หลับในฌาน แท้จริงเป็นอย่างไร?

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย พิชญากร, 8 กันยายน 2010.

  1. พิชญากร

    พิชญากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    909
    ค่าพลัง:
    +5,260
    ...ได้อ่านและได้ฟังจากหนังสือและเทปของหลวงพ่อ แล้วก็นำมาปฏิบัติเวลานอน

    กำหนดลมหายใจเข้า-ออก หรือจะภาวนา ไปด้วย จนหลับไป เป็นการหลับในฌาน

    เพราะถ้าจิตสงบถึงที่สุดก็จะตัดหลับไปอัตโนมัติ

    ....คราวนี้พอเราหลับไป ก็จะรู้สึกว่า ฝัน ฝันไปเืรื่องโน้นเรื่องนี้ คล้ายๆเรานอน

    หลับธรรมดา แต่พอตื่นก็จะจำไม่ค่อยได้ว่าฝันอะไรบ้าง เหมือนเราเบลอๆ แต่ก็

    รู้สึกว่านอนเต็มอิ่มนะคะ

    ....คราวนี้ก็อยากจะทราบว่า ถ้าเราหลับในฌานแบบนี้ จริงๆแล้วเราสามารถควบ

    คุมจิตตัวเองได้หรือเปล่า? คือจริงๆแล้วเราน่าจะมีสติอยู่ไม่ใช่หรือคะ สงสัยตรง

    นี้มากค่ะ เพราะถ้าจิตเป็นฌาน ก็น่าจะมีสติครบถ้วน ไม่น่าจะฝันอะไรมากมาย

    หรือถ้าฝันเราก็น่าจะควบคุมจิตได้ว่านี่ฝันนะ.....เฮ้อ..สงสัยอะไรเกินไปหรือ

    เปล่าคะ...เพียงแค่อยากรู้ว่า คนทั่วไปเป็นแบบนี้ไหม?
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ผมไม่รู้นะแต่ผมก็อยากรู้อยู่.....

    ของผมเป็นแบบ...หลับอยู่แต่เรารู้ตัวว่ากำลังนอนท่าใหน...ใครทำอะไร...ไม่ฝันนะ....แต่มันรู้.....ตื่นมาตอนเช้าจิตดี.....แต่รู้สึกว่าขอบตาจะคล้ำนิดๆ....ก็เลยคิดว่า...ตกลงมันหลับในฌาน...หรือมันหลับไม่สนิทกันแน่......และมีการหลับอีกชนิดหนึ่งคือฝันกระจาย...แต่พอมีความรู้ว่าฝัน.....เราฝันอยู่...อะไรอย่างนี้......

    ผมก็เคยเป็นแบบเจ้าของกระทู้นะ ที่ว่าสวดมนต์จนหลับ....แต่ตอนกลางคืนมันก็ฝันอยู่ดี.....

    บางครั้งทำสมาธิ...เข้ากำลังมาก....ดูมันไม่คิด...และตื้อไปเลย.....แต่ตอนกลางคืนมันถอนคนเดียวมันไงไม่ทราบ....ฝันอยู่ดี.....
     
  3. GROLY

    GROLY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    2,019
    ค่าพลัง:
    +8,001
    ขนาดตื่นเรายังควบคุมจิตให้เป็นไปตามที่เราต้องการไม่ได้เลยครับ
    และการหลับในฌาณก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ปฐมฌาณหยาบถึง ฌาณ4 ละเอียด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2010
  4. พิชญากร

    พิชญากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    909
    ค่าพลัง:
    +5,260
    ....เอ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็แสดงว่า ถึงเราจะหลับในฌาน เราก็จะสามารถรู้ได้ ควบ

    คุมจิตได้ แล้วก็ไม่ฝันใช่หรือเปล่า? ถ้าเราฝัน ก็แสดงว่า ฌานของเรายังเป็น

    แบบหยาบอย่างนั้นหรือคะ...ถึงได้หลุดฝันไป

    หรือว่า...การหลับในฌานก็สามารถหลับ(เผลอฝันปล่อยจิตไปได้เหมือนปกติ)

    แต่ถ้าเราตื่นขึ้นมา เราก็ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออกเหมือนก่อนที่เราจะหลับ

    ไปอย่างนี้หรือเปล่า?...ใครเป็นผู้รู้ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยนะคะจะดีมากๆเลย

    ว่าจริงๆแล้ว หลับในฌานเป็นเช่นไร จะเหมือนกับที่เราหลับปกติหรือเปล่า?
     
  5. boriphat

    boriphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2006
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +2,124
    หลับในฌาน พลิกตัวรู้ หายใจรู้ อิริยาบทไหน รู้
     
  6. พิชญากร

    พิชญากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    909
    ค่าพลัง:
    +5,260
    .....อืม..ตอนแรกที่ทำนะคะ จะหลับไปแค่ 1ช.ม ก็ตื่น บางที ก็ 30 นาที

    ตื่นมาแล้วก็รู้สึกเหมือนนอนนานมากเลย เต็มอิ่มชุ่มชื่น แต่พักหลังรู้สึกว่า

    จะไม่ค่อยตื่น จะตื่นก็เมื่อฝันไป ทั้งๆที่ตอนแรกไม่ฝันเลย ไม่รู้สึกอะไรเหมือนเรา

    เงียบหายไปเฉยๆแล้วก็ตื่นเอง

    ก็เลยรู้สึกแปลกใจว่า..ทำไมตอนแรกเราไม่ฝัน และตื่นมาก็รู้สึกว่า นอนเต็มอิ่ม

    แล้วตอนหลังๆ กลับฝันอะไรไม่รู้ พอรู้สึกตัวก็ตื่น ก็กำหนดลมหายใจใหม่ ก็หลับ

    แล้วฝันอีก เป็นแบบนี้มาหลายวัน จนสงสัยว่า..เราผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า?

    ก็เลยมาตั้งกระทู้ถามเพื่อนๆพี่ๆนี่แหละค่ะ
     
  7. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    เรื่อง...ไม่มีเวลาทำสมาธิ

    [​IMG]


    ผู้ถาม - "หลวงพ่อคะ หนูไม่ค่อยจะมีเวลาทำสมาธิค่ะ...?"
    หลวงพ่อ - คนที่ไม่มีเวลาไม่มี นอกจากขี้เกียจ

    ผู้ถาม - "ถ้ากลางวันทำงานและกลางคืนก็ติดธุระ บางทีจะนั่งสมาธิก็กวน"
    หลวงพ่อ - จะไปนั่งทำไม ให้ลูกมันหลับเวลาเรานอนน่ะ สมาธิทำทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน เขาไม่ได้ห้ามต้องนั่งเสมอไปใช่ไหม จริงๆแล้วถ้าเรามีสมาธิก่อนหลับสัก ๒ นาทีก็พอใจแล้วสมาธิไม่ต้องการมาก ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตรว่า


    "สารีปุตตะ ดูก่อน สารีบุตร บุคคลใดมีจิตว่างจากกิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง เราขอกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีจิตไม่ว่างจากฌาณ"

    เห็นไหม ก็มัวเอาแต่เรื่องนั่งที่เขาว่า อีตอนนอนนั่นแหละ นอนสบาย หัวถึงหมอนปั๊บนึกถึง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และภาวนา "พุทโธ" หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" หายใจ ๒ ฟื้ดหลับไปเลยใช้ได้

    อย่าลืมนะตอนที่ภาวนาหลับเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีนะ ว่าถ้าจิตไม่ถึงฌานนี่มันจะไม่หลับ "ถ้าจิตถึงฌานปั๊บมันตัดหลับทันที ทีนี้ว่าถ้าภาวนาหรือว่านะโมอยู่ ถ้ามันหลับเวลานั้นมันจิตถึงฌาน ขณะที่หลับอยู่กี่ชั่วโมงเขาถือว่าทรงฌานนั้นอยู่ระหว่างหลับ" ถ้าตายระหว่างนั้นจะไปตามกำลังของฌานทันที เห็นไหม ที่ว่าไม่มีเวลาคนขี้เกียจนะ เวลามันมีใช่ไหม

    ถ้าให้ดีเวลาตื่นนอนเอาอีกนิด ไม่ต้องลุกถ้าไม่ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ พอตื่นปั๊บเอาอีกหน่อย จับลมหายใจ หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" ๒ - ๓ ครั้งก็พอแล้ว จิตไม่นึกถึงใคร แค่นี้ใช้ได้ทุกวัน ขอยืนยันว่าลงนรกไม่ได้

    ผู้ถาม - "แล้วถ้าจะไปนิพพานละค่ะ?"
    หลวงพ่อ - ง่ายนิดเดียว แบบนี้ แบบนี้ต้องใช้วิปัสสนาญาณช่วย ก่อนนอนปั๊บนึกว่าเกิดนี่มันเป็นทุกข์ งานทุกอย่างนี่มันเหนื่อย มันเป็นทุกข์ ไอ้การเกิดมีร่างกายมีทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีกขอไปนิพพานชาตินี้ แล้วภาวนาว่า "พุทธโธ" นี่ง่ายนิดเดียว แล้วก็อย่าคิดว่าใช้เวลาเล็กน้อยไม่มีผลนะ

    ถ้าเวลาป่วย ป่วยมากๆ อาการเครียดจะตาย ถึงจะยังไม่ตายก็ตาม แต่ทำท่าจะตาย อารมณ์นี้ทั้งหมดมันจะรวมตัว และจิตจะเป็น "สังขารุเปกขาญาณ" จะวางเฉย

    ถ้าถามว่าตำราไหน อาตมาประสบมาแล้ว เพราะเคยตายหลายครั้ง ชิน ถ้าถึงวาระนั้นมันวางหมด เฉยๆ ไม่ต้องเอาอะไรไปบังคับมันหรอก มันจะเฉยหมด คนก็เฉย สัตว์ก็เฉย วัตถุธาตุสมบัติเฉยหมด ก็คิดว่าแม้ร่างกายมันจะตายจะสนใจอะไร มันเฉย มันเฉยจริงๆ และก็มีหลายคนมีสภาพแบบนี้นะ หลายๆคนมาหายแล้วก็มีภาระยุ่ง เขาเลยบอก แหม...มันไม่น่าหายเลย น่าจะป่วยอยู่เรื่อยๆ แล้วตายไปเลยใช่ไหม ไม่ต้องมาก แค่นี้พอ

    ดีกว่าคนไปนั่งเป๋งนานๆ แต่ตอนที่นั่งหลับตาไม่แน่นะ ภาวนาหรือนินทาใครก็ไม่รู้ ถ้าว่าจะเอากันให้ดีจริงๆ ภาวนาให้หลับจะดีมาก ก็ถือว่าเราเป็นผู้ทรงฌานทุกวัน ถ้าถามว่าภาวนาใช้เวลาเท่าไหร่ ถ้าพุท ไม่ทันโธ หลับ ยิ่งดีใหญ่ จิตเข้าถึงฌานเร็ว ไอ้นี่เขาต้องการนะ จิตเข้าถึงฌานเร็ว ฉันว่าแล้ว คนที่ไม่มีเวลาคือคนขี้เกียจ(หัวเราะ) ว่าไงเวลามีตั้งเยอะไปใช่ไหม สำคัญที่คุณภาพ

    ผู้ถาม - "หลวงพ่อคะ ถ้าทำแบบหลวงพ่อว่า ก่อนนอนและเวลาตื่นเช้าอย่างเดียวจะได้ไหมคะ...?"
    หลวงพ่อ - ก็เหลือแหล่แล้ว จริงๆ แล้วมันเหลือแลห่จริงๆนะคือ จิตเวลานั้นให้มันบริสุทธิ์จริงๆ ใช่ไหม อีแค่ ๒ - ๓ นาทีก็ช่างปะไรและอย่าลืมว่าทุกอย่างที่เราทำได้แล้วจะรวมตัวไม่ไปไหนนี่ มันรวมเลย เข้าไปสะสมตัวเลย

    ถ้าเรานั่งครึ่งชั่วโมง ดีไม่ดีสมาธิไม่ได้ ๒ นาทีล่ะ เมื่อยบ้าง ปวดบ้าง ตอนภาวนาให้หลับนี่สมัยก่อนที่ยังฝึกอยู่ ที่หลวงพ่อปานท่านส่งไปหาอาจารย์ต่างๆ ทุกองค์สอนเหมือนกันหมดบอกว่ามันเป็นวิธีที่ได้กำไรมากที่สุด ภาวนาจนหลับนี่นะ และหลับกี่ชั่วโมงเขาถือว่าทรงฌานนั้นอยู่ และอารมณ์มันจะชินพอตื่นขึ้นมาปั๊บ

    ทีนี้การทรงสมาธิเป็นฌานมันมี ๓ ชั้น ฌาน ๑, ๒, ๓, มี ๓ อย่าง อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดเราจะสังเกตได้เวลาตื่น พอเริ่มตื่นพั๊บเต็มที่บังคับให้ภาวนา แสดงว่าขณะที่หลับเราเข้าถึง ฌานหยาบ นะ

    ทีนี้พอตื่นพั๊บเราภาวนาเองทันทีเลยโดยไม่ต้องบังคับตื่นรู้สึกตัวเต็มที่นะ อย่างนี้เวลาจะหลับเข้าถึง ฌานอย่างกลาง

    ถ้าว่าครึ่งหลับครึ่งตื่นมันภาวนาออกมาเลย อันนี้เข้าถึง ฌานละเอียด เป็นเครื่องพิจารณา เป็นเครื่องพิสูจน์ ง่ายดีสะดวกดีได้กำไรมาก

    สังเกตดูพระที่ได้แล้วท่านสอนไม่ยาก ที่ไปเรียนกับท่านล่ะนะ เหมือนกันหมด ถามว่าหลวงพ่อครับ ทำไมสอนไม่ยากเหมือนตำรา บอกกูไม่ได้ถือตำรามาสอนนี่หว่า กูถือความจริง สมัยก่อนท่านใช้ยังงี้นะ ตอนยังหนุ่ม กูไม่ถือตำรานี่หว่า ตำราอ่านไม่ออก ตาไม่เห็น สอนความจริง

    หมายถึงว่าสอนที่ท่านได้มาแล้ว ท่านทำได้แล้วใช่ไหม ท่านเข้าใจว่าอะไรมันถูกอะไรมันควร อย่างไหนมีประโยชน์มาก อย่างไหนมีประโยชน์น้อย นั่งตึ้งชั่วโมงไม่ใช่จะมีประโยชน์ทั้งชั่วโมงสังเกตดูเดี๋ยวมึงก็มากูก็มา แทรกเข้ามาเรื่อย อันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์จิตเข้าถึงฌานหรือไม่ถึงอีตอนหลับ

    ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "ความรู้ทั้งหมดที่ตถาคตนำมาสอนไม่ใช่ของใหม่ มันมีแล้วในโลก"

    คือคนนี่มีสมาธิอยู่แล้ว สมาธินี่มีทุกคนน่ะ ฌานนี่มีทุกคน เพราะคนหลับได้ คนไหนหลับได้คนนั้นมีฌาน ถ้าจิตไม่สงบถึงฌานก็จะไม่หลับ ขณะที่หลับนี่จิตต้องเข้าถึงฌาน ไอ้คำว่าสมาธิคือตั้งใจ เวลานี้เรากินข้าวรู้ว่ากินข้าว นี่เป็นสมาธิ

    จากหนังสือธรรมปฏิบัติเล่ม ๙


    คุน พิชญากร

    ....คราวนี้ก็อยากจะทราบว่า ถ้าเราหลับในฌานแบบนี้ จริงๆแล้วเราสามารถควบ คุมจิตตัวเองได้หรือเปล่า?

    ควบคุมไม่ได้นะครับ เพราะเราหลับ (การตัดหลับ ก็คือการทำสมาธิ จนจิตถึงฌาน ..ถ้าจิตไม่ถึงฌาน จะไม่หลับ)

    คือจริงๆแล้วเราน่าจะมีสติอยู่ไม่ใช่หรือคะ สงสัยตรง นี้มากค่ะ เพราะถ้าจิตเป็นฌาน ก็น่าจะมีสติครบถ้วน ไม่น่าจะฝันอะไรมากมาย

    ถ้าเราหลับ โดยการตัดหลับ จะฝันน้อย และความฝันมักจะจำไม่ได้ ต้องแคะความฝันกัน ถ้าแคะมาก ๆ ความฝันจะหายไปเลย ก็มี

    หรือถ้าฝันเราก็น่าจะควบคุมจิตได้ว่านี่ฝันนะ.....เฮ้อ..สงสัยอะไรเกินไปหรือ
    เปล่าคะ...เพียงแค่อยากรู้ว่า คนทั่วไปเป็นแบบนี้ไหม?

    ถ้าจิตเป็นสมาธิ ก็จะเป็นทำนองนี้ ..การหลับในสมาธิ มีอานิสงค์มาก ถ้าตายในตอนนั้น ก็จะไปเกิดเป็นพรหม ตามกำลังของฌาน แต่หากเวลาตาย ไม่ได้เข้าฌาน และจิตไม่เศร้าหมอง ก็ไปเป็นเทวดา หรือนางฟ้า ชั้นจาตุม คือปิดอบายภูมิ

    การทำสมาธิ ครูบาอาจารย์ ท่านเปรียบไว้ว่า .. ดุจเราทำบุญใส่บาตร ด้วยขันลงหินทุกวัน จนขันลงหินนั้นทะลุ อานิสงส์ ยังเทียบไม่ได้กับการทำสมาธิ แม้นเห็นแสงสว่างเท่าปลายเข็ม ชั่วเวลาช้างกระดิกหู หรืองูแลบลิ้น ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กันยายน 2010
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ว่าไปก็พูดยากนะครับ.....อย่างว่า...ท่านว่าหลับในฌาน แต่มันเป็นฌานอะไรไม่รู้.....ไล่กันไปตั่งแต่ อุปจารฌาน จนถึงฌาน ๔.......ถ้าฌาน ๔ นี่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝัน.....เพราะว่าไปแล้วฌาน ๔ ไม่มีนิมิต มี เอกคัตตา และ อุเบกขาเป็นอารมณ์.....

    ไม่รู้ว่าที่พระท่านหมายคือ อุปจารฌาน(หรือเรียกอีกอย่างว่าอุปจารสมาธิ)หรือเปล่า เพราะตัวนี้จริงๆ มีนิมิต(ฝัน เป็นนิมิตของจิตชนิดหนึ่ง).......แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าสมาธิไม่มากพอ....บางครั้งสติตามไม่ทันความฝันฟุ้งไปเรื่อยๆเรื่องต่อเรื่องหรือจะเรียกว่าจิตมันฟุ้งตอนนอนหรือเปล่าเลยทำให้เกิดฝัน....สติตามทันฝัน ตรงนั้นจริงเรียกว่าสติไปรู้......

    ตรงจุดที่ตรงตัดหลับ ตรงนั้นจิตเป็นฌาน อันนี้น่าสนใจ มันจะตรงกับที่ผมว่าตอนต้น....คือมันตัดไปจริงๆ....แต่ตอนกลางคืนเราฝัน....อันนี่แสดงว่าสมาธิเราคลาย.....ใช่ไมครับ....

    เคยได้ยินหลวงพ่อสอน...การหลับในฌาน เช่นการภาวนาพุธโธ เมื่อตัดหลับ...ตื่นมาเราจะรู้ได้เลยว่าเราตัดตรง พุธ หรือ โธ แล้วตื่นมาจะต่อไปได้เลย.....อันนี้พูดตามตรง....ผมไม่เคยทำได้เลย....หรือไอ่ตรงนั้นที่เรียกว่าหลับในฌานตัวจริง......มีใครที่มีสติละเอียดตามรู้ได้ขนาดนั้นไมครับ.......

    ผมก็เป็นคนหนึ่งชอบภาวนาในอริยาบทนอน...เป็นอริยาบทที่ชอบที่สุด.....
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    สอบถามเพิ่มเติมด้วยนะครับ.....

    มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมปฏิบัติตอนนอน.....แล้วกำหนดสติต่อไป......มันจะปรากฏลักษณะ เป็นแบบเป็นช่องนะครับ......คือมันมีช่องที่ว่าช่องดับ(ไม่รู้ว่าเป็นช่องที่ตัด อันเดียวกันหรือเปล่า แต่วันนี้ได้อ่านเลยย้ำให้คิดว่าน่าจะเป็นช่องเดียวกัน)....และอีกช่วงคือรู้.....

    คือถ้าจิตเข้าไปในช่องที่ตัดตรงนั้น....มันจะหลับไปเลย......แต่ถ้าเอาสติไม่รู้ช่องนั้นปุ๊บ...เหมือนอย่างกับว่า....สติเราจะเด้งออกมารู้กายในทันที(แล้วก็เหมือนกับว่าจะนอนไม่หลับ).........หรือ ช่องนั้นจะเป็นช่วงระหว่างอุปจารสมาธิ เชื่อมต่อไปฌาน......

    แต่อาการดับของมันแปลกๆไม่เหมือนกับดับในอริยาบทนั่ง.....มันเหมือนกับดับโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว.....มารู้ตัวอีกทีตอนฝัน....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2010
  10. พงศ์กฤต

    พงศ์กฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5,699
    ค่าพลัง:
    +33,737
    ผมว่าอย่าไปสงสัยในคำสอนเลยนะครับ ปฎิบัติต่อไปเรื่อย.... แล้วจะแจ้งเองครับ
     
  11. nachan

    nachan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +109
    หลับในฌานไม่ฝันครับเพราะ ฌานอยาตะนะ ดับหมด เป็นการหลับและพักในสมาธิ ถึงนั่งก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดร้อนหนางอะไร ถ้าเหนื่อย ก็คือจิตทำงานอยู่ไม่ได้ถูกพักเลย ณาน พระอริยะเจ้าเท่านั้น ที่จะจักและใช้ประโยชน์ ขณะทำสมาธิภาวนาเป็นวันเป็นคืนแล้ว เข้าพัก ในฌาน นั่งอยู่นอนอยู่ ยืนอยู่พระอริยะเจ้าใช้เป็นประโยชน์ ทุกอริยาบท ยากที่ปุถุชนธรรมดาจะรู้ได้ จึงสงสัยเป็นธรรมดา ตั้งแต่ชั้น พระโสดาบันไม่มีสงสัย พระโสดาบัน ที่เป็นฆราวาส ในโลก 30 คน ก็เป็นกำไรของศาสนาพุทธแล้ว เพราะต่อไปนี้ มนุษย์ จะฆ่ากันจนโลกแทบล้างเลย ประเทศไทยเองก็เริ่ม แบ่งฝ่าย พร้อมบรรเลง กันแล้วเห็นๆกันอยู่เร่งภาวนาเข้าอย่ามัวสงสัยครับ น ณาน " ภาวนาติดณาน บานบุรี " แพ้ทุกที หนีกิเลส ยากพ้น " สงบล้น ปล้นปัญญา แห่งตน " อย่าสุขแต่นิ่ง สงบจบกัน " น ฌาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC01220.JPG
      DSC01220.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      71
  12. นาตยา

    นาตยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +1,104
    ขอบคุณค่ะ กำลังมีความสงสัยในเรื่องนี้อยู่เพราะตัวเองก็เป็นแบบที่กำลังถามกันนี่แหละค่ะ
     
  13. nachan

    nachan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +109
    ตัวอย่าง เราท่องคำบริกรรมในเวลานอน หลับไป พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นบริกรรมภาวนต่อเลย ครั้ง หนึ่งไปทำฟันอุดฟัน กลัวเจ็บ ท่องคำภาวนาไว้ "เสร็จแล้ว" เสียงหมอเรียกแว่ว 3 ครั้ง จึงกลับมาเป็นปรกติ พอตอนจ่ายตังหมอมายืนที่เคาเตอร์ด้วยเลยบอกหมอว่าเมื่อครู่นี๊อยู่ในภวังค์ เพราะกลัวหมอจะคิดว่าเราเป็นอะไร เช่นตาย หมอจะได้ไม่กลัว ภวังค์ก็คือฌานแต่ไม่ใช่แบบหลับธรรมดา บอกแล้ว ว่าอยาตะนะ ทั้งหกดับหมด พ้น เจ็บปวด ด้วยเสียงก็ไม่ได้ยิน อยู่ในที่วุ่นวาย ภาวนาไปเสียงไม่มากับทบโสตเลย น ฌาน
     
  14. เจ้าจันทร์

    เจ้าจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +431
    อ้างอิงคุณ nachan

    ตัวอย่าง เราท่องคำบริกรรมในเวลานอน หลับไป พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นบริกรรมภาวนต่อเลย

    แสดงว่า อารมณ์ยังไม่ตัดหลับ นะคะ คำภาวนา หรือ บริกรรม จะหายไปในขณะจิตเริ่มเข่าสู่ ฌานที่สอง (ตัดวิจารณ์) ค่ะ ลองไล่องค์ฌานดูนะคะ

    ครั้ง หนึ่งไปทำฟันอุดฟัน กลัวเจ็บ ท่องคำภาวนาไว้ "เสร็จแล้ว" เสียงหมอเรียกแว่ว 3 ครั้ง จึงกลับมาเป็นปรกติ พอตอนจ่ายตังหมอมายืนที่เคาเตอร์ด้วยเลยบอกหมอว่าเมื่อครู่นี๊อยู่ในภวังค์ เพราะกลัวหมอจะคิดว่าเราเป็นอะไร เช่นตาย หมอจะได้ไม่กลัว ภวังค์ก็คือฌานแต่ไม่ใช่แบบหลับธรรมดา บอกแล้ว ว่าอยาตะนะ ทั้งหกดับหมด พ้น เจ็บปวด ด้วยเสียงก็ไม่ได้ยิน อยู่ในที่วุ่นวาย ภาวนาไปเสียงไม่มากับทบโสตเลย น ฌาน


    อายตนะ (อ่านว่า อายะตะนะ) แปลว่า ที่เชื่อมต่อ, เครื่องติดต่อ หมายถึงสิ่งที่เป็นสื่อสำหรับติดต่อกัน ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น แบ่งเป็น 2 อย่างคือ
    1. อายตนะภายใน หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่ในตัวคน บ้างเรียกว่า อินทรีย์ 6 มี 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้เป็นที่เชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก
    2. อายตนะภายนอก หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่นอกตัวคน บ้างเรียกว่า อารมณ์ 6 มี 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นคู่กับอายตนภายใน เช่น รูปคู่กับตา หูคู่กับเสียง เป็นต้น
    การทำสมาธิ แม้นได้อรูปฌาน อายตนที่ไม่ดับคือ ใจ ที่สัมผัส ธรรมารมณ์ ค่ะ ..ในขณะทรงฌาน อายตนะ ไม่มีดับ คงมีแต่ไม่รับสัมผัส ค่ะ
     
  15. pagorn

    pagorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +2,848
    เคยทำกรรมฐานสติปัฏฐาน๔..นอนแต่ไม่ได้กำหนดในเวลาแค่ไม่ถึง ๒๐ นาที
    หลังจากทำวัตรเช้าปกติต้องทำกรรมฐานต่ออีก ๓๐ นาที แต่หลังเบรคเข้าห้องน้ำ
    เลยมาเข้าที่ห้องพักเพราะอยูตึกเดียวกันก่ะว่าเอนหลังสักหน่อยถ้าไหวก็จะขึ้นไปปฏิบัติต่อ
    เวลาเบรค ๑๕ นาที ขณะหลับปรากฏว่ามีอีกร่างนึงของเราเองในชุดกรรมฐานสีขาว
    ยืนอยู่ข้างๆที่เรานอนปลุกให้ข้าพเจ้าลุกและบอกในนิมิตรนั้นว่าถ้าไม่รีบตื่นต้องตายแน่น๊ะ
    และข้าพเจ้าก็ตื่นจริงๆเหมือนไม่ได้หลับเลยแต่มีความรู้สึกว่านอนเต็มอิ่มมากไม่มีอาการเพลียด้วยแต่...มาอ่านดูหนังสือของหลวงพ่อฤาษีถึงได้รู้ว่าการที่เรามีสองร่างในเวลาเดียวร่างใน
    นิมิตรนั้นคือ อาทิสมานกาย นั้นเอง..สาธู
     
  16. nachan

    nachan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +109
    งั้นถามเจ้าจันทร์ ไม่หายใจ อยู่ฌานไหนจ้ะ ปัจจัตตังรู้ใครรู้มัน น่ะครับสัญญาใครมาจากไหนก็ต้องรู้กันเองล่ะครับ ตำราจำไปก็เข้านิพพานไม่ได้ครับ
     
  17. เจ้าจันทร์

    เจ้าจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +431


    [​IMG]
    ฌาน,สมาบัติ ตอนจบ
    จตุตถฌาน หรือ จตุตถสมาบัติ
    จตุตถะ แปลว่าที่ ๔ จตุตถฌานจึงแปลว่าฌานที่ ๔ ฌานที่ ๔ นี้มีอารมณ์ ๒ เหมือนฌาน ๓ แต่ผิดกันที่ฌาน ๓ มีสุขกับเอกัคคตา สำหรับฌานที่ ๔ นี้ ตัดความสุข ออกเสียเหลือแต่ เอกัคคตา
    และเติมอุเบกขาเข้ามาแทน ฉะนั้น อารมณ์ของฌาน ๔ จึงมีอารมณ์ผิดแผกจากฌาน ๓ ตรงที่ตัดความสุขออกไป และเพิ่มการวางเฉยเข้ามา แทนที่

    อาการของฌาน ๔

    ฌาน ๔ เมื่อนักปฏิบัติ ปฏิบัติถึงมีอาการดังนี้
    1. จะไม่ปรากฏลมหายใจเหมือนสภาพฌานอื่นๆ เพราะลมละเอียดจน ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ ในวิสุทธิมรรคท่านว่า ลมหายใจไม่มีเลย แต่บางอาจารย์ ท่านว่า ลมหายใจนั้นมี แต่ลมหายใจ ละเอียดจนไม่มีความรู้สึกว่าหายใจ

    ตามนัยวิสุทธิ- มรรคท่านกล่าวถึงคนที่ไม่มีลมหายใจไว้ ๔

    จำพวกด้วยกัน คือ ๑. คนตาย ๒. คนดำน้ำ ๓. เด็กในครรภ์มารดา ๔.ท่านที่เข้าฌาน ๔

    รวมความว่า ข้อสังเกตที่สังเกตได้ชัดเจน ในฌาน ๔ ที่เข้าถึงก็คือ ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจการที่ฌาน ๔ เมื่อเข้าถึงแล้ว และ ขณะที่ทรงอยู่ในระดับของฌาน ๔ ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจนี้เป็นความจริง มี
    นักปฏิบัติ หลายท่านที่พบเข้าแบบนี้ถึงกับร้องเอะอะโวยวายบอกว่าไม่เอาแล้วเพราะเกรงว่า จะตาย เพราะไม่มีลมหายใจบางรายที่อารมณ์สติสมบูรณ์หน่อยก็ถึงกับค้นคว้าควานหาลม หายใจ เมื่อ
    อารมณ์จิตตกลงระดับต่ำกว่าฌานที่ ๔ ในที่สุดก็พบลมหายใจที่ปรากฏอยู่กับปลาย จมูกนั่นเอง

    2. อารมณ์จิตเมื่อเข้าสู่ระดับฌาน ๔ จะ มีอารมณ์สงัดเงียบจากอารมณ์ ภายนอกจริง ๆ ดับเสียง คือ ไม่ได้ยินเสียง ดับสุข ดับทุกข์ทางกายเสียจนหมดสิ้น มี อารมณ์โพลงสว่างไสวเกินกว่าฌาน
    อื่นใด มีอารมณ์สงัดเงียบ ไม่เกี่ยวข้องด้วยร่างกาย เลย กายจะสุข จะทุกข์ มดจะกิน ริ้นจะกัด อันตรายใดๆ จะเกิด จิตในระหว่างตั้งอยู่สมาธิ ที่มีกำลังระดับฌาน ๔ จะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

    เพราะฌานนี้กายกับจิตแยกกันเด็ดขาดจริงๆ ไม่สนใจข้องแวะกันเลย ดังจะเห็นในเรื่องของลมหายใจ ความจริงร่างกายนี้จำเป็นมาก ในเรื่องหายใจเพราะลมหายใจเป็นพลังสำคัญของร่างกาย พลังอื่นใดหมดไป แต่อัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจยังปรากฏ ที่เรียกกันตามภาษาธรรมว่า ผัสสาหารยังมีอยู่ ร่างกาย ก็ยังไม่สลายตัว

    ถ้าลมหายใจที่เรียกว่าผัสสาหารหยุดเมื่อไร เมื่อนั้นก็ถึงอวสานของการ ทรงอยู่ของร่างกาย ฉะนั้น ผลการปฏิบัติที่เข้าถึงระดับฌาน ๔ จึงจัดว่าลมหายใจยังคงมี ตามปกติที่ไม่รู้ว่าหายใจก็เพราะว่าจิตแยกออกจากกายอย่างเด็ดขาดโดยไม่รับ รู้อาการ ของร่างกายเลย อาการที่จิตแยกจากร่างกาย

    เพื่อให้เข้าใจชัดว่า จิตแยกออกจากร่างกายได้จริงเพียงใด เมื่อท่านเจริญสมาธิถึง ฌาน ๔ จน คล่องแคล่วชำนิชำนาญดีแล้ว ให้ท่านเข้าสู่ฌาน ๔ แล้วถอยจิตออกมาหยุดอยู่ เพียงอุปจารฌาน แล้วอธิษฐานว่า ขอร่างกายนี้จงเป็นโพรงและกายอีกกายหนึ่งจงปรากฏ แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ ออกจากฌาน ๔ มาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน

    ท่านจะเห็นกายเป็น โพรงใหญ่ มีกายของเราเองปรากฏขึ้นภายในกายเดิมอีกกายหนึ่ง ที่ท่านเรียกในมหาสติ- ปัฏฐานว่ากายในกาย จะบังคับให้กายในกายท่องเที่ยวไปในร่างกายทุกส่วน แม้แต่เส้น
    ประสาทเล็กๆ กายในกายก็จะไปได้สะดวกสบายเหมือนเดินในถ้ำใหญ่ ๆ ต่อไปจะบังคับ กายใหม่นี้ ออกไปสู่ภพใด ๆ ก็ไปได้ตามประสงค์ ที่ท่านเรียกว่า

    "มโน มยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจนั่นเอง" พลังของฌาน ๔ มีพลังมากอย่างนี้ ท่านที่ได้
    ฌาน ๔ แล้วท่าน จะฝึกวิชชาสาม อภิญญาหกหรือปฏิสัมภิทาญาณ

    ก็ทำได้ทั้งนั้น เพราะวิชชาการที่จะฝึก ต่อไปนั้น ก็ใช้พลังจิตระดับฌาน ๔ นั่นเอง จะแตกต่างกันอยู่บ้างก็เพียงอาการในการ เคลื่อนไป
    เท่านั้น ส่วนอารมณ์ที่จะใช้ก็เพียงฌาน ๔ ซึ่งเป็นของที่มีอยู่แล้วเปรียบเสมือน นักเพาะกำลังกาย

    ถ้ามีกำลังกายสมบูรณ์แล้วจะทำอะไรก็ทำได้เพราะกำลังพอจะมีสะดุด บ้าง ก็ตรงเปลี่ยนแนวปฏิบัติใหม่ จะยุ่งใจบ้างในระยะต้นพอเข้าใจเสียแล้วก็ทำได้คล่อง เพราะกำลังพอ ท่านที่ได้ฌาน ๔ แล้วก็เช่นเดียวกัน เพราะงานส่วนอภิญญาหรือวิชชาสาม ก็ใช้พลังจิต เพียงฌาน ๔ เท่านั้น ท่านที่ได้ฌาน ๔ จึงเป็นผู้มีโอกาสจะทำได้โดยตรง

    เสี้ยนหนามของฌาน ๔
    เสี้ยนหนาม หรือศัตรูตัวสำคัญของฌาน ๔ ก็คือ "ลมหายใจ" เพราะถ้าปรากฏว่า มีลมหายใจปรากฏเมื่อเข้าฌาน ๔ ก็จงทราบเถิดว่า จิตของท่านมีสมาธิต่ำกว่าฌาน ๔ แล้วจงอย่าสนใจกับลม หายใจเลยเป็นอันขาด

    อานิสงส์ของฌาน ๔

    1. ท่านที่ทรงฌาน ๔ ไว้ได้ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ จะมีอารมณ์แช่มชื่นตลอดวัน เวลาจะแก้ปัญหาของ ตนเองได้อย่างอัศจรรย์
    2. ท่านที่ได้ฌาน ๔ สามารถจะทรงวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณได้ ถ้าท่านต้องการ
    3. ท่านที่ได้ฌาน ๔ สามารถจะเอาฌาน ๔ เป็นกำลังของวิปัสสนาญาณชำระ กิเลสให้หมดสิ้นไปอย่างช้าภายใน ๗ ปี อย่างกลางภายใน ๗ เดือน อย่างเร็วภายใน ๗ วัน
    4. หากท่านไม่เจริญวิปัสสนา ท่านทรงฌาน ๔ ไว้มิให้เสื่อม ขณะตาย ตาย ในระหว่างฌานที่ จะได้ไปเกิดในพรหมโลกสองชั้นคือ ชั้นที่ ๑๐ และชั้นที่ ๑๑

    อ้างอิงคุณ nachan

    งั้นถามเจ้าจันทร์ ไม่หายใจ อยู่ฌานไหนจ้ะ
    แหม ถ้าเจ้าจันทร์ ถามกลับบ้างได้ไหมคะ ? แต่ไม่เป็นไร เห็นคำถามมีประโยชน์ ต่อส่วนรวม ก็จะลงให้ศึกษากัน ตามคำสอน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    เวลาถาม ถามตอบ ควรเทอดบารมี ด้วยความเคารพ ในองค์สมเด็จ ฯ หรือ ครูบาอาจารย์ นะคะ

    ปัจจัตตังรู้ใครรู้มัน น่ะครับ
    คำว่าปัจจัตตัง หมายถึงผู้รู้ กล่าวกับผู้ไม่รู้ นะคะ แต่ถ้าไม่รู้ กับไม่รู้ หรือรู้ กับรู้ เรียกปัจจัตตังไม่ได้ นะคะ

    สัญญาใครมาจากไหนก็ต้องรู้กันเองล่ะครับ
    ศัพย์สำหรับนักปฏิบัติ สัญญา คือความจำ แปลไม่ถูกค่ะ และคำว่ารู้กันเองหมายถึงอะไร คะ งงค่ะ

    ตำราจำไปก็เข้านิพพานไม่ได้ครับ
    มีปฏิบัติ ที่ใหนคะ ที่ไม่อิงปริยัติ อย่าปรามาส พระธรรม คำสั่งสอน ซิคะ ไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเองเลย นะคะ

    จงกล่าวโทษโจทน์ตัวเองไว้เสมอ ถ้าเห็นว่าเราดีเมื่อไหร่ เราก็เลวเมื่อนั้น
    คำสอน พระราชพรหมยาน
     
  18. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ถ้าหลับ หมายถึงว่า ไม่ได้เป็นสมาธิแล้ว ถ้าเป็นสมาธิหรือฌานแล้วต้องมีสติรู้ตัวอย่างดี แต่การทำสมาธิก่อนอนตอนล้มตัวนอนแล้วภาวนาไปด้วยหลับไป ก็ยังดีกว่าหลับไปแบบไม่ภาวนา
     
  19. พิชญากร

    พิชญากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    909
    ค่าพลัง:
    +5,260
    .....ต้องขอขอบคุณกับทุกท่านที่แวะมาให้ความรู้นะคะ มีประโยชน์มากๆถึง

    มากที่สุด ประมาณค่าไม่ได้ค่ะ และจะเก็บเซฟกระทู้ของตัวเองไว้อ่านคราวหลัง

    ด้วยค่ะ

    ....ตอนนี้ก็ขอแค่ ทำให้ได้ อย่างที่หลวงพ่อท่านบอก ก็ดีใจมากๆแล้วค่ะ ตรงที่

    ว่า....ทีนี้การทรงสมาธิเป็นฌานมันมี ๓ ชั้น ฌาน ๑, ๒, ๓, มี ๓ อย่าง อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดเราจะสังเกตได้เวลาตื่น พอเริ่มตื่นพั๊บเต็มที่บังคับให้ภาวนา แสดงว่าขณะที่หลับเราเข้าถึง ฌานหยาบ นะ

    ทีนี้พอตื่นพั๊บเราภาวนาเองทันทีเลยโดยไม่ต้องบังคับตื่นรู้สึกตัวเต็มที่นะ อย่างนี้เวลาจะหลับเข้าถึง ฌานอย่างกลาง

    ถ้าว่าครึ่งหลับครึ่งตื่นมันภาวนาออกมาเลย อันนี้เข้าถึง ฌานละเอียด เป็นเครื่องพิจารณา เป็นเครื่องพิสูจน์ ง่ายดีสะดวกดีได้กำไรมาก


    .....นี่แหละ ถ้าปฏิบัติแล้วได้ถึงขั้นตอนนี้แล้ว ก็นับว่าเป็นบุญกับตัวเองแล้วค่ะ

    เพราะตอนนี้ยังทำไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเอง หลับตอนไหนด้วยค่ะ

    ทุกวันนี้ ก็พยายามไม่เผลอ พยายามจะรู้ให้ได้ว่า ช่วงไหนที่ตัวเองจะหลับ ก็

    รู้แค่ว่า...ตอนนั้นเหมือนเบลอๆ งงๆ ง่วงๆ ก็ดึงจิตกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายก็

    หลับอยู่ดี..แฮะๆ
     
  20. พิชญากร

    พิชญากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    909
    ค่าพลัง:
    +5,260
    ......

    เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะถ้าบังเอิญแผ่นดินไหว ตึกทรุด เราตาย อย่างน้อยก็ไม่

    ตกนรก (เห็นหลวงพ่อว่าอย่างนั้น ไม่ได้คิดเองนะคะ)

    กลัวตกนรกค่ะ เพราะหลวงพ่อบอกให้สำนึกเลยค่ะว่า เกิดมาเป็น

    คน กว่าจะเกิดมาได้ พ้นจากนรกมาได้ มันยาก ลำบาก นานเป็นร้อยๆปี กว่าจะ

    เป็นคนได้ พอเป็นคนแล้้ว อยากจะกลับไปลงนรก ก็แย่เต็มที.....

    คำพูดนี้แหละ ทำให้สำนึกเลย อย่างน้อย เกิดมาต้องหนีนรกให้ได้ แต่จุดหมาย

    สูงสุดคือ ไปนิพพานค่ะ จะพยายามค่ะ ไปได้ไม่ได้แต่ตั้งใจแบบนี้ค่ะ

    เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านด้วยนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...