พุทธอิสระ พระรูปนี้คือใคร ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เงินไหลมา, 25 มิถุนายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    วัดอ้อน้อยเปล่า จังหวัดนครประฐม

    ถ้าไช่ องค์นี้ เคยรับสมอ้าง ว่าตัวเองเป็นพระองค์ที่๑๐

    ตอนหลังมาโดนข้อโกงพรรษา เลยต้องศึกบวชใหม่

    ไช่องค์เดียวกับที่สร้าง วัดอ้อน้อยเปล่า ใครทราบตอบทีครับ

    ถ้าไช่ ก็เป็นอย่างที่เล่า รับสมอ้าง รับเงินญาติโยมไปเพียบ!!

    ผมไห้ข้อมูล ข้อเท็จจริงอย่างนี้ พิจรณาเอากันนะครับ
     
  2. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    แม่นแล้ว....................
     
  3. nutt_nst

    nutt_nst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,470
    จะเป็นศิษย์พระพุทธเจ้าก็ต้องฟังพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่าตายแล้วไม่สูญ เชิญท่านมาพิสูจน์ จะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง ไม่จำกัดกาลและเวลา

    พระพุทธองค์ท่านพูดไว้ชัดเจน ผมเห็นนักบวชหลายคนอาศัยศาสนาพุทธ แต่กลับค้านพระพุทธเจ้าซะงั้น นี่ไม่ได้ว่านักบวชที่ จขกท พูดนะครับ เพราะท่านนั้นผมไม่ทราบ แต่ที่ผมทราบและเห็นก็มีอยู่เยอะ จึงพูดได้

    ผมอยากจะบอกแรงๆว่าถ้าคิดไม่เหมือนพระพุทธองค์ก็ไม่ควรมาบวชในศาสนาพุทธครับ
    พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับ

    คำสอนก็คือคำสอนจะไปค้านคำสอนไปคิดแทนพระองค์ว่าท่านแค่เล่านิทาน แบบนี้ไม่เหมาะ เหมาะจะไปตั้งศาสนาเองมากกว่า
     
  4. jowpoy

    jowpoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +758
    การที่จะเป็นอรหันต์ไม่จำเป็นว่ากระดูกจะเป็นพระธาตุหรือเปล่า
    ผมว่าน่าจะเอาเวลาที่จับผิดพระมาอ่านหนังสือกฏแห่งกรรมในหัวข้อ ว่าร้ายพระสงฆดีกว่าน่ะครับ เสียดายเวลาที่สร้างบุญสร้างบารมีมากลัวว่าตายไปแล้วจะไม่ส่งผล สงฆ์ใดปฏิบัติดีย่อมเป็นสุปฏิปันโน สงฆ์ใดปฏิบัติชั่ว ย่อมตกนรกเองแหละครับ
     
  5. เฌ

    เฌ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2009
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +415
    การหายใจแบบมังกร :
    เรื่องราวของหลวงปู่ผมนั้น ผมไม่ได้มีโอกาสนมัสการ เพียงแต่ได้ศึกษาบ้างในบางส่วนบางเรื่อง สิ่งที่ประทับใจคือการบำเพ็ญเพียร ลงในถังขี้ และการหายใจแบบมังกร นี่เป็นการเจริญอาปานฺสติ เป็นการระลึกถึงธาตุลม เป็นธาตุที่เป็นหลักในจักรวาฬนี้ และ จักรวาฬอื่นๆ เป็นอนันตจักรวาฬโดยแท้จริง ซึ่งเป็นพื้นฐาน การกำหนดลมหายใจในการปฏิบัติ ไปสู่สติปัฐฉาน๔ อันเป็นเส้นสายแห่งอริยะมรรค และอริยะผล จนล่วงเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานสืบต่อไป แต่ต้องกระทำด้วยความสุจริตอันกอปรด้วย กาย วาจา และศีล สิ่งที่สำคัญคือยึดมั่นอยู่ในไตรสิกขาเป็นส่วนประกอบด้วย

    คาถาเงินล้าน : การสวดอ้อนวอนเพื่อให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต่อสิ่งที่ตนเองนับถือหรือว่าศํกดิ์สิทธ์ ตามลัทธิแห่งความเชื่อ ด้วยการปลูกฝังค่านิยมนั้น พระพุทธเจ้ามิได้ทรงส่งเสริมใดๆ และไม่มีการอ้างอิงหรือหลักฐานใดๆในพระไตรปิฎก ซึ่งได้ทำการสังคยนามาแล้วหลายครั้งโดยพระอรหันต์ที่รู้จริง เราๆท่านๆก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งนี้คือหลักธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนแก่สรรพส้ตว์ทั้งปวง มีหล้กฐานที่จารึกไว้ ในประวัติศาสตร์นับเวลาล่วงเป็นพ้นๆ ปี นี่คือบทพิสูจน์ได้ และเป็นเส้นทางแห่งการดับทุกข์ เข้าสู่วิมุตติธรรม และอริยะวิมุติธรรม หลุดพ้นจากห่วงโซ่พ้นธการแห่งทุกข์ ที่เป็นพ้นธการร้อยรัดใด บรรลุเข้าสู่นิพพานในท้ายที่สุด หากแต่การทำกรรมนั้นบังเกิดขึ้นได้เสมอ หากแต่มิใช่สายเส้นทางแห่งอริย เพราะยังติดอยู่ในโลกธรรม๘ ยังไม่สิ้นอาสวะ ยังมัวเมาและหลงทางไปอีกนาน ... ซึ่งผมไม่ขอวิจารณ์มากไปกว่านี้


    อย่าลืมว่า "กฏแห่งกรรม" และ "สังสารวัฎฎ์" นั้นมีจริง อ้างอิงได้ มีที่มาที่ไป สิ่งใดๆล้วนแล้วแต่กรรม การเกิดภพเกิดชาติหรือเกิดผลล้วนแล้วแต่การกระทำ เมื่อคนเราเกิดมาใช้กรรม ต่างก็ต้องยอมรับวิถีทางที่ตนได้กระทำ หากกรรมไม่ส่งผลในชาตินี้ ชาติหน้าก็ต้องได้รับผลอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หากว่าท่านยังไม่สำเร็จเข้าสู่ "อรหันต์" ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2010
  6. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,412
    พอดีผมไปค้นเจอ เลยนำมาให้อ่านกันเล่นๆ อย่าคิดมากนะครับ 55555+
    ธรรมะจากพุทธอิสระ

    คนที่รู้จักพลังบุ_และพลังอนันต์นั้นไม่มีหรอก หาได้น้อย ส่วนให_่เขาก็จะสอนให้พวกเราทำบุ_เฉยๆ ไม่ให้เราเข้าใจถึงพลังวิเศษเหล่านั้นหรอกว่ามันมีคุณชาติ ความสามารถที่จะช่วยปลดปล่อยเราได้อย่างไร ถ้าจะบอกว่ามันเป็นเคล็ดลับของธรรมมะ 84,000 พระธรรมขันธ์หรือไม่ ต้องบอกว่า...มันยิ่งกว่าเคล็ดลับมันคือหัวใจของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า มันไม่ใช่หัวใจของพระพุทธเจ้า แต่มันคือ...ไขกระดูกของพระพุทธเจ้ามันอยู่ลึกยิ่งกว่าหัวใจของพระพุทธเจ้า และมันคือหัวใจของพระพุทธะทุกองค์ที่อยู่ในจักรวาล มันคือไขกระดูกของพระพุทธะผู้ยิ่งให_่ทั้งปวง มันคือโครงสร้างของพระโพธิ_าณ มันคือจิตวิ__าณ ของ พระปัจเจกโพธิ และมันคือเลือดเนื้อของพระสาวกสัมมาพุทธะ ผู้ที่จะต้องทำหน้า ที่ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลังต่อไป

    สติก็คือประตู เมื่อเห็นลมพัดมา มันจะพาเอาฝุ่นละอองเข้ามา มันจะพาเอาฝนสาดเข้ามา มันจะพาเอาโจรเข้ามา ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นโจรเราก็รีบปิดประตู นั่นคือผู้มีสติ แต่ถ้าลมพัดมา ฝนสาดมา โจรเข้ามาผู้ร้ายจะมาขโมย แต่ไม่มีประตูจะปิด นั่นคือคนไม่มีสติ และเราก็จะโดนปล้นสดมส์ความเป็นไทของเราออกไปพวกนี้มันจะมาทำให้ตัวเราเปียก ฝุ่นเปราะเรา ขยะก็เต็ม แล้วเป็นมลภาวะภายใน เพราะฉะนั้นถ้าจะถามหลวงปู่ว่า สติคืออะไร มันก็คือประตูกับหน้าต่าง คนมีสติก็คือคน...คนที่ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง พอมันไม่มีทั้งประตูหน้าต่าง ไม่มีทั้งหน้าต่าง มันก็มีแต่ช่องโล่งๆ ที่อะไรมันจะเข้ามาก็ได้ และอะไรมันจะออกไปก็ได้ โดยที่ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ หรือไม่รู้จักใจ ไม่เข้าใจ จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่าเสียใจ ขาดใจ ไม่หายใจ

    เพราะฉะนั้น การที่พระศาสดาให้เรามีสติก็คือ รู้จักที่จะเปิดปิดประตูหน้าต่างนั่นเอง ถ้าเรารู้ว่า...คน ข้างหน้าเรามันเป็นโจร ถ้าเราต้องการจะพูดกับโจรว่า อย่าให้โจรมันมาปล้นเรา เราก็ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวที่จะระแวดระวังภัยจากโจร นั่นแสดงว่า...เราเริ่มจะมีสติแล้วคอยปิดประตูเปิดหน้าต่าง คอยแง้มช่องทางมองหาทางหนีทีไล่ แต่ถ้าเราคุยกับใคร ไม่ว่าเขาจะพูดดีก็ตาม ชมก็ตาม หรือนิยมนินทาก็ตาม เปิดให้เขาเข้ามาในบ้านแล้วปล่อยให้เขาฝอย จนกระทั่งน้ำลายเป็นฟอง พอเขากลับไป แต่เรามีหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำพูดของเขาอยู่ นั่นแสดงว่า...เราไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง ไม่รู้จักเลือกว่าอนุ_าตให้ใครเข้า หรือไม่รู้จักปฏิเสธว่าใครควรจะออก เพราะฉะนั้นคนๆนั้นไม่มีพลัง เสียพลัง และก็ไม่รู้จักใช้พลัง

    ก่อนที่เราจะมาพูดถึงพลัง ควรจะต้องพูดถึงประตูกับหน้าต่างก่อน ก่อนที่จะมาพูดถึงสมบัติในบ้าน ถ้าจะมาบอกว่า เปรียบระหว่างพลังกับประตูหน้าต่าง สมาธิก็คือพลัง พลังก็คือสมบัติในบ้าน สติก็คือประตู หน้าต่างคือรั้ว คือข้างฝา คือหลังคา คือพื้น คือสิ่งแวดล้อมที่รักษาพลัง ถ้าหากว่ามันไม่มีรั้ว ไม่มีหลังคา ไม่มีพื้น ไม่มีข้างฝา ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง มีแต่เพชรวางไว้กลางแจ้งอยู่ไม่ได้ เดี๋ยวใครก็ขโมยไปกิน เปรียบเสมือนกับคนที่อยากจะฝึกพลัง แต่ไม่มีสติ ก็ใช้ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น หลวงปู่จึงพูดไว้ว่า พระที่วิเศษ ไม่ใช่พระหลวงพ่อ ไม่ใช่พระเหรีย_ห้อยคอ แต่มันคือพระสติ คนที่มีพระสติ ไม่เตะก้นแก้วแตก คนที่มีพระสติ ไม่เดินแล้วให้ชาวบ้านเขามาตีหัวเราแตก คนที่มีพระสติ มักจะไม่ทำตัวแปลกให้ใครตำหนิ ติ หรือชม คนที่มีพระสติไม่ทำให้ใครนิยมยอมรับ คนที่มีพระสติทำตนให้เป็นตัวของตัวเองรักษาพลัง สั่งสมพลัง ดูแลพลังแล้วก็ค่อยๆที่จะใช้พลัง พลังงานอนันต์ พลังงานอมตะ พระสติ และจิตวิ__าณ ฟังเผินๆ เหมือนมันอยู่ในเรื่องเดียวกัน แต่จริงๆแล้วมันทำหน้าที่กันคนละเรื่อง ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้

    มีผู้ถามว่า...บุ_ถ้าเป็นพลังงานเขียนออกมาเป็นค่าสมการได้ไหม? ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบไปว่า มันคงจะไม่ได้ เหตุผลก็เพราะ สมการเป็นตัวเลขมันเป็นสิ่งที่แสดงของวัตถุ เป็นค่าของวัตถุ แต่บุ_คือพลังงาน เราไม่สามารถเอาสมการมาเทียบเคียงวัดค่าของบุ_ได้ แต่เราสามารถสัมผัสรับรู้รับทราบถึงพลังแห่งบุ_ได้ ตัวอย่าง เช่น ผู้มีบุ_ คนมีบุ_ ผู้ใจบุ_ ถ้าอยู่ใกล้ใคร เขาก็จะให้พลังที่สงบสุข และสันติต่อผู้อยู่ร่วมและอยู่ใกล้

    รวมแล้วผู้มีบุ_อยู่ใกล้กับสัตว์ตนใด สัตว์ตนนั้นจะสงบสุขสันติและฉลาด คำว่าสุข สงบ สันติ และ ฉลาด ไม่สามารถสร้างเอาสมการมาเปรียบเทียบและวัดได้ ซึ่งมันต่างจากวัตถุ คำถามประโยคที่ว่า ระหว่างพลังบุ_กับพลังจิต เหมืนกันหรือต่างกันอย่างไร คำตอบก็คือ ต่างกัน บุ_มีกรรมเป็นเจ้านาย บุ_มีกรรมเป็นผู้ควบคุม กรรมก็คือการกระทำของบุคคลและสรรพสัตว์ เป็นผู้ควบคุมพลังบุ_

    มีคำถามแทรกเข้ามาระหว่างสนทนาว่า แล้วอะไร...? จะไปวัดค่าของบุ_ได้ หลวงปู่ก็ตอบเขาไป ระหว่างนิวตรอน โปรตรอน และอะตอม เราว่ามันละเอียดอ่อน ลุ่มลึก และก็มีพลังเยี่ยมแล้ว มันก็ยังไม่สามารถ เทียบเท่าค่าราคา และความละเอียดอ่อนของบุ_ ซึ่งถือว่าเป็นพลังงานอนันต์ของสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ พระปัจเจกโพธิ พระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้นโปรตรอน นิวตรอน และอะตอม ก็ไม่สามารถจะไปเทียบราคาเท่ากับพลังงานของบุ_ คำตอบคือ บุ_มีความละเอียดอ่อนยิ่งกว่า โปรตรอน นิวตรอน และอะตอม พลังงานของบุ_มีความละเอียดอ่อนมากกว่า

    คำถามประโยคต่อมาว่า ระหว่างบุ_กับจิต อันไหนมีพลังงานเหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไร คำตอบก็คือ ไม่เหมือนกัน ต่างกัน พลังบุ_เปรียบเป็นอาหารของต้นไม้ บุ_เป็นอาหารของจิต แต่พลังของจิตเหนือกว่าพลังของบุ_ พลังแห่งจิตเป็นพลังอมตะ พลังแห่งจิตไม่มีใครจะทำลายได้ พลังแห่งจิตเหนือกว่าพลังงานอนันต์จิตทุกดวงมีพลังอมตะ และเท่าเทียมกัน ต่างกันตรงคนๆนั้น จะเข้าถึงจิตของตนมากน้อยอย่างไรต่างกันตรงที่คนๆนั้น สัตว์เหล่านั้น บุคคลนั้น จะเปิดประตูแห่งวิ__าณไปรู้จักหน้าตาแห่งจิตแท้ๆ อย่างละเอียดหยาบ สุขุมลึก หรือรู้จักแบบความไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นพลังจิตเป็นพลังอมตะ ไม่มีพลังอะไรในโลก ในจักรวาลสามารถจะทำลายพลังจิตได้


    บุ_มีคุณลักษณะพิเศษคือ น้ำท่วมไม่หาย โจรปล้นไม่ได้ ไฟไหม้ไม่หมดแล้ว แต่จิตพิเศษยิ่งกว่า เพราะไม่สามารถจะเอามาเป็นประโยค เป็นตัวอย่างได้เลย เหตุผลก็เพราะจิตไม่มีรูปร่าง มันเมือนกับสุ__ากาศ มีพลังอันยิ่งให_่แฝงอยู่ ถามว่าเป็นพลังอะไร ก็คือพลังงานแห่งสุ__ากาศ จิตยิ่งกว่าสุ__ากาศ พระพุทธเจ้าเรียก มันสุ__ตา คือความว่างเปล่า ความว่าง ความโปร่ง ความโล่ง ความเบาและสบาย มันยิ่งกว่าสุ__ากาศเพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าถึงพลังจิตก็คือ ผู้ที่เข้าถึงพลังแห่งสุ__ตาเป็นอมตะ เป็นนิรันดร ไม่มีผู้ใดจะทำลายล้างมันลงไปได้

    พลังจิต ผู้ที่เข้าถึงมันก็คือ ผู้มี่เข้าถึงจักรวาล ผู้ที่ถึงแกแลคซี่ ถึงทางช้างเผือก และก็ถึงอนันตจักรวาล พระศาสดาเป็นผู้เข้าถึงพลังแห่งจิต พระองค์จึงเรียกขานตัวเองว่า เราคือโลก โลกคือเรา จิตคือ โลก โลกคือจิต จิตคือเรา เราคือโลก เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าถึงพลังแห่งจิต ซึ่งเป็นพลังอมตะ ย่อมแจ่มแจ้งเข้าใจและแสดงพลังแห่งโลกได้ เปรียบประดุจดังชี้ให้คนดูลายมือในฝ่ามือตน ซึ่งต่างจากผู้ที่เข้าถึงพลังอนันต์ นั่นก็คือคำว่าบุ_ เพราะว่าผู้เข้าถึงพลังแห่งบุ_ก็คือ ผู้ที่เข้าถึงอาหารแห่งจิต ต้องบอกกันตรงๆชัดๆก็คือ บุ_เป็นอาหารแห่งจิต เหมือนดั่งแสงแดดเป็นตัวการ หรือเป็นตัวกลางสำหรับปรุงอาหารให้กับต้นไม้ เหมือนดั่งธาตุอาหารที่อยู่ในใบไม้เปลือกไม้ รากไม้ เยื่อไม้ และลำต้นแห่งไม้ เพราะฉะนั้นบุ_จึงเป็นเหตุแห่งจิตบุ_จึงเป็นเหตุแห่งพลังในจิต และจิตเป็นผลแห่งบุ_ ทั้งจิตและบุ_ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีบุ_ ผู้มีใจบุ_ ผู้เจริ_ในบุ_ย่อมมีจิตที่สะอาด สงบ และก็สว่าง เพราะว่าจิตใจแห่งผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยบุ_ ย่อมเป็นจิตใจที่ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท ไม่ริษยา ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ตระหนี่ ไม่ละโมบ ไม่เป็นคนมักหลง และไม่เป็นคนขี้โกรธ จิตที่ปราศจากขยะเหล่านี้ ย่อมเป็นจิตที่เปล่าเข้าขั้นสุ__ตา เหตุเพราะยังมีอัตตา(ความมีตัวตน)


    สุ__ากาศไม่ใช่สุ__ตา เพราะระหว่างสุ__ากาศกับสุ__ตา ยังห่างไกลกันหลายอสงไขย (นับไม่ถ้วน)แห่งแสง หลายอสงไขยแห้งพันปีแสง ซึ่งมันต่างกันมาก แต่เราก็ไม่สามารถใช้ศัพท์อันใดเรียกขานมันได้ว่า อะไรคือสุ__ตา อะไรคือสุ__ากาศ ในที่นี้ก็ต้องบอกว่า มันมีเวลาที่ห่างไกลกันเนิ่นนานขนาดนั้น


    ผู้ที่มีจิตอันเป็นบุ_ มีบุ_อยู่ในจิต หรือผู้มีบุ_อยู่ในใจ เป็นผู้มีบุ_อยู่ในวิ__าณในชีวิต ในการกระ ทำ ในคำที่พูดและในสูตรที่ตนคิด ย่อมมีพลังจิตที่อยู่สูงกว่าพลังอนันต์ แห่งบุ_ นั่นคือเข้าถึงพลังแห่งอมตะ ซึ่งไม่มีใครสามารถทำลายล้าง มันให้ตายดับสู_ลงไปได้ ผู้ที่มีพลังจิตย่อมพลิกโลกให้ดำเป็นขาว ให้มืดเป็น สว่าง ให้ยาวเป็นสั้น ผู้ที่มีพลังจิตย่อมมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพชีวิต และสรรพธรรมชาติทั้งปวง ผู้ที่เข้าถึงพลังจิตย่อมเหนือกว่ามัจจุราช ทั้งปวงในโลกและในจักรวาล

    พระศาสดาจึงอาจที่จะอยู่ได้เป็นพันปี ตัวอย่างเช่น ก่อนพระองค์จะปรินิพพาน พระองค์ได้แสดง บุพนิมิต เพื่อเตือนให้พระอานนท์ทูลอาราธนาให้พระองค์มีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงเตือนพระอานนท์หลายครั้ง ด้วยบุพนิมิต ด้วยอาพาธ ด้วยกิริยาอาการ และสุดท้ายด้วยวาจา แต่เพราะอานนท์มีปั__าไม่แจ่มชัด มี_าณอันไม่หยั่งทราบได้ จึงไม่ได้กราบทูลอาราธานาให้พระองค์มีชีวิตอยู่ และพระองค์ก็ทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เราตถาคต มีอำนาจเหนือมัจจุราชทั้งปวง อาจกล้าและสามารถจะอยู่ได้เป็นหมื่นปีแสง เป็นพันอสงไขย โดยไม่ดับสู_และตายจากร่างกายหรืออัตภาพปัจจุบัน"

    นั่นเป็นการแสดงออกว่า พลังแห่งจิตอันยิ่งให_่เหนือสรรพวัตถุ สรรพธรรมชาติ สรรพวิ_าณ และ สรรพมัจจุราชทั้งปวง ของผู้ที่เข้าถึงพลังอมตะ ซึ่งก็คือพลังจิต หลวงปู่จึงตอบปั_หาเขาไปว่า ระหว่างพลังจิตกับพลังบุ_ต่างกัน แต่เป็นเหตุและผลของกันและกัน หลวงปู่อาจจะเคยพูดว่าบุ_เป็นพลังงานอนันต์ ทำให้คนเป็นพระพุทธเจ้า บุ_เป็นพลังงานอนันต์ทำให้ยาจกเป็นพระราชา บุ_เป็นพลังงานอนันต์ทำให้คนธรรมดา เป็นคนเหนือธรรมดา บุ_เป็นพลังงานอนันต์ ทำให้คนใกล้ตายกลับไม่ตาย บุ_เป็นลพังงานอนันต์ ทำอะไรๆ ของใครๆ ที่ปรารถนาให้สำเร็จลุล่วงไปได้ตามความประสงค์ แต่บุ_ก็ยังเป็นพลังงานที่รองลงมาจากพลัง งานอมตะแห่งจิต เพราะฉะนั้น

    ผู้ที่เข้าถึงจิต
    ผู้ที่รวมจิต
    ผู้ที่รู้จักจิต ผู้ที่เข้าใจจิต
    ก็คือผู้เข้าใจโลกและมัจจุราช

    ถึงแม้ว่าเราจะปฏิเสธการเรียนรู้เรื่องจิต แต่ทุกคนมีพลังจิต แต่ไม่ได้พัฒนา ถึงแม้ว่าเราจะบอกว่าเรา ไม่รู้จักพลังจิต แต่ทุกคนมีพลังชนิดนั้นอยู่ แต่ไม่รู้จักวิธีใช้ ถึงแม้ว่าเราจะบอกกับใครๆ ว่าเราไม่รู้ว่าอะไรคือจิต อะไรคือพลังแห่งจิต แต่จริงๆแล้วเราใช้มันแบบฟุ่มเฟือย และไม่รู่จักรักษาเพิ่มเติม สะสม เพราะฉะนั้นพระศาสดาจึงสอนให้พวกเราเข้าถึงจิตของตน และพระองค์ก็ทรงชี้ประโยชน์แห่งการเข้าถึงจิตของตนว่า คนๆนั้น สัตว์ประเภทนั้น ท่านเหล่านั้น จะดับและเย็นนั่นคือนิพพาน ซึ่งผู้มีบุ_ไม่มีนิพพาน พลังงานอนันต์ไม่สามารถผลักดันให้ถึงนิพพานอันแปลว่าดับและเย็นได้ มีพลังงานชนิดเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เข้าถึงนิพพานได้ นั่นคือ... พลังแห่งจิต ซึ่งต้องได้รับการฝึกปรือ ขัดเกลาพัฒนา ได้มาจากอัตภาพร่างกายและวาจาใจแห่งนี้ พลังงานวิเศษซึ่งเป็นพลังงานอมตะนั้น ไม่ใช่ได้มาจากที่อื่น ไม่ใช่ได้มาจากครูคนใด ไม่ใช่ได้มาจากพระพุทธเจ้าประทานให้ แต่ได้มาจากหัวใจที่เอื้ออารีย์ แต่เต็มเปี่ยมด้วยคุณงามความดี ที่เราเรียกขานกันว่าผู้มีบุ_ และมันก็ได้มา จากการทำกรรมดี ที่เรียกว่าทำบุ_ สุดท้ายไม่ยึดติดในคำว่าบุ_ ทิ้งบุ_ ไม่หลงใหลในบุ_ จนกระทั่งถึงคำว่า สุ__ากาศ และก็ยกระดับไปสู่คำว่า สุ__ตา อันแปลว่าว่างและไม่มีอะไร

    กระบวนการฝึกจิตต้องเริ่มต้นมาจากการดัดกาย วาจา ใจของตน ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยคำว่าบุ_เพราะบุ_เป็นอาหารแห่งจิต เรากำลังจะนำร่างกายไปออกรบ เรากำลังจะนำร่างกายไปอดตาหลับขับตานอน ไปฝึกปรือไปทำกิจกรรมใดๆ แต่ถ้าร่างการยเราขาดสารอาหาร เราก็มิอาจนำเอาร่างกายและอัตภาพนี้เดิน ทางไกล หรือไปทำอะไรๆ รบแล้วไปเอาชนะใครได้เลย

    พระศาสดาจึงสอนให้เราปฏิบัติธรรม ซึ่งเรียกว่า กุศล อันแปลว่าทำดี ทำด้วยความชา_ฉลาด และก็เลือกที่จะทำบุ_ พอฉลาดแล้วก็ทำดี พอทำดีแล้วก็เป็นบุ_ ซึ่งแปลว่าอิ่ม เต็ม สุขสบายในหัวใจ ใน กระเพาะและในวิ__าณของเรา เพราะฉะนั้น"สะสมบุ_เพื่อฝึกจิต" นี่คือประโยคของพระพุทธะผู้ยิ่งให_่ ที่สอนให้พวกเราทั้งหลายได้กระทำเราจึงต้องมีนักบวช มีปฏิคาหก(ผู้รับทาน) ผู้รับที่จะทำหน้าที่พัฒนาบุ_ ทำหน้าที่บริหารบุ_ และทำหน้าที่ให้แล้วซึ่งบุ_ต่อทายก คือผู้ให้ เพื่อจะนำคนที่ต้องการบุ_ ไปสู่พลังงาน อมตะ ข้ามก้าวล่างพ้นพลังงานอนันต์ที่มี นั่นคือหน้าที่ของสาวกแห่งพระศาสดา ที่จะมาพาลูกหลาน _าติ และพุทธบริษัท ท่านทั้งหลายเข้าไปสู่ประตูแห่งธั__าชาติ ประตูแห่งอาหาร ประตูแห่งความอุดมมั่งคั่งสมบรูณ์ คือประตูแห่งคำว่า"บุ_" ละ วาง ปล่อย แม้แต่คำว่าบุ_ของตน ให้เป็นผู้เปล่า ผู้ว่าง ผู้ปราศจากอะไร และก้าวล่วงพ้นไปในวิ__าณแห่งคำว่าบุ_ ก้าวล่างพ้นไปในคลังบุ_ เข้าไปสู่ประตูแห่งวิ__าณสุ__ตา สุ__ากาศ และก็ไปสู่สุ__ตา คือความว่างเปล่า เมื่อนั้นก็จะถึงคำว่านิพพาน อันแปลว่าดับและเย็นคำพูดและคำถามประโยคที่ว่า พลังงานอนันต์ที่เรียกว่าบุ_ กับพลังงานอมตะที่เรียกว่าจิตเหมือน กันหรือเปล่า คำตอบก็คือต่างกันไม่เหมือนกัน และสรุปก็คือมันเป็นเหตุปัจจัยของกันและกันผู้มีบุ_เท่านั้น จึงจะถึงพลังแห่งจิต พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราทำบุ_ 10 อย่าง

    1.ให้ทาน 6.ทำหน้าที่ของพ่อ แม่ ลูกฯ
    2.รักษาศีล 7.อ่อนน้อมถ่อมตน
    3.ฟังธรรม 8.ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำดี
    4.แผ่เมตตา 9.ปฏิบัติธรรม
    5.เจริ_ภาวนา 10.ทำความเห็นของตนให้ตรง ถูกต้อง

    นี่คือวิธีเข้าถึงพลังงานอนันต์ ถ้าเปรียบเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็เหมือนกับกระสวยอวกาศ ยานอวกาศ ที่หลุดออกไปพ้นจากแรงดึงดูดของโลก เพื่อก้าวล่วงข้ามไปสู่วงโคจรแห่งจักรวาลได้ ก็ต้อง อาศัยเชื้อเพลิงที่จะผลักดันเอายานอวกาศลำนั้น ให้หลุดออกไปจากแรงดึงดูดของโลกก่อน เมื่อเชื้อเพลิงมันผลักเอากระสวยอวกาศให้หลุดออกไปได้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็จะใช้วิธีคำนวณ เพื่อจะให้สลัดหลุดจากแหล่งเชื้อเพลิงอันนั้น ต่อไปก็จะเดินทางด้วยพลังอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ...พลังบุ_ เป็นพลังงานที่ผลักดันเอากระสวยอวกาศ ให้พ้นจากแรงดึงดูดของโลก จิต..เมื่อกระสวยอวกาศพ้นจากแรงดึงดูดของโลกแล้ว ผู้ควบคุมยานอวกาศลำนั้น ก็จะทำหน้าที่กดปุ่ม เพื่อจะสลัดเอาเชื้อเพลิงที่ติดมากับกระสวยอวกาศนั้น สลัดให้หลุดพ้นและทิ้งไป และก็จะใช้พลังงานชนิดใหม่ เพราะในอวกาศไม่มีแรงดึงดูดเป็นระบบสุ__ากาศ ต้องใช้เชื้อเพลิงชนิดใหม่ที่เบา แข็งแรง มีพลังและต้านแรงกดดันได้เป็นเยี่ยมและเชื้อเพลิงชนิดนั้นก็ต้องเปรียบได้ว่าเป็น...พลังจิต

    เพราะฉะนั้นพวกเรามีหน้าที่ที่จะทำให้หลุดออกไปจากโลกนี้ให้ได้ แล้วพลัง 2 ชนิด ที่จะทำให้เราหลุดออกไปจากโลกนี้ก็คือ พลังงานอนันต์คือบุ_ กับพลังจิต นั่นคือพลังอมตะ พวกเราก็เหมือนกันมี หน้าที่ที่จะพัฒนาชีวิจให้เข้าไปสู่พลัง 2 ชนิด แล้วก็เป็นหน้าที่ที่พระศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธะผู้ยิ่งให_่ สืบทอดและสั่งการกันต่อๆมาในตระกูลศากยะ และชาวพุทธะทั้งปวงให้รู้และเข้าใจ

    ความเกิดเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ สมหวัง และไม่สมหวังเป็นทุกข์ นี่คือความทุกข์ที่อยู่ในโลกนี้ ถ้าเราเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าให้พลังวิเศษ 2 ชนิด เพื่อจะให้พ้นจากโลกนี้ เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ที่เห็นว่าโลกนี้แคบไป ต้องไปหาโลกใหม่ ที่จะอยู่อาศัย ก็สร้างจรวดขึ้นมา และหาพลัง 2 ชนิดขึ้นมาใช้ ซึ่งเหมือนกับพระพุทธเจ้าเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน พระองค์ก็ทรงคิดค้นขึ้นมาว่า...พลังที่ผลักดันเอาจิตวิ__าณของมนุษย์ให้พ้นจากโลกนี้ได้ มีอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกคือ

    พลังงานอนันต์ที่เรียกกันว่า"บุ_" และชนิดที่สอง ที่เรียกกันว่าพลังจิต ซึ่งหลวงปู่เรียกว่า"พลังอมตะ" เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ที่จะพัฒนาพลัง 2 ชนิดนี้ ให้อยู่ในจิตวิ__าณของเราให้ได้ เรามีหน้าที่ตรงนั้นอย่างนั้น เราสาวกแห่งชาวศากยะทั้งปวง มีหน้าที่ที่จะทำการชี้นำ อบรมสั่งสอน และเผยแพร่ วิถีทางแห่งความหลุดพ้นชนิดนี้ให้กับหมู่สรรพสัตว์ สรรพชีวิตทั้งหลายได้รับรู้ เพื่อจะนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ในชีวิตของตนและคนทั้งปวง นี้คือหน้าที่เท่านั้นแหละ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีหน้าที่พัฒนาวัตถุให้ลอยหลุดออกไปนอกโลกได้เท่านั้นเอง

    จริงๆนักวิทยาศาตร์ เพิ่งจะมาคิดค้นหาวิธีการ ที่จะเอาสสารผลักดันสสารให้หลุดจากออกไป นอกโลกเขาเพิ่งจะคิดค้นได้ไม่กี่สิบปีมานี้ แต่จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าทรงคิดค้นหลักการ ที่จะนำจิตวิ__าณและสสาร รวมทั้งพลังงานให้หลุดออกนอกโลกนี้ได้เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน

    พระองค์จึงเป็นสัพพั__ู(ผู้รู้หมด) เป็นมนุษย์ที่ยอดมนุษย์ เป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งพลัง 2 ชนิดอันวิเศษสุดในโลกและจักรวาล นั่นคือ พลังงานอนันต์กับพลังงานอมตะ เราจึงไม่กล้าปฏิเสธพระองค์ได้เลยว่า พระองค์เป็นยอดมนุษย์เหนือมนุษย์ทั้งปวง ระบบวิทยาศาสตร์ที่มาคิดค้นกันทีหลังก็เป็นเพียงแค่ตามก้นพระองค์ หรือรอยเบื้องยุคลบาทพระองค์เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นวิชาความรู้เรื่องแสง ความไวของเสียง และความเร็วของพลังทั้งปวงในจักรวาลพระองค์ทรงรู้ คิดค้นและ ก็เข้าใจมาก่อนเมื่อ 2,000 กว่าปี เพราะฉะนั้น คนยุคนี้กำลังเดินตามตูดคนโบราณ

    ให้รู้ไว้ว่าเรามีพ่อ เราเป็นลูกหลานของตระกูลผู้ยิ่งให_่ในจักรวาล เมื่อใดที่เราเอ่ยนามของพระองค์ อรหันต์สัมมนาสัมพุทธะ เมื่อนั้นเราก็กลายเป็นลูกหลานของพระผู้ยิ่งให_่ พระองค์ทรงเป็น ผู้มีพระคุณอันประเสริฐสูงสุดในจักรวาล เราจะไม่รู้สึกกระดากปาก ไม่รู้สึกละอายที่จะกล่าวนามของพระองค์ ถ้าเราทำตามพระองค์สอน แต่ถ้าเราไม่ทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงบอก ไม่พิสูจน์สิ่งที่พระองค์ ทรงสอน ประโยชน์อันใดเล่า ที่เราจะเอ่ยนามของพระองค์วันละหลายล้านครั้ง มันคงไม่ใช่ประโยชน์อันใดกับเรา

    ชั่วชีวิตหลวงปู่รู้สึกภาคภูมิเป็นอย่างยิ่ง กล้าที่จะประกาศให้คนทั้งโลกและจักรวาลได้รู้ว่า เราคือตระกูล ศากยะ เราคือชาวศากยะ ซึ่งแปลว่า ผู้อาจ ผู้กล้า และไม่มีใครอาจ และกล้าเกินชาวศากยะ ไปได้เลยในจักรวาลนี้ ผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้สืบทอดวิ__าณของพระพุทธเจ้า และส่งทอดต่อๆไป ถ่ายทอดกันต่อๆไป ก็คือผู้กล้าและผู้อาจ ผู้มีความสามารถในจิตวิ__าณของตน ยาก... และหาได้น้อยมาก ที่จะเข้าถึงสัจธรรมแห่งพลังงานอนันต์ ยาก...และหาได้น้อยมาก ในโลกยุตปัจจุบันที่จะ อธิบาย ชี้แจงและกล่าวแสดงเงื่อนไขแห่งพลังวิเศษ 2 ชนิด ที่มีอยู่ในพระวรกายแห่งพระพุทธะผู้ ยิ่งให_่ในอดีต

    หลวงปู่ก็จะไม่รู้สึกกระดากเลย ที่จะพูดถึงพลังของพระพุทธ จะไม่รู้สึกลำบากที่จะอธิบายในจิตวิ__าณที่มีอยู่ในพลังแห่งพระพุทธะ เพราะถือว่าเป็นการกล่าวขนานนามประกาศเกียรติคุณ ในจิตวิ__าณของพระองค์ ให้ยิ่งให_่ แผ่กว้างออกไป เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเราทุกคนก็คือถ่ายทอดจิตวิ__าณเข้าไปสู่จิตดวงหนึ่ง และส่งทอดต่อๆ กันไปกับจิตดวงหนึ่งเรื่อยๆ อย่างชนิด ไม่จบไม่สิ้น และพลังชนิดนี้มันก็จะยืนหยัดอยู่ในโลกได้อย่างชนิดช่วยสรรพสัตว์ ทำให้คนสัตว์และ สรรพชีวิตพ้นจากโลกนี้ไปได้

    โดยหน้าที่ของนักบวชในศาสนานี้ หลวงปู่พูดไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้วว่า..."มีหน้าที่ปลดจากความเป็นทาสของประชาชาติและสัตว์โลก"<!-- google_ad_section_end -->
     
  7. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,412
    ถอดเทป เรื่อง ตายแล้วไปไหน : อบรมสามเณรภาคฤดูร้อน 10 เมษายน 2543
    โดยพุทธอิสระ

    หลวงปู่ถาม…แล้วทำไมพวกมึงกลัวผีล่ะ (เณรตอบเสียงเบาม๊ากฟังไม่รู้) พวกเราเนี่ยะมันไร้สาระ พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าคิดจะเป็นคนที่เชื่อใครง่ายๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับควายที่ปล่อยให้เขาจูงจมูก คนเราต้องมีเหตุมีผลในชีวิตของตัวเอง เราอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เราควรมีเหตุผลในการเชื่อ..ลูก เหมือนเมื่อคืนหลวงปู่นั่งรถมามีคนนั่งในรถเขาถามหลวงปู่ว่า ปกติแล้วเนี่ยะ ลูกชายเขาชอบเห็นตอนกลางคืนมีดวงไฟลอยมากลางอากาศ และเข้าไปสู่เมรุ เป็นประจำเพราะบ้านเขาอยู่หลังวัด เห็นเป็นบ่อยๆ อะไรอย่างเนี๊ยะ แล้วไอ้..เมรุนี่ก็อยู่ใกล้ป่าช้า ทางเพชรบุรีเขานิยมฝังไว้ตามพื้น เขาไม่มีโกดังเก็บศพ หลวงปู่เลยบอกว่ามันเป็นเรื่องราวที่คิดกันเองหรือเปล่า เพราะว่าในร่างกายมนุษย์นี่มีสารฟอสฟอรัส ซึ่งมันเป็นสารเรืองแสง เมื่อคนเราตายไปร่างกายก็ย่อยสลายผุพัง เนื้อหนัง..ผิว..เนื้อ..ผม..เล็บ..กระดูก ก็ย่อยสลายรวมตัวกันเป็นธาตุฟอสฟอรัสซึ่งเรืองแสง ฟอสฟอรัสก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน…
    ในตอนกลางคืนเนี่ยะบรรยากาศข้างบนมันไม่หนาแน่นเหมือนตอนกลางวัน อากาศตอนกลางคืนเนี่ยะมันจะเบาบางลง เช่น ความร้อนลดลง ความเย็นจะแทนที่ ส่วนในตอนกลางวันอากาศบนดินจะร้อนสะสมเข้ามันก็จะเป็นตัวประสานผลักดันให้ฟอสฟอรัสซึ่งเป็นสารเรืองแสงเนี่ยะ ลอยขึ้นมาจากพื้นดิน และลอยไปในอากาศ ซึ่งหลวงปู่ก็อธิบายกับเขาอย่างนี้ ทั้งๆที่หลวงปู่รู้ว่ามันเป็นอะไรแค่ไหน…อย่างไร แต่เราต้องมีวิทยาศาสตร์อยู่ในหัวใจก่อน เมื่อก่อนหลวงปู่สร้างวัดใหม่ๆ 7 ปีที่แล้ว ตอนที่โรงครัวยังเป็นกระต๊อบเล็กๆ ชาวบ้านก็ทำนาอยู่แถวศาลาเนี่ยะ หลวงตาสนิทกับเณรองค์หนึ่ง เขาสึกออกไปแล้ว ชื่อเณรจก กลางคืนเขาเห็นดวงไฟสีม่วงๆกลมๆ ลอยผ่านยอดข้าว และเลยไปที่กุฏิที่หลวงปู่นอนอยู่ เขาบอกว่าจะเป็นชาวบ้านหาปลา..ก็ไม่น่าใช่ เพราะแถวนั้นมันเป็นนาข้าวทั้งนั้น พอตื่นเช้าก็พากันไปดู ก็ไม่เห็นว่ามีรอยตีนคนเดินเลย เพราะนาข้าวนี่เวลาคนเดินหรือเหยียบมันก็ต้องปรากฎรอยขึ้นมา แต่ผลปรากฎว่ามันไม่มีรอยอะไรเลย ไม่มีรอยยุบเลย…
    เขาก็ถามหลวงปู่ว่า…ไอ้ดวงไฟที่สีทองม่วงๆเนี่ยะมันคืออะไร มันมาอย่างไร..มันลอยไปอย่างไร อยู่ดีๆมันก็ลอยไปทางกุฏิหลวงปู่ แล้วก็หายไปเลย หลวงปู่ก็อธิบายให้เขาฟังว่า ที่ตรงนี้อาจเคยมีคนมาตายหรือเป็นที่ฝังศพมาก่อน มีซากศพมาก เลยกลายเป็นว่าเป็นที่สะสมของฟอสฟอรัสจำนวนมาก แล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน พอถึงเวลาอากาศบนพื้นโลกเบาบาง เย็นลง แต่ความร้อนข้างในมี มันก็จะผลักดันเอาฟอสฟอรัสเหล่านั้นลอยขึ้นมาจากพื้นดินที่ร้อน ทำให้เกิดการเรืองแสงแบบหิ่งห้อย จริงๆมันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่เราต้องบอกตัวเราเองก่อนว่า..เราต้องมีเหตุมีผล ทำอะไรให้มันมีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่าเขาบอกอะไรเรา เราก็เชื่อเขาไปหมด เราเชื่อการกลับชาติมาเกิดมั๊ย!
    อย่างคนที่ตายแล้ว..แล้วกลับชาติมาเกิดเป็นหมาน่ะ..เชื่อมั๊ย! หมากลับชาติมาเกิดเป็นคน เชื่อมั๊ย! แล้วทำไมถึงเชื่อ… เคยเห็นหมาเกิดเป็นคนเรอะ! หลวงปู่ถามมึง ไม่ใช่มึงถามกู หลวงปู่ไม่ได้บอกว่าเชื่อเมื่อไม่เคย..แล้วทำไมถึงเชื่อ..เมื่อสมัย 10 กว่าปีโน้น หลวงปู่ไปธุดงค์อาศัยเรือกำปั่นเขามาจากนครสวรรค์ มาลงที่บางปะอิน..จังหวัดกรุงศรีอยุธยา เรือกำปั่นเนี่ยะมันบรรทุกหมูมาถึงวัดนิเวศธรรมประวัติ ทีนี้เนี่ยะหมูเขาจะนำไปฆ่า ไปเข้าโรงฆ่าสัตว์ที่คลองเตยเนี่ยะ เป็นหมูที่ล่องมาจากทางเหนือ เขาก็ได้ยินเสียงหมูร้องตอนกลางคืนนี้ ร้องอู๊ด..อี๊ด กันดังลั่นไปทั่วคลองไปหมด หลวงปู่ก็เลยไปปลุกเจ้าของหมู ซึ่งเขาเป็นคนจีน พ่อแม่เขาเนี่ยะ เลี้ยงหมูมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จนร่ำรวย หลวงปู่ก็บอกเขาว่า..ปู่มึงน่ะอยู่ในก๊อหมูให้มาดู เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็พาพวกบริวารถือไฟฉายดูในก๊อหมู ผลปรากฏว่าเขาก็เจอหมูตัวหนึ่ง แต่มีหัว..หน้าเป็นคน มีผมเปียด้วย และเขาร้องว่า อย่าส่งเขาไปโรงฆ่าหมูเลย เมื่อตาแป๊ะนี้ได้ยินเสียง ก็จำได้ว่านี่เป็นปู่ของตน ที่เคยเลี้ยงหมูในอดีต พอตายไปมาเกิดเป็นหมูให้เขาฆ่าอีก เขาก็ก้มลงกราบปู่ของเขา และก็ถามปู่ว่า ทำไมถึงมาเกิดเป็นหมูได้ ปู่เขาก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อตายไปแล้วพอดีมีหมูแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งกำลังท้องแก่ กำลังจะคลอดลูก ปู่ก็กำลังใกล้ตายพอดี ปู่ก็ดันไปคิดถึง..นึกถึงหมูตัวนั้นเข้า และก็นึกว่าหมูตัวนี้น่ะมันพันธุ์ดี กรมเกษตรเขาส่งมาให้เลี้ยง และเวลานี้ตัวเองกำลังจะตาย และยังไม่ทันได้เห็นลูกหมูเลย พอตายวิญญาณก็เข้าไปอยู่ในท้องหมู จนเกิดออกมาโตขึ้นเขาก็เลี้ยงแบบหมูๆมาตลอด จนกระทั่งโตใหญ่แล้วเขาก็จะนำมาฆ่า ในขณะที่เรือบรรทุกหมูกำลังผ่านปากน้ำโพ เผอิญ..หลวงปู่ก็กำลังโดยสารเรือแถวนั้นพอดี เพื่อจะโดยสารเรือจากบางปะอิน เข้ากรุงเทพ ปู่ตาแป๊ะก็พอดีเห็นหลวงปู่เข้า และแผ่เมตตาให้ด้วย ตัวเองก็เลยระลึกได้ว่า ตัวเองเคยเลี้ยงหมูมาในอดีต แต่ระลึกได้เฉพาะหัว ก็เลยเล่าให้ลูกได้ฟังว่าทำไมถึงเกิดมาเป็นหมูได้ และก็ขอร้องลูกว่าให้เลิกฆ่าหมูเถิด การทำลายชีวิตคนอื่นเนี่ยะ..ไม่ดี และตาแป๊ะก็บอกอีกว่า ที่นอนอยู่เต็มไปหมดในเนี่ยะ เป็นญาติเราทั้งนั้น เป็นลุง..ป้า..น้า..อา..หลาน..พี่..น้อง ดังนั้น เจ้าลูกชายเมื่อได้เห็นดังนี้แล้ว เขาจึงปล่อยหมูทั้งลำเรือให้เข้าไปในวัดนิเวศธรรมประวัติ วัดนิเวศธรรมประวัติเป็นวัดที่รัชกาลที่ 4-5 สร้างขึ้น
    ฉะนั้น ถ้าจะถามหลวงปู่ว่า เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม เป็นเรื่องจริงไหม อยากจะบอกว่าเท่าที่เห็นมากับตามันก็น่าเชื่ออยู่หรอกว่าถ้าเราทำดี ตายไปเราก็ไปเกิดในที่ดี ถ้าทำชั่วอัปรีย์ ตายแล้วก็จะเกิดในที่กาลี เกิดในที่ไม่ดี เราทำกรรมอย่างไร เราก็จะไปเกิดในที่อย่างนั้นๆ เช่น ถ้าเราทำกรรมกับพ่อแม่ อกตัญญูไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ เกิดชาติหน้าก็จะเกิดเป็นควายให้เขาใช้ไถนา ใช้หนี้ให้เขา เพราะตอนที่เป็นคนเนี่ยะอกตัญญู เถียงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ พ่อแม่เป็นผู้ที่ควรเคารพบูชากราบไหว้ของเรา และถือว่าเป็นเจ้าหนี้ของเรา มีโอกาสควรทดแทนใช้หนี้ท่าน แล้วน้องหนูรู้ไหมวิธีชดใช้หนี้พ่อแม่ทำอย่างไร มีอะไรบ้าง ไม่ทราบ…จะบอกให้ นอกจากจะเชื่อฟังถ้อยวลีของพ่อแม่แล้ว ก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ และทำตนเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทพ่อแม่ที่ดี…และช่วยงานบ้านบ้างที่มีโอกาส หมั่นทำบ่อยๆ นี่คือวิธีที่จะทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ไม่ใช่คอยเถียงทุกคำพูดที่ท่านสอนเรา ไม่ใช่เป็นคนที่คอยกระฟัดกระเฟียดกระทืบเท้าปังๆ ไม่ดุด่าพ่อแม่ ไม่เป็นคนชอบลักเล็กขโมยน้อยของๆที่เป็นของพ่อแม่ นี่คือวิธีทดแทนพ่อแม่ และวิธีที่ดีที่สุดที่พระพุทธเจ้าบอกก็คือ การเข้ามาบวชในพุทธศาสนา ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยให้เห็นผล และมีดวงตาเห็นธรรมตามเราด้วย ถือว่านั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการทดแทนพ่อแม่ เขาว่ากันว่าถ้าพ่อแม่กำลังจะตกนรกในขณะที่เรากำลังบวชอยู่ ผลบุญที่ลูกทำอยู่จะช่วยให้พ่อแม่ไม่ตกนรกได้ จึงถือว่าการบวช ปฏิบัติธรรม อบรม และตั้งใจทำดี เป็นวิธีทดแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ดีที่สุดในโลก แต่ถ้าไม่ทำทุกเรื่อง ไม่ทำซักอย่าง ที่หมายที่จะไปก็คือ ท้องวัว ท้องควาย
    เรื่องแบบนี้หลวงปู่เคยเจอเมื่อปี พ.ศ. 2512 ที่ตำบลบางบ่อ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มีควายเผือกตัวหนึ่งท้องแก่ ในวันที่เขามีการจัดงานบวชนาคกัน แต่จริงๆแล้วนาคที่จะบวชน่ะ ความจริงเขาไม่ได้อยากบวชหรอก แต่แม่ก็ไปขอร้องอ้อนวอนว่า พ่อเนี่ยะกำลังป่วยนะ พระท่านก็บอกว่าให้ลูกคนใดคนหนึ่งบวช เผอิญเขามีลูกคนเดียว ลูกก็อยากจะมีเมีย เที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา ไม่อยากจะบวช แม่ก็ขอร้อง…บวชเถอะลูกพ่อจะได้หายป่วย จะได้ผลบุญจากลูกอุทิศผลบุญให้พ่อ รักษามาหลายที่แล้วไม่หายสักที ลูกก็ไม่ยอมบวช จนแม่ก็ต้องบอกว่า สมบัติทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมด บ้านสวน ไร่นา เงินทอง จะยกให้ทั้งหมด แม่จะไปอยู่วัด ลูกถึงยอมบวช เห็นไหมว่า แม่สู้อุตส่าห์อุ้มท้องมา เลี้ยงดูมัน กว่าจะคลอดออกมา พอโตที่จะพึ่งได้ แหมมันไม่ยอมให้ความช่วยเหลือเลย แถมเนรคุณจะไล่พ่อแม่ออกจากที่ดิน ตัวเองจะได้ครอบครองที่ดินสมบัติ เพราะแลกกันว่าถ้าหากว่าขายที่ดินซึ่งตอนนั้นเขามีโรงสีเขาอยากจะซื้อที่ดิน ตายายสองคนนี่ไม่ยอมขาย ก็เลยไปเอาลูกมาเลี้ยงดู เถ้าแก่โรงสีก็เอาลูกชายมาเลี้ยงดู เล่นการพนันติดหนี้ติดสิน จนลูกบังคับให้พ่อแม่ขายที่ดิน พ่อแม่ก็อยากให้ลูกบวช เลยแลกเปลี่ยนกับพ่อแม่ว่าบวชก็ได้ แต่ต้องขายที่ดิน พ่อแม่ก็บอกว่าก็ได้ ขอให้ลูกได้บวชเถอะ จะได้เกาะชายผ้าเหลือง ได้เห็นผ้าเหลืองลูก เกาะชายผ้าเหลืองไปสวรรค์ จะได้ไม่ตกนรก และอยากให้ลูกได้ทำความดี สิ่งที่เขาทำกับพ่อแม่ในขณะที่มีชีวิตอยู่ นอกจากกินเหล้าแล้ว พอขอเงินพ่อแม่และไม่ได้ก็ทุบตี ทำลายข้าวของ จนพ่อล้มป่วยตรอมใจ แม่ก็ต้องทนทู่ซี้อยู่ดูแลพ่อแม่ ลูกก็ผลาญสมบัติพ่อแม่จนหมด จนต้องขายสมบัติชิ้นสุดท้าย แล้วมาบวช ในวันบวชนาค มีควายเผือกท้องแก่ กินหญ้าอยู่ในนา นาคก็แน่มาผ่านหน้าควายซึ่งท้องแก่ตัวนี้ รู้ไหม..มันทำอย่างไร…มันวิ่งมาอย่างเร็วและแรงยิ่งกว่ารถสิบล้ออีก แล้วมันเอาเขานี่เสยเข้าไปที่ท้องของนาค นาคตายคาเขาควายเลย แล้วในวันที่ควายจะออกลูกนั้นน่ะ สิ่งที่คนทั้งหลายในอำเภอบางพลี ตำบลบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการได้เห็นก็คือ หน้าของลูกควายไม่ใช่ควาย แต่มันเป็นหน้าของไอ้ลูกชายที่บวชนาคนั่นเอง ออกมาร้องแม่ๆแม่ๆแม่ๆ เคยได้ยินควายร้องมั๊ยๅ ไหนลองร้องซิ..เออ..มึงร้องได้เหมือนกว่ากูอีก แสดงว่า..ใช่..ควายมาเกิด รู้มั๊ยทำไมมันร้องแม่..แม่..แม่..ก็เพราะสมัยเป็นคนมันอกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน พอเกิดเป็นควายก็คิดถึงเลยร้อง แม่..แม่..แม่ ไง พอสำนึกได้ก็ร้องหาแม่ให้มาช่วย พอออกมาแล้วอะไรเกิดขึ้นรู้มั๊ย…ฟ้าผ่าลูกควายตายอีก เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังอยู่ไม่ได้เลย..ยังไม่มีสิทธิ์เกิดมาเลย ธรณียังพิโรธเลย ฟ้าผ่าดำเป็นตอตะโก อยู่ได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมงเลย ร้องเรียกแม่ได้ไม่ถึง 4 คำก็ตาย คนทั้ง ตำบลบางพลี อำเภอบางบ่อ เห็นกันทั้งนั้นว่าไอ้นี่คือลูกชายที่บวชนาคแล้วโดนควายขวิดตาย ทีนี้ถ้ามันไม่ตาย..จะทำอย่างไร..หลวงปู่มองว่าถ้ามันไม่ตาย มันก็ต้องโดนเขาใช้ไถนาจนตาย…ควายนี่..มันพูดไม่ได้ ก็จะโดนเขาใช้ไถนา โดนแดดโดนฝนไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ใดๆ เขาให้กินแต่หญ้า ตกกลางคืนโดนต้อนเข้าคอก นอนตากยุง ยุงจะกัด..ริ้นจะไต่..ไรจะตอม ก็ไม่มีใครสนใจดูแล ร้อนก็ร้อน..หนาวก็หนาว..เหนื่อยก็เหนื่อย..หิวก็หิว..กระหายน้ำก็ไม่ได้กิน เพราะพูดไม่ได้ มีหน้าที่ไถนาใช้หนี้เขาเท่านั้น ทีนี้พอแก่ตัวลง ทำงานไม่ได้ เขาจะเลี้ยงไว้มั๊ย!..ก็ไม่เลี้ยง หมดประโยชน์ เขาก็เอาไปฆ่า เอาเนื้อทำลูกชิ้น เอาหนังไปทำอย่างอื่น ทำเนื้อเค็ม
    ฉะนั้นลูกทรพี อกตัญญู ไม่เชื่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ จะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น หลวงปู่เห็นมากับตา…เห็นมาเยอะแยะ..อีกเรื่องหนึ่งก็ได้ เมื่อปี พ.ศ.2526 ก็มีทิดคนหนึ่งเขาเคยบวชกับหลวงปู่ ก็ช่วยทำอะไรๆต่ออะไร แล้วก็สึกออกไป เขามีหลานคนหนึ่งชื่อไอ้สมชาย เขาป่วยเป็นโรคทางสมองตอนอายุ 10ขวบ เขาก็เข้าผ่าตัดสมอง เปิดกระโหลกหมดแล้วเย็บ เขาผ่าตัดนั่นแหละ แล้วก็เพ้อว่า..ผมไม่ทำแล้วครับแม่..ผมผิดไปแล้ว..ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำอีก พ่อแม่ก็คิดว่า เอ..ตั้งแต่ลูกเราเกิดมาเนี่ยะก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนะ เพราะตลอดเวลาก็ป่วยมาตลอด คือเป็นโรคทางสมอง แต่วันนี้มันทำไมมันพูดรู้เรื่องเป็นงานเป็นการ พ่อแม่ก็เลยคิดว่าลูกละเมอ ลูกก็ยังพูดไปเรื่อยเปื่อย พ่อแม่ก็เฝ้ามองดู ผู้เป็นพ่อ ก็เลยถามว่า..สมชายทำไมพูดอย่างนี้ล่ะลูก..ลูกไม่เคยทำอะไรต่อพ่อต่อแม่ ลูกบอกว่า..ไม่จริงครับ เมื่อก่อน..ลูกก็เล่าให้ฟัง เขาก็เล่าเลย..เล่าทั้งๆที่ป่วยอยู่นั่นแหละ ว่าเมื่อก่อนนี้ทั้งที่ตัวเองเกิดในชาติก่อน เคยโมโหถึงกับสุดขีดหยิบไม้ตีหัวแม่ไป 1 ที หลังจากแม่ด่าเรื่องอะไรไม่รู้ หลังจากนั้นตัวเองเกิดมาอีกทีผลกรรมนั้นทำให้ตนกลายเป็นคนปัญญาอ่อน สมองก็โตผิดปกติ ให้หมอผ่าตัดสมอง จะช่วยลดความโตของสมองลงเพราะน้ำในสมองเยอะทำให้สมองบวมโต ก็จะดูดน้ำในสมองออก แต่ตัวเองก็ร้องว่าปวดหัวตลอดทรมานมาโดยตลอด ตั้งแต่ 1 ขวบจน 10 กว่าขวบ มีแต่ความทรมาน แล้วถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา เขาก็เล่าให้พ่อกับแม่ในชาติปัจจุบันนี้ฟังว่า เขาระลึกชาติได้ว่า เมื่อก่อนเขาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ชาย เกิดอยู่แถวๆจังหวัดอุทัยธานี เลี้ยงดูแม่แก่ๆไว้คนหนึ่ง ส่วนตัวเองก็ไปจีบผู้หญิง แต่ว่าแม่เนี่ยะไม่ชอบผู้หญิงคนเนี้ยะ เพราะค่อนข้างเป็นคนไม่ทำมาหากิน และผู้หญิงก็ชอบทำตัวเป็นคนไม่ดี ทำตัวน่ารังเกียจ ชนิดที่ว่าผู้หญิงดีๆเขาไม่ทำกัน ทำตัวให้สังคมตราหน้าได้ ตัวแม่ก็ไม่อยากได้มาเป็นลูกสะใภ้ ส่วนลูกชายก็รักหัวปักหัวปรำ ไม่เชื่อแม่ เถียงแม่ จนมีอยู่วันหนึ่ง ลูกชายก็พาผู้หญิงคนนี้เข้าบ้านมาเที่ยวในบ้าน แม่ก็ว่าและขับไล่ ลูกชายก็เกิดโมโหสุดขีดเลยคว้าไม้ตีหัวแม่ไป 1 ที แม่ก็สลบอยู่ตรงนั้น จนเพื่อนบ้านต้องมาดูแลและปฐมพยาบาลในที่สุดแม่ก็ตาย เพราะว่าเลือดคลั่งในสมอง ลูกชายก็โกหกกับชาวบ้านว่า แม่ตกบันไดลงมาตายเอง ส่วนตัวเองก็กลับมาเกิดใหม่ หลังจากชาตินั้นแล้วตัวลูกชายก็กลับมาเกิดในท้องแม่ค้า ซึ่งเป็นพี่สาวของทิดตี๋เนี่ยะ อยู่กรุงเทพนะ จากอุทัยธานีมาเกิดในกรุงเทพ และตัวเองระลึกชาติได้ ก็เล่าให้พ่อแม่ในชาติปัจจุบันฟัง..ไอ้ทิดตี๋ ซึ่งเคยบวชอยู่กับหลวงปู่ที่วัดอ้อน้อยเนี่ยะ เขาก็เลยมาหาหลวงปู่ให้ช่วยนำทางหลานชายเขาที หลวงปู่ก็บอกว่าให้ไปตัดผมกับเล็บเด็กสมชายมาดู เขาก็ตัดมาให้ดู พอหลวงปู่ดูแล้วก็บอกกับมันว่า…อีก 3 วัน มันจะหมดอายุไข คือมันจะตาย เอ็งเอาเทียนนี้..หลวงปู่ก็เขียนยันต์ลงบนเทียนแล้วบอกให้มันจุด..จุดแล้ววางตรงหัวนอน และให้บอกหลานมันว่า บนหัวมันเนี่ยะมีแสงสว่างให้มันเดินตามแสงสว่างนี้..เดินไปแล้วมันจะพ้นจากกรรมชั่วที่มี…
    เพราะฉะนั้น..การทำตัวเป็นลูกที่ดี..กตัญญู..เชื่อฟังพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนเป็นหน้าที่ของน้องหนูทั้งหลายที่ควรทำ น้องหนูรู้มั๊ย การบวชครั้งนี้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้มั๊ย..ยังไม่ได้..เพราะอะไรรู้มั๊ย..ก็เพราะเรายังไม่ได้ทำดีถึงจริงๆ ถ้าเมื่อใดที่เราสมัครใจทำดีจริงๆถือว่าเราทดแทนบุญคุณพ่อแม่ แต่พวกเรายังทำดีไม่จริง ทำดีนิดๆดีแบบน้ำจิ้มหก ก็ยังไม่ถือว่าเราได้ทดแทน แต่ก็ถือว่าเราได้ทดแทนคือยังมีใจที่จะทดแทน..ก็ใช้ได้ แต่ยังไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราต้องการทดแทนบุญคุณของท่านจริงๆ เราก็ต้องตั้งใจที่จะทำความดี ฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นคนดีแล้วก็ทำหน้าที่ในความเป็นสามเณร..สมณะ..นักบวช..แล้วก็พระ จึงถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ช่วยให้พ่อแม่ไม่ไปตกอยู่ที่อบายภูมิ หลวงปู่อยากจะเล่าเรื่องที่เคยไปเจอ..ค่างสีแดงเพลิง
    หลวงปู่ไปเจอค่างสีแดงเพลิงตัวนี้ที่จังหวัดสุราษฎ์ธานี ตอนที่หลวงปู่กลับจากประเทศมาเลเซียแล้ว หลวงปู่เจอที่ถ้ำ ไอ้ค่างตัวเนี่ยะมันเป็นเปรตค่าง คือสมัยอดีตค่างตัวนี้เคยเป็นเณรมาก่อน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี แต่เคยเอาหนังสติ๊กยิงลูกค่างที่เกาะอยู่กับอกแม่มันหล่นตกลงมาตาย สุดท้ายตัวเองเกิดมาเป็นเปรตค่าง ก็ไม่เคยลืมว่าอดีตชาติเนี่ยะตัวเองเคยเป็นมนุษย์มาก่อน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ก็เลยอยากกลับบ้านไปหาพ่อแม่ แต่ลิงกับค่างเนี่ยะมันไม่ถูกกัน ไอ้ค่างก็เลยถูกลิงรุมกัดตาย เน่าเป็นแผลเหวอะหวะไปหมด เมื่อตายไปแล้ว ก็เที่ยวร้องกรี๊ดๆ ขอผลบุญจากญาติ จนหลวงปู่ไปพบเข้า..เอาไว้เล่าโอกาสต่อไปแล้วกัน..หมดเวลาแล้ว..ไปพักกัน
    หลวงปู่ทุ่มเทให้กับงานชิ้นนั้นๆทุกส่วนของร่างกาย โดยที่ไม่มีเรื่องอื่นใดๆ เข้ามาวุ่นวายต่อมันเลย ฉะนั้นจึงจะถือได้ว่าเราเป็นผู้ที่ใช้สมาธิถูก ใช้สมาธิเป็น ฝึกสมาธิถูก แต่ถ้าเรากำลังอ่านหนังสือเพื่อไปสอบ..เปิดวิทยุฟังเพลง..ลูกกะตาดูทีวี..ไอ้มือก็กดเกมส์เล่นเผลอๆก็แว่บดูหนังสือทีนึง ถ้าอย่างนี้ก็ถือว่าเราใช้สมาธิไม่เป็น..ไม่ถูก อย่างนี้จะดีได้อย่างไรล่ะ..ลูกมันก็กลายเป็นคนโง่ แล้วจะทำอย่างไรได้สำเร็จ ชีวิตเราก็ล้มเหลวตลอดกาล ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่เคยทำอะไรล้มเหลว พวกเราก็สามารถทำได้ โดยการต่อไปนี้ทำอะไรก็ต้องตั้งใจ เห็นมั๊ย..มีหลายคนที่ไม่ตั้งใจฟัง เพราะอะไรล่ะ..เพราะเราไม่รู้ว่าตัวเราเองกำลังฝึกสมาธิ ลืมตัวเราไป หลายคนนั่งเล่น..นั่งหลับ..แหย่กันมั่ง แสดงว่าเรากำลังปฏิเสธการเรียนรู้ การมีชีวิตที่มีสาระ ทีนี้เราไม่ยอมรับ..ปฏิเสธมัน อะไรจะเกิดขึ้นตามมา..ที่ครูบาอาจารย์เขาดุด่าว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนเรา ตำหนิ เฆี่ยนตีเรา เพื่อต้องการให้เรามีสาระในชีวิต เป็นคนดีเท่านั้นแหล่ะ เขาไม่ต้องการให้เราเป็นอะไรเลย และเขาก็ไม่ได้อะไรจากเราด้วย พวกเราได้ทั้งหมด ได้ด้วยตัวเอง และก็มีประโยชน์ต่อตัวเอง ฉะนั้นเมื่อกี้ที่เราบอกหลวงปู่ว่า กำลังฝึกสมาธิ ต่อไปนี้พระพี่เลี้ยงเขาก็จะคอยเตือนเรา แรกๆเขาจะไม่ตีพวกเราไม่ทำโทษ แต่ต่อไปถ้าเรายังพนมมืออย่างนี้..ยังแหย่คนนั้นคนนี้ แล้วเวลานั่งสมาธิ..เรียนหนังสือไม่ใส่ใจ..หรือเวลาไปบิณฑบาตรยังแต่งตัวไม่เข้าท่าอย่างนี้อยู่ ไม่สะอาดเก็บล้างอะไรก็ไม่เรียบร้อยอย่างนี้ ถือว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัญลักษณ์ของคนมีสาระในชีวิต ไม่ใช่เป็นเรื่องเป็นราวของคนดี ไม่ใช่เป็นเรื่องเป็นราวของคนมีสติ ไม่ใช่เป็นเรื่องเป็นราวของคนรู้เนื้อรู้ตัว แต่เป็นเรื่องเป็นราวของคนเลว ไร้สาระ ขาดสติ ฉะนั้นพระพี่เลี้ยงจะเตือนให้เราเป็นคนไม่บ้า ไม่ขาดสติ มีสาระชีวิต เราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิชาเล่มใดๆ ตราบใดที่เรายังเป็นคนบ้าครึ่งหนึ่งดีครึ่งหนึ่ง แม้แต่ความคิดของตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะคิดอะไรที่มันได้ประโยชน์ แล้วเราจะมีหน้าไปคิดอะไรที่มีประโยชน์ แม้แต่การเรียน คงเรียนแบบงูๆปลาๆ แล้วท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง โดยไม่เข้าใจแม้แต่บทเรียน สอบได้ก็เพราะคุณครูเขาดันให้ขึ้น หรือไม่เพราะเป็นลูกท่านขุน..ขุนชำเลือง ชำนาญดู รู้จักไหม ขุนชำเลือง ชำนาญลอกน่ะ ฉะนั้น ไม่น่าภาคภูมิใจเลย..ลูก
    สมัยหลวงปู่บวชใหม่ๆเนี่ยะ หลวงปู่ไม่ใช่ลูกขุนชำเลืองลอก หลวงปู่เป็นลูกขี้ข้า วิธีหลวงปู่ทำยังงัย! เวลาหลวงปู่อ่านหนังสือเนี่ยะแม้แต่ผิวหนังก็สัมผัสตัวหนังสือ เขามีเวลาให้สอบวิชาที่สอบเนี่ยะแต่ละวิชามีเวลาสอบ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่หลวงปู่ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่คนอื่นๆเนี่ยะนอนดึกอ่านหนังสือ หลวงปู่นอนหัวค่ำ ตื่น 6 โมงเช้าอาบน้ำอาบท่า ฉันอาหารเช้า แล้วก็ไปเข้าห้องสอบ หนังสือก็ไม่ได้พกไปซักเล่ม มีเพียงปากกา ไม้บรรทัด พอเขาแจกข้อสอบหลวงปู่ก็อ่านปุ๊บ แล้วก็เขียนคำตอบในกระดาษคำตอบ ตอบเสร็จก็ทวนอีก 1 รอบ ข้อสอบ 20 ข้อ ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีดี เพราะอะไรรู้มั๊ย! ก็เพราะว่าเวลาหลวงปู่อ่านหนังสือ ชีวิตและวิญญาณอยู่ที่หนังสือ เข้าใจมัน..รู้จักมัน..มันรู้จักเรา ไม่ใช่ดูทีวีเล่นเกมส์กด..ฟังเพลงพร้อมการอ่านหนังสือ แล้วสอบได้ที่ 1 ในสนามหลวง สมัยก่อนพระทั่วประเทศจะมาสอบที่สนามหลวง หลังจากกลับจากสอบ หลวงปู่ก็อาบน้ำอาบท่า..กวาดลานวัด และก็พักผ่อนสบาย..สบาย แล้วก็เอาหนังสือที่จะสอบวันพรุ่งนี้มาดูสักนิดนึง แล้วก็เก็บหนังสือเตรียมตัวไปสอบวันพรุ่งนี้ต่อ ทำไมถึงทำได้อย่างนี้ ก็เพราะว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา 1 ปี หลวงปู่อ่านหนังสือมาโดยตลอด ไม่หยุด อ่านชนิดที่มันอ่านเรา เราอ่านมัน เราอ่านเรา รู้แม้กระทั่งตัวหนังสือมีลายเส้นหนักเบา ไม่ใช่อ่านอย่างหนัก แต่อ่านแบบสบายๆมาตลอด 1 ปีเต็ม ไม่โหมอ่านหนังสือเอาตอนใกล้สอบ ถ้า..งั้นแล้วอะไรเกิดขึ้น..ก็ต้องพึ่ง ยาอี..ยาขยัน..ยาม้า..ยาบ้า ทั้งหลาย เพื่อให้ตัวเองตาตื่นขยันอ่านได้นานๆ สอบแล้วก็ตก ร้องไห้ เสียใจ ที่เราเป็นอย่างนี้ก็เพราะ เราใช้สมาธิไม่เป็น ไม่รู้จักสมาธิ ไร้สาระ ไม่รู้จักคำว่า วิญญาณพุทธะ ชีวิตเฟอะฟะเปรอะเปื้อน อยู่ว่างๆก็คิดมันซะร้อยเรื่องพันเรื่อง หลวงปู่ไม่เคยคิดเป็นร้อยเรื่องพันเรื่อง เรารู้มั๊ย! เวลาหลวงปู่ใช้เวลาคิดแปลนต่างๆภายในวัดเนี้ยะ เขียนแปลนวางรากฐานของวัด ทิศทางของวัด หลวงปู่ไม่ใช้เวลาแบบเป็นเดือน..เป็นปี..เป็นวัน แต่ใช้ทุกขณะโดยใช้เวลา 5-6 นาที ก็สามารถวางแปลนวางรากฐานของวัดได้ และหลวงปู่ใช้เวลานี้ตอนนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย..ใช้เวลาเขียนแปลนไม่ใช่แสดงความเป็นอัจฉริยะ แต่กำลังแสดงให้เห็นว่า ชีวิตที่มีสาระมันมีประโยชน์เสมอ ใช้ชีวิตให้เป็น ใช้ชีวิตให้ถูก และหมั่นที่จะฝึกตัวเองอยู่เสมอให้มีสาระ งั้น..ต่อไปนี้เวลาพวกเราทำอะไรให้ระวังตัวเองอยู่เสมอ ว่ามีคนแอบมองเราอยู่นะ ภายใน 2-3 วันแรกเขาจะไม่ทำโทษ จะเตือนพวกเรา เขาไม่ตีพวกเราเพราะความโกรธหรือเกลียดพวกเรา แต่จะตีด้วยความเอื้ออาทร เพื่อจะเตือนเราให้เป็นผู้มีความรู้เนื้อรู้ตัวในการมีชีวิต มีสาระ ได้ชีวิตที่เป็นสาระ
    ที่ญี่ปุ่นเวลาเขาฝึกเซนนั่งสมาธิ ถ้าหากว่าในขณะที่สวดมนต์ก็ดี ไหว้พระก็ดี นั่งสมาธิก็ดี หรือเรียนหนังสือก็ดี เค้าจะมีอาจารย์เซนเนี่ยะ เดินถือไม้ซึ่งเป็นไม้ไผ่ทั้งต้น แต่เอามาสับๆเป็นท่อนๆผ่าซีกละเอียดๆ เดินสำรวจลูกศิษย์ ถ้าอาจารย์เห็นลูกศิษย์คนไหนกำลังจะเหลวแหลกไร้สาระ อาจารย์ก็จะประเคนไม้ไม้ไผ่ลงกลางหลังดังสนั่น แทนที่ลูกศิษย์จะโกรธกลับกล่าวขอบคุณอาจารย์ที่เตือนสติ เป็นผู้มีใจอารี แต่เราจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก..ไม้หน้าสามเลย..เพราะไม้ไผ่มันหักง่าย เล่นไม้หน้าสามหรือท่อนซุง ดีไหม… สงสัยเหยื่อจะมาแล้วแหละ หิวแล้วเนี่ยะอาหารเหยื่อมาแล้วเน๊ะ งั้นก็..เราทำวิธีนั่งให้มีสาระสัก 3 นาทีดูซิ นั่งให้แบบเป็นผู้มีความรู้เนื้อรู้ตัวทั่วพร้อม นั่งแบบชนิดที่เราเป็นผู้สะอาด สว่าง สงบ นั่งแบบสมถะคือผู้สงบ โดยที่เราไม่ต้องไปสนใจว่า ใคร..อะไร..ที่ไหน..อย่างไร..เมื่อไร ไม่ต้องมองคนอื่นๆสิ่งอื่นๆ คนที่ยังนั่งเอามือเท้าคางอยู่น่ะฟังไม่รู้เรื่องเรอะ..ชื่ออะไร..เณรชื่ออะไร..พูดกับพระทำอย่างไร..เมื่อครู่นี้ไม่ได้ยินหลวงปู่สั่งเหรอ..หรือไม่รู้เรื่อง..รู้เรื่องแล้วทำไม..สมองไม่สั่งงานเหรอ หรือสมองเฉื่อยชาหรือเป็นคนที่ค่อนข้างจะเฉื่อยชาเหรอ..ไม่ใส่ใจชีวิตตัวเอง หลวงปู่ไม่ได้สอนให้เราเป็นคนกลัวนะแต่สอนให้เราเป็นผู้กล้าผู้ฉลาด และการที่ให้เรานั่งก็เพื่อให้เรานั่งแบบเต็มใจ สมัครใจ ไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ให้นั่งโดยอิสระ โดนสถานะของตัวเราเอง ว่าเราจะนั่งอย่างไร แล้วให้นั่งดีๆ…
    เมื่อครู่นี้พวกเรามาขอศีลหลวงปู่กัน ปกติแล้วหลวงปู่ไม่ให้ใคร เพราะศีลเนี่ยะเป็นเรื่องเป็นราวของความศักดิ์สิทธิ์ และศีลที่ขอกันก็เป็นศีลที่ท่องจำ ไม่ใช่ศีลกระทำ ฉะนั้นไม่ต้องขอ และอะไรคือศีลที่ลงมือกระทำ ก็คือ ข้อแรกเลย 1.ทำใจเอื้ออาทร การุณย์ มีเมตตา มันก็กำจัดความโหดร้ายของตัวเราที่จะไปฆ่าสัตว์ เราก็จะไม่ฆ่า ข้อ 2.เมื่อไม่โหดร้ายแล้ว ก็อย่าเป็นคนมือไว หยิบฉกฉวยของชาวบ้านที่เขาไม่ให้ คือปล้นสดมภ์เขา ของเล็กของใหญ่ของใครเราก็ไม่หยิบ แล้วก็อย่าทำตนเป็นคนมือบอน ข้อที่ 3. อย่าทำใจตนให้เป็นคนที่ยื้อแย่งของที่เจ้าของไม่ให้ ถึงคิดอย่างเดียวก็ไม่ได้..ลูก สำหรับผู้ใหญ่ เรื่องของกาม การคบชู้สู่ชาย การยื้อแย่ง การแย่งผัว..แย่งเมียกัน..แย่งสมบัติพัสถาน เหล่านี้ถือเป็นการยื้อแย่งทั้งนั้น ฉะนั้นพยายามหัดแสดงตนเป็นผู้ให้เสียบ้าง..เอื้อเฟื้อ..การุณย์..เผื่อแผ่..เสียสละ เราก็จะสามารถรักษาศีลข้อที่ 3 ไว้ได้ ข้อที่ 4. การพูดปด มดเท็จ การพูดใดๆที่ใครๆไม่เดือดร้อน..ได้ประโยชน์ ได้ดีมีสุข จงพูดไปเถอะไม่มีใครว่าหรอก ข้อสุดท้ายข้อที่ 5 อย่าทำตนให้เป็นคนหมดสติ คือจิตใจต้องกล้าแข็ง ไม่หลงใหลในอบายมุข เครื่องดื่ม..น้ำเมา..ของมึนเมา..ยาเสพติดทั้งปวง ก็ถือว่าเราได้รักษาศีลทั้ง 5 ได้ครบสมบูรณ์ สรุปคือ ไม่โหดร้าย..ไม่มือไว..ไม่ใจเร็ว..ไม่พูดปด..ไม่หมดสติ
    ท้ายสุดนี้ หลวงปู่..หลวงพี่..หลวงพ่อ..หลวงน้า..หลวงลุง..หลวงอา และสามเณรตัวน้อยๆก็ไม่มีอะไรที่จะให้นอกจากพรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งใจพนมมือ กรวดน้ำ ว่าตาม… คงเป็นปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายที่หลวงปู่ให้ด้วยความเอื้ออาทรสุดชีวิตว่า สิ่งใดที่พวกเราได้รับการสั่งสอน แนะนำ อบรม จากพระพี่เลี้ยง ก็ขอให้เรานำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และตั้งใจประพฤติปฏิบัติเป็นลูกที่ดี ให้ถูกต้อง ตรงบริสุทธิ์..จำไว้ลูก ทำดีอย่างหวังคำชม แต่ให้ทำดีเพราะต้องการดี ถ้าเมื่อใดที่ไม่ได้รับคำชม เราก็จะระทมทุกข์ แล้วเราจะเลิกดี ท่องได้มั๊ย! ทำดีเพราะอยากดี..ต้องการดี..เพื่อได้ดี หลวงปู่ดีใจที่ท่านเจ้าคณะจังหวัดชมเรา พระทั้งหลายชมเรา และหลวงปู่ภูมิใจที่พวกเราทำดีได้วันนี้และก็ได้ดีอย่างที่คนอื่นเห็นว่าเราดี ไม่ใช่ดีแค่..ขี้แพะก้อนเดียว..ไม้จิ้มฟันอันเดียว แต่เรามีค่ามีราคาเป็น ล้าน..ล้าน..ล้าน..ล้าน..ล้าน..ล้าน..ล้าน..บาท ปกติ ถามลูกหลานหรือคนที่อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่ได้เลยว่า หลวงปู่ไม่เคยชมใคร..จริง..เรื่องจริง มีแต่ด่า..กับ..ด่า เพราะหลวงปู่ถือว่า..คนจริงเขาไม่..ไหวติงต่อคำชม..ไม่นิยมต่อคำนินทาและสรรเสริญ..นั่นคือคนจริง ดีจริงๆมันสิงอยู่ในใจ..ลูก ฉะนั้น..ไม่ค่อยชมใคร ถ้าชมนั่นแสดงว่านั่น.เป็นดี ถ้านั้นก็ต้องชมพวกเราว่า..เนี๊ยบ..เฉียบ ขอให้รักษาดีต่อไปลูก อย่าให้ดีแค่วันนี้..พรุ่งนี้..มะรืนนี้ ให้มันดีต่อๆไปจนถึงปีหน้า เราเริ่มรู้จักมีค่ามีราคา คือเริ่มรู้กาล..รู้เวลา..รู้บุคคล..รู้สถานที่..รู้ประมาณ นี่คือชีวิตดีมีสาระ สมค่าราคาที่อาจารย์พระพี่เลี้ยงเขาพาเหนื่อยยาก อบรมสั่งสอนเรามา พวกเราก็คงปลาบปลื้มดีใจ ยินดี เปรมปรีด์ ไปนอนคืนนี้ก็คงจะนอนน้ำลายฟูมปาก อิ่มอกอิ่มใจ น้ำลายยืด ปกติเณรกลางนี่..นอนได้อัศจรรย์มากไม่รู้เวลานอนนี่ ผ้าจีวร สบง หายไปไหนหมด อยู่ไหนหมด นอนได้อัศจรรย์พันลึกมาก..นา ฉะนั้นเนี่ยะเราได้แสดงค่าของชีวิตเราในวันนี้ ให้พระพี่เลี้ยงดูได้เห็น พวกเขาจะปลาบปลื้มยินดีเพราะตลอดเวลาที่มี ที่สอนดีแก่เรา มันเป็นเรื่องเป็นราวที่ใช้ได้ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่แค่เพียง สอน..สั่ง และให้จบไป พวกเราสามารถนำไปใช้จนกลายเป็นดี ที่มีให้คนอื่นได้ดู เหมือนดังบทโศลกที่หลวงปู่เขียนว่า ลูกรัก..อย่าดูดีของเขาเพียงอย่างเดียว แต่จงเอาดีของเราให้คนอื่นเขาได้ดูด้วย ในวันนี้ เราได้เอาดีของเราให้คนอื่นเขาดู ฉะนั้น เยี่ยม..เฉียบขาดจริงๆ ต้องขอขอบใจพวกเราในวันนี้ ปู่ก็เป็นเพียงผู้นั่งดู คอยเชียร์ให้กำลังใจพวกเรา เสนอแนะชี้นำบางเรื่องบางโอกาส ฉะนั้นเราต้องเอื้ออาทร ใส่ใจ ให้ครูสบายใจแล้วน้าผีก็อย่าไปหลอกครูนะ..คุณโชคก็อย่าทำให้ครูอับโชคนะ..ไอ้แก่ ก็อย่าทำให้ครูต้องแก่ตามมึงนะ ยังมีอีกหลายคน..ไอ้แสบ..ไอ้แซด..ไอ้อะไรก็แล้วแต่เถอะที่ครูพี่เลี้ยงเขาตั้งให้..ตั้งฉายาให้
    สุดท้ายหลวงปู่ดีใจด้วยที่พวกเราเป็นผู้กล้า ทนลำบากตรากตรำ อดทน ตื่นแต่ตี 4 นอน 4 ทุ่ม มาได้ตลอด 1 เดือน เป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งที่เราจะเล่าให้คนอื่นฟัง ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราสามารถทำได้ดี แต่อย่าให้มันเป็นเพียงแค่ครั้งหนึ่งในชีวิตเท่านั้น..ลูก แต่ให้มันเป็นทุกครั้งของชีวิตเรา อย่าให้มันกลายเป็นเพียงนิทาน คือเรื่องโบราณที่ต้องเล่าต่อๆกันมา จงเป็นตำนานคือเรื่องจริงและมีอยู่ทุกวันและทำตลอดเวลา นั่นคือ เหมือนเราอยู่บ้าน เอาวัดมาอยู่บ้าน ขอฝากคุณพ่อ..คุณแม่..คุณยาย..คุณย่า ทั้งหลาย ด้วยว่า ให้สอนลูกให้เป็นคือ ให้เขาเป็นทั้งชีวิตและวิญญาณ เราคงไม่ได้คิดว่า ลูกเราจะดี ได้ดี เห็นดี รักดี และก็เจอดีของเขา เหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้ ฉะนั้น..อยากรู้ไหม..ถ้าอยาก..มาบวชซิ..วันที่ 12-13-14 เดือนหน้า และครูทั้งหลายจะบอกเราว่าพวกเขามีเทคนิคอย่างไร ที่สอนลูกหลานเราให้เป็น และเรากลับไปเราจะรู้ว่าเราสืบสานต่อการเป็นครูที่ดีของเราได้อย่างไร
     
  8. เงินไหลมา

    เงินไหลมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,412

    :cool: :cool::cool::cool::cool::cool::cool:
     
  9. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    อือม์ วันนี้วันพระเสียด้วยซิ คิดดี ทำดี สำรวมกาย วาจา จิตนะ.....
     
  10. 1redstar

    1redstar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,366
    เท่าที่ฟัง หลวงปู่ พุทธอิสระ เทศน์ดีมาก มีเหตุมีผลดี
    ชอบฟัง

    จขกท.
    น่าจะ ตำหนิ พระพยอม มากกว่า หน้าตา หมองคล้ำ ราศีตก
    รวมทั้ง สำนักจานบิน ทานนิยม+ทุนนิยม คือการบ่อนทำลายหลักการทางพระศาสนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2010
  11. everpook

    everpook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +129
    ประวัติ หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม ( ฉายาปัจจุบัน ) ท่านเป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด แต่บรรพบุรุษตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดนครปฐม โยมพ่อชื่อนายชมภู โยมแม่ชื่อนางอัมพร นามสกุล ทองประเสริฐ เกิดเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๙ แต่ได้ไปแจ้งเกิดช้า ดังนั้นในใบสุทธิพระจึงระบุว่าเกิดวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒

    การศึกษาเล่าเรียนทางโลก ไม่จบชั้นประถมปีที่ ๔ ส่วนการศึกษาเล่าเรียนทางธรรมนั้นจบนักธรรมเอก

    ท่านเริ่มบวชเรียนครั้งแรกเมื่ออายุ ๒๐ ปี โดยบวชที่วัดคลองเตยใน เขตคลองเตย กรุงเทพฯโดยมี

    - พระครูธีราภินันท์ เจ้าอาวาสวัดคลองเตยใน เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชได้เพียงพรรษาเดียวก็สึกออกไปเป็นทหาร ๒ ปี

    หลังเสร็จภารกิจทางทหาร ก็กลับมาบวชใหม่ที่วัดเดิม คือวัดคลองเตยใน เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๖ โดยมี

    - พระครูธีราภินันท์ เจ้าอาวาสวัดคลองเตยใน เป็นพระอุปัชฌาย์ เช่นเดิม และ พระครูวรกิจวิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดภาษี เขตคลองเตย กรุงเทพฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูวินัยธรสมพงษ์ วัดคลองเตยใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า " ธมฺมธีโร " แปลว่า " ปราชญ์ทางธรรม "

    ช่วงที่อยู่วัดคลองเตยใน มีผู้คนมากมายมาฟังท่านแสดงธรรม จนมีครั้งหนึ่งท่านได้มีโอกาสแสดงธรรมที่วัดท่าซุง จ . อุทัยธานี การแสดงธรรมครั้งนั้นจับใจผู้ฟัง ซึ่งไม่คิดว่าพระหนุ่ม พรรษาไม่มาก จะแสดงธรรมได้ดีถึงเพียงนี้ น่าจะเป็นพระอาวุโสมากกว่า จึงเรียกท่านว่า " หลวงปู่ " แล้วก็เรียกกันต่อๆ มา
    มีคนเคยมาถามหลวงปู่ว่า “ ทำไมหลวงปู่จึงยังดูหนุ่ม แต่คนเรียกหลวงปู่ ) ท่านมักตอบตามภาษิตโบราณว่า “ คนจะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า คนจะสวยสวยจรรยาใช่ตาหวาน คนจะแก่แก่ความรู้ใช่อยู่นาน คนจะรวยรวยศีลทานใช่บ้านโต ”
    ท่านอยู่วัดคลองเตยในได้ประมาณ ๖ ปี ก็มาสร้างวัดอ้อน้อย ที่ตำบลห้วยขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ในปี ๒๕๓๒ โดย อุบาสิกาทองห่อ วิสุทธิผล เป็นผู้บริจาคที่ดินผืนนี้ให้ สร้างวัดเสร็จเป็นรูปเป็นร่างภายใน ๓ ปี ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ยกฐานะขึ้นเป็นวัด ชื่อว่า " วัดอ้อน้อย " ( เดิมได้ทำเรื่องขอใช้ชื่อวัดว่า " วัดธรรมอิสระ " แต่ก็มีเหตุขัดข้องบางประการ ) เมื่อสร้างวัดเรียบร้อยท่านก็ให้พระลูกศิษย์ดูแลวัด ส่วนท่านก็ออกธุดงค์เพื่อฝึกฝนปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเป็นเวลากว่า ๕ ปี

    หลวงปู่พุทธะอิสระกลับมาปกครองดูแลวัดอ้อน้อยอีกครั้ง เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๘ ท่านได้ทำนุบำรุงวัดจนเจริญเรื่อยมา และเมื่อพระอุโบสถสร้างเสร็จเรียบร้อย จึงได้จัดพิธีผูกพัทธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิตในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย ในพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตของพระอุโบสถ

    ต่อมาในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลห้วยขวาง แทนเจ้าคณะตำบลคนเก่าที่มรณภาพไป ( ซึ่งในใบแต่งตั้งเจ้าคณะตำบลนี้ได้ลงอายุและพรรษาของพระอธิการสุวิทย์มากกว่าความเป็นจริงประมาณ ๔ - ๕ ปี ทั้งๆ ที่ท่านเองไม่ทราบมาก่อน เพราะไม่ได้ดูรายละเอียดจึงถูกใบปลิวโจมตีว่าโกงพรรษา )

    ปลายเดือนธันวาคม ๒๕๔๓ ท่านยื่นหนังสือลาออกจากทุกตำแหน่งกับเจ้าคณะจังหวัดแต่ไม่ได้รับการอนุมัติ

    ต่อมาวันที่ ๑๓ ก . ย . ๒๕๔๔ มีใบปลิวเถื่อนโจมตีว่าโกงพรรษา ท่านจึงประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งต่อหน้าพระสังฆาธิการในจังหวัดนครปฐมที่มาประชุมกันที่วัดวังตะกู จ . นครปฐม และยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการกับเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ในวันที่ ๑๖ ก . ย . ๒๕๔๔ และได้รับการอนุมัติในวันที่ ๑๘ ก . ย . ๒๕๔๔

    ขณะนี้หลวงปู่พุทธะอิสระ ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 111111.jpg
      111111.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.1 KB
      เปิดดู:
      91
  12. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    หลักกาลามสูตร พระพุทธองค์ก็ได้ทรงตรัสไว้แล้วเป็นแนวทางในการรับฟังเรื่องราวต่างๆที่รู้รอบตัวคงไม่ต้องพูดซ้ำคงทราบกันดี


    แล้วยังมีพระราชดำรัสขอพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่3ที่มีใจความตอนหนึ่งว่า....อะไรดีก็ในนำมาปฎิบัติตามโดยปรับปรุงให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ส่วนอะไรที่ไม่ดีก็ไม่ต้องนำมาปฎิบัติตามอย่างเขา...

    คงเข้าใจกันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ^^...ด้วยความหวังดี...ไม่อยากเห็นใครทะเลาะกัน^^
     
  13. ปราบจราจล

    ปราบจราจล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +220

    นี่เขาเรียกว่าไม่รู้จริง แล้วเอาพูดไปเรื่อย

    ทั้งลูกศิษย์และอาจารย์พอกัน จริงๆแล้วคาถาเงินล้าน มีมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปานแล้ว แต่เรียกว่าคาถาพระปัจเจ ต่อมาถึงหลวงพ่อฤษีท่าน ท่านไช้สำหรับองค์ท่านเอง แล้วผลมันมีจริงๆ เงินที่ญาติโยม เข้าศรัทธาในองค์ท่าน ถวายกันมากมายมหาศาล ถ้าเป็นสมัยนี้แล้ว น่าจะเป็นพันพันล้าน ไม่ไช่แค่ล้านเดียวหรอก อย่างชื่อคาถาเงินล้านหรอกครับ

    ท่านก็เมตตา เอามาไห้ลูกศิษย์ลูกหา ที่ยังต้องทำมาหากิน ต้องดิ้นร้นหาเลี้ยงชีวิต เพื่อไห้เกิดประโยชน์

    แล้วคนที่จะทำพอมีผลบ้างก็คือต้องมีศีลห้า

    มีสมาธิอย่างน้อยต้องเป็นฌาณจึงจะเห็นผลได้

    ขึ้นอยู่กับใจของผู้ไช้คาถาว่า มีสมาธิแค่ไหน มีใจสะอาดเท่าไหร่ ไม่ไช่สวดอ้อนวอน คนละเรื่อง
    ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิของคนเอามาไช้

    ที่หลวงพ่อท่านไช้ ผลมันเกิดจริงๆ เอาแค่วัดท่าซุง

    แค่วัดเดียว ก็จะเป็นพันล้านแล้ว ไม่ไช่ร้อยล้าน

    แล้วหลวงพ่อท่านสร้างวัดเพื่อจรรโลงพระศาสนามาอย่างน้อยก็จะมากกว่า40วัดเข้าไปแล้ว

    โรงเรียน โรงพยาบาล กองทุนช่วยเหลือคนอยากจน ในถิ่นกันดารซึ้งพระเจ้าอยู่พระองค์ทรงเป็นพระอุปถัมพก ก็ยังมีอยู่ สงเคราะห์ทหารเหนือจรดใต้ ตำรวจตระเวนชายแดน

    กล่าวไม่หมด สาธยายไมไม่ไหว

    ผลคาถาเงินล้านหลวงพ่อไช้แล้วผลมีอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว

    แต่คุณๆ ผมๆ จิตปุถุชน กิเลสท่วมหัว ท่องไปอยากรวยไป กำลังสมาธิ ไมมี ศีลไม่ได้เรื่อง จิตไม่สะอาด

    ท่องอีกสิบชาติ ผลก็ไม่มี

    คาถาเงินล้าน เป็นแค่เพียงความเมตตาของหลวงพ่อ ได้มอบไห้กับศิษย์ของท่าน คนอื่นไม่เกี่ยว

    ผมก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย

    แต่รำคาญ คนที่ไม่รู้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2010
  14. ปราบจราจล

    ปราบจราจล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +220
    คนที่ออกมาขัดนี่ ทำประโยชน์อะไรไห้กับสังคมบ้าง

    ที่เป็นชิ้น เป็นอัน เอามาไห้ดูหน่อย ผมจะไปดูด้วยตาตัวเองแบบถึงที่เลย คุยกันแบบลูกผู้ชาย

    พูดถึงสาธรณะโยชน์เอาแค่โรงเรียนฟรี ตั้งแต่ ม1ถึงม6

    ชื่อโรงเรียนสุธรรมยาเถระ เรียนฟรี อยู่ฟรี แต่ขอไห้ตั้งใจเรียน เป็นคนดี เด็กจบจากที่โรงเรียนนี้ เด็กยากจน ไม่ไช่เป็นร้อย

    มีเป็นพันนะ ที่หลวงพ่อท่านก่อตั้งโรงเรียนนี่ขึ้นมา ท่านก็เอาเงินที่ญาติโยมเขาศรัทธาในองค์ ถวายท่าน
    ท่านเอาไปช่วยเหลือสังคม มากมายมหาศาล

    ทำประโยชน์ ต่อยอดไห้กับลูกหลานเหลนคนไทย

    ที่ด้อยโอกาส

    เรื่องเยอะ เล่าไม่จบ โรงเรียนนี้ก็ยังเปิดอยู่
    ก็อยู่ติดกับวัดท่าซุงนั่นแหละ

    โรงพยาบาล แม่และเด็ก รักษาฟรี ก็เปิดอยู่

    นี่ก็หลวงพ่อก่อตั้ง เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2010
  15. พรหลวงพ่อ

    พรหลวงพ่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,286

    อนุโมทนาครับ

    การจะท่องคาถาเงินล้านให้มีผลจริงๆต้องมีสมาธิครับ
     
  16. kamoochi

    kamoochi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +326
    จะไปค้านพระพุทธเจ้าตรงไหนครับ สรรพเพธรรมาอนัตตา ไงครับ ที่เกิดนั่นก็อุปาทานไงครับ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามีเกิดนี่คืออุปาทาน ที่พุทธอิสระบอกไม่มีเกิดนั่นก็ไม่มีอุปาทานไงครับ
     
  17. ท้องฟ้าและแผ่นดิน

    ท้องฟ้าและแผ่นดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +127
    หลวงปู่เป็นคุรุของผมครับ
    ผมออกมาเพื่อแสดงตัวว่าเป็นศิษย์ของท่านเท่านั้น
    แต่ผมไม่ได้ออกมาแสดงตัวเพื่อปกป้องหลวงปู่
    เพราะคงไม่จำเป็น

    ทั้งด่าหรือชม มันก็แค่โลกธรรม๘ เท่านั้น
    ไม่มีค่าควรใส่ใจ

    หากใครด่าคุรุผม ผมก็คงต้องขอรับแทน
    หากใครชมคุรุผม ผมก็ขอขอบคุณ

    หากมีศรัทธา ก็ชม
    หากไม่ศรัทธา ก็ด่า
    ไม่มีใครสามารถทำให้ทุกคนพอใจได้หรอกครับ

    สำหรับผม
    พุทธอิสระ ก็คือ รู้ ตื่น และเบิกบาน จากการหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่น
    ธรรมะอิสระ คือ ทุกผู้ทุกนามมีเสรึภาพในการปฏิบัติธรรม(ทำ พูด คิด)ตามความสามารถแห่งตน และสิ่งที่ปฏิบัตินั้นต้องสามารถนำพาผู้ปฏิบัติไปสู่ความเป็นอิสระจากการร้อยรัดทั้งปวง

    พุทธะอยู่ในใจใคร คนนั้นก็คือพุทธะอิสระ
    อยู่ที่ใด เวลาใดก็ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ที่นั้นก็คือธรรมะอิสระเสมอ

    ขอศานติสุขบังเกิดแก่ทุกท่านครับ
     
  18. โพชน์

    โพชน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,904
    จะอย่างไรก็ตาม..ท่านก้อ..คือพระ(ผู้ละ)พลังแห่งศีล ทาน บารมี สูงกว่า ปุถุชนธรรมดาแน่แท้ เราไม่ได้แม้ครึ่งเสี้ยวของท่าน..อย่าพึงสรุปอะไร..จะเป็นกรรมสู่การปรามาสพระรัตนตรัย..ต่อภพต่อชาติไม่มีสิ้นสุด..และหากหวังการบรรลุธรรม..เหตุแห่งการปรามาสจะเป็นกรรมส่งให้เราบรรลุมรรคผลธรรมช้า..หรืออาจไม่ได้เลย..ถ้าท่านบริสุทธิ์มาก..สู้วางกำลังใจเฉยเสียดีกว่า..มิดีหรือ
     
  19. เฌ

    เฌ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2009
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +415
    ครับผมต้องยอมรับว่าผมไม่รู้จริงๆ ผมก็ได้อ่านและศึกษาพระไตรปิฏกมาบ้างพอสมควร แต่ก็มิได้ปราชญ์เปรื่องหรือยังมิได้ถ่องแท้ นี่คือสิ่งที่ผมกระทำอยู่ อย่างไรก็ตามผมยังไม่พบว่า "การสวดอ้อนวอนเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยให้ตนได้ลาภสักการะและทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้ เพิ่มขึ้นเป็นล้านๆ" เช่น คาถาเงินล้านที่ท่านได้กล่าวถึงนี้ มีพุทธพจน์เยี่ยงไร อยู่ในหมวดไหน และกล่าวไว้ไว้เช่นไร และขอให้ท่านได้ยกตัวอย่างชี้แจงพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้าที่กล่าวในเรื่องนี้ด้วย

    เชิญท่านผู้รู้โปรดชี้แนะว่า ว่าคาถาที่ว่านี้ เป็นอรรถคาถาในพระสูตรไหนของพระไตรปิฏก ช่วยกรุณายกพระสูตรที่ว่านี้อ้างอิง เพื่อเป็นวิทยาทานกับผมผู้ที่ไม่รู้ด้วยเถิด จักขอบพระคุณยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2010
  20. chopper1972

    chopper1972 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +13,153
    ...ลูกศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน น่าจะพอทราบเรื่องที่พระรูปนี้อ้างตนเป็นพระองค์ที่ 10 ....

    ...อยากให้ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงฯ ไปอ่านคำนำของหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม 15 ที่ ดร.ปริญญา นุตาลัย เขียนคำนำนี้เมื่อ ต.ค.2543 ซึ่งหนังสือนี้คณะศิษย์ฯ จัดพิมพ์ถวายเนื่องในงานบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทาน ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน 28-29 ต.ค.2543 ก็จะเข้าใจพระรูปนี้ลึกซึ้งขึ้น

    ...หนังสือเล่มนี้ยังมีที่ตึกรับแขก วัดท่าซุงนะครับ ส่วนที่บ้านสายลม ไม่แน่ใจ

    ...สรุปแล้ว ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนนะครับ ที่จะเลือกเนื้อนาบุญ และแนวทางปฏิบัติ

    ....ส่วนตัวผมขอเลือกแนวทางของหลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งได้พิสูจน์ประจักษ์ชัดว่าเป็นของจริงมาตั้งแต่อดีต... และแม้ในปัจจุบันที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานจะมรณภาพไปแล้ว แต่แนวทางของท่าน ถ้าปฏิบัติจริง ศรัทธาจริง ย่อมให้ผลจริง

    ..อนุโมทนาครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...