ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ต้องเป็นมังสวิรัติ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย dane, 11 พฤษภาคม 2008.

  1. acspclubs

    acspclubs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +579
    ท่านอรหันต์จี้กง เป็นพระอริยสงฆ์ (พระอรหันต์) ซึ่งหลุดพ้นในวัฏสงสารแ้ล้ว

    เราปุถุชนคนธรรมดา จะทำแบบท่านมิได้

    ท่านมิได้แค่ฉันอาหารธรรมดา ท่านยังดื่มสุราอีก

    แต่นั้นเพราะท่านใช้จิตแล้ว จิตของท่านแยกจากกายได้

    มิใช่ใช้กายกินอย่างพวกเรา

    *เปลี่ยนทัศนะคติใหม่นะครับผม ^^
     
  2. acspclubs

    acspclubs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +579
    ถ้าตัดได้ก็ดีครับ

    ที่เค้าทำให้เหมือนเนื้อสัตว์เพราะหลายๆคนยังไม่สามารถตัดรูป รส กลิ่น เสียง

    ได้ แต่ก็ยังดีกว่าทานเนื้อแบบปกติอ่าครับ

    แต่ก็ไม่ผิดนะครับคิด(ที่จะกิน)แต่ไม่ได้กิน ดีกว่าทั้งคิดและกิน
     
  3. acspclubs

    acspclubs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +579
    ถูกครับ ^^

    แต่อย่างน้อยทานมังสวิรัติก็ช่วยลดกรรมกีดขวาง(กรรมปัจจุบัน)ของเค้าให้น้อยลง

    ก็เท่ากับเพิ่มโอกาสให้เค้าไปนิพพานได้มากขึ้น

    และสิ่งสำคัญที่จะไปนิพพานสิ่งนึงที่ขาดไม่ได้คือ

    ความเมตตาครับ พระอริยบุคคลทุกๆท่านมีความเมตตาหมด

    จริงไม๊ครับ
     
  4. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    การปลูกผักก็ต้องฆ่าสัตว์อยู่ดีหละครับ
    ฆ่าหนอนฆ่าแมลง
    ปลูกข้าวก็เหมือนกัน

    งั้นก็งดกินข้าวกินผักซะด้วยปะไร
    จะได้ไปสวรรค์เร็วขึ้น

    หรือว่าไงครับ
     
  5. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ไม่กินได้ก็ดี ไม่กินไม่ได้ก็ดี สำเร็จกันที่จิตที่เจตนา
     
  6. snow11

    snow11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +245
    รักแบบไหนก็ทำไป จะเจหรือไม่เจสุดท้ายก็เหม็นเหมือนกัน สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน
    สุดท้ายก็ไม่มีเหมือน ต่างกันที่เวลาและความคิด ต่างกันที่ที่มาและที่ไป ไม่มีใครถูกใครผิดหร๊อก
     
  7. xushukung

    xushukung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +465
    ขอสนับสนุนคุณน้ำใส สั้นและไ้ด้ใจความครับ
     
  8. เฌ

    เฌ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2009
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +415
    มีอะไรกินก็กินซะ หรือที่ชาวบ้านเขาพูดกันง่ายๆ "มึงจะแดกห่า ยัดห่าอะไรก็แดกๆซะ ดีกว่าไม่มีให้แดก"

    ในชีวิตของคนเรามันไม่พ้นเรื่องกินหรอก เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ของโภชนาเหล่านั้นเป็นเครื่องหล่อหลอมให้มีชีวิตเพื่อสืบสานเผ่าพันธุ์ต่อไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สิ้นสุด

    กินไม่ได้ vs ไม่ได้กิน

    นี่เป็นความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นอกเสียจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องการกิน และดำรงค์ขันธ์ อันการประคองกายให้อยู่รอดไปวันๆเท่านั้นที่จะรู้ซึ้งถึงความหมายนี้
     
  9. rnuir

    rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +218
    รู้ได้ไงว่าต้นไม้ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีชีวิตจิจใจ
    ก็แค่มันพูดไม่ได้ ร้องไม่ได้ ไม่ได้แสดงอาการว่าน่าสงสาร
    มันก็มีการกิน การตาย การขับถ่าย การสืบพันธ์
    มันสละใบไม้ทำไม เพราะว่ามันไม่อยากคายนำ้มาก เดี๋ยวมันจะตาย
    อะไรเป็นตัวบอกมันว่า จะต้องหันหาแสงแดด มันสามารถสังเคราะห์แสงเพื่อแปลี่ยนเป็นอาหาร
    เหมือนสัตว์บางชนิดที่สังเคราะห์แสงได้ เช่น แมงกระพรุนบางชนิด
    ถ้ามันสังเคราะห์ไม่ได้ มันคงจะมีขาเพื่อหาอาหารไปแล้ว หรือเข้าเมืองเพื่อหางานทำ
    แล้วอย่างนี้เรายังจะกินมันอยู่หรือเปล่า นึกภาพต้นผักชีต้นเล็กๆ ยืนสั่นตัวระริกอยู่บนโต๊ะ
    พริก กระเทียม ที่เราเอาครกตำจนละเอียด หรือโดนซอยเป็นชิ้นๆ
    เรากินผักได้เพราะเราเราไม่ได้มีความคิดที่เห็นว่ามันน่าสงสารทั้งๆที่บางทีมันอาจจะมีความคิด
    หรือความรู้สึก อาจเป็นเพราะมันเกิดมาก่อนมนุษย์ บลาๆ เราไม่มีความคิดปรุงแต่งว่ามันคล้ายสัตว์
    เราเทียบกับลักษณะของมันอาจจะเทียบกับก้อนหิน

    หรือคุณอาจจะชั่งความรู้สึกระหว่าง ผักชี ปะการังหิน วัว ว่าระดับความน่าสงสารอันไหน
    มากกว่ากัน ผักชี เหมือน ปะการังหินตรงขยับไม่ได้
    ปะการังหินเหมือนกับวัวตรง มันเป็นสัตว์

    ที่สำคัญคือเมื่อเราเห็นเนื้อปุ๊บ(รูป) เรามีความคิดปรุงแต่งหรือเปล่า(นาม)
    ใช้ได้กับทุกอย่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  10. rnuir

    rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +218
    ถ้ายังมีความคิดปรุงแต่งว่าไอ้นี่เป็นอย่างนี้อย่างนั้น ไม่มีทางสำเร็จธรรรมหรอก
     
  11. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    การกินเนื้อสัตว์ก็เป็นบุญได้หากเรากินอย่างรู้จักประมาณและกินเพื่อให้สังขารเอื้อต่อการยังประโยชน์ให้โลก และศึกษาธรรมของพระพุทธองค์ ดูแลพระพุทธศาสนา
    ไม่ว่าจะกินอะไรขึ้นอยู่กับการประมาณ และ เจตนา ขึ้นอยู่กับมโน วจี กายา ของเราทั้งนั้น
     
  12. simking

    simking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +436
    ไม่ว่าจะกินเจหรือกินมังสวิรัติ
    ถ้ากินแล้วกิเลสไม่ลดจะกินทำไม
    เดินทางสายกลางดีกว่ามั๊ง
    กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อจะกิน
    สิ่งสำคัญของศาสนาพุทธคือ
    สร้างความดีเพื่อพระพุทธศาสนาสืบไป
    และการปฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นทุกข์
    ดีกว่าจะมาสนใจว่าจะต้องกินอะไร
     
  13. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    วันนี้บังเอิญมากๆที่ได้ฟังเทศนาธรรม ของ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธรรมวโร ของ สกลนคร

    ที่สถานีวิทยุเสียงธรรม ของ วัดป่าบ้านตาด (หลวงตามหาบัว) ช่วงธรรมะครูบาอาจารย์

    ในตอนหนึ่งท่านเทศนาชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าทรงฉันเนื้อสัตว์ ฉันตามอาหารที่บิณฑบาท

    ท่านกล่าวว่า การกินเนื้อสัตว์ไม่บาปเลย ถ้าเรา
    ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เป็นคนสั่ง ไม่เป็นคนฆ่า สัตว์แห่งเนื้อนั้น ในการกินของเรา

    พระพุทธเจ้า ตรัสว่า บาปอยู่ที่คน ฆ่าสัตว์ หรือ คนสั่งฆ่า ไม่ได้อยู่ที่คนกิน ถ้าคนกิน

    ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เป็นคนสั่ง ไม่เป็นคนฆ่า สัตว์แห่งเนื้อนั้น ในการกินของเรา

    ดูให้ดี ศีล 5 หรือ ศีล 227 ไม่มีการห้ามกินเนื้อสัตว์เลย

    คนที่ห้ามกิน มีแต่ พระเทวฑัต เท่านั้น

    แต่ผมเชื่อว่า พระนักปฏิบัติ แท้จริง ท่านฉันอาหาร ตามบิณฑบาตร

    ท่านไม่เลือก อาหาร ยกเว้น เนื้อที่ พระพุทธองค์ ทรงห้ามไว้ ชัดเจน(หาอ่านดูนะครับ)

    ใครที่กินแต่มังสวิรัติได้เป็นปกติ ก็ อนุโมทนาด้วย

    ส่วนใครที่กิน มังสวิรัติ แล้ว มี อัตตา มีการยึดมั่น ข่มคนอื่น ก็พยายามลด ฑิฐิ

    อันนั้นดู แบบว่า ดูแคลงคนที่กิน เนื้อสัตว์ว่า ต่ำกว่าเรา เราดีกว่าเค้า ก็ไม่ควรทำ

    พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หลายๆท่านก็ ฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ ยกเว้นอีกอย่างคือ

    ท่าน ชราภาพ มาก หรือ เจ็บป่วย ที่หมอสั่ง งดเว้น ต้องดูแล ธาตุขันธ์เพื่อ โปรดญาติโยม

    ได้นานๆ
     
  14. Merciful

    Merciful สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +1
    ผมเห็นด้วยกับการทานมังสวิรัติเพื่อละเว้นการเบียดเบียนนะครับ...แต่การจะมาตัดสินว่าใครไม่ใช่ลูกศิษย์ที่แท้จริงนั้นมันไม่ควรอย่างยิ่งครับ เพราะจะทำให้คนเขาแตกแยกกันเสียเปล่าๆ...

    อย่างไรก็ตามพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยทักษะการใช้ภาษาเพื่อตีความ...ซึ่งการตีความเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยปัญญาและประสบการณ์ในการทำความเข้าใจ...ดังนั้นคนเราอ่านหนังสือเล่มเดียวกันจึงไม่จำเป็นต้องเข้าใจตรงกัน...การศึกษาธรรมก็เช่นเดียวกัน

    พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงห้ามการทานเนื้อสัตว์ไว้ แต่พระองค์ทรงเปิดทางให้เราเป็นผู้เลือกเอง ต่างกับพระสงฆ์ที่ไม่สามารถเลือกได้เพราะการเลือกบางครั้งอาจก่อให้เกิดทุกข์ร้อนแก่ชาวบ้าน โดยเฉพาะในสมัยก่อนบางพื้นที่ชาวบ้านอาจเลือกกินไม่ได้ มีแต่เนื้อให้กิน ผักปลูกไม่ขึ้น ยากจน ฯลฯ...

    แต่หากชาวบ้านสามารถเลือกทานมังฯ ละเว้นการเบียดเบียน เว้นการกินเพราะหลงในรูป รส กลิ่น ของเนื้อสัตว์ได้ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และน่าสนับสนุนครับ...ผลพลอยได้คือเมื่อเราถวายอาหารมังสวิรัติพระสงฆ์ท่านก็จะได้สุขภาพที่ดีด้วย และเมื่ออุตสาหกรรมการผลิตเนื้อลดลงมันยังช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย (เหตุผลสามารถหาได้จาก google.com ครับ)

    แต่หลายคนยึดติดว่ากินมังฯ แล้วตนจะสูงส่งกว่าคนอื่น คิดว่ากินแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ต้องทำกรรมดีอย่างอื่นแล้ว แถมไปดูถูกคนกินเนื้อ แบบนี้ก็ผิดอีกครับ...ดีไม่ดีอาจจะเป็นการลดการก่อกรรมดี และเพิ่มกรรมชั่วจาก "ทิฐิ" ได้อีก เพราะอย่าลืมว่าหลายคนยากจน เขาจึงไม่สามารถเลือกของกินได้จริงๆ ต้องกินเท่าที่มีให้กิน...

    แต่หากเราเลือกกินมังสวิรัติได้โดยไม่เดือดร้อนใคร และกินด้วยความบริสุทธิ์ใจ กินเพราะเมตตาสงสาร ไม่อยากเบียดเบียน ไม่ยึดติดในรูป รส กลิ่นของเนื้อ และยังคงกระทำกรรมดีในด้านอื่นๆ ต่อไป ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี สมบูรณ์พร้อมทั้งสติ ปัญญา วาจา และใจ อย่างนี้ย่อมได้ผลบุญทวีคูณ...

    ผมเองตัดสินใจทานมังสวิรัติตลอดชีวิตเพราะเมตตาสงสาร เห็นว่าเขาก็รักชีวิต มีครอบครัวและมีความรู้สึกต่างๆ ไม่ต่างไปจากเราเลย (จะต่างกันก็แค่ระดับสติปัญญา) จึงคิดกับเขาเสมือนญาติพี่น้อง ไม่ต่างจากมนุษย์โลก ผมจึงไม่อยากเบียดเบียน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม...

    ซึ่งผลจากการกินมังสวิรัติ ทำให้เราเป็นคนจิตใจสงบ หน้าตาเบิกบานแจ่มใส ไปไหนก็มีแต่คนรักและช่วยเหลือ สัตว์ต่างๆ ก็ไม่ทำร้ายเรา ทั้งๆ ที่ไม่เคยบวชและไม่เคยท่องคาถาอาคมอะไรเลย แต่ยึดหลักง่ายๆ ว่า "ธรรมะอยู่ในใจ" เมื่อบวกกับความเมตตากรุณาที่เรามีต่อสรรพสัตว์ และกรรมดีที่เราได้กระทำไว้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ย่อมส่งผลดีแก่ตัวเราเอง...

    ส่วนการจะตัดสินว่าการกินเนื้อโดย ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่สั่ง ไม่ฆ่า เข้าข่ายบาปหรือไม่นั้นก็แล้วแต่จะตีความครับ บางคนอาจมองแค่ตื้นๆ จึงเชื่อว่าไม่บาป...แต่บางคนอาจมองลึกลงไปเห็นว่าเป็นการฆ่าและสนับสนุนการฆ่าทางอ้อม จึงเชื่อว่าบาป...ดังที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นครับว่าคนเราอ่านหนังสือเล่มเดียวกันไม่จำเป็นต้องเข้าใจตรงกันครับ...

    จะเชื่ออะไร จะทำอะไร ก็จงใช้สติปัญญาพิสูจน์และพิจารณาเองนะครับ นานาจิตตังครับ
     
  15. หนองสะลาบ

    หนองสะลาบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +564
    เห็นด้วยอย่างแรงครับผม อนุโมทนากับท่านที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ครับแต่ประโยคที่ว่าลูกศิกษ์ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ต้องเป็นมังสวิรัติ ถือว่าปรามาสพระอริยะเจ้าหลายๆรูปที่ท่านก็ฉันเนื้อนะครับ
     
  16. afseven

    afseven เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +510
    ผมอยากรู้จุดประสงค์ของผู้ตั้งกะทู้จริงๆ
    ท่านประสงค์สิ่งใด กะทู้ที่ตั้งมานะ ท่านศึกษาถ่องแท้แล้วหรืครับ ถ้าศึกษาถ่องแท้แล้วช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยสิ แล้วที่มาที่ไปน่ะ มีไม๊ ลงไว้ด้วย จะจากของเถรวาท หรือ หินยาน ก็ควรจะลงไว้
    แล้วคนที่สนับสนุนอีก ไอ้ตัวอย่างคำถาม-น่ะ ใครก็ยกขึ้นมาได้ เอาความเข้าใจของท่านเลยดีกว่า ชัดๆกันเลย
    จุดประสงที่ท่านพิมพ์ไว้หรือ หรือ ไปตัดสินผู้อื่นจากกะทู้นี้ ท่านรู้ไม๊ว่า สิ่งที่ท่านทำนะมันจงใจสร้างความแตกแยกกับบริษัท4 แล้วผู้มีความรู้สูงอย่างท่านจะทำไปทำไมครับ
    ท่านจะไปกำหนดคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อตัวท่านเองยังไม่รู้เลยว่ากำลังทำไร
    ท่านนะยังไม่บรรลุอะไรเลยด้วยซ้ำ ตำหนิธรรมของตัวให้มากจนไม่ให้หลงเหลือ แล้วค่อยตำหนิผู้อื่น
    การว่ากล่าวผู้อื่นในทางพุทธจริงๆ เขาต้องใช้ความเมตตาอย่างสูง ไม่ลำเอียง ยุติธรรม เป็นไปเพื่อสันติ เกิดประโชน์ต่อผู้อื่นและตนเอง
    สาธุ
     
  17. ศานติ าณ

    ศานติ าณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +2,063
    พอดีไปเจอข้อความที่ท่านพุทธทาสท่านแปลมาจาก ลังกาวตารสูตรน่ะค่ะ เลยนำมาแชร์
    เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

    "โอ มหาบัณฑิต ในวัฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้
    สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการเวียนว่าย ในการเกิดอีก ตายอีก
    ไม่มีสัตว์แต่ตัวเดียวที่ในบางสมัย ไม่เคยเป็น แม่ พ่อ พี่ชาย น้องชาย พี่หญิงน้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่นๆ แก่กัน
    สัตว์ตัวเดียวกัน ย่อมถือปฏิสนธิในภพต่างๆ เป็นกวาง หรือสัตว์ สองเท้า สัตว์สี่เท้าอื่นๆ เป็นนกฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติ ของเราโดยตรง

    สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะทำลงไปได้อย่างไรหนอ จะเป็นผู้สำเร็จแล้วหรือยังเป็นสาวกธรรมดาอยู่ก็ตาม ผู้เห็นว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นภราดรของตน แล้วจะเชือดเถือเนื้อหนังของมันอีกหรือ"....

    "..เพราะฉะนั้น เนื้อทุกชนิดเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภคสำหรับพุทธศาสนิกชนผู้ปรารถนาจะมีสาธุคุณในทางจิต ทั้งเพื่อตนเอง และผู้อื่น
    นักกินเนื้อย่อมเป็นเหยื่อแห่งโรคหลายชนิด เช่น โรคไส้เดือน โรคพยาธิ โรคเรื้อน ใครเจ็บในท้อง ฯลฯ
    โอ มหาบัณฑิต เรากำลังประกาศว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นการกินเนื้อบุตรของตนเองอยู่ดั่งนี้ แล้วจะกล่าวไปอย่างไรได้ ที่เราจะบัญญัติให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นของจัดไว้ต้อนรับของพวกคนใจอำมหิตเป็นของถูกห้ามโดยท่านสัตบุรุษทั่วไป เต็มไปด้วย มลทิน ปราศจากคุณธรรมใดๆ ไม่เหมาะที่จะบริโภคสำหรับผู้บริสุทธิ์ และเป็นของควรห้ามเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง"


    ตามหลักฐานค้นพบใหม่กล่าวว่า พุทธศาสนาหินยานแต่เดิมนั้น มิได้ฉันเนื้อสัตว์ โดยมีหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงลังกา 3 ครั้ง พระสายลังกาวงศ์แท้ จึงไม่เสพเนื้อสัตว์ แต่พอไปจากสยามวงศ์ในภายหลังจึงหันมาฉันเนื้อสัตว์

    ปัญหาที่ค้างคาใจพุทธศาสนิกชนก็คือ พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์ หรือไม่ ผู้ที่ตอบว่า "เสวย" กับ "ไม่เสวย" ต่างไม่เคยเห็นพระพุทธองค์เสวย

    แต่มีข้อควรพิจารณาด้วยปัญญาของตนเองอยู่ 3 ประการคือ ประการแรก อาหารสามมื้อของพระพุทธองค์เป็น ภัตตาหารมังสวิรัติ ทั้งสิ้น คือ ก่อนตรัสรู้เสวยข้าวมธุปายาส ซึ่งนางสุชาดานาถวายรุกขเทวดา ตรัสรู้แล้วนายวานิชสองพี่น้องนำข้าว สัตตุผงมาถวาย และมื้อสุดท้ายที่เป็นปัญหาคือ "สูกรมัทวะ" ที่นายจุนทะนำมาถวายนั้นแปลกันว่า "เนื้อสุกรอ่อน" เป็นคำแปลที่ผิด
    ท่านพุทธทาสภิกขุ แปลว่า "สิ่งที่หมูชอบ" คือเห็ดชนิดหนึ่งฝังอยู่ใต้ดินภาษาปักษ์ใต้เรียกว่า "ลูกบุก" ภาษาอังกฤษเรียกเห็ดชนิดนี้ว่า Truffle มีสีดำกับสีน้ำตาล เวลาหาเห็ดชนิดนี้ต้องพาหมูไปด้วย เพราะจมูกหมูไวต่อกลิ่นเห็ดนี้เป็นพิเศษ


    อ้างอิงข้อมูลจาก
     
  18. Merciful

    Merciful สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +1


    อนุโมทนาสาธุขอรับ

    เป็นความรู้ที่น่าสนใจมากครับ

    การศึกษาพระธรรมเป็นสิ่งที่ค่อนข้างลึกซึ้งจริงๆ แม้เพียงคำๆ เดียวยังแปลความหมายออกมาต่างกันได้...ดังที่ผมกล่าวไว้ว่า เราต้องใช้ทักษะทางภาษา ความรู้ ประสบการณ์ในการตีความ ซึ่งต้องใช้เหตุผลอย่างเป็นกลางและเป็นธรรมกลั่นกรองออกมาครับ...

    ส่วนตัวผมมองว่าไม่ว่าเราจะศึกษาอะไร เราไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เห็นในทันที หรือใช้วิธีท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่เราต้องใช้เหตุผล และมีความเป็นกลางต่อเรื่องที่กำลังเรียนรู้ให้มากๆ พิสูจน์ให้เห็นความจริง ซึ่งก็คล้ายๆ กับการศึกษาวิทยาศาสตร์นะครับ...

    อย่างเช่นในเรื่องการทานมังสวิรัติ ผมมองว่าแม้ไม่มีข้อห้ามไว้ว่า "ห้ามทานเนื้อสัตว์" แต่หากเราพิจารณาดูแล้วพบว่าการทานเนื้อสัตว์มีผลเสียมากกว่าผลดี ทั้งต่อส่วนตนและส่วนรวม มันก็เป็นสิ่งที่สมควรหยุดกระทำครับ...ซึ่งพุทธศาสนาสิ่งสำคัญคือการใช้เหตุผล และสติปัญญาในการทำความเข้าใจทั้งทางโลกและทางธรรมครับ...

    ตัวผมเองไม่อาจอ้างว่าเป็นผู้รู้ถึงขั้นชี้ทางคนอื่นได้ ก็คงได้แต่แนะนำบอกเหตุผลให้คนรอบตัวเข้าใจว่าทำไมถึงเลือกทานมังสวิรัติ ส่วนเขาจะเข้าใจ หรือจะเห็นด้วยหรือไม่นั้น ผมเองคงไม่อาจจะบังคับหรือตำหนิเขาได้ และผมก็เคารพในการตัดสินใจของเขาครับ...

    แต่คุณเจ้าของกระทู้เขาก็มาแนวหัวรุนแรงไปนิดนะครับ ไม่คิดให้รอบคอบ และเป็นกลางมันเลยดูไม่งามครับ
     
  19. afseven

    afseven เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    782
    ค่าพลัง:
    +510
    ผมเห็นด้วยกับคุณMerciful
    ช่วงที่ผมปฏิบัติสมถกัมมัถฐาน พอเข้าเดือนที่3 ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากทานเนื้อสัตว์เหมือนอย่างปกติ จริงๆแล้วผมนะไม่ทานเนื้อวัว และเนื้อกระบือเป็นปกติ แต่ไม่เคยแอนตี้หรือว่าอะไรใคร เพราะเข้าใจดี
    ช่วงนั้นทานแต่ผัก แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทานผัก เพราะกับข้าวที่เรามี มันก็มีเนื้อหมู ไก่บ้าง แต่ถ้าวันไหนมีแต่เนื้อวัว กับเนื้อควาย ผมจะทานข้าวกับน้ำพริ หรือไม่ก็มาม่าไป ผมทราบดีว่าทำไมคนที่ปฎิบัติไปช่วงนึงจิตถึงบอกว่าไม่ต้องการทานเนื้อสัตว์ ผมรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเองจากการปฏิบัติเมื่อ13ปีที่แล้ว จึงไม่เข้าใจ จขกท และคนสนับสนุนบางท่านว่าคิดถึงผลเสียบ้างหรือปล่าว เพราะผู้ที่จะเข้ามาหาความรู้ก็มีมากมาย การเข้าใจผิด ย่อมเกิดขึ้น นำมาซึ่งการตีความเลอะเทอะไม่หยุดหย่อน สุดท้าย กลายเป็นเรื่องสนุก เอาความสะใจเป็นที่ตั้ง
    ผมเองบอกตรงๆว่าสนับสนุนให้เราชาวพุทธ หรือคนศาสนาอื่นทานมังสวิรติ แต่ต้องรู้เหตุผลที่แท้จริงของจุดมุ่งหมายนั้น ไม่ใช่ ตั้งคำถามแบบนี้ มันชวนทะเลาะกันซะมากกว่า
     
  20. 90

    90 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +67
    มีอะไรก็กินไปเถอะอย่ามากเรื่อง พระพุทธองค์ท่านสอนให้เป็นคนอยู่ง่าย เป้าหมายคือการหลุดพ้นจากทุกข์ แค่เรื่องกินยังเป็นทุกข์กันอย่างนี้ แล้วจะไปไหนรอด ในพระไตรปิฎกท่านก็ห้ามฉันเนื้อสัตว์บางชนิดเท่านั้น ไม่ได้ห้ามทั้งหมดมิใช่หรือ
     

แชร์หน้านี้

Loading...