สเปิร์มนี่มีจิตไหม?

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 11 กันยายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ถาม : สเปิร์มนี่มีจิตไหม?

    ตอบ : ตอนนั้นยัง ต่อให้เป็นเด็กแล้วบางทีจิตก็ยังไม่มี

    ถาม : อย่างนี้ก็ไม่บาปซิคะถ้าเกิดว่าเรา?

    ตอบ : คราวนี้เรามั่นใจได้อย่างไรว่าจิตยังไม่มี เพราะว่าจิตที่ปฏิสนธินี่ บางทีระหว่างไข่ของแม่กับสเปิร์มของพ่อผสมกันปุ๊บจิตก็ลงจับปฏิสนธิเลย บางทีจนกระทั่งผ่านไประยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ สองอาทิตย์ถึงลงปฏิสนธิ บางคนจนกระทั่ง ๙ เดือนแล้วก็ยังไม่ลง คลอดออกมาแล้วค่อยจับตรงจุดนั้นน่ะ คราวนี้เราจะมั่นใจได้อย่างไร ยกเว้นทิพจักขุญาณเราจะเลิศจริงๆ

    ถาม : ไม่ใช่ว่าผสมปุ๊บก็เข้า?

    ตอบ : ไม่ใช่ๆ มันขึ้นอยู่กับจิตที่จะมาปฏิสนธินั้นว่า วาระเขาเป็นอย่างไร บางคนก็ต้องทนทรมานตั้งแต่วินาทีแรกจนกว่าจะครบทศมาสคลอดออกมา บางคนสบายๆ มันเล่นมาเข้าตอนคลอดออกมาแล้วลำบากกว่าเขาหน่อยเดียวเอง

    ถาม : ถ้างั้นคนที่ทำแท้งนี่ บางคนก็บาปบางคนก็ไม่บาป?

    ตอบ : มันต้องดูที่เจตนาเขา บางทีมันอาจจะไม่บาปแต่จิตเขาเศร้าหมองไปแล้ว ก็เลยกลายเป็นลงโทษตัวเอง ถ้าจิตเศร้าหมองก็ลงนรกอยู่แล้ว

    ถาม : (ไม่ชัด)?

    ตอบ : ไม่ใช่ไม่มี โทษน่ะมีอยู่ อย่าพลาดแล้วกัน พลาดเมื่อไหร่เขาบวกใส่ทันทีเลย แต่ถ้าตราบใดจิตของคุณยังผ่องใสเกาะความดีอยู่ได้ตลอด ก็โอเค กำลังของความดีส่งให้คุณไปดีแน่แต่อย่าเผลอ หมดดีเมื่อไหร่เจอดอกทบต้นเด็ดขาดเลย เรื่องของกฎแห่งกรรมยุติธรรมมาก คุณเกาะความดีได้คุณก็ไปรับก่อนไม่ว่าอะไร มันเหมือนทาง ๒ ฟาก คุณเลือก เดินข้างไหนก่อน แต่ข้างนี้มันรออยู่แล้วแน่ๆ


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2010
  2. arrin123

    arrin123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +1,759
    อนุโมทนา

    _________________----------
    เพียรพยายามและตั้งจิต
    อธิษฐานสมาธิแน่วแน่
    ศีลทานหมั่นสร้างหมั่นดุแล
    และเผยแผ่หลักธรรมพระศาสดา


    OoนิพพานoO........
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260

    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา
    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2010
  4. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    คิดอยู่เหมือนกันว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆเนียมีจิตไหม

    อนุโมทนาครับ
     
  5. เด็กสร้างบ้าน

    เด็กสร้างบ้าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +538
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ

    เพิ่มความรู้ใหม่ด้วยกระทู้ดีๆอย่างนี้ครับ
     
  6. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ได้อ่านหนังสือของหลวงปู่เณรคำท่านว่า ทุกสิ่งที่มีรูปและครองรูปอยู่ได้จะมีจิตอยู่แต่เป็นจิตประเภทภวังค์จิต ไท่ใช่วิถีจิตแต่สามารถใส่วิถีจิตลงไปได้เช่นการใช้กำลังฌาณ หรือพิธีพุทธาพิเษกวัตถุมงคล
     
  7. จิดา

    จิดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,505
    ขอบคุณค่ะ กับข้อความดีๆ
     
  8. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293
    ไวรัส มีจิต หรือไม่???
    มันรู้จักหากินอาหารได้ หรือไม่?
    มันขยายพันธุ์ได้ หรือไม่?
    มันตายได้ หรือไม่?
    ต่างกับ อสุจิอย่างไร???

    จะถือว่าพวกมันมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้หรือไม่??
    พวกมันย่อมมีขัณฑ์ 5 หรือไม่??

    โปรดไขความกระจ่าง ขออนุโมทนาครับ
     
  9. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ในพระอภิธรรมปิฏกอธิบายไว้ชัดเจนครับว่าสัตว์ในวงกรรม คือ สัตว์ที่มีวิญญาณครอง (มีจิต) แล้วเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภพ ได้ แก่สัตว์ในอบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ พรหม ๒๐

    พวกสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวทั้งหลาย รวมทั้งเชื้ออสุจิด้วย โปรโตซัว ไวรัส ยีสต์ รา แบคทีเรีย เชื้อโรคและเชื้อไม่ก่อโรคต่าง ๆ สาหร่ายเซลล์เดียว พืชทุกชนิด พวกนี้ไม่จัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในวงกรรม เพราะไม่มีวิญญาณครอง และ สิ่งมีชิวิต(ในทางชีววิทยา)พวกนี้ เกิดและตายหนเดียวเนื่องจากไม่มีจิตจึงไม่มีการสืบต่อเนื่องของภพถัดไปครับ

    มีเรื่องเล่า

    เคยมีเพื่อนชาวมาเลเซียถามว่าเอาเชื้อแบคทีเรียไปนึ่งฆ่าเชื้อทิ้งบาปไหม เขานึกว่าเป็นการฆ่าสิ่งมีชีวิต เลยเปลี่ยนเรื่องทดลองเลย ผมตอบไปว่าไม่บาป

    อีกอย่าง พวกนี้นอกจากไม่มีวิญญาณครองแล้ว มักเป็นพวกเซลล์เดียวดังนั้นจึงไม่มีระบบประสาทที่รับความรู้สึกเวทนาต่าง ๆ เช่น เอาไปนึ่งไปต้มมันไม่รู้สึกว่าร้อนหรอก มันก็ไม่มีเวทนา เหมือนกันเอาพืชไปต้มมันไม่มีเวทนาว่าร้อนหรอก

    สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ทั้งหลายรวมทั้งพืชด้วย ไม่มีวิญญาณ(จิต)ครอง ก็ทำให้ไม่มีตัวรู้ เมื่อไม่มีตัวรู้ก็ไม่มีเจตสิก (เวทนา สัญญา สังขาร(การปรุงจิต)) จิตกับเจตสิกมันเกิดร่วมกันแบบขาดกันซึ่งกันไม่ได้ เมื่อไม่มีจิตก็ไม่มีเจตสิก เมื่อไม่มีเจตสิกก็ไม่มีเวทนา ก็ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน ไม่มีภพ

    เมื่อไหร่ทำลายสิ่งเหล่านี้แล้วบาป ก็เมื่อทำลายสิ่งเหล่านี้ที่เขามีเจ้าของหวง เช่น เราตัดต้นไม่ในบ้านเราที่เราเป็นเจ้าของ ไม่บาปหรอก แต่ถ้าไปตัดต้นไม่ที่เขามีเจ้าของ บาปซิ บาปเพราะไปทำลายของคนอื่นซึ่งเป็นอทินาทาน แต่ไม่ไช่บาปเพราะปาณาติบาต


    มีคนข้างล่างอ้างถึงกาลามสูตร ผมเลยไปค้นข้อมูลที่อื่นมายืนยันเพิ่มเติมว่า ข้อความที่เขียนข้างบนนั้นตอบไปตามอภิธรรมที่เคยเรียนมา และ ตอบเหมือน ๆ กับที่มีผู้ตอบไว้ในเว็บอื่น ๆ เหมือนกัน ไม่ได้ด้นเดาเอา

    ชุดที่ ๒
    ชีวิตคืออะไร
    http://www.buddhism-online.org/pdf/section2.pdf
    จากบทเรียนอภิธรรม อภิธรรมโชติกวิทยาลัย

    ชีวิตคืออะไร ตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นวิทยาการทางโลกนั้นสิ่งมีชีวิตหมายถึง สิ่งที่เจริญเติบโตได้ กินอาหารได้ เคลื่อนไหวได้ และสืบพันธุ์ได้ ซึ่งนอกจากจะหมายถึงมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายแล้วยังหมายถึงพืชอีกด้วย แต่ในพระอภิธรรมนั้นให้คาจากัดความของชีวิตไว้ว่า “ชีวิตคือความเป็นอยู่ของร่างกาย จิตและเจตสิก โดยอาศัยกรรมเป็นผู้นาเกิดและตามรักษาดารงชีวิต และกระทาการต่าง ๆ ได้โดยอาศัยจิตและเจตสิกเป็นผู้กากับ
    ส่วนต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายนั้น ทางธรรมะเรียกว่า รูปธรรม” หรือเรียกสั้นๆ ว่า รูป เป็นธรรมชาติที่ไม่มีความรู้สึก นึกคิดใดๆ ทั้งสิ้น เปรียบได้ดั่งท่อนไม้
    ส่วน จิตและเจตสิก เป็นนามธรรม หรือเรียกสั้นๆ ว่า นาม เป็นธรรมชาติที่รับรู้สิ่งต่างๆ และสามารถคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ได้
    ดังนั้นตัวเราหรือสัตว์ทั้งหลาย จึงมีส่วนประกอบอยู่ ๓ ส่วน ได้แก่ กาย จิตและเจตสิก ซึ่งในทางธรรม เรียกว่า รูป กับ นาม แต่เนื่องจากพืชทั้งหลายไม่ได้เกิดมาจากกรรม ไม่มีจิตและเจตสิกในการรับรู้ คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ดังนั้นคาว่า “ชีวิต” [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]ในพระอภิธรรมจึงหมายถึง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย(ในอีก ๓๐ ภพภูมิ)เท่านั้น
    คาว่า “สัตว์” ในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น แต่หมายถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดใน ๓๑ ภพภูมิ ดังนั้น มนุษย์จึงถือว่าเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งด้วย...

    ฆ่าแบคทีเรียบาปหรือไม่ ค้นอ่านเพิ่มเติมได้ที่
    http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=4148
    [/FONT]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2010
  10. fapatan

    fapatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +134
    ขอแสดงความคิดเห็น

    กาลามสูตร เป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงาย โดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง ถึงคุณโทษ หรือดี ไม่ดี ก่อนเชื่อ
    มี ๑๐ ประการคือ


    . อย่า​เพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ​ ​กัน​มา

    . อย่า​เพิ่งเชื่อตามที่ทำ​ต่อๆ​ ​กัน​มา

    . อย่า​เพิ่งเชื่อตามคำ​เล่าลือ

    . อย่า​เพิ่งเชื่อ​โดย​อ้างตำ​รา

    . อย่า​เพิ่งเชื่อ​โดย​นึกเดา

    . อย่า​เพิ่งเชื่อ​โดย​คาดคะ​เนเอา

    . อย่า​เพิ่งเชื่อ​โดย​นึกคิดตามแนวเหตุผล

    . อย่า​เพิ่งเชื่อ​เพราะ​ถูก​กับ​ทฤษฎีของตน

    . อย่า​เพิ่งเชื่อ​เพราะ​มีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อ​ได้

    ๑๐. อย่า​เพิ่งเชื่อ​เพราะ​ผู้​พูด​เป็น​ครูบาอาจารย์ของตน

    เมื่อใด ท่าน ทั้ง หลายพึงรู้ ด้วย ตนเองว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล
    ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ
    ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญธรรมเหล่านี้
    ​ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
    เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่

     
  11. fapatan

    fapatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +134
    คัดลอกจากพระไตรปิฎกมาฝากเพื่อเป็นแนวทาง

    อมโนปฏิสนธิ

    คือ การปฏิสนธิของธาตุต่างๆ ที่เข้ามาประชุมหนุนเนื่องกัน เป็นสังขารปัจจัยปรุงแต่งกัน โดยไม่มี “จิต” (อ-มโน) เป็นปัจจัยปรุงร่วม ทำให้ไม่มีความรู้สึกนึกคิดที่เป็นของตนเอง อาทิเช่น การเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตทางชีววิทยาระดับต่ำที่ไม่มีจิต เช่น ต้นไม้ขนาดเล็กที่มีแต่สังขารจากธาตุสี่, ไข่ไก่ที่ไม่มีการปฏิสนธิของเซลตัวผู้, เซลเนื้อเยื่อที่ถูกเพาะเลี้ยงโดยไม่มีจิตปฏิสนธิ ฯลฯ สิ่งมีชีวิตทางชีววิทยาเหล่านี้ มี “วิญญาณธาตุ” หล่อเลี้ยงให้เติบโตได้ เรียกว่า “วิญญาณาหาร” แต่ไม่มีจิตในการรับรู้สึก หรือสั่งการใดๆ เสมือนการถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ อุปมาเรียกว่าพระเจ้าสร้างขึ้น ซึ่งอุปมาอุปมัยเป็นสมมุติธรรมเท่านั้นเอง นับว่าจริงได้เหมือนกันแต่จริงแบบสมมุติ (จำต้องพิจารณาวิมุติธรรมว่า “พระเจ้า” ที่กล่าวถึงนั้นหมายความว่าอะไร เช่น หมายถึงสรรพสิ่ง, ธรรมชาติ ก็หมายความว่าสรรพสิ่งสร้างสรรพสิ่งเอง ซึ่งจัดว่าถูกต้องตามหลักวิมุติธรรม) อนึ่ง อมโนปฏิสนธินี้ ยังพบได้ในภพอื่นๆ เช่น สวรรค์สุขาวดีพุทธเกษตรที่ประทับแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้า ผู้ทรงเนรมิตสิ่งต่างๆ ทั้งสัตว์สวรรค์ชนิดต่างๆ ขึ้นเพื่อสอนธรรมแก่สรรพสัตว์ที่ไปเกิดที่นั่น ซึ่งสัตว์เหล่านี้ไม่มีจิตมาปฏิสนธิ แต่ปฏิสนธิได้ด้วยฤทธิ์และอำนาจแห่งการเนรมิตขึ้น และถูกควบคุมสั่งการโดยผู้เนรมิต นอกจากนี้ “นิรมาณกาย” ต่างๆ ที่มีผู้เนรมิตขึ้น ก็ล้วนไม่ได้เกิดจากจิตปฏิสนธิ แต่เกิดจาก “อมโนปฏิสนธิ” คือ การประชุมร่วมกันของปัจจัยปรุงแต่งโดยไม่มีจิตร่วมเกิด แต่ถูกควบคุมได้ด้วยจิตของผู้ที่ทำการนิรมาณกายนั้น เช่น ในผู้ที่มีวิชชามโนมยิทธิแบ่งกายได้ โดยอาศัย “วิญญาณาหาร” หรือ “วิญญาณขันธ์” เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตินทรีย์ เคลื่อนดำเนินต่อไปได้ หรือเติบโตได้นั่นเอง “อมโนปฏิสนธิ” เหล่านี้ เป็นการปฏิสนธิรอให้จิตจุติมาร่วมปฏิสนธิตามกรรมของดวงจิตนั้นๆ




    ปฐมจิตปฏิสนธิ

    คือ การปฏิสนธิของจิตครั้งแรกเข้าร่วมกับ “อมโนปฏิสนธิ” ปรุงประกอบกัน จึงก่อเกิดธาตุครบทั้ง ๗ ชนิด คือ ธาตุ ๔ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ บวกเข้ากับ “อากาศธาตุ”, “วิญญาณธาตุ”, “มโนธาตุ” ซึ่งเป็นชาติแรกที่จิตเกิดเป็น “สัตว์” ทางพุทธศาสนา ซึ่งยังไม่เคยเกิดมาก่อน ไม่มีการก่อกรรมมาก่อน จึงเป็นการปฏิสนธิที่บริสุทธิ์ ยังไม่มีกรรมเป็นเครื่องส่งให้จิตปฏิสนธิในชาติภพใหม่ จิตที่มาปฏิสนธินี้เป็นจิตประภัสสร มีความบริสุทธิ์ เกิดขึ้นได้ด้วยความพร้อมของจิตที่เพาะบ่มจนพอเหมาะ และวัตถุธาตุต่างๆ ซึ่งรองรับมีความสอดคล้องต้องกันได้ ทั้งสองจึงเข้ามาร่วมประชุมปรุงประกอบกันขึ้นมา คือ การปฏิสนธิของจิตครั้งแรกนั่นเอง ซึ่งเป็นการปรุงประกอบของธาตุปัจจัยต่างๆ ครบทั้ง ๗ ธาตุ มีความแตกต่างจาก “อมโนปฏิสนธิ” เนื่องจากมีจิต จึงก่อกรรมต่างๆ ได้ ทั้งยังต้องเป็นผู้รับวิบากกรรมต่างๆ ที่ตนก่ออีกด้วย ลักษณะกรรมสามารถทำนายได้เรียกว่าดวงชะตา ดังนั้น สัตว์แต่ละชนิดจึงมีดวงชะตาแตกต่างกันตามกรรมที่ทำมาในอดีต และกรรมที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่อมโนปฏิสนธิจะไม่มีดวงชะตา แต่ถูกบังคับควบคุมลิขิตได้ หรือบางชนิดก็สอดคล้องไปตามธรรมชาติไม่สามารถเลือกหรือเปลี่ยนชะตากรรมของตนได้ อนึ่ง “กรรมปัจจุบัน” นั้นให้ผลสูงสุด สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ตามกำลัง




    กรรมปฏิสนธิ

    คือ การปรุงประกอบโดยกรรมเป็นปัจจัยในการปฏิสนธิเข้าหลัง “ปฐมจิตปฏิสนธิ” ในชาติแรก คือ ปฏิสนธิของจิตอันเป็นผลจากการไม่หมดสิ้นกรรม เป็นการเกิดในชาติต่อๆ ไป สืบเนื่องจากชาติแรกที่ดวงจิตลงมาปฏิสนธิ สัตว์ได้ก่อกรรมสะสมไว้ ก็จะเวียนว่ายตายเกิดตามผลกรรมนั้นต่อไปอีกไม่จบไม่สิ้น เป็นการเกิดที่ตนเองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งความปรารถนา ไม่สามารถวางแผน ไม่สามารถเลือก ไม่อาจกำหนดหรือควบคุมได้ ผลจากการปฏิสนธิแบบนี้ยังผลให้ไปเกิดยังระบบจัดการสามภพ ได้แก่ นรก, โลก, และสวรรค์ทั้งหกชั้น (ไม่รวมสุขาวดีและพรหมโลก) การจะเกิดใหม่ได้อีก ต้องผ่านกระบวนการจัดการสามภพเหล่านี้ โดยมี “พระอินทร์” เป็นผู้จัดการในลำดับการเกิดอย่างยุติธรรม ในบาลีจะกล่าวว่า “กรรมพันธุ์” หรือ “สัตว์มีกรรมเป็นเครื่องกำเนิด” ซึ่งก็หมายถึงการเกิดเพราะเหตุจากผลกรรมเช่นนี้เอง ดังนั้น การเกิดในลักษณะนี้มี “กรรม” ร่วมปรุงประกอบกับธาตุทั้ง ๗ หลังจาก “ปฐมจิตปฏิสนธิ” ในชาติแรก สัตว์จึงเริ่มมีความแตกต่างกัน มีดวงชะตาที่ทำนายได้คร่าวๆ ตามหลักอนิจจัง คือ ความไม่แน่นอน และดวงชะตาไม่ได้ลิขิตชีวิตสัตว์ สัตว์เลือกทางก่อกรรมใหม่ได้เสมอ ส่วนอมโนปฏิสนธิจะไม่มีชะตาแบบนี้




    ปาฏิหาริย์ปฏิสนธิ

    คือ การปฏิสนธิของจิตอันเป็นผลจากการสร้างชาติภพโดยจิต จิตมีความตั้งใจ มีความยินดีในชาติภพใหม่ ยังไม่เข้าใจถึงหลักการเวียนว่ายตายเกิด จึงยังมีอวิชชาในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ด้วยจิตมีความปรารถนาจึงส่งผลให้ไปปฏิสนธิในชาติภพนั้นๆ เช่น การเข้าฌานและพึงพอใจในรสฌานจนตาย ก็ยังผลให้ไปจุติในพรหมโลก เพราะจิตนั้นมีความยินดีในฌานนั้น จิตจึงสร้างภพชาติขึ้นใหม่เป็นพรหมโลก ยกตัวอย่างเช่น พระอรหันต์ชินปัญจระ ซึ่งอรหันต์คือ “กิเลสนิพพาน” แล้ว ตั้งแต่ ๗ ขวบ ไม่หลงโลกแล้ว เข้าใจการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว แต่ด้วยถูกผู้หญิงกอด จึงถอดกายทิพย์ ทิ้งสังขารให้ตายลงเพื่อรักษาพรหมจรรย์ ทำให้ไปปฏิสนธิเป็น “ท้าวมหาพรหมชินปัญจระ” ยังพรหมโลก เพราะจิตหลงทางไป ด้วยปรารถนาความเป็นพรหมจรรย์ จึงไม่อาจนิพพานได้ และยังสามารถเกิดได้อีก เมื่อถึงวาระอันเหมาะสม ซึ่งการปฏิสนธิใหม่ของท่านชินปัญจระนี้ ด้วยเพราะจิตไม่แจ้งในหลักการปฏิสนธิ และการดับขันธปรินิพพานนั่นเอง แต่ได้บรรลุธรรมขั้นอรหันต์แล้ว คือ “กิเลสนิพพาน” สิ้นแล้ว (อนึ่ง พระอรหันต์จะไม่มีสัพพัญญูญาณจึงไม่อาจล่วงรู้ได้ทุกสิ่ง) การปฏิสนธิแบบนี้จิตต้องมีกำลังสูง เป็นจิตที่ฝึกมาดี และมีการเพ่งเล็งไปยังข้างหน้าขณะตายลง และมักเกิดขึ้นใหม่โดยไม่ตั้งใจ เช่น คิดว่าตนจะไม่เกิดอีก แต่เมื่อถึงวาระกลับต้องมาเกิดอีก จึงเรียกว่าเป็น “ปาฏิหาริย์ปฏิสนธิ”




    ปณิธานปฏิสนธิ

    คือ การปรุงประกอบด้วย “ปณิธานและปัญญา” เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดการปฏิสนธิของจิตในชาติภพใหม่ อันเป็นผลจากการตั้งปณิธานสืบเนื่องไปยังชาติภพต่อไป แม้ว่าในชาตินั้นๆ จะปฏิบัติจิตและหมดสิ้นเวรกรรมแล้ว และยังเข้าถึงหลักการทำให้หมดสิ้นไปแห่งชาติภพแล้วก็ตาม จิตก็ยังไปเกิดได้อีก เรียกว่า “เกิดใหม่ด้วยปัญญาไม่หลงในสังสารวัฏ” ทั้งนี้ในชาติต่อๆ ไป จะยังมี “รอยกรรมรอยเกวียน” ให้ต้องรับเหมือนชาติที่ชดใช้กรรมหมดไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง แต่จะเบาบางลงตามผลกรรมที่ชดใช้แล้ว และด้วยผลกรรมดีที่บั่นทอนกรรมไม่ดีสิ้นลงไป ยกตัวอย่างเช่น การปฏิสนธิชาติภพใหม่ของพระมหาโพธิสัตว์ เช่น พระกวนอิม, พระจี้กง, พระสังกัจจายน์, ท่านหุยโคง ฯลฯ การปฏิสนธิแบบนี้ อุปมาได้กับ “ปฐมจิตปฏิสนธิ” ที่เริ่มต้นใหม่อีกรอบ ซึ่งเริ่มต้นด้วยความบริสุทธิ์ ปราศจากกรรม แต่มี “ปัญญา” ประกอบ ต่างจากปฐมจิตปฏิสนธิ ที่ไม่มีปัญญามาร่วมแต่แรก ดวงจิตที่มีปฏิสนธิแบบนี้ จึงมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมได้ง่ายในชาติทุกชาติต่อไปที่เกิดใหม่ เนื่องจากจิตมีปัญญาแจ้งอยู่เป็นทุน เพียงปฏิบัติทางจิตตรงตามทางที่ถูกต้องเท่านั้น จิตนั้นก็จะบรรลุธรรมในชาติที่เกิดใหม่ได้ทุกๆ ชาติไป นอกจากนี้ บางดวงจิตยังสามารถแบ่งภาคอวตารได้ หากจิตภาคใหญ่มาเกิด เรียกว่า “ปณิธานปฏิสนธิ” แต่หากเป็นจิตภาคเล็กที่แบ่งมาเกิด จะเรียกว่า “อวตารปฏิสนธิ” ซึ่งจะอธิบายในย่อหน้าถัดไป




    อวตารปฏิสนธิ
    คือ การปรุงประกอบด้วย “รอยกรรมเก่า” ของผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว หรือบำเพ็ญบารมีเต็มแล้ว เป็นปัจจัยสำคัญในการปรุงประกอบ ให้เกิดชาติภพใหม่ สำหรับ “ปฐมจิตปฏิสนธิ” นั้น ยังมีความแตกต่างกันเช่น จิตส่วนใหญ่ปฏิสนธิด้วยการเพาะบ่มพลังงานจนได้ที่แล้วจึงเข้าร่วมกับ “อมโนปฏิสนธิ” เกิดขึ้นเป็นสัตว์ครั้งแรก แต่บางครั้งจิตเก่าแก่ของผู้บรรลุธรรมแล้ว เช่น พระอวโลกิเตศวรที่มีดวงจิตแบ่งภาคจากพระอมิตาภะลงมาจุติหรือเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งมีดวงจิตแบ่งภาคจากพระอวกิเตศวรอีกที การปฏิสนธิของจิตในชาติแรกที่เกิดจากการแบ่งภาคของดวงจิตที่เคยเกิดขึ้นแล้วบนโลกเรียกว่า “อวตารปฏิสนธิ” ดังนั้น จิตประเภทนี้จึงมิใช่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยบนโลก ไม่ใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกแบบ “ปฐมจิตปฏิสนธิ” จึงไม่จัดเป็นปฐมจิตปฏิสนธิ แม้ว่าจะจุติใหม่ในชาติแรกก็ตาม ยังมี “รอยกรรมรอยเกวียนของดวงจิตที่แบ่งมา” เป็นปัจจัยปรุงประกอบ จึงจัดเป็นอวตารปฏิสนธิ ซึ่งจะมีรอยกรรมรอยเกวียนให้เดินตามทางของดวงจิตเดิมที่แบ่งมานั้น ทั้งยังมีความสามารถเหมือนดวงจิตเดิมอีกด้วย จึงมีความแตกต่างจากปฐมจิตปฏิสนธิ ตรงที่ปฐมจิตปฏิสนธิจะไม่มีรอยกรรมมาก่อนเลย นอกจากนี้ “อวตารปฏิสนธิ” ยังมีความแตกต่างจากนิรมาณกายตรงที่ มี “จิต” ปรุงเป็นปัจจัยประกอบ จึงสามารถมีความรู้สึกนึกคิดและก่อกรรมได้เอง ในขณะที่ “นิรมาณกาย” จะถูกบังคับควบคุมด้วยจิตเจ้าของนิรมาณกายนั้น เรียกว่า มโนมยิทธิ คือ ความมีฤทธิ์ทางใจ สามารถใช้จิตสั่งบังคับร่างนิรมาณกายนั้นๆ ได้
     
  12. kunlada

    kunlada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +310
    ขออนุโมทนาบุญ บุญใดกุศลใดที่เกิดขึ้น ณ ที่นี้ ขอบุญกุศลนั้นจงบังเกิดกับข้าพเจ้าทุกประการ
     
  13. cpari

    cpari เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +184
    อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ครับมาได้ความรู้ก็เมื่อเข้าใกล้ฝั่งแล้ว เป็นวาสนาจริงๆ ยังพอมีเวลาอีกนิดหน่อยก็ยังดี ขอบคุณมากครับ
     
  14. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,273
    ขออนุโมทนาบุญ บุญใดกุศลใดที่เกิดขึ้น ณ ที่นี้ ขอบุญกุศลนั้นจงบังเกิดกับข้าพเจ้าทุกประการ<!-- google_ad_section_end -->
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...