คุณสมบัติ 8 ประการที่เหมือนกัน ของคนบ้า VS คนบรรลุธรรม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เฌ, 2 กรกฎาคม 2010.

  1. เฌ

    เฌ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2009
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +415
    (1). ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใคร แม้แต่คนในครอบครัว ...
    (2). ชอบทำงานที่ทำคนเดียว หรือกิจกรรมที่ทำคนเดียว ...

    (3). ไม่ค่อยมีความสุข หรือสนุกกับอะไรเป็นพิเศษ ...
    (4). ไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่นซึ่งไม่ใช่ญาติสายตรง ...
    (5). รักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นนานๆ ไม่ได้ ...
    (6). ไม่หวั่นไหวต่อคำสรรเสริญและนินทา ...
    (7). แสดงความรู้สึกน้อย (ทั้งด้านบวกและลบ) ...
    (8). มีความคิดเพ้อเจ้อ ฝันกลางวัน ...

    ข้อมูลจาก clevelandclinic.org

    จากแปดข้อที่กล่าวนี้ ผมว่ามันมีส่วนที่คล้ายหรือแทบจะเหมือนกับคนที่บรรลุธรรมแล้ว หรือท่านทั้งหลายคิดเห็นประการใด?

    อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000090804
     
  2. uchen

    uchen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +122
    สงสัย ข้่อแปด ครับถ้าคิดเพ้อเจ้อ อุปทานเพ้อเจ้อ ขาดเหตุและผลจะเป็นผู้บรรลุธรรมได้อย่างไรครับ..คิดว่าข้อนี้ไม่น่าจะเหมือนนะคับ
     
  3. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,036
    ผมว่าไม่เหมือนสักข้อเลยครับ ที่ท่านว่ามา 8 ข้อผมว่าใช้ได้กับคนบ้ามากกว่า
    สำหรับผู้บรรลุธรรม ทั้ง 8 ข้อนั้น ไม่ตรงสักข้อครับ
     
  4. Ayukawa

    Ayukawa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +573
    ผมคิดว่าจากข้อ1-8เป็นมุมมองจากคนรอบตัวน่ะครับ เวลาที่ผู้ปฏิบัติธรรมจนได้พบบางสิ่งบางอย่างแล้วเล่าให้ผู้อื่นฟัง บางเรื่องอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เพราะผู้ฟังไม่เข้าใจ ไม่เชื่อว่าเป็นจริง การบรรลุธรรมเป็นเรื่องภายในมองกันด้วยตาไม่ได้ การแสดงออกของผู้บรรลุธรรมเป็นไปตามเหตุผลมากกว่าอารมณ์ บางที่ก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ว่าการที่จะรู้ว่าใครบรรลุธรรมหรือไม่ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก จึงไม่ควรปรามาสผู้ใด ท่านที่เคยอ่านประวัติของท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ความกล่าวว่าวันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังเดินมีสุนัขนอนขวางทางอยู่ ท่านยังพูดขอทางกับสุนัขตัวนั้นอย่างสุภาพ ท่านกล่าวว่าสุนัขนั้นอาจเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดเพื่อการบำเพ็ญบารมีก็เป็นได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  5. ศีลงาม

    ศีลงาม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +30
    คนบรรลุธรรมนั่งเงียบ พิจารณา เงียบ พิจารณา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป <สุขสงบ>= สายตาคนอื่นสงสัย มอง คิด สงสัย มอง คิด ลงเอยเลยคิดว่าบ้า <สุขสะใจ> อิอิ
     
  6. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    เป็นเรื่องของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ตัดสินจากการประการที่ว่าด้วยเพียงเพราะเห็น เพียงเพราะได้ยิน แต่มิเคยคิดจะหันมาลองปฏิบัติกับตนเองเลยแม้แต่น้อย
    จะเชื่อในสิ่งที่เห็น เชือในสิ่งที่จับต้องได้ เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เท่านั้น


    (1). ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใคร แม้แต่คนในครอบครัว ...
    ไม่ใช่คนที่บรรลุธรรมหรอกอิแบบนี้น่ะ มีบางคนปฏิบัติธรรมไปแล้วเป็นลักษณะนี้ก็มี เพราะยังไม่บรรลุธรรมที่แท้จริง ธรรมที่แท้จริงจะมีแต่ความเบิกบาน มีดวงตาเห็นธรรม ไม่ว่าจะคุยจะเล่นกับใครก็รู้ตัวเองอยู่เสมอ

    (2). ชอบทำงานที่ทำคนเดียว หรือกิจกรรมที่ทำคนเดียว ...
    คนที่บรรลุธรรมจริงๆเขามองออกในเรื่องต่างแม้บางครั้งอาจจะดูเหมือนชอบอะไรคนเดียว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรือทุกคนไม่ได้ชอบเหมือนกันอยู่ดีนั่นแหละ


    (3). ไม่ค่อยมีความสุข หรือสนุกกับอะไรเป็นพิเศษ ...
    รู้ได้ไงว่าไม่มีความสุข รู้ได้ไงว่าไม่สนุกกับอะไร ความสุขาฮ่า..แบบมุขตลกเพ้อเจ้อ ส่อเสียด คงไม่มีแล้วล่ะ ความสุขที่เป็นความสงบไม่มีอีกแล้ว


    (4). ไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่นซึ่งไม่ใช่ญาติสายตรง ...
    ความสุขและความทุกข์แฝงอยู่ในความรักที่เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นปราถนาที่จะได้มาครองและหวงแหนมิอาจจะพลากจากได้ โดยเฉพาะความรักแบบโลก ส่วนความรักทางธรรมแสดงออกทางด้าน เมตตา กรุณา อุเบกขา ต่อเพื่อนมนุษย์จ่ะ



    (5). รักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นนานๆ ไม่ได้ ...
    ความสัมพันธ์ที่ยึดไว้คือสภาวะธรรมชาติที่เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ต่างกับความสัมพันธ์แบบโลกๆแบบคนละเรื่อง ทางโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะสังคมมนุษย์ เมื่อเล็งเห็นว่าจิตใจคนนั้นหนอก็ไม่เที่ยง แล้วจะไปยึดทำไมกันเล่าเออ..?? ความสัมพันธ์ทางโลกมันวนเวียนน่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนเย็นชาเสียเมื่อไหร่ เหมือนกับเราทำทานให้คนนั่นแหละจะทำให้เขาทุกวัน จนเขาไม่เป็นอันทำอย่างอื่นก็ใช่เรื่อง ฉนั้นเราก็ควรช่วยให้เขาช่วยตัวเองได้นั่นคือการให้ทานธรรม


    (6). ไม่หวั่นไหวต่อคำสรรเสริญและนินทา ...
    ผู้บรรลุธรรมกับคนบ้า(ในทางโลก)ไม่เหมือนกันตรงนี้แหละ คนบ้าหลับหูหลับไม่ยอมรับฟังใครเลย เหมือนเวปข่าวบางเวปแหละครับ ต่างฝ่ายต่างไม่รับฟังคนอื่น คิดว่าตนทำดีแล้วถูกแล้วกันทั้งนั้น นั่นก็คนบ้าพล่ามแต่กับอุดการณ์ภายใต้อคติต่อกันและกัน เห็นผิดเป็นถูก และ เห็นแต่ถูกจนไม่เห็นผิดเลยไม่เข้าใจว่าอะไรผิดอะไรถูกกันคู่


    (7). แสดงความรู้สึกน้อย (ทั้งด้านบวกและลบ) ...
    สืบเนื่องจากข้อที่ 6 การแสดงความรู้สึกภายในนอกจากจะไม่ส่งผลให้เกิดผลดีแล้วยังอาจจะส่งผลร้ายเพิ่มเติมอีกด้วย ความรู้สึกสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้วเป็นรายการที่ดีที่น่าจดจ่อสังเกตการณ์ของความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นภายใน และที่สำคัญความรู้สึกทางอารมณ์นอกจากจะไม่ช่วยให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นอาจจะยังเป็นโยนทุกข์ให้คนอื่นได้อีกแบบไม่รู้ตัวเสียอีก บางคนฟังเรื่องที่ดีอย่างการบรรยายธรรมที่ดี ฟังแล้วก็ตาสว่าง ตรงกันข้ามหากเอาแต่เรื่องร้อน วันโกรธเกลียดคนนั้นคนนี้ หากผู้ฟังไม่มีอารมณ์ด้วยผู้บรรยายก็ยิ่งอารมณ์เสียขึ้นไปอีก อย่างนี้เป็นต้นฯ


    (8). มีความคิดเพ้อเจ้อ ฝันกลางวัน ...
    งั้นแสดงว่าคนนำมาบรรยายของเวปนั้นก็เพ้อเจ้อมากพอสมควรแก่การงาน (งานที่ควรทำในโรงพยาบาลบำบัดจิต) ผู้ที่ถูกเรียกว่าบรรลุธรรมหาใช่เป็นคนเพ้อเจ้อ แต่เป็นคนที่มีสติเต็มกำลังต่างหาก คนเพ้อเจ้อ คือคนบ้าวิปลาศ คิด เห็น อะไรเป็นตัวเป็นตน อย่างบางคนนั่งสมาธิไปเห็นนั่นเห็นนี่ ก็ไม่ทำเฉยแต่ลงไปร่วมกับสภาวะที่เกิด มันก็อาจจะส่งผลให้เพ้อเจ้อคุยอยู่คนเดียว เห็นอยู่คนเดียว ก็เป็นไปได้ และนั่นไม่ได้เรียกว่าผู้บรรลุธรรม


    ที่สำคัญคนที่บรรลุธรรมได้นั้นหาใช่จะบรรลุได้ด้วยการหยั่งคิดอย่างเช่น นักจิตวิทยา นักสะกดจิต หรือแม้แต่จิตวิทยา ส่วนใหญ่จักกระทำโดยอาศัยการสังเกตุการณ์อาการของผู้อื่น(ผู้ป่วย) เสียส่วนใหญ่



    **************************************************

    ที่มา:: sunny - การเดินบนพื้นโลกคือปาฎิหาริย์ - เรื่องลึกลับ ( แต่ไม่ซับซ้อน) ของผู้ปฎิบัติธรรม
    เรื่องลึกลับ ( แต่ไม่ซับซ้อน) ของผู้ปฎิบัติธรรม <SUP></SUP>


    การเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติธรรม บางครั้งเราอาจจะเจอเหตุการณ์แปลกๆมากมาย เหตุการณ์ที่ว่าก็คือ การถูกตั้งคำถาม แบบแปลกๆ การถูกมองว่าเป็นคนแปลกๆ และการถูกคาดหวังแบบแปลกๆ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายท่านที่ปฎิบัติธรรมต่างก็เคยผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาไม่มากก็น้อย
    ประการแรก เมื่อเราเข้าสู่หนทางการปฎิบัติธรรม จะถูกสงสัยในใจว่า
    มีปัญหาอะไรรึเปล่า ? อกหักใช่ไหม๊ ? มีปัญหาในที่ทำงานล่ะสิ ?
    เมื่อเรากลับมาจากการปฎิบัติ เราจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่ต้องธรรมะธรรมโม ไม่ควรโกรธ ไม่ควรใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด อาจต้องออกแนวนุ่งขาวห่มขาว ต้องพูดช้าๆ เดินช้าๆ ถ้าเราไม่เป็นดังนั้น ผู้คนบางกลุ่มจะพากันสงสัยว่า เราอาจไปผิดสำนัก หรือไม่ก็ยังไม่บรรลุอะไรมา เราช่างเป็นคนที่น่าสงสารเสียนี่กระไร
    [​IMG]
    ต่อเรื่องราวเหล่านี้ ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่ เพราะการเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติของแต่ละคนมีเหตุและปัจจัยต่างๆกันไป ถ้าจะถูกเข้าใจไปทางนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจมาก ต่อให้เรามีปัญหาจริงๆ ในชีวิต ข้าพเจ้าก็มองว่า นี่คือหนทางที่ฉลาดและมีปัญญาอย่างมากแล้วในการหาทางดับทุกข์ คนอื่นจะมองว่าวิธีดับทุกข์แบบนี้ไม่เข้าท่าก็แล้วแต่ความคิดเห็นของท่านผู้นั้น เพราะหลายคนที่ข้าพเจ้ารู้จักก็ยังนิยมหาทางดับทุกข์ด้วยวิธีโลกๆอยู่ ไปเที่ยว ไปฟังเพลง ไปดื่มหล้า (เผากลุ้ม) แล้วก็กลับมาผจญกับปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไขอะไร มันเป็นเพียงวิธีการหนีจากทุกข์และปัญหาไปสักพักก็เท่านั้น แต่บางคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องฉลาดกว่าการไปปฎิบัติธรรมเป็นไหนๆ ??
    [​IMG]
    ข้าพเจ้าเคยเห็นคนหลายๆคน พอมีทุกข์ก็ไปช้อปปิ้งตามห้าง ซื้อข้าวซื้อของมามากมาย บางคนก็หาวิธีดับทุกข์ด้วยการกินแล้วก็กิน ออกไปหาของอร่อยๆกิน บางคนก็ไปเริงรื่นอยู่ตามร้านเหล้า ตกดึกก็เมากลับบ้าน แน่นอนนั่นก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะผ่อนคลายความทุกข์ได้ ข้าพเจ้าก็เคยทำแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าพบว่า วิธีดับทุกข์ที่แท้จริงนั้น คือการหันมาศึกษาและปฎิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น และเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดและมีปัญญาที่สุดด้วย
    [​IMG]
    มีอีกคำถามหนึ่งที่มักจะออกมาในแนวลึกลับซับซ้อน พอได้ยินแล้วจะทำให้มึนงงมาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว เช่นการถามว่า
    ไปนั่งสมาธิมาแล้วเห็นอะไรบ้าง ?
    อันนี้ทำเอาข้าพเจ้าอึ้ง..ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
    ก็เลยถามกลับว่า พี่จะให้เห็นอะไรล่ะ??
    มีชาวพุทธหลายท่านไม่เข้าใจเรื่องของการปฎิบัติธรรม ส่วนใหญ่เข้าใจว่าการไปปฎิบัติธรรม อันดับแรกต้องไปปฎิบัติที่วัด ท่านเหล่านี้มักจะถามว่าไปวัดไหน สำนักอะไร แล้วก็จะถามต่อว่า ไปนั่งแล้วเห็นอะไร ข้าพเจ้าเลยตอบว่า ไม่เห็นอะไร พอได้ยินดังนั้นผู้ถามอาจจะผิดหวังกันไปบ้าง เพราะหลายท่านคาดหวังและเข้าใจว่า ข้าพเจ้าอาจจะเห็นอดีตชาติ เห็นอะไรแปลก ที่เขาว่าๆกันมา
    [​IMG]
    เท่าที่ข้าพเจ้าสังเกตดูและพบเจอมา ในความคิดเห็นของคนทั่วไป มักเข้าใจว่า การไปปฎิบัติธรรมคือการไปนั่งสมาธิ แล้วเห็นอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นดวงแก้วดวงดาว เห็นสวรรค์ เห็นนรก อะไรประมาณนั้น ทั้งๆที่การปฎิบัติธรรมมีความหมายและวิธีการกว้างไกลและลึกซึ้งกว่านั้นมาก การปฎิบัติธรรม คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน หายใจก็ให้รู้ว่าหายใจ เดินก็ให้รู้ว่าเดิน กินก็ให้รู้ว่ากิน แถมมีเรื่องการเดินจงกรม การนั่งสมาธิด้วย ครูบาอาจารย์ท่านว่าต้องมีทั้งสามส่วนที่ว่า และที่สำคัญที่สุดก็คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว และการปฎิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องทำแต่ในวัด เรานำมาทำที่บ้านก็ได้ ในที่ทำงานก็ได้ ในทุกเวลานาทีที่เราหายใจเข้าออกนั่นแหละ แต่การฝึกเข้มหรือการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติอย่างแท้จริง บางครั้งเราต้องไปศึกษากับครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆ ที่เราสนใจ ให้รู้หลักและวิธีการก่อนเท่านั้น เหมือนเราเรียนการทำอาหารอะไรสักอย่าง เบื้องต้นเราอาจจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอนทำอาหารเมื่อเป็นและรู้วิธีทำแล้วเราก็นำมาทำที่บ้านได้ แต่ถ้าเราทำแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่แน่ใจก็กลับไปถามครูบาอาจารย์ ไปถามผู้รู้มาช่วยชี้แนะได้
    [​IMG]
    ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ศึกษาเรียนรู้ว่า ทั้งเถรวาท มหายาน และวัชรยาน ต่างก็มีวิถีแห่งการปฎิบัติที่คล้ายๆกัน นั่นคือต้องมีการเจริญสติเพื่อตื่นรู้ทุกลมหายใจเข้าออก การเดินจงกรม การนั่งสมาธิ และอาจจะมีการนอนสมาธิเข้าไปด้วย
    การปฎิบัติธรรม กับการนั่งสมาธิจึงไม่ได้มีความหมายเท่ากัน เพราะคำว่าการปฎิธรรมนั้น มีความหมายกว้างไกลกว่านั้นมาก
    [​IMG]
    ต่อการถามถึงเรื่องแปลกๆ เวลานั่งสมาธิ มีกัลยาณมิตรบางท่านเล่าว่า ตอนนั่งสมาธิจะเห็นภาพต่างๆ บางท่านมองเห็นภาพเหมือนย้อนอดีตเห็นคนจมน้ำตาย เห็นญาติที่ตายจากกันไปแล้วมาปรากฏต่อหน้า ท่านอาจารย์ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่มักจะกล่าวว่า ที่เห็นนั้นเห็นจริง แต่ภาพที่เห็นนั้นมันไม่จริง จิตของเราสามารถสร้างภาพต่างๆได้ ท่านไม่ให้สนใจให้กำหนดรู้ แล้วกำหนดให้หายไปเสีย ไม่ควรใส่ใจ เรื่องนี้อาจทำให้หลายคนที่คาดหวังว่ามานั่งสมาธิแล้วจะเห็นอดีตชาติของตนรู้สึกผิดหวังนิดๆ แต่ท่านอาจารยกล่าวว่าการเห็นที่ว่านั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้นอะไร ถ้าอยากระลึกชาติได้ก็พอจะมีทางอยู่ อย่างน้อยที่ระลึกได้ในชาตินี้ ก็คือชาติชั่วของตัวเอง
    [​IMG]
    เมื่อเราปฎิบัติธรรมมาสักพัก เราจะเริ่มระลึกได้ถึงสิ่งเลวร้ายที่เราทำไว้มากมาย (ในชาตินี้) ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เรากระทำไว้แต่หนก่อน อาจจะเป็นเรื่องเมื่อหลายๆปีก่อนที่เราได้ทำร้ายจิตใจคนที่เรารัก และเราจะรู้สึกสำนึกผิดมากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน เราจะยอมรับความผิดนั้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้งเป็นการสำนึกผิดด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องมีใครมาสั่งมาสอน ไม่ต้องมีศาลมาพิพากษา จิตใจของเราจะเปิดกว้างและยอมรับว่า ที่ผ่านมาเราเลวร้ายอย่างไร เราทำตัวไม่น่ารักแค่ไหน เมื่อเราสำนึกได้ และคนที่เราเคยทำร้ายไว้ยังมีชีวิตอยู่ เราจะมีโอกาสที่จะแก้ไขและขออภัยได้ อันนี้ข้าพเจ้าว่าคือการแก้กรรมที่เป็นไปได้ แต่ถ้าคนคนนั้นจากไปแล้วเราก็ยังสามารถกลับตัวกลับใจที่จะไม่ทำร้ายใครต่อใครทั้งกาย วาจา ใจ อีก การระลึกชาติได้ในชาตินี้จึงมีความสำคัญและมีคุณค่าอยู่มาก แต่การระลึกไปถึงชาติที่แล้ว มันอาจจะไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ในชีวิต มาคิดกันเล่นๆว่า ถ้าเราเกิดระลึกชาติได้ว่า ชาติที่แล้วเราฆ่าคนตาย แล้วเราจะทำอย่างไร นั่นคือเรื่องในอดีต เราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ โดยเฉพาะอดีตเมื่อชาติที่แล้ว มาชาตินี้เราจะแก้กรรมนั้นอย่างไรกัน เราจะทำบุญเก้าวัด ถวายทานครั้งใหญ่เพื่อแก้ไขสิ่งที่เรากระทำไว้อย่างรุนแรงนั้นได้หรือ เพราะกรรมคือการกระทำ เมื่อการกระทำได้เกิดขึ้นแล้ว ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การฆ่าหนึ่งชีวิตจะสามารถทดแทนแก้ไขด้วยการทำบุญเพียงประการเดียวได้อย่างไร เพราะหนึ่งชีวิต ก็ย่อมมีคุณค่าเท่ากับหนึ่งชีวิต ชีวิตจึงอาจจะต้องแลกด้วยชีวิตเช่นกัน แล้วเราจะพ้นเคราะห์กรรมนี้ได้อย่างไรกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เมื่อมาพิจารณาถึงจุดนี้
    ดังนั้นการระลึกชาติอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสักเท่าไหร่ เพราะสำหรับข้าพเจ้าแล้วแค่ระลึกได้ถึงชาติชั่วของตัวเองในชาตินี้ ก็รู้สึกเศร้าใจไปหลายประการ ถ้าระลึกได้สักสองสามชาติ ข้าพเจ้าคงจะรู้สึกแย่กว่านี้
    [​IMG]
    ครูบาอาจารย์หลายท่านต่างกล่าวว่า การระลึกชาติ การมีอภิญญารู้วาระจิตคน การหยั่งรู้อนาคต เป็นผลพลอยได้จากการทำสมาธิภาวนา แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น ท่านจึงไม่ได้เน้นให้ปฎิบัติเพื่อการนี้ แต่ท่านเน้นย้ำเรื่องการปฎิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ให้เห็นแจ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและใจของเรามากกว่า ท่านว่าการรู้อดีตก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อชีวิตนัก การรู้อนาคตก็ไม่เกิดประโยชน์เช่นกัน แต่การรู้ปัจจุบันคือสิ่งสำคัญที่สุด
    อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกันก็คือ การรู้อนาคต การดูดวงชะตาราศรี อันนี้ท่านก็ไม่ได้สอนหรือแนะนำ การที่เราชาวพุทธทั้งหลายฝากชะตาชีวิตไว้กับการทำนายทายทัก จึงเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในข้อแนะนำของพุทธที่แท้ ถ้าใครได้อ่านหนังสือที่ชื่อว่า ตัวกูของกู ของท่านพุทธทาสจะยิ่งเข้าใจเรื่องนี้ เพราะท่านว่ากล่าวตักเตือนถึงความงมงายในเรื่องทำนองนี้ไว้ค่อนข้างแรงทีเดียว
    แล้วข้าพเจ้าไม่มีผลพลอยได้ในเรื่องที่ดูลึกลับซับซ้อน จากการทำสมาธิภาวนาหรืออย่างไร ก็พอมีบ้าง ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปฝึกที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ข้าพเจ้านั่งสมาธิแล้วสงสัยจิตจะมีสมาธิสูงไปหรืออย่างไรไม่ทราบ ขณะที่ข้าพเจ้านั่งหลับตาอยู่ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ชัดเจนมาก และเมื่อใบไม้ร่วงหล่นลงจากต้นตกลงมาถึงพื้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงตั้งแต่ใบไม้หลุดออกมาจากขั้วเลยทีเดียว แถมมีครั้งหนึ่งที่นั่งอยู่แล้วเกิดลักษณะเหมือนนั่งอยู่ในถ้ำ มีแสงสีเหลืองนวลๆอยู่เบื้องหน้า และมีความรู้สึกว่าตัวเองได้พยายามติดตามแสงนั้นไป พอไปส่งอารมณ์กับท่านอาจารย์ ท่านบอกให้กำหนดหายอย่าสนใจและอย่าตามไปเป็นอันขาด
    โดยสรุปแล้ว ไม่มีเรื่องลึกลับซับซ้อนใดๆ ในการปฎิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ใดๆ ไม่ใช่การมาปฎิบัติเพื่อให้ระลึกชาติได้ หรือหยั่งรู้อนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฎิบัติมีข้ออธิบายได้ทั้งนั้น หลังการปฎิบัติมาพักหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้ได้และเข้าใจได้ด้วยตัวเองก็คือ เราทั้งหลายนั้นประกอบด้วยกายกับจิตจริง และจิตไม่ได้อยู่ข้างใน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก กายมีเสื่อมถอย จิตมีการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งตั้งอยู่ในกฎของความไม่แน่นอน และแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาจนไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเป็นจริงเป็นจังได้ และความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวงนั้นมักจะเกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆมากจนเกินไป เมื่อเลิกยึดเหนี่ยวและปล่อยวางได้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกมีความทุกข์น้อยลง
     
  7. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    คุณสมบัติผู้บรรลุธรรม 8 ประการเรียกว่า มรรคมีองค์ 8 ได้แก่

    1.เห็นชอบ (สัมมาทิฏิฐิ) (ปัญญา) ได้แก่ ความรู้อริยสัจจ์ 4 หรือ เห็นไตรลักษณ์ หรือ รู้อกุศลและอกุศลมูลกับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท โดยการเข้าใจชอบหรือเห็นชอบนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1.ความเข้าใจคือความรู้ ความเป็นพหูสูตร ความมีสติปัญญา สามารถรอบรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งตามข้อมูลที่ได้มา ความเข้าใจประเภทนี้เรียกว่า "ตามรู้" (อนุโพธ) เป็นความเข้าใจที่ยังไม่ลึกซึ้ง 2.ส่วนความเข้าใจที่ลึกซึ้งซึ่งเรียกว่า"การรู้แจ้งแทงตลอด" (ปฏิเวธ) หมายถึงมองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามสภาวะที่แท้จริง โดยไม่คำนึงถึงชื่อ และป้ายชื่อยี่ห้อของสิ่งนั้น การรู้แจ้งแทงตลอดนี้จะมีขึ้นได้ เมื่อจิตปราศจากอาสวะทั้งหลาย และได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ด้วยการปฏิบัติสมาธิเท่านั้น
    2.ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) (ปัญญา) ได้แก่ ความตรึกที่เป็นกุศล ความนึกคิดที่ดีงาม (กุศลวิตก 3 ประกอบด้วย 1.ความตรึกปลอดจากกาม ความนึกคิดในทางเสียสละ ไม่ติดในการปรบปรือสนองความอยากของตน 2. ความตรึกปลอดจากพยาบาท ความนึกคิดที่ประกอบด้วยเมตตา ไม่ขัดเคือง หรือ เพ่งมองในแง่ร้าย 3.ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียนด้วยกรุณาไม่คิดร้าย หรือมุ่งทำลาย)
    3.เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) (ศิล) ได้แก่ วจีสุจริต 4 ประกอบด้วย 1.ไม่พูดเท็จ 2.ไม่พูดส่อเสียด 3.ไม่พูดหยาบ 4.ไม่พูดเพ้อเจ้อ
    4.กระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) (ศิล) ได้แก่ กายสุจริต 3 ประกอบด้วย 1.ไม่ฆ่าสัตว์ 2.ไม่ลักทรัพย์ 3.ไม่ประพฤติผิดในกาม
    5.เลี้ยงชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) (ศิล) ได้แก่ เว้นมิจฉาชีพ ประกอบสัมมาชีพ
    6.พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) (สมาธิ) ได้แก่ สัมมัปปธาน 4 ประกอบด้วย 1.เพียรระวัง หรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น 2.เพียรละ หรือเพียรกำจัด คือเพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว 3.เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น 4. เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น และให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์
    7.ระลึกชอบ (สัมมาสติ) (สมาธิ) ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 ประกอบด้วย 1.การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย 2. การตั้งสติกำหนดพิจาณาเวทนา 3.การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต 4.การตั้งสติพิจารณาธรรม (มีรายละเอียดเพิ่มเติม)
    8.ตั้งจิตมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) (สมาธิ) ได้แก่ ฌาน 4 ประกอบด้วย 1.ปฐมฌาณ 2.ทุติยฌาน 3.ตติยฌาน 4.จตุตถฌาณ (มีรายละเอียดเพิ่มเติม)
     
  8. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อนุโมทนา สาธุ กับเจ้าของกระทู้ และทุกความคิดเห็น
    ข้าพเจ้ามีครบทุกข้อ แต่จะปรุงแต่งว่าอย่างไรเป็นเรื่องของบุคคลจะพึงพิจารณา
    แต่คนอื่นก็ยังเห็นเราเป็นปกติดี ทั้งที่เรานั้นคิดไม่เหมือนคนอื่น
    การอยู่รวมกับกิเลสของคนหมู่มากนี้ มันช่างน่าอึดอัดรำคาญ
    แม้จะไม่เอากะมัน แต่มันก็ยังคอยมาตอดอยู่เรื่อย
    เพราะรูปนี้มันยังจำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกับกิเลสของคนอื่น
    ออกจากสังคมหมู่มาก ไปอยู่กับสังคมหมู่น้อยแบบสมถะได้เมื่อไร เมื่อนั้นคงทุกข์น้อยลง
    การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าก็เหมือนกับที่คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Mr.Boy_jakkrit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3493748", true); </SCRIPT> อธิบาย
    เมื่อมีคนถามว่าไปปฏิบัติธรรมที่สำนักไหน และตอบว่าปฏิบัติที่บ้าน เริ่มที่บ้าน และจะจบลงที่บ้าน คนจะทำหน้าไม่เชื่อถือ
    คำถามต่อมาก็คือเห็นอะไรบ้าง ครั้นตอบว่าไม่เคยเห็นอะไรเลย ก็จะทำหน้าผิดหวังอีก
    ครั้นมีคนชวนไปบวช เราบอกว่ายังไม่อยากบวช อยากปฏิบัติด้วยตนเองไปเรื่อย ๆ
    ปฏิบัติที่ใจติดขัดเมื่อไรค่อยไปถามพ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่ไม่เจาะจง ก็จะมีคนเตือนว่าระวังเป็นบ้า
    อันที่จริงธรรมะมีหลากหลายแนวทางมาก จะปฏิบัติอย่างไรก็ไม่ผิด ปฏิบัติเองรู้เอง
    ถ้าจะมีผิดก็คือผิดศีลหรือไปเบียดเบียนผู้อื่น การรู้ด้วยตนเองจะทำให้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ลึกซึ้ง การท่องจำไม่มีประโยชน์อันใดเลยกับข้าพเจ้า
    แต่จะมีประโยชน์กับผู้อื่นบ้างเมื่อเขามาถาม แล้วเราตอบเป็นภาษาพูด
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ และความคิดเห็นของทุกท่านอีกครั้ง
    ณ ที่นี่ มีความคิดและความรู้หลากหลาย
    แต่ความรู้ใดในโลกก็ไม่เท่าความรู้ที่ได้จากสัจธรรม ง่าย ๆ แต่ลึกซึ้งจนยากหยั่งถึงได้โดยง่าย
    แต่เมื่อรู้แล้วก็ต้องวาง ไม่ยึดติดกับธรรมใด ๆ รู้ก็สักแต่ว่ารู้
    ความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นแบบนี้นะ
     
  9. ณธร

    ณธร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +74
    ผู้บรรลุธรรมมีสติทุกเวลา ส่วนคนบ้าไม่มีสติแม้เสี้ยวนาที
    ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 84,000 พระธรรมขันธ์ ย่อลงเป็นมรรคมีองค์8 จากมรรคมีองค์8 ย่อลงเป็นองค์3คือ ศิล สมาธิ ปัญญา จากองค์3 ย่อลงเหลือ1คือ สติ ดังนั้นระหว่างผู้บรรลุธรรมกับคนบ้าจึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ ที่เห็นผู้บรรลุธรรม(ท่านคงหมายถึงผู้ปฏิบัติธรรม)ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพราะผู้บรรลุธรรม(ท่านคงหมายถึงผู้ปฏิบัติธรรม)คือผู้ที่ระวัง กาย วาจา ใจ โดยมีสติอยู่ตลอดเวลามิให้ กระทำ พูด หรือคิด ในสิ่งที่ไร้สาระไม่เกิดประโยชน์
     
  10. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    เมื่อมีคนมาบอกความจริง จะมีสักกี่คนที่ยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นจริง
     
  11. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    (1). ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใคร แม้แต่คนในครอบครัว ...

    เป็นคนมนุษยสัมพันธ์แย่เข้ากับใครไม่ได้ เพราะบางทีคิดว่าตนเองดีกว่าคนทั่วไป

    (2). ชอบทำงานที่ทำคนเดียว หรือกิจกรรมที่ทำคนเดียว ...

    ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ เพราะทนสภาวะแรงกดดันจากรอบด้านไม่ได้

    (3). ไม่ค่อยมีความสุข หรือสนุกกับอะไรเป็นพิเศษ ...

    บางที อาจจะอยู่ในสภาวะสุขแล้วเบื่อสุขไปก็งั้นๆ แต่คนอื่นอาจจะคิดว่าเขาโชคดีจังที่อยู่ในสภาวะนั้น

    (4). ไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่นซึ่งไม่ใช่ญาติสายตรง ...

    คบคนมากก็เรื่องมากไง คบคนน้อยปัญหาก็น้อยตามมา ญาติสายตรงนั่นแหละ ตัวนำปัญหามาอย่างตรง

    (5). รักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นนานๆ ไม่ได้ ...

    .........อันนี้ไม่มีคำตอบ

    (6). ไม่หวั่นไหวต่อคำสรรเสริญและนินทา ...

    ......................เป็นคนชอบเอาหูทวนลม

    (7). แสดงความรู้สึกน้อย (ทั้งด้านบวกและลบ) ...

    เป็นคนรักสันโดษ ไม่ยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นถ้าไม่จำเป็น


    (8). มีความคิดเพ้อเจ้อ ฝันกลางวัน ...

    อันนี้กลางคืนก็ฝันบ่อยๆ กลางวันบางครั้งเห็นเลขหวยลอยมา :cool:

     
  12. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452

    คิดเอง เปรียบเทียบเอาเอง อย่างนั้น อย่างนี้

    ยกหัวข้อมา8ประการ

    คุณจขกท คุณน่ะ มัน เพ้อเจอตัวพ่อ :cool:ไร้สาระ

    สมองคิดได้แค่นี้
     
  13. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    ชอบจัง เอาท่านที่ทรงคุณความดี ทรงคุณธรรม

    เอามาเปรียบเทียบกับค้นบ้า ไม่มีอะไรจะทำ

    นรกส่งมาเกิดจริงๆ

    ต่อไปในภายภาคหน้า ชีวิตพบความวิบัติ โดยที่ หาสาเหตุ

    ไม่ได้ อย่ามาร้องโอดครวญนะ

    เรื่องดีๆ ช่วยเหลือเรื่องโลกร้อน ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาส
    ช่วยเหลือเรื่องป่าชายเรนป้องกันน้ำทะเลกัดเซาะฯลฯ
    เสนอแนวความคิดมาสิ!! ไม่เอา แบบนี้ไม่ทำ

    คนหนอคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  14. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    ยิ่งปฏิบัติมากยิ่งจะไม่เห็นอะไร หรือเห็นอะไร ก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน
    ปฏิบัติให้ถึงที่สุดจะไม่เห็นอะไรอีกนอกจากการปรุงแต่งของจิต
    การเกิดดับตามปัจจัยและอาการ ในสายปฏิจจสมุปบาท

    ท้ายสุดก็ต้องทิ้งให้ได้ทั้งหมดแม้ธรรมะที่เปรียบเสมือนเรือแพที่ถึงฝั่งแล้วไม่ต้องเอาไปด้วย
    สัพเพธัมมาอนัตตา
     
  15. pangbualun

    pangbualun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2010
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +285
    :mad:
    เฌหรือเปล่า
     
  16. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    จะเป็นใครที่ไหนได้.......
     
  17. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682


    ไปแล้วนะ ไปเข้าป่าล่าเหยื่อแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  18. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    ไม่น่าจะใช่กระมังครับท่าน เจ้าของกระทู้
    ว่าแต่ท่านมีเจตนาอย่างไรกันแน่หรือ
     
  19. รพินทร์ไพรวัลย์

    รพินทร์ไพรวัลย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +1,122
    อืม.....
    แต่ถ้าให้เลือกระหว่างคนบ้ากับคนเลว
    ผมเลือกคนบ้านะ เพราะปกติก็รู้ตัวว่าเลวไม่เบาถ้าคบพวกเลวอีก เดี๋ยวจะเลวไปกันใหญ่
    เออ....นั่นสิ เค้าพูดถึงคนบ้า กับคนบรรลุธรรมนี่หน่า เอ....แล้วคนเลวมันมาจากไหนนี่

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=WDA1gLmdkB4]YouTube - บ้า-คาราบาว[/ame]
     
  20. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682

    แถวๆนี้แหละ พ่อพรานใหญ่

    ใบ้ไห้นะ อักษรย่อไม่ไช่ ป ไม่ไช่ พ แต่เป็น ฌ

    ใบ้ได้แค่นี้จริงๆ หัดคิดกันเอาเองนะจ๊ะ

    แค่นี้ก็งานเข้าแล้วครับ ชัวร์

    ไปและน้า :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...