ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการสวดมนต์

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 1 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. Sawadruksa

    Sawadruksa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +90
    sa thoe a noe mo tha na
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    คาถาเมตตาพรหมวิหาระภาวนา (มหาเมตตาใหญ่) สวดตอนไหน

    คุณ nami_mp

    ถาม ปกติสวดมนต์ตามในหนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อจรัญค่ะ แล้วอยากทราบว่าถ้าสวดคาถาเมตตาพรหมวิหาระภาวนา (มหาเมตตาใหญ่) เพิ่มอีกหนึ่งบทต้องสวดตอนไหนค่ะ แล้วต้องแผ่เมตตาบทธรรมดาที่สวดทุกวันด้วยหรือเปล่า สวดเวลาไหนก็ได้หรือเปล่าค่ะเพราะปกติจะสวดมนต์วันละ 2 รอบค่ะ แต่เวลาสวดมนต์ของดิฉันขึ้นอยู่กับความสะดวกค่ะ ถ้าสวดเฉพาะกลางคืนอย่างเดียวได้หรือเปล่า ดิฉันเป็นคนที่สวดมนต์แล้วจิตยังฟุ้งซ่านอยู่ยังควบคุมไม่ค่อยได้ ถ้าสวดบทนี้แล้วจิตฟุ้งซ่านจะมีผลกระทบอะไรไหมค่ะ เพราะที่อ่านมาบทสวดมนต์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากกลัวว่าถ้าจิตฟุ้งซ่านจะ ใหญ่โทษต่อตนเองนะค่ะ รบกวนด้วยนะค่ะ


    Jeerachai_BK<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_2628418", true);</script>

    ตอบ คำถามที่ว่าจะสวดบทมหาเมตตาใหญ่ตอนไหน
    เนื่องจากคุณสวดมนต์ตามแบบฉบับของหลวงพ่อจรัญ ฯ ผมเห็นว่าควรสวดบทมหาเมตตาใหญ่หลังจากสวดบทพุทธคุณเท่าอายุเกิน ๑ อีกนัยคือสวดแทนบทแผ่เมตตาและบทอุทิศส่วนกุศล ครับ

    สวดตามกำลัง (กายและใจ) นะครับ หรือว่าจะทำแบบนี้ก็ได้นะครับ คือสวดมนต์ตามแบบฉบับของหลวงพ่อจรัญ ฯ ตอนเช้า พอตอนค่ำ สวดนะโม ฯ (๓ จบ) และบทมหาเมตตาใหญ่

    อย่าลืมจุดมุ่งหมายของการสวดมนต์นะครับ คือ (ส่วนใหญ่) เป็นการสรรเสริญคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์, เป็นการขอพึ่งพระรัตนตรัยในการดำเนินชีวิต, เป็นการระลึกถึงพุทธโอวาท เป็นต้น การแผ่เมตตาเป็นการกล่าวเพื่อให้เรามีเมตตาจิตต่อสรรพสัตว์และผู้อื่น การอุทิศส่วนกุศลเป็นการกล่าวเพื่อขอให้บุคคลหรืออื่นๆ ได้รับบุญและอนุโมทนาบุญที่เราได้ทำไปแล้ว

    ขณะสวด จิตของเราฟุ้งซ่าน ผมเห็นว่าเป็นธรรมดาครับ คือจิตของเรามักคิดโน่นคิดนี่เสมอ (แต่เราสามารถขัดเกลาสิ่งนี้ได้) ผมเห็นว่าขอให้เน้นคุณภาพ อย่าเน้นปริมาณ และผู้สวดต้องศึกษาตนเองด้วยครับ โดยอาจเริ่มต้นสวดไม่กี่บทเพื่อให้จิตชิน ดูด้วยว่าขณะนั้น จิตยังสงบนิ่งและมีสติอยู่ แล้วค่อยเพิ่มตามกำลัง ครับ

    สวดผิดถูก (ในตอนต้น) อย่าได้สนใจ ใช้ความตั้งใจและความเพียร บวกกับความชิน ไม่นานครับ จะสวดถูกเอง อย่าไปคิดว่าเราจะปรามาสพระรัตนตรัยนะครับ ตอนแรกที่เรามีจิตอยากจะสวดมนต์ บุญก็เกิดแล้วครับ ดูตามเจตนานะครับ "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

    ปล. วิธีการปฏิบัติของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันบ้าง แต่ขอใ้ห้ใจระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นพอครับ บุญนั้นอยู่ที่ใจ ครับ<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_2628290", true); </script>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    สวดมนต์ต้องสวดออกเสียงไหม

    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ใจใฝ่ธรรม<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2489238", true); </SCRIPT>

    ถาม ผมมีเรื่องสงสัยว่าสวดมนต์ต้องสวดออกเสียงไหมครับ ปกติผมจะสวดในใจครับ พอดีนอนกับคนอื่น ต้องสวดในใจ กลัวคนอื่นจะรำคาญครับ แล้วถ้าเราเปิดเทปเสียงสวดมนต์แล้วสวดตามไป จะมีอานิสงส์เหมือนกันไหมครับ


    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Jeerachai_BK<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2491702", true); </SCRIPT>

    ตอบ พระผู้มีพระภาคตรัสบอกพระจุนทะ แนะให้รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์ และทำสังคายนา คือจัดระเบียบทั้งโดยอรรถและพยัญชนะเพื่อให้พรหมจรรย์ตั้งมั่นยื่งยืนสืบไป (ปาสาทิกสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ หน้า ๑๒๘ ถึงหน้า ๑๕๖)

    นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าและพระสาริบุตรได้เห็นความสำคัญของการรวบรวมพระพุทธวจนะร้อยกรองให้เป็นหมวดเป็นหมู่ แต่เนื่องจากไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์ ดังนั้นการจดจำพระธรรมและพระวินัยจึงใช้การท่องจำและบอกกันปากต่อปาก เรียกในภาษาบาลีว่า
    มุขปาฐะ

    หลังพุทธองค์ปรินิพพาน มีประเพณีสร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็นเครื่องหมายของการเคารพสักการะแทนพระพุทธเจ้า ซึ่งถูกประดิษฐานไว้ ณ สถานที่สำคัญของวัด ชาวพุทธจึงนิยมเข้าไปยังสถานที่นั้นๆ โดยปฏิบัิติเหมือนว่าได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกเช้า-เย็น และพากันสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ซึ่งเรียกว่า การทำวัตร และสวดพระสูตรและพระปริตรต่างๆ ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ เป็นพระโอวาทเรียกว่า สวดมนต์ เท่ากับได้ฟังพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทุกเช้า-เย็น การกระทำเช่นนี้นิยมแพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นระเบียบพิธีขึ้นจนถึงทุกวันนี้

    จากข้อความข้างต้นจะเห็นว่าการสวดเป็นการท่องออกเสียงเพื่อให้กล่าวถึงพุทธพจน์ พุทธโอวาท และพุทธวินัย อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ในวินัยปิฎก (เล่มที่ ๙) มีพระพุทธภาษิตโต้ตอบกับพระอุบาลีในข้อปัญหาทางพระวินัยมากมาย หรือการสวดปาฏิโมกข์ คือการ "ว่าปากเปล่า" หรือการสวดข้อบัญญัติทางพระวินัย ๑๕๐ ข้อ ในเบื้องแรก และ ๒๒๗ ข้อในกาลต่อมาทุกๆ กึ่งเดือนหรือ ๑๕ วัน เป็นข้อบัญญัติทางพระวินัย

    แต่ในปัจจุบัน สภาพสังคมเปลี่ยนไป เราจะเข้าวัดทุกเช้า-เย็น คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเราสามารถทำวัตรที่บ้านต่อหน้าพระพุทธรูป ในการสวด หากเราออกเสียงได้จะดี เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับพุทธพจน์ เวลาเราจะพูดถึงบทไหน เราสามารถนึกขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติและสามารถ
    พูดได้อย่างถูกต้อง
    ดีกว่าเีพียงจำไว้ในใจแต่ไม่ได้ใช้หรือไม่ได้กล่าวออกมา แต่หากบุคคลอยู่ในสภาวะที่ไม่อำนวย ก็ควรท่องในใจ เื่พื่อไม่ก่อความรบกวนแก่บุคคลอื่น หรือบุคคลนั้นมีปัญหาทางสุขภาพ ก็เพียงท่องจำในใจก็พอ<!-- google_ad_section_end -->


    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->natspdo<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2492044", true); </SCRIPT>

    ตอบ หากมีความสามารถออกเสียงได้ควรออกเสียง เสียงมนต์นั้นจะทำให้มีสิ่งศักดิสิทธิได้ยินและอนุโมทนา มงคลก็จะเกิดกับตนเองและสถานที่ อยู่กับเพื่อนก็บอกเพื่อนซิครับ ขอสวดมนต์วันละ 15 นาที<!-- google_ad_section_end -->


    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->tippavan<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2493217", true); </SCRIPT>


    ตอบ ขอให้ข้อคิดเห็นตามความถนัดของตนเอง เพราะเป็นคนชอบสวดมนต์ในใจ เนื่องจากไม่อยากให้คนที่ได้ยินและไม่ศรัทธาเกิดปรามาสพระรัตนตรัยแล้วป็นบาป การสวดมนต์ทุกครั้งให้จิตจับในพระรัตนตรัย น้อมนึกตามเพื่อให้เกิดสมาธิค่ะ ส่วนที่ว่าเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ท่านจะโมทนานั้น ท่านน่าจะทำได้อยู่แล้วเพราะจิตท่านเป็นทิพย์ ละเอียดกว่าเราจึงสามารถรับทราบถึงจิตของเราได้ค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ทำไมต้องสวดมนต์ทุกวัน......หลวงพ่อจรัญ

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Lukhgai<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2563745", true); </SCRIPT>
    ผู้ร่วมสนับสนุนบริจาค


    หลวงพ่อจะสอนแปลกกว่าพระอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าได้พบมา

    หลวงพ่อสอนให้คิดเป็น สอนให้รู้จักเหตุผล ท่านจะไม่สอนให้

    ทำบุญด้วยเงิน ท่านจะสอนให้ทำบุญด้วยความดี ด้วยการ

    สวดมนต์ ด้วยการเจริญกรรมฐาน ท่านว่าได้บุญมาก

    ในเวลานั้นข้าพเจ้าชอบมาก เพราะไม่ต้องเสียเงิน

    แถมมีข้าวให้กินฟรีๆอีกด้วย มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร

    มาหาหลวงพ่อรู้ท่านหมดโดยยังไม่ทันพูดอะไรเลย ชักเริ่ม

    แปลกใจ สงสัยว่าท่านรู้ได้ยังไงต่อมาปี30-31 ช้าพเจ้าไปดู

    หมอทักมาไม่ดี ก็ไปหาหลวงพ่อ ไปถึงยังไม่ทันพูดอะไร

    ท่านก็บอกว่า " เสรีมีธรรมะติดตัวมาตั้งแต่อดีตชาติ

    แปดสิบเปอร์เซ็น ถ้าชาตินี้สวดมนต์ไหว้พระจะรวย"

    ในใจข้าพเจ้าอยากเป็นเจ้าของโรงพิมพ์เหมือนกัน

    หลวงพ่อพูดออกมาเลยว่า" เสรีเป็นเถ้าแก่ไม่ได้ เป็นเจ้าของ

    กิจการไม่ได้ เพราะบารมีไม่ถึง อดีตชาติทำแต่บุญ ไม่ได้สร้าง

    บารมีไว้ ทำกิจการของตัวเองก็เจ้งหมด พวกที่ทำการค้า

    แล้วขาดทุนเจ้งกันไปเพราะพวกเขาไม่มีบารมี ตอนเป็น

    ลูกจ้างเขาทำให้เถ้าแก่รวยได้ พอมาทำเองเจ๊งหมดเลย

    พวกข้าราชการก็เหมือนกันบารมีไม่ถึง ได้ตำแหน่งใหญ่โต

    ก็อยู่ได้ไม่นานมีอันเป็นไป" วันนั้นก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร

    ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการก็ไม่เป็นไร ขอให้รวยก็แล้วกัน

    ด้วยความอยากรวย กลับมาบ้านสวดมนต์เป็นการใหญ่

    สวดหลายบทเลย แต่จะสวดในวันอาทิตย์วันเดียวเท่านั้น

    ใครว่าบทไหนดีสวดหมด สวดทีหนึ่ง3-4ชั่วโมง วันอื่นๆ

    ไม่ค่อยมีเวลาก็เลยไม่ได้สวด คราวหลังไปหาหลวงพ่อ

    ท่านบอกว่า" เสรี สวดมนต์อะไรกันมากมายนัก สวดพุทธคุณ

    ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงฯ มหากาฯ แล้วมาสวดพุธคุณ

    ห้องเดียวเท่าอายุบวก๑ ก็พอแล้ว แต่ต้องสวดทุกวันนะ

    สวดวันอาทิตย์วันเดียวไม่ได้" ข้าพเจ้าก็ถามว่าทำไม

    หลวงพ่อท่านก็บอกว่า" ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็กินข้าววันอาทิย์

    วันเดียวสิ กินให้มากๆเลย วันอื่นไม่ต้องกิน เพราะไม่มีเวลา"

    ข้าพเจ้าก็บอกว่าไม่ได้ ข้าวต้องกินทุกวันไม่อย่างนั้นหิวตาย

    แน่ หลวงพ่อก็บอกว่าถ้าอยากรวยก็ต้องสวดมนต์ทุกวัน

    เหมือนกัน บทอื่นก็ดีไม่ใช่ไม่ดี แต่ที่ให้สวด เฉพาะ

    พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงฯ มหากาฯ จะได้สวด

    ทุกวันได้ไม่เปลืองเวลา ความที่ข้าพเจ้าอยากรวย ก็ต้อง

    สวดทุกวัน พอสวดทุกวันเข้าก้เลยเลิกเหล้า ตอนหลัง

    ข้าพเจ้าทำอะไร เหมือนมีลางสังหรณ์มาบอก ข้าพเจ้า

    จะรู้อะไรมาก่อน เป็นบางครั้ง ข้าพเจ้าก็ถามหลวงพ่อ

    หลวงพ่อตอบว่า นั่นแหละ สวดมนต์มากๆเข้า จะมีสติ

    สติก็ออกมาบอก ข้าพเจ้าเคยถามหลวงพ่อว่า ทำไมต้อง

    สวดเท่าอายุ ท่านตอบว่า เป็นการฝึกให้เรามีสติ

    แล้วสวดเท่าอายุบวก๑นั้นจะทำให้อายุยืน เป็นการต่อายุ

    จะไม่เสียชีวิต ถ้ายังไม่ถึงคราวสิ้นอายุขัย จะไม่ตาย

    ด้วยอุบัติเหตุ นับแต่นั้นมาข้าพเจ้าสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ

    สังฆคุณ พาหุงฯ มหากาฯ และพุธคุณเท่าอายุบวก ๑

    มิได้ขาด

    อ้างอิงจากหนังสือกฎแห่งกรรมธรรมปฎิบัติ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกและคาถาชินบัญชรเป็นบทสวดที่ให้ผลร้อนจริงหรือ

    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->nababhat<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2501583", true); </SCRIPT>

    ถาม คือเริ่มมาสวดมนต์เมื่อสองวันก่อนครับ แล้วมะกี้สวดทั้งยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกและคาถาชินบัญชร แล้วรู้สึกได้เลยว่าร้อนๆ แปลกๆ ครับ และผมมาลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ความตามนี้อะครับ

    http://www.geocities.com/thaniyo/dhamma0644_1.html



    คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Jeerachai_BK<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2501815", true); </SCRIPT>

    ตอบ ลิงค์ที่ถูกให้พูดถึงการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ รวมถึงการแผ่เมตตา เพื่อให้เรามีจิตใจที่ชุ่มชื่น จึงถูกเข้าใจว่าสวดมนต์ให้เย็น

    หากอ่านบทแปลของพระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ดังที่ถูกแสดงข้างล่าง

    <LINK rel=File-List href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CJames%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><STYLE>@font-face { font-family: SimSun;}@font-face { font-family: Angsana New;}@font-face { font-family: Tahoma;}@font-face { font-family: @SimSun;}@page Section1 {margin: 72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; size: 612.0pt 792.0pt; mso-header-margin: 36.0pt; mso-footer-margin: 36.0pt; mso-paper-source: 0; }P.MsoNormal { MARGIN: 0cm 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Times New Roman"; FONT-SIZE: 12pt; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-fareast-font-family: SimSun; mso-bidi-font-family: "Angsana New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt}LI.MsoNormal { MARGIN: 0cm 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Times New Roman"; FONT-SIZE: 12pt; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-fareast-font-family: SimSun; mso-bidi-font-family: "Angsana New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt}DIV.MsoNormal { MARGIN: 0cm 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Times New Roman"; FONT-SIZE: 12pt; mso-style-parent: ""; mso-pagination: widow-orphan; mso-fareast-font-family: SimSun; mso-bidi-font-family: "Angsana New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt}DIV.Section1 { page: Section1}</STYLE>พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก (แปล)<O></O>
    ๑. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้รู้แจ้งโลก
    <O></O>
    ๒. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ด้วยเศียรเกล้า
    <O></O>
    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เอง ด้วยเศียรเกล้า
    <O></O>
    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ด้วยเศียรเกล้า<O></O>
    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว ด้วยเศียรเกล้า<O></O>
    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ด้วยเศียรเกล้า
    <O></O>
    ๓. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นอนุตตะโร คือยอดเยี่ยม<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตื่นจากกิเลส
    <O></O>
    ๔. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ด้วยเศียรเกล้า<O></O>
    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ด้วยเศียรเกล้า<O></O>
    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเศียรเกล้า<O></O>
    ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ด้วยเศียรเกล้า
    <O></O>
    ๕. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น รูปขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เวทนาขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สัญญาขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สังขารขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น วิญญาณขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว
    <O></O>
    ๖. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือดินจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือไฟจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือลมจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือน้ำจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คืออากาศจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์
    <O></O>
    ๗. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือสวรรค์ชั้นยามา<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือสวรรค์ชั้นดุสิต<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือสวรรค์ชั้นนิมมานรดี<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในกามาวจรภูมิ<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ
    <O></O>
    ๘. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือปฐมฌาน<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือทุติยฌาน<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือตติยฌาน<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือจตุตถฌาน<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือปัญจมฌาน
    <O></O>
    ๙. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คืออากาสานัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือวิญญาณัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คืออากิญจัญญายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ
    <O></O>
    ๑๐. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือพระโสดาปัตติมรรค<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือพระสกิทาคามิมรรค<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือพระอนาคามิมรรค<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือพระอรหัตตมรรค
    <O></O>
    ๑๑. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือพระโสดาปัตติผลและพระอรหัตตผล<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือพระสกิทาคามิผลและพระอรหัตตผล<O></O>
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือพระอนาคามิผลและพระอรหัตตผล
    <O></O>
    ๑๒. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นอิสสระแห่งชมภูทวีป<O></O>
    ธรรมะฝ่ายกุศล ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า<O></O>
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ด้วยหัวใจพระวินัยปิฎก ด้วยหัวใจพระสุตตันตปิฎก ด้วยหัวใจพระอภิธรรมปิฎก<O></O>
    ด้วยมนต์คาถา ด้วยหัวใจมรรคสี่ ผลสี่ และนิพพานหนึ่ง ด้วยหัวใจพระเจ้าสิบชาติทรงแสดงการบำเพ็ญบารมีสิบ<O></O>
    ด้วยหัวใจพระพุทธคุณเก้า ด้วยหัวใจพระไตรรัตนคุณ ธรรมะฝ่ายกุศล มีนัยอันวิจิตรพิสดาร
    <O></O>
    ๑๓. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
    <O></O>
    ๑๔. ธรรมะฝ่ายกุศล ของผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสระถึงเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา<O></O>
    ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสระถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์<O></O>
    ธรรมะฝ่ายกุศล พระพุทธเจ้าเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสระถึงสวรรค์ชั้นยามา<O></O>
    ธรรมะฝ่ายกุศล ด้วยความศรัทธาต่อพระพรหม ด้วยพระบารมีอันยอดเยี่ยมของพระโพธิสัตว์ทั้งห้า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
    <O></O>
    ๑๕. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสระถึงสวรรค์ชั้นดุสิต
    <O></O>
    ๑๖. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสระถึงสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
    <O></O>
    ๑๗. ธรรมฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้รู้แจ้ง สังขารขันธ์ รูปขันธ์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นความทุกข์ มิใช่เป็นตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสระถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตตวสวัสดี
    <O></O>
    ๑๘. ธรรมะฝ่ายกุศล ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นพรหมโลก ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า ด้วยคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตราบเข้าสู่พระนิพพาน
    <O></O>
    ๑๙. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า ด้วยการสวดมนต์พระคาถานี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
    <O></O>
    ๒๐. ด้วยการสวดพระคาถามหาทิพมนต์นี้ และด้วยการกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
    <O></O>
    ๒๑. ด้วยการสวดพระคาถามหาทิพมนต์นี้ และด้วยการกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
    <O></O>
    ๒๒. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ผู้เข้าถึงรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
    <O></O>
    ๒๓. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ผู้เข้าถึงรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
    <O></O>
    ๒๔. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
    <O></O>
    ๒๕. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว
    <O></O>
    ๒๖. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว
    <O></O>
    ๒๗. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ด้วยคำสอนของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ด้วยพระธรรมคำสั่งสอน ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตนของเราจริง

    จะเห็นว่าเป็นบทสวดที่กล่าวถึง
    ๑. การสรรเสริญคุณความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ๒. การนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เพื่อเป็นที่พึ่งและเพื่อนำความสุขสวัสดีแก่ตัวผู้สวด

    เพราะฉะนั้น การรู้สึกร้อนไม่เกี่ยวกับบทสวดฯ ครับ แต่น่าจะเป็นความรู้สึกของแต่ละบุคคล เพราะขณะนั้นผู้สวดมีความตั้งใจมากและจดจ่อกับบทสวดฯ ร่างกายอาจจะไม่ผ่อนคลาย เป็นเหตุให้ตัวผู้สวดรู้สึกร้อนได้

    ให้ค่อยๆ สวดและทำใจสบายๆ จะทำให้เรารู้สึกเป็นสุขกับการสวดมนต์
     
  6. ปานเลขา

    ปานเลขา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +59
    ทำไมบางครั้งสวดมนต์บางบทถึงรู้สึกแน่นๆ เหมือนสวดไม่ค่อยออก เช่น บทรัตนสูตร
    พอดีมีคนรู้จักก็เป็นเหมือนกันค่ะ เพราะเค้าสวดพระปริตรเหมือนกัน อยากทราบว่าอาการดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด หรือเป็นอาการปกติของการสวดมนต์คะ
     
  7. OmimiO

    OmimiO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +178
    ถ้าจะสวดมนต์ทำวัตรเย็น แต่ไปสวดตอนประมาณ 1 ทุ่ม ได้มั้ยค่ะ
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877

    ตามแต่เราจะสะดวกและมีเวลาครับ ได้บุญทุกเวลาครับผม

    อนุโมทนาครับ
     
  9. -[คนหลงทาง]-

    -[คนหลงทาง]- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +140
    เวลาสวดมนต์บางวันจะรู้สึกแน่นที่หน้าอกนะคับ เหมือนร่างกายมากระจุกรวมตัวกันที่จุดเดียว ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรคับ บางที่ก็รู้สึกว่า ข้างในอกมันกลวงๆ ไม่มีอะไรเลย


    ป.ล.ผมสวดมนต์ตามหนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อจรัญ คับ เล่มเล็กๆปกสีน้ำเงิน
     
  10. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    อนุโมทนาบุญ กับทุกๆ คำแนะนำ ดีๆ ค่ะ ได้ความรู้มากจริงๆ
     
  11. konngaam

    konngaam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2008
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +369
    ขอบคุณสำหรับความรุ้ดีๆครับ
    ผมมีเรื่องสงสัยอยู่ว่า
    เวลาเราสวดมนต์ สวดแบบท่องจำ หรือ แบบอ่าน แตกต่างกันไหมครับ
    ส่วนตัวผมถ้าอ่านจะรู้สึกว่าสมาธิค่อนข้างนิ่งกว่า
     
  12. pailin_pong

    pailin_pong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +17
    อยากถามเกี่ยวกับการสวดมนต์ค่ะ

    คือว่าอยากรู้ว่าการสวดมนต์ในแต่ละบท บางทีทุกบนต้องขึ้นด้วยการสวด นะโม 3 จบ จึงอยากถามถ้าบทที่เราสวดต้องตั้งนะโม 3 จบทุกครั้งหรือเปล่าค่ะ
     
  13. vajrapaniputr

    vajrapaniputr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2006
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +340
    คำอธิษฐานหลังสวดมนต์ครับ

    <TABLE class=tborder id=post3562449 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_3562449 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจาฐิษฐานเพื่อสร้างบารมีให้ชีวิต ดังต่อไปนี้

    จะยินดีเป็นผู้ให้ จะไม่หดหู่เศร้าหมอง ไม่จองหองเย่อหยิ่ง
    จะนิ่งทำจิตให้สงบ จะคบคนดีเป็นมิตร ไม่คิดยกตนข่มท่าน
    การงานจะไม่คั่งค้าง จะวางตนให้เหมาะสม ข่มจิตใจไม่ลุ่มหลง
    คงมั่นและกล้าหาญ ความเกียจคร้านจะงด จะอดใจไม่ผูกโกรธ
    โปรดการรักษามารยาท ความประมาทจะไม่มี ความตระหนี่จะขจัด
    ปฏิบัติจะไม่ลำเอียง หลีกเลียงการวิวาทด้วยสติและปัญญา อัตตาจะไม่ยึดติด
    ไม่คิดผูกพยาบาท สงเคราะห์ญาติตามสมควร ขนขวายการทำบุญ
    เกื้อกูลบุตรและภรรยา (สามี) ใช้วาจา(วจี)ที่ก่อประโยชน์ ตระหนักโทษอบายมุขทั้งปวง
    ไม่ล่วงเกินและเบียดเบียน เรียนให้รู้ซึ้งอริยสัจ ศึกษาศิลปศาสตร์ให้หลากหลาย
    ว่านอนสอนง่ายเป็นนิจ ไม่ยึดติดในลาภสักการ์ ริษยาจะไม่มี
    พรหมวิหารสี่อยู่ที่ใจ ไม่ฝักฝ่ายคนพาล จะทำงานด้วยอิทธิบาท
    ใจปราศจากมัวเมา เอาการวางเฉยด้วยสติเป็นที่ตั้ง ฟังธัมมะเป็นประจำ
    คุณธรรมจะไม่บกพร่อง ยึดครรลองแห่งอริยมรรค ดำรงรักษ์ยุติธรรม์
    แบ่งปันลาภที่ได้มา ตลอดเวลาจะดำรงสัมปชัญญะ จะละมายาให้สิ้น
    รักษาศีลห้าเป็นเนืองนิจ กิจเป็นบาปจะไม่ยุ่ง มุ่งปัจจุบันยิ่งกว่าอดีตและอนาคต
    อดทนให้ได้ในสภาพที่เป็นอยู่ จะเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ถ้วนครบ ผู้ที่ควรเคารพจะไหว้กราบ
    จะสุภาพและอ่อนโยน ทำตนดีสม่ำเสมอ จะไม่เผลอลืมสติ
    ปิยวาจาจะรักษา ภาวนาเป็นเนืองนิจ จะเลี้ยงชีวิตให้พอเหมาะ
    จะบ่มเพาะความซื่อตรง จะมั่นคงต่อสัจจะ ประหยัดทรัพย์ที่หาได้
    จะไม่โกรธเพื่อชนะโกรธ จะไม่โปรดเอาแต่ขอ ไม่ก่อและจองเวร
    ไม่เป็นคนฟุ้งซ่าน จะยึดมั่นพระตถาคต จะงดทุจริตทั้งปวง
    หลีกให้พ้นบ่วงทิฏฐิมานะ จะวิริยะในทางที่ถูก จะปลูกปัญญาด้วยศีลสมาธิ
    ปรารถนาดีและจริงใจ มั่นคงอยู่ในทางสายกลาง ไม่เหินห่างจากวินัย
    ทำจิตให้แจ่มใสเป็นนิจ คิดพอใจในสิ่งที่มีอยู่ จะต่อสู้เพียรเผากิเลส
    ขอให้รุ่งเรืองเดชและบารมี

    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. fonsa

    fonsa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +23
    กำลังฝึกหัดนั่งสมาธิและสวดมนต์ทุกวันค่ะและขออนุโมทนาด้วนะค่ะ
     
  15. คนนอกสายตา

    คนนอกสายตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +27
    ขอบพระคุณกับความรู้ดี ๆ เหล่านี้ค่ะ
    yimm
     
  16. katika

    katika สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +6
    สอบถามคะ
    มีครั้งหนึ่ง ไปนั่งฟังสวด แล้วเจอ บทสวด พระปริตร แล้วเกิดอาการ มือเกร็ง หนาวสั่น ข้างใน และ มือที่พนมไหว้อยู่นั้นเกร็ง คอแข็ง ( ไม่ใช่ดื่มเหล้านะคะ คอแข็ง ) แล้วมีสติภายใน รู้ว่ากำลังเป็นอะไร แต่ไม่สามารถห้าม อาการได้ และ อีกอย่าง พยายามอ้าปากเรียกให้คนมาช่วย แต่ไม่มีเสียง หลังจากนั้น ไม่นานกลับมาอยู่บ้าน แล้วสวดมนต์ทุกวันคะ พอสวดิติปิโสถอยหลังทีไร เจอทุกทีเลยคะ ทุกวันนี้ เลยพยายามหลีกเลี่ยงสวดอิติปิโส และ นั่งสมาธิ เพราะกลัวคะ เนื่องจาก มีอาการเวลาสวดอิติปิโสถอยหลัง ได้ประมาณ ยี่สิบรอบ ก็จะมีอาการแปลกๆต่างๆ ลิ้นคับปากบ้าง บางครั้งเหมือนลิ้นยาว เวลาท่องออกเสียง ที่ไม่ใช่เสียงเรา แต่ เป็นเสียงคนอื่น ที่บาง เสียงยาน แบบคนลิ้นคับปาก บางทีรัว เร็วซะจนไม่ได้หายใจ ตนเองพยายามบังคับจิตภายใน และ กำหนด ไม่ให้คล้อยตาม หรือ ทำตาม เพราะ คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากมโนภาพ ของตนเองสร้างขึ้นมา แต่ไม่ใช่คะ ตัวดิฉันเอง ต้องการปฎิัติ และสวดมนต์เหมือนเฉกเช่นคนอื่น ไม่ต้องการมีร่าง เทพ หรือ ใดๆ ทั้งสิ้น ต้องการปฎิบัติ หาหนทาง ที่เห็นธรรม และ จิตสงบ และ รับรู้ อะไรบางอย่าง เพียงเท่านั้นแต่ไม่ต้องการยึดติด กับ ร่างที่ไม่ใช่ตน ดังนั้น จึงหยุดสวดอิติปิโส และ สาเหตุ หยุดนั่งสมาธิ ก็เนื่องจากบางครั้ง นั่งๆอยู่ร่างกายโอนเองไปเองโดยธรรมชาติ แต่บางที อยู่ๆตนเองวูบไปเฉยๆคะ วูบแบบ เหมือนคนวูบหลับใน เวลาขับรถคะ หากถามว่าเห็นอะไรบ้าง บอกได้เลยคะว่าไม่เห็นใดๆทั้งส้น รู้เพียงแค่ตัวเองวูบดิ่งไป และ สะดุ้งกลับมา ก้เลยรีบกรวดน้ำ เสร็จจากการสวดมนต์ทันที ไม่นั่งต่อคะ เพราะ ความรู้สึกที่กลัวว่าจะ มีอะไรมาแทรก ช่วงที่เราวูบไป ทำยังไงเราจะบังคับอาการเหล่านี้ได้คะ เพราะ บอกตามจริงแล้ว ดิฉันฝึก และ หัดสวดมนต์นั่งสมาธิ เริ่มต้น จากเวปพลังจิต ไม่มี ครู อาจารย์ที่ไหน บอกวิธี จะศึกษา จาก เวปนี้แห่งเดียวคะ
     
  17. archa_tao

    archa_tao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +28
    ขออนุโมทนากับข้อความที่เป็นกุศลทั้งหมดครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  18. เติ้ด

    เติ้ด สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +24
  19. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    หากเจอข้อความเรื่องทำงานที่บ้านที่ไหน อย่าคลิกเข้าไปนะครับ หลอกลวงครับ
    ด้วยความปรารถนาดี.
     
  20. lek_awapa

    lek_awapa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +1,043
    อนุโมทนาค่ะ..สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนเหมือนกัน..ได้ความรู้เพิ่มเยอะเลยค่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...