ถามเรื่องการแผ่เมตตา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย indear, 20 กันยายน 2010.

  1. indear

    indear เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +733
    วันนี้ตอนนั่งรับประทานอาหารเย็นก็เกิดคำถามขึ้นว่า ในขณะืที่เราทำภารกิจต่างๆในชีวิตประจำวันอยู่นั้น เราสามารถที่จะแผ่เมตตาโดยไม่จำกัดได้เลยหรือไม่ หรือจำเป็นต้องหลังจากการมีการสวดมนต์เกิดขึ้นเท่านั้นจึงจะแผ่เมตตาได้
    เพราะมีความคิดว่าอยากแผ่เมตตาให้งานที่เรากำลังอยู่,ให้สิ่งของที่เราใช้อยู่หรืออะไรต่างๆรอบข้างเรา รู้สึกว่าอยากจะส่ง"ใจ"ให้ของเหล่านั้น มันน่าจะมีผลอะไรเกิดขึ้นบ้างนะคะ แต่ที่รู้แน่นอนคือสมาธิเกิดค่ะ
    ขอถามเป็นความรู้ รบกวนด้วยค่ะ
    ขอบคุณค่ะ
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สำหรับคนที่มีจิตใจดีงามเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว มีปกติมองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี ไร้ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน จิตจะมีความโล่ง โปร่ง เบาสบาย ผ่อนคลายอยู่ในตัวอยู่แล้ว จิตแบบนี้เป็นเมตตาโดยธรรมชาติ โดยตัวของมันเอง มีพรหมวิหารประจำใจ ไม่จำเป็นต้องเสกสรรปั้นแต่งให้มีให้เป็นแต่อย่างใด สามารถแผ่หรือเพ่งส่งกระแสแห่งความปรารถนาดีนั้นออกไปสร้างความอิ่มเอิบเบิกบานให้กับผู้อื่นได้ทันที

    ส่วนคนที่ยังก้ำ ๆ กึ่ง ๆ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ยังคงต้องสร้างเมตตาให้เกิดเป็นภพมีขึ้นในใจก่อน แล้วจึงแผ่ความปรารถนาดีนั้นออกไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นแผ่เอาความเครียดความร้อนใส่กันเสียมากกว่า คนโกรธไม่ต้องแผ่มันก็ออกไปอยู่แล้วเพราะพลังที่เป็๋นลบมันมาก มันล้นออกไปได้ง่าย และเห็นได้ชัดเจน

    ถ้ายังมองไม่เห็นภาพชัด จะเปรียบเทียบอย่างนี้ก็ได้

    เวลาคนเรากำลังอารมณ์ดี มีความสุขอยู่ กำลังปลื้มปิติใจ มองโลก็สดใสไปหมด ใจมันก็ผ่อนคลาย สบาย ๆ ไม่มีความเครียด มันก็เลยพร้อมที่จะให้อภัยได้ตลอดเวลา ณ ตอนนั้น เพราะมันไม่หนักอก เวลาให้อภัยก็ให้อภัยได้ง่าย หยวน ๆ ไป
    แต่ถ้าเวลาเรากำลังขุ่นใจ หงุดหงิด อารมณ์เสีย มองอะไรก็จะขวางไปหมด เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะยอมกันได้ก็เกิดวางไม่ลงซะอย่างนั้น จะเอาเรื่องกันให้ได้ บางทีเรื่องที่เคยหยวน ๆ ไว้ก็ลากขึ้นมา รื้อฟื้นขึ้นมาอีกก็มี อันนี้คือ ใจมันหาทางออกหาทางระบายความอึดอัดภายในหักอก แต่มันระบายออกไม่เป็น ถ้าเจอแบบนี้เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ สักสามเที่ยว สติอยู่กับลมหายใจสักพัก มันก็เริ่มสงบตัวลงได้แล้ว ไม่ต้องไประบายออกทางคำพูด หรือการกระทำอื่นใด เอาออกทางลมหายใจก็พอแล้ว แต่คนที่ไม่เคยฝึกสติมาเลย คงจะตั้งตัวไม่ค่อยจะทันนะ
     
  3. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ดีครับ อนุโมทนาครับ
    คิดอย่างไรได้อย่างนั้นครับ
    ติดกุศล ดีกว่าติดอกุศลครับ
    ไม่ติดเลยเดินปัญญาต่อครับ
    สาธุครับ
     
  4. indear

    indear เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +733
    ขอบคุณค่ะ
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ความจริงการเจริญพรหมวิหาร ๔ นี่เป็นการปฏิบัติภาวนาชนิดหนึ่งนะครับ......จะยกคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งท่านได้เทียบเป็นความดีชั้นต่างๆลองศึกษาปฏิบัติดูนะครับ.........


    เจริญพรหมวิหาร ๔

    ๑. แผ่เมตตา ความรักไปในทางทิศทั้ง ๔ โดยคิดไว้ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า เราจะเป็นมิตร
    แก่คนและสัตว์ทั่วโลก จะยอมเคารพในสิทธิของกันและกัน จะรักสิทธิของผู้อื่นเสมอด้วยสิทธิของกัน
    และกัน จะรักสิทธิของผู้อื่นเสมอด้วยสิทธิของตนเอง จะไม่ทำใครให้เดือดร้อนด้วย กายวาจา แม้แต่
    จะคิดด้วยใจ จะรักษาและเคารพในบุคคลและสัตว์เสมอด้วยความรักตนเอง
    ๒. กรุณา จะสงสาร หวังสงเคราะห์สัตว์และมนุษย์ทั้งปวง ทั่วในทิศทั้ง ๔
    ๓. มุทิตา จะไม่อิจฉาริษยาคนและสัตว์ทั้งหลาย ทั่วทิศทั้ง ๔ จะพลอยส่งเสริมเมื่อผู้อื่นได้ดี
    มีโชค มีความรู้สึกในเมื่อได้ข่าวว่าผู้อื่นได้ดีมีโชค เหมือนตนของตนเป็นผู้ได้ดีมีโชคเอง
    ๔. อุเบกขา วางเฉยเมื่อผู้อื่นพลาดพลั้ง ไม่ซ้ำเติมให้ช้ำใจ และตั้งใจหวังสงเคราะห์
    เมื่อมีโอกาส
    การรักษาศีลบริสุทธิ์ ด้วยการไม่ล่วงเอง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นล่วง และไม่ยินดีต่อเมื่อผู้อื่นล่วงศีล
    และตัดความพอใจในนิวรณ์ ๕ โดยระงับนิวรณ์ไม่ให้รบกวนจิต เมื่อขณะปฏิบัติสมณธรรมได้ และ
    ทรงพรหมวิหาร ๔ ประการได้อย่างครบถ้วนอย่างนี้ อารมณ์จิตก็เป็นฌานและฌานจะไม่รู้จักเสื่อม
    เพราะพรหมวิหาร ๔ อุ้มชู คนที่มีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจ ศีลก็บริสุทธิ์ไม่เศร้าหมอง สมาธิก็ตั้งมั่น
    วิปัสสนาญาณก็ผ่องใส รวมความว่า พรหมวิหาร ๔ เป็นกำลังใหญ่ในการปฏิบัติสมณธรรมทุกระดับ
    การรักษาศีลบริสุทธิ์ เป็น อธิศีลสิกขา การกำจัดนิวรณ์และทรงพรหมวิหารเป็นอธิจิตตสิกขา
    คือทรงฌานสมาบัติไว้ได้ ท่านปฏิบัติได้ถึงระดับนี้ พระพุทธชินสีห์ตรัสไว้ในอุทุมพริกสูตรว่า มีความดี
    ในระดับเปลือกของความดีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เรียกว่าเริ่มเป็นพุทธศาสนิกชนชั้นเด็ก ๆ

    ความดีระดับกระพี้

    ท่านมีศีลบริสุทธิ์ กำจัดนิวรณ์ ๕ ได้ ทรงพรหมวิหาร ๔ แล้วสร้างฌานพิเศษมี
    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่ล่วงมาแล้วได้โดยไม่จำกัดชาติ ทำได้อย่างนี้ท่านว่า มีความดีระดับ
    กระพี้ของความดีในพระพุทธศาสนา ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้ายกย่องสรรเสริญ

    ความดีระดับแก่น

    เมื่อท่านรักษาศีลบริสุทธิ์ กำจัดนิวรณ์ ๕ ได้ ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    และบรรลุทิพยจักษุญาณ สามารถรู้ว่าสัตว์ตายแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากไหน มีความสุข
    ความทุกข์เพราะอาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ ตอนนี้พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นความดีที่ทรงความเป็นสาระ
    แก่นสาร ความดีระดับนี้ก็เป็นความดีระดับวิชชาสาม แต่ก็ดีเพียงแค่มีศรัทธาแก่กล้าไม่ท้อถอยเท่านั้น
    เอง พระองค์ทรงกล่าวแก่นิโครธะต่อไปว่า ความดียิ่งกว่านี้ยังมีอีก ที่ทำให้ผู้ปฏิบัติพ้นทุกข์มีแต่สุขล้วนๆ
    ทรงกล่าวว่า ผู้ใดทรงความดีตามที่กล่าวมาแล้วนั้นได้ครบถ้วนแล้ว ถ้าจะปฏิบัติเพื่อธรรมเบื้องสูงที่จบ
    พรหมจรรย์แล้ว อย่างช้าไม่เกิน ๗ ปี อย่างกลางไม่เกิน ๗ เดือน อย่างเร็วไม่เกิน ๗ วัน ก็จะเข้าถึง
    อรหัตตผล เป็นพระอริยบุคคลระดับยอดในพระพุทธศาสนา
    กฎของการปฏิบัติสมณธรรมที่จะได้รับผลสมตามที่มุ่งหมาย ท่านต้องยึดหลักตามที่กล่าวมาแล้ว
    เป็นบันไดการปฏิบัติ ทำให้ได้ให้ถึงระดับเป็นขั้นๆ ไป เช่น ศีลก็ต้องปฏิบัติฝึกหัดจิตให้เป็นมิตรกับศีล
    จริงๆ จังๆ อย่างชนิดที่ถ้าบกพร่องศีลนิดหนึ่งก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทำความรู้สึกในจิตใจของตนเองให้
    มีอารมณ์เป็นปกติดีว่า การพร่องในศีลก็เป็นการเปิดโอกาสให้ความเลวทรามเข้าแทรกแซงสิงใจ ทำให้
    จิต กาย วาจาของเราที่ขัดเกลาแล้วด้วยดี กลายเป็นวาจาใจที่เลวทรามต่ำช้า การพร่องในศีลเลวอย่างไร
    จะขอย้อนมาพูดเรื่องขาดศีลแล้วกลายเป็นคนเลวทรามให้ท่านได้พิจารณาสักหน่อย พอที่ท่านผู้มีจิต
    เป็นธรรม จะได้เห็นเป็นแนวทางปฏิบัติ

    การบกพร่องในศีลเป็นคนเลว

    ตอนนี้ให้ถือว่าคุยกันฐานญาติเถอะนะ อย่าคิดเป็นอย่างอื่นเลย อยากจะขอถามท่านสักนิดว่า
    ๑. ปกติท่านชอบให้ใครมาทำร้ายร่างกายท่านไหม ? ถ้าท่านอยู่ดีๆ โดยไม่มีความผิดใดๆ
    ถ้ามีคนจะมาฆ่าท่านหรือมาทำร้ายร่างกายท่าน ท่านจะยินยอมให้เขาทำด้วยความเต็มใจ หรือท่าน
    จะไม่พอใจในการกระทำอย่างนั้นของเขา
    ๒. ทรัพย์สมบัติที่ท่านได้รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษก็ดี หรือทรัพย์ที่ท่านพยายาม
    เก็บหอมรอมริบไว้ด้วยความวิริยะอุสาหะ ที่คอยกระเหม็ดกระแหม่ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน เมื่อท่านเก็บ
    สะสมไว้พอสมควรแก่การที่คิดว่าจะพอดำรงความเป็นอยู่ให้มีความสุขได้ตามสมควรแล้ว ถ้ามีบุคคล
    คณะหนึ่งหรือคนเดียวก็ตาม มาบังคับขู่เข็ญยื้อแย่งหรือลักขโมยทรัพย์ที่ท่านอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ
    ไว้นั้นไปเป็นสมบัติของเขา โดยที่เขาไม่มีสิทธิและท่านเองก็มิเห็นชอบด้วย
    ๓. ท่านมีคู่ครองที่รัก หากมีใครก็ตามมาแอบละเมิดสิทธิร่วมรักกับคู่ครองของท่าน โดย
    ที่ท่านมิได้เห็นชอบด้วย
    ๔. ปกติมักจะมีคนมาพูดเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริงให้ฟังเสมอ ๆ แม้แต่เรื่องที่พูดนั้นเป็น
    เรื่องที่มีความสำคัญมากเกี่ยวแก่ผลได้ผลเสียของชีวิตและทรัพย์สิน เขายังไม่ยอมพูดอะไรตามความ
    เป็นจริง ข่าวคราวการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่ได้รับจากผู้นั้นเป็นข่าวเท็จตลอดมา หาความจริงจากวาจา
    ของเขาไม่ได้เลย
    ๕. ปกติท่านเป็นคนดีมีสติสัมปชัญญะ แต่บังเอิญมีใครมาแนะนำท่านว่า การเป็นคนเรียบร้อย
    อย่างนี้ ติ๋มเกินไป ไม่ทันสมัย เรามาหาน้ำยาย้อมใจพอที่จะช่วยส่งเสริมใจให้เคลิบเคลิ้ม ทำอาการ
    ต่างๆ อย่างคนบ้าๆ บอๆ ได้ร้องเพลงในที่รโหฐานที่เขาต้องการ ความสงัดก็ได้โดยไม่ต้องเกรงใจ
    ใครทั้งๆ ที่เวลาปกติทำไม่ได้ นอนกลางถนนหนทางก็ได้ ด่าพ่อเตะแม่ก็ได้ โดยไม่ต้องคิดถึงบุญคุณ
    ที่ท่านเลี้ยงดูมารวมความว่าทำแบบคนบ้าๆ บอๆ ได้ด้วยความเต็มใจ จนชาวบ้านชาวเมืองที่มี
    สติสัมปชัญญะพากันเห็นว่าเรากลายเป็นคนบ้าๆ บอๆ เสียแล้ว
    อยากจะถามว่า อาการทั้ง ๕ อย่างนี้ เป็นอาการของคนที่พร่องในศีลแต่ละอย่างตามสิกขาบทที่
    พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ถ้าท่านถูกกระทำอย่างนั้นทั้ง ๕ ข้อ หรือข้อใดข้อหนึ่ง ท่านจะมีความพอใจ
    เพียงใดหรือไม่ ท่านคิดว่าคนที่ปกติทำอย่างนั้นเป็นสุภาพบุรุษหรือเป็นอันธพาลที่โลกประฌามว่าชั่วช้า
    สารเลว ขอให้ท่านตอบและเลือกเอาเอง ถ้าท่านเลือกเอาในปฏิปทาที่กล่าวมาแล้วแม้แต่ข้อเดียว ท่านก็
    อย่าเพ่อหวังฌานสมาบัติหรือมรรคผลเลย เพราะท่านเลวเกินไปกว่าที่จะเข้าถึงฌานสมาบัติหรือ
    มรรคผลได้ ถ้าคิดว่าท่านเว้นความชั่วช้าเลวทรามอย่างนั้นได้เด็ดขาด จนมีความรู้สึกเป็นปกติ
    ธรรมดาไม่ต้องระมัดระวัง อย่างนี้ ท่านมีหวังดำรงอยู่ในฌานได้แน่นอน การที่มีคนพูดว่าฌานสมาบัติ
    หรือมรรคผลในสมัยนี้ไม่ควรหวัง เพราะไม่มีใครจะบรรลุได้นั้น ไม่เป็นความจริงขอให้ท่านดีเท่าดี
    ถึงเถิด ฌานและมรรคผลยังมีสนองความดีท่านอยู่เป็นปกติ ที่ไม่ได้ไม่ถึงแม้แต่ฌานโลกีย์ ก็เพราะ
    แม้แต่ศีลที่เป็นความดีหยาบๆ ที่พระอริยะเจ้าเห็นว่าเป็นของเด็กเล่น ก็ไม่สามารถจะรักษาให้บริสุทธิ์
    บริบูรณ์ได้ จะเอาอะไรมาเห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ นรกอันเป็นวิสัยของผู้ได้ฌาน เพราะศีลเป็น
    ความดีในระยะต่ำก็ยังทรงไม่ได้ความมุ่งหมายเอาพระนิพพานก็ยิ่งไกลเกินไปที่จะหวังได้คนประเภทนี้
    ท่านกล่าวว่า แม้แต่ความฝันเห็นนิพพานก็ยังไม่เคยมี
    เมื่อมีศีลเป็นปกติแล้ว ก็พยายามกำจัดนิวรณ์ ๕ ประการ แล้วทรงฌานตามที่ได้ศึกษา
    โดยมีพรหมวิหาร ๔ เป็นอารมณ์ คอยควบคุมรักษาจิตใจให้ชุ่มชื่น เป็นการประคับประคองศีล และ
    ฌานสมาบัติผ่องใสไม่บกพร่อง ระดับของสมาธิที่จะทรงฌาน ทรงญาณให้ดีเด่นบริบูรณ์ไม่บกพร่อง
    ต้องทำอย่างนี้ อันดับนี้เป็นฌานโลกีย์ ท่านที่นั่งคิดนอนฝันถึงพระนิพพานอย่างเพ่อท้อใจว่าการปฏิบัติ
    ตามลำดับอย่างนี้จะช้าเกินไปไม่ทันการ ขอบอกว่าท่านคิดว่าจะก้าวลัดตัดไปนิพพานให้เร็วกว่านี้
    ก็จงคิดว่าท่านไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านอาจเป็นพระศาสดาองค์ใหม่ที่บัญญัติกฎการปฏิบัติ
    ใหม่เอาเองเพราะพระพุทธเจ้ามีแนวปฏิบัติที่พระองค์ทรงสั่งสอนพุทธบริษัทพระองค์สอนตามแนวนี้
    ที่เขียนนี้ก็ลอกเอามาจากอุทุมพริกสูตร อันปรากฏมีมาในพระไตรปิฎกตามที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นเพียง
    การเตรียมการและการปฏิบัติระดับฌานโลกีย์เท่านั้น ถ้าจะปฏิบัติเพื่อมรรคผลและพระนิพพานท่านให้
    เตรียมการและปฏิบัติดังต่อไปนี้



    ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่.....
    http://www.palungjit.org/smati/k40/rule.htm#เจริญพรหมวิหาร%20๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2010
  6. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    แผ่ได้ไม่จำกัดเวลา ถ้าไม่ขี้เกียจซะก่อน :D
     
  7. แมวธนู

    แมวธนู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +856
    ไม่ต้องรอหลังสวดมนต์ก็ได้ครับ เมื่อไหร่เมตตาเกิดละแผ่ได้เลย

    การแผ่เมตตาหลังการสวดมนต์ที่เห็นทุกวันนี้ เป็นอุบาย กล่อมให้จิตใจสงบ ซึ้งในรสพระสัทธรรมก่อน (ถ้าเข้าใจความหมายบทสวดอะนะ) หรืออย่างน้อยก็ให้เกิดความยินดีในกุศลกรรมที่เราได้กระทำไปแล้วก่อน หลังจากนั้น จึงค่อยๆ น้อมเอาความยินดีนั้นเผื่อแผ่ไปให้กับสรรพชีวิตที่ยังวนติ้วๆๆๆ อยู่ในวัฏฏะ

    ตลอดถึงถ้าจิตเขายินดีไปนึกถึง "พระคุณของพระพุทธเจ้า" ที่อุตสาห์เหนื่อยยากเผยแผ่ธรรมมะของพระองค์เพื่อโปรดสรรพสัตว์ ก็สามารถตั้งจิตที่ยินดีตัวนั้นยกถวายเพื่อเป็นพุทธบูชา ก็ได้นะ

    ถามว่า แผ่ไปแล้ว แผ่ไปบ่อยๆ อะไรจะเกิดขึ้น....
    หากกุศลกรรมเกิดขึ้นในจิตใจได้บ่อยๆ แล้วเผื่อแผ่ให้สรรพสัตว์บ่อยๆ
    เบาะๆเลยคือ อาบปิติสุข ได้บ่อยๆ

    ผลนอกเหนือจากนี้ก็มี แต่ ต่างคนต่างรู้ได้เฉพาะตัว นะเอย นะเอย กิ๊วๆ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2010
  8. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765

    แสดงว่ามีจริตชอบด้านเมตตา ภาวนามาแต่เดิม

    การทำภาวนาเมตตาหรือแผ่เมตตาทำได้ตลอด เมื่อตื่นขึ้นมาในช่วงวินาทีแรก
    ผมแผ่เมตตา ให้ตนเองก่อน แล้วแผ่ไปยังสรพพสัตว์โดยไม่เจาะจง และแบบเจาะจงทีหลังสุด

    การแผ่ไปแบบไม่มีเงื่อนไขไม่มีขีดจำกัดนี้จึงเรียกกันว่าอัปปมัญญาเมตตา คือไม่มีประมาณ

    หลักทั่วไปคือ

    1.แผ่ให้ตนเองก่อน
    2.แผ่ให้สรรพสัตว์รอบข้างแบบกลางๆ ไม่เจาะจง
    3.แผ่ให้เฉพาะกลุ่มแบบเจาะจง เช่น ที่ทำงาน ที่บ้าน เพื่อน ครอบครัวเราเอง คนที่เรารัก
    4.แผ่ให้คนที่เราไม่ชอบ หรือที่ไม่ชอบเรา

    คำบริกรรมนั้นอาจไม่สำคัญเท่ากับเมตตาจิตที่มีความปราถนาดีที่ส่งไป
    เป็นพลังที่มีกระแสกุศลอย่างหนึ่งที่วิ่งไป

    สรรพสิ่งรอบตัว รับรู้ได้ แม้เป็นวัตถุธาตุ ที่ไม่ใช่สัตว์ที่มีชีวิต เช่น ข้าวที่เรากินเข้าไปทุกคำ(บางทีแผ่ไปถึงแม่โพสพที่รักษานาข้าวให้เรามา)ด้วย น้ำที่เราดื่ม สิ่งของ(อาจแผ่ถึงแม่คงคาด้วย) ต้นไม้ รถยนต์ ฯลฯ

    สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือสภาวจิตของเราเองจะสงบเย็น ผู้คน สัตว์ สิ่งของที่ได้รับกระแสของเมตตาก็จะมีกระแสที่ดีเป็นมงคลนั้น ไปที่ไหนเทวดาและอมนุษย์จะรักษาตลอด
    ผมกำหนดจิตเวลาไปทำบุญต่างจังหวัดไกลๆ จะแผ่เมตตาจิตให้สรพพสัตว สัมภเวสีตลอดเส้นทางที่เราเดินทางไปนับพันกิโลนั้นตลอดทาง ทุกอย่างจะราบรื่นมีเทวดาดูแลรักษาไปตลอด

    การแผ่ไปแบบไม่ต้องมีเงื่อนไขหวังผล แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกระแสความชุ่มเย็นของน้ำที่ไหลไปๆๆ ความร่มเย็นก็จะค่อยๆๆมาตามน้ำนั้น

    คำที่ใช้แผ่ใช้ของหลวงปู่ขาวคือเมตตาหลวง หรือใช้คำอื่นก็ได้ตามถนัดเพียงแต่ให้จิตเรามีเมตตาความปราถนาดีไปพร้อมกับคำบริกรรมนั้น

    พูดบริกรรมในใจ สัพเพ สัตตา อเวรา อัพยาปัชฌา อนีฆา สุขีอัตตานัง ปริหรันตุ ซ้ำๆ ไปเช่นนี้ ในทุกที่ แผ่ไปกับทุกสิ่ง ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นจนหลับไป จิตจะสงบสบาย หลับง่ายไม่ฝันร้าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2010
  9. indear

    indear เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +733


    อนุโมทนาค่ะ

    เข้าใจชัดเจนแล้วค่ะ ต่อไปจะได้ทำได้อย่างถูกต้องขึ้น
    ขอบคุณมากนะคะ
     
  10. pagorn

    pagorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +2,848
    บุญเกิดขึ้นได้ทุกขณะที่คุณส่งบุญ
    คำอธิษฐาน
    ข้าแต่คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอจงดลบันดาลบุญข้าพเจ้าให้แก่ผู้ต้องการตลอดไป
    ให้อธิษฐาน เช้า-เย็น
    อนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กันยายน 2010
  11. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    การแผ่เมตตา ชาวพุทธยังเข้าใจอีกมาก ว่าต้องสัพเพสัพตา..
    การแผ่เมตตา หมายถึงการส่งพลังเมตตาปราถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
    การแผ่เมตตาให้ตัวเองหมายถึง ให้ตัวเองเย็นและสงบก่อน
    พลังส่งมันถึงจะถึง ผู้รับได้ อย่าไปยึดวิธีการ ทุกที่ทุกเวลาแผ่ได้เสมอ
    เช่นแม่อุ้มลูก ลูกจะรู้สึกปลอดภัยเสมอเวลาโดนแม่อุ้ม
    โดยที่แม่ไม่ได้บริกรรมอะไรเลยนั้นคือ พลังแห่งความรักความเมตตา
    ลูกน้อย รู้ปลอดภัยและสงบสุขได้เมื่ออยู่ใกล้แม่ ประมาณนั้น
     
  12. talkjoss

    talkjoss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +2,252
    ว่าด้วย การแผ่เมตตา...(^_^)

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Q7Or4U4wrXA]YouTube - บทแผ่พลังเมตตาทั่วทั้งสามโลก[/ame]​

    บทอัญเชิญเทวดา+บทสวดบารมี 30 ทัศ +บทแผ่เมตตาทั่วทั้งสามโลก
    ข้าพเ้จ้าได้ทำการรวบรวมไว้เป็นไฟล์เดียว เพื่อความสะดวกในการเจริญเมตตา
    ขอให้ทุกๆท่าน ผู้ที่มีจิตเมตตาช่วยกันสวดบทนี้ที่ข้าพเจ้าได้จัดทำขึ้น ทุกเช้าและก่อนนอน เพื่อประโยชน์แก่ดวงจิตของสรรพสัตว์ทั้งสามโลก และเจ้ากรรมนายเวร ทุกๆดวงวิญญาณ
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วยเทอญ สาํธุ...(^_^)

    "111"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2010
  13. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ถ้ายิ่งจิตสงบและเป็นสมาธิดี การแผ่เมตตาก็จะไปได้ไกล แต่ถ้าไม่ได้ทำสมาธิทำงานไปแผ่ไปได้เลยเหมือนอย่างที่ท่านทำ และคนอื่น ๆ แนะนำแหละครับ ทำบ่อย ๆ เข้าจิตก็รวมเป็นสมาธิ ก็จะชำนาญมากขึ้น ได้ผลดีขึ้นไปไกลมากขึ้น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้แผ่ไปทุกทิศให้ไกลที่สุด ไปนอกจักวาลของเราได้ยิ่งดี เรียกว่า เมตตาอัปปมัญญา คือ การแผ่เมตตาอย่างไม่มีประมาณ

    อานิสงส์การแผ่เมตตา ได้ทั้งผู้แผ่และผู้รับ ชุ่มฉ่ำไปทั่ว
     
  14. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    การแผ่เมตตา ทำให้เรามีความรู้สึกสงสารและความเห็นใจ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเือื้อเฝื้อเผื่อแผ่และความเสียสละสิ่งที่เราพอจะช่วยได้ให้กับคนอื่น สัตว์ หรือสิ่งของ อารมย์จะเย็นขึ้นและบังเกิดความคิดที่ดีคือคิดดี เมื่อมีการคิดดี ก็จะมีการทำดี ซึ่งได้ประโยชน์กับคนที่แผ่เมตตาเอง
     
  15. monsy

    monsy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +341
    อนุโมทนากับทุกความเห็นค่ะ และก้ปฏิบัติเช่นกันแล้วแต่โอกาส สถานการณ์จะเอื้อมีเวลาก็เต็ม เวลาน้อยก็ย่อแต่ที่สำคัญอยู่ที่จิตอันแน่วแน่จึงจะส่งผลดีโดยเฉพาะเวลาเดินทางจะแผ่เป็นระยะๆค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...