู้กระทำสังฆเภท แต่เป็นผู้กระทำเหตุของสังฆสามัคคี


    แต่ผู้ที่กระทำตามเหตุของสังฆเภท 18 ประการนั่นเอง
    เป็นผู้กระทำสังฆเภท และเป็นผู้กระทำอนัตริยกรรม ตกนรกอเวจี
    ก็คือผู้ที่กระทำเหตุสังฆเภทดังกล่าวนั่นเอง....

    ดังนั้นผู้ที่กระทำเหตุสังฆเภท 18 ประการ
    ก็คือผู้ที่กระำทำขัดแย้งกับสังฆสามัคคี 18 ประการ ของสงฆ์ผู้พร้อมเพียงกัน
    จะเป็นผู้ที่ตกนรกชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

    ไม่ใช่ว่าเมื่ออยู่ฝั่งใด ฝั่งหนึ่งจะตกนรกทั้งหมด
    ถ้าเราอยู่ฝั่งที่รักษาสังฆสามัคคี ไม่เพียงแต่จะไม่ตกนรกเท่านั้น
    แต่ยังได้อานิสงส์มหาศาลจากการรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้เสื่อมสิ้นไปได้
    นี่ท่านผู้สร้างบารมีท่านจะมาสร้างบารมีเพื่อต่อสู้กับพวก
    ที่กระทำสังฆเภทนี่แหละ
    มันก็เหมือนกับว่า เราจะอยู่ฝั่งโจร หรือ ฝั่งคนดีเท่านั้นแหละ
    ถ้าเราไปอยู่ฝั่งโจรก็แน่นอนตกนรกแน่
    แต่ถ้าอยู่ฝั่งคนดีก็ได้อานิสงส์มหาศาลทำหน้าที่รักษาพระศาสนาไว้ได้

    ดังที่ผู้กระทำสังฆเภทได้กระทำไว้ ตัวอย่างเช่น

    ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ ว่า เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้

    ศาสนาต้องมีผู้รักษาไว้ครับ ถึงจะมีอายุถึง 5000 ปีได้
    ใครจะเป็นผู้ที่รักษาพระพุทธศาสนา หรือ
    จะเป็นผู้ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม
    เลือกเอานะครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2010
  16. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    พระพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้ธรรมด้วยตนเองไม่ได้มีใครมาสอน
    และได้สอนธรรมให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ไปกับตนเองด้วย
    คือสามารถสอนให้ผู้อื่นไปนิพพานกับตนได้

    พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ตรัสรู้ธรรมด้วยตนเองไม่ได้มีใครมาสอน
    เช่นเดียวกันพระพุทธเจ้า
    แต่ไม่สามารถสอนธรรมให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ไปกับตนเองด้วย
    คือไม่สามารถสอนให้ผู้อื่นไปนิพพานกับตนได้

    พระอรหันต์ คือ ผู้ที่จะตรัสรู้ธรรมได้ แต่ต้องมีผู้มาสอนเท่านั้น
    จะรู้ธรรมเห็นธรรมด้วยตนเองไม่ได้
    ผู้ที่จะมาสอนให้เป็นพระอรหันต์คือ พระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ที่เชี่ยวชาญ
     
  17. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    ทะเลาะกัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ

    ดูได้ตามวัดวาอาราม เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะไป

    ไม่ว่าจะเป็นพระพรรษาไล่เลี่ยกัน หรือ พระเถระแก่พรรษา ก็ตาม

    เป็นเรื่องปกติครับ ขนาดในวัดเดียวกัน ยังชอบพอกัน,เกลียดกัน ยังมีเลยครับ

    ถ้าเราเป็นชาวพุทธศาสนิกชนกันจริงๆ จะต้องวางตัวเองให้เป็นกลางครับ

    ยึดหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไว้เป็นที่มั่นที่ระลึก สูงสุดครับ

    สิ่งใดที่พระองค์ท่านฯ ได้บัญญัติ ห้ามเอาไว้ ก็อย่าไปปฏิบัติ หรือนำมาใช้ครับ

    และสิ่งใดที่พระองค์ท่านฯ ได้ สอนไว้ ก็ให้นำมาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ

    ด้วยฐานะของชาวพุทธ อย่างเราๆ

    "ไม่มีที่พึ่งอื่นใด ที่ดีไปกว่า พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์"
    "ในบวรศาสนาพุทธอันศักดิ์สิทธิ์ อันมีพระพุทธเจ้าอยู่เหนือสิ่งอื่นใดๆ"
     
  18. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    อุ๊ยยยยยย..ท่านเตชพโล..เทศได้ดีต้องติดกัณเทศซะหน่อยแล้ว ของจริงๆ..กะลามสูตร10..พี่ปราบไม่ยอมใช้เลย กองเชียร์ก็เลยพลอยโดนย้อมไปด้วย..โดนใจมาติดกัณเทศหน่อยเร็ว...m150 กระทิงแดงก้ได้ 1 โหล

    คนเริ่ม คือคนทำสังฆกรรม..เราคนตาม ก็ต้องตามด้วยกะลามสูตร10 เพื่อระงับเหตุ เข้าใจเหตุปัจจัย เพราะเราต้องอยู่กับสังคม อาศัยสังคม หากรอบบ้านเป็นโจรไปหมดเราจะแอบอยู่แต่ในบ้านก็โดนปล้นครับ...พี่ปราบเทวดา........?
     
  19. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    [FONT=’Cordia New’]‘นรกที่ชื่ออเวจีนั้นมีสัณฐานเหมือนมีกำแพงล้อม ฝาผนังด้านหน้าของนรกนั้นร้อนแรงเรืองแสงรุ่งโรจน์ในโชตนาการ ด้านหลัง ด้านเหนือ ด้านใต้ ด้านบนและด้านล่างก็เหมือนกัน ร้อนแรงเรืองแสงรุ่งโรจน์โชตนาการเปลวเพลิงของฝาผนังด้านหน้าลุกลามไปจรดฝาผนังด้านหลัง เปลวเพลิงด้านหลังก็ลุกลามไปจรดถึงตลอดกันหมด นรกทุกส่วนถูกเปลวเพลิงผนึกกันไม่มีช่องว่างเลย สัตว์นรกในอเวจีนรกนั้นมีหลายพันหมกไหม้อยู่เหมือนยืนอยู่แค่สะเอว มีบางสมัยที่ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นถูกเปิด สัตว์นรกหมู่ใดเห็นว่าประตูนั้นเปิดๆ แล้ววิ่งไป สัตว์นรกหมู่นั้นวิ่งไปไม่ทันถึงประตู ประตูก็ปิดเสีย สัตว์นรกเหล่านั้น เป็นแล้วในนรกนั้นเสวยทุกขเวทนารุนแรงกล้าแข็งแล้วเผ็ดร้อนยิ่งนัก แต่ยังไม่ตายก่อน ตราบเท่าที่กรรมอันเป็นบาปนั้นยังไม่สิ้นสุดไป ถามว่าเพราะวิบากของกรรมอะไร สัตว์จึงบังเกิดในนรกนั้น? ตอบว่าสัตว์นรกเหล่านั้นตอนที่เป็นมนุษย์ในโลกนี้ ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายสงฆ์ (หมู่คณะ)ให้แตกกัน หรือมีจิตคิดประทุษร้ายต่อพระตถาคตเจ้าทำให้พระโลหิตห้อขึ้น ถามว่าเพราะอะไรนรกขุมนี้จึงชื่อว่าอเวจี? เพราะสัตว์นรกในอเวจีนั้นครั้นบังเกิดแล้ว ก็เสวยทุกขเวทนารุนแรงกล้าเผ็ดร้อนติดต่อกันไปอย่างหนักหน่วง ไม่เหมือนในนรกอื่นๆ’[/FONT]

    [FONT=’Cordia New’][/FONT]
    [FONT=’Cordia New’][/FONT]
    [FONT=’Cordia New’]ผู้ทำอนัตริกรรมจะมาเจอกันที่นี้ก่อนเลย " เอ้า ชนแก้วกันไปเลย"[/FONT]

    [FONT=’Cordia New’][/FONT]
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    งานนี้..หนูหลบภัยเป็นคนจัดหรือจ้ะ..!:':)':)':)':)'(
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...