###พระกริ่ง vs หลวงพ่อทวด นารายณ์รุ่งเรือง .....เสกครบตำนาน###

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย jummaiford, 19 เมษายน 2010.

  1. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941

    นับว่าเป็นความโชคดีจริงๆครับที่หลวงปู่นามท่านเมตตาอธิษฐานจิตให้อย่างดีนานเกือบครึ่งชั่วโมงจริงๆ ท่านเมตตามากเพราะปกติท่านไม่ค่อยปลุกเสกให้ใครจริงๆนับว่าใครได้พระกริ่งชุดนี้ไปโชคดีจริงๆครับลำพังเเค่การเสกชนวนก็สุดยอดเเล้วครับเพราะเเต่ละองค์ไม่ค่อยเสกพระให้ใครเรียกว่ารุ่นนี้สุดๆจริงๆ
     
  2. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    :cool::cool::cool:ภาพสวยงามจริงๆครับต้องรอลุ้นการหล่อดินไทยอีกครั้งว่าจะเก็บรายละเอียดได้มากหรือไม่ เเต่ยังไงผมว่าก็สุดยอดสมเป็นการทิ้งทวนก่อนหยุดเทพระกริ่งไปอีกสามปี:cool::cool::cool:<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ขออภัยอย่างยิ่งมีเรื่องด่วนคือเปลี่ยนเเปลงเเบบพิมพ์พระกริ่งนารายณ์รุ่งเรือง
    เนื่องด้วยศิลปะของพระกริ่งยังไม่เหมือนลพบุรีเท่าที่ควรจึงให้ช่างปั้นพิมพ์ใหม่เป็นการด่วนให้เหมือนต้นเเบบมากขึ้นจึงขอยกเลิกพิมพ์เก่าสีเขียวข้างต้นนะครับจึงเรียนมาเพื่อทราบเเละจะลงภาพพิมพ์ใหม่ให้ชมในวันนี้อดใจรอหน่อยนะครับหวังว่าพิมพ์ใหม่จะสวยถูกใจหลายๆคนกว่าเดิมครับ
     
  4. พุทโธ ภควา

    พุทโธ ภควา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    567
    ค่าพลัง:
    +1,772
    มารอชมครับ
     
  5. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    กำลังถ่ายรูปรอชมเลยนะครับ
     
  6. mancity04

    mancity04 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,346
    :z17........
     
  7. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    เเบบพิมพ์พระกริ่งนารายณ์รุ่งเรือง ศิลปะของลพบุรี:cool::cool::cool:

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_5876.JPG
      IMG_5876.JPG
      ขนาดไฟล์:
      104.7 KB
      เปิดดู:
      9,038
    • IMG_5943.JPG
      IMG_5943.JPG
      ขนาดไฟล์:
      72.2 KB
      เปิดดู:
      1,450
    • IMG_5948.JPG
      IMG_5948.JPG
      ขนาดไฟล์:
      71 KB
      เปิดดู:
      1,350
    • IMG_5954.JPG
      IMG_5954.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      1,391
    • IMG_5955.JPG
      IMG_5955.JPG
      ขนาดไฟล์:
      65.1 KB
      เปิดดู:
      1,367
    • IMG_5962.JPG
      IMG_5962.JPG
      ขนาดไฟล์:
      74.6 KB
      เปิดดู:
      152
    • IMG_5968.JPG
      IMG_5968.JPG
      ขนาดไฟล์:
      74.4 KB
      เปิดดู:
      2,618
    • IMG_5970.JPG
      IMG_5970.JPG
      ขนาดไฟล์:
      71.7 KB
      เปิดดู:
      1,388
    • IMG_5974.JPG
      IMG_5974.JPG
      ขนาดไฟล์:
      161.2 KB
      เปิดดู:
      2,584
    • IMG_5977.JPG
      IMG_5977.JPG
      ขนาดไฟล์:
      111.9 KB
      เปิดดู:
      2,532
  8. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ตอนนี้บ้านเมืองสถานการณ์ไม่ดีจริงๆผมอยากให้คนไทยได้มองตัวเองพิจารณาตัวเองให้มากดูเเล้วเป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่คนไทยเเตกความสามัคคีกันเองกลายเป็นยุคมืดหรือกลียุคก็ว่าได้เป็นเรื่องน่าเศร้าใจจริงๆ

    ขอคุณพระศรีรัตนตรัยได้คุ้มครองประเทศให้รอดพ้นจากอันตรายในครั้งนี้:cool::cool::cool:
     
  9. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=big2 vAlign=bottom height=35>คาถาที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โตห้ามหลวงปู่บุญสวดในบ้านชาวบ้าน.!!!???!!!</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=text2 vAlign=center width="65%" height=30>คุณอยู่ที่ >> หน้าหลักเว็บบอร์ด / "...!!!???!!!..." / Detail ... </TD><TD class=text2 vAlign=center align=right>Read 106 , Reply 0 </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=10 width="100%" align=center bgColor=#f4f4ff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff height=300><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“วันหนึ่งได้ไปกราบหลวงปู่เพิ่มที่วัดกลางบางแก้ว โดยมีศิษยานุศิษย์ญาติโยมติดตามไปด้วยหลายคน หลวงปู่เพิ่มท่านชรามากแล้ว ลักษณะท่าทางแบบเดียวกับหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่ญาติโยมพูดตรงกันว่าท่านน่ารักเหมือนกัน วันนั้นหลวงปู่เพิ่มท่านเล่าให้ฟัง ว่าหลวงปู่บุญอาจารย์ของท่านที่มรณภาพไปนานปีแล้ว เคยเล่าให้ท่านฟัง ว่าท่านเป็นเพื่อนกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านทรงสั่งหลวงปู่บุญ ว่าอย่าสวด "พระมหาสมัยสูตร" ในบ้าน ให้สวดได้แต่ในวัดหรือในวังเท่านั้น เพราะการสวด "พระมหาสมัยสูตร" ที่ใด ที่นั้นพรหมเทพจะไปร่วมฟังมาก เพราะดังมีแสดงไว้ในพระสูตรนั้นว่าเป็นที่รักที่พึงใจ นำมาซึ่งปีติปราโมทย์แห่งจิตของเทพดา หลวงปู่เพิ่มท่านพูดเรื่องนี้ในวันนั้นหลายครั้ง จำได้ว่าไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้งทีเดียว เมื่อกลับจากหลวงปู่เพิ่มแล้ว ญาติโยมผู้หนึ่งจึงเล่า ว่าเป็นผู้สวด "พระมหาสมัยสูตร" ในบ้านทุกวัน เมื่อหลวงปู่เพิ่มท่านเล่าถึงคำสั่งของเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนกำลังสวดอยู่ที่บ้านตามที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านทรงห้าม หลวงปู่เพิ่มท่านเล่าครั้งแรก ก็รับรู้ธรรมดาว่า "พระมหาสมัยสูตร" นั้น ท่านห้ามสวดในบ้าน ไม่ได้นึกเลยว่าตนเองก็สวด "พระมหาสมัยสูตร" อยู่ในบ้านทุกวัน ได้ยินหลวงปู่ท่านพูดซ้ำ 4-5 ครั้ง จึงได้สติ นึกได้ว่าตนเองก็สวดอยู่ในบ้าน พอมีสติรู้ตัว หลวงปู่ท่านก็มิได้พูดซ้ำอีก จึงได้ความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ว่านี่คือผลของอำนาจจิตที่เกิดจากการปฏิบัติพระพุทธศาสนา ที่เกิดแล้วแก่หลวงปู่เพิ่มท่าน ท่านไม่เคยได้รับคำบอกเล่าจากญาติโยมผู้สวด "พระมหาสมัยสูตร" ในบ้าน แต่ท่านก็พูดเหมือนรู้ เพียงแต่ไม่ได้แสดงว่าท่านรู้เท่านั้น ท่านพูดไปตามธรรมดาๆเล่าคำสั่งของเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไปตามธรรมดาเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าการสวด "พระมหาสมัยสูตร" พรหมเทพพึงใจ ปีติปราโมทย์เพราะเป็นพระสูตรที่รักของพรหมเทพ การสวดในบ้านเรือน สถานที่ย่อมคับแคบเกินไปสำหรับพรหมเทพที่จะไปรวมกันฟังพระสูตรที่รักที่พึงใจ”
    วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
    2 มิถุนายน พ.ศ. 2547
    บางตอนของ แสงส่องใจ ที่ระลึกวิสาขบูชา 2547 พระธรรมเทศนา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่กล่าวถึงหลวงปู่เพิ่มวัดกลางบางแก้ว

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    บทสวดมหาสมัยสูตร
    เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สักเกสุ วิหะระติ กะปิละวัตถุสมิง
    มะหาวะเน มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง ปัญจะมะเตหิ ภิกขุสะเตหิ
    สัพเพเหวะ อะระหันเตหิ. ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ เทวะตา เยภุยเยนะ
    สันนิปะติตา โหนติ ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ. อะถะโข
    จะตุนนัง สุทธาวาสะกายิกานัง เทวานัง เอตะทะโหสิ. อะยังโข ภะคะวา
    สักเกสุ วิหะระติ กะปิละวัตถุสมิง มะหาวะเน มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง
    ปัญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ สัพเพเหวะ อะระหันเตหิ ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ
    เทวะตา เยภุยเยนะ สันนิปะติตา โหนติ ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ
    ยันนูนะ มะยัมปิ เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะเมยยามะ อุปะสังกะมิตวา
    ภะคะวะโต สันติเก ปัจเจกะคาถา ภาเสยยามาติ.

    อะถะโข ตา เทวะตา เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปุริโส สัมมิญชิตัง วา
    พาหัง ปะสาเรยยะ ปาสาริตัง วา พาหัง สัมมิญเชยยะ เอวะเมวะ สุทธาวาเสสุ
    เทเวสุ อันตะระหิตา ภะคะวะโต ปุระโต ปาตุระหังสุ. อะถะโข ตา
    เทวะตา ภะคะวันตัง อะภิวาเทตวา เอกะมันตัง อัฏฐังสุ. เอกะมันตัง
    ฐิตา โข เอกา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ

    มะหาสะมะโย ปะวะนัสมิง เทวะกายา สะมาคะตา อาคะตัมหะ อิมัง
    ธัมมะสะมะยัง ทักขิตาเยวะ อะปะราชิตะสังฆันติ. อะถะโข อะปะรา
    เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. ตัตระ ภิกขะโว
    สะมาทะหังสุ จิตตัง อัตตะโน อุชุกะมะกังสุ สาระถีวะ เนตตานิ คะเหตวา
    อินทริยานิ รักขันติ ปัณฑิตาติ. อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต
    สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. เฉตวา ขีลัง เฉตวา ปะลีฆัง อินทะขีลัง
    โอหัจจะมะเนชา เต จะรันติ สุทธา วิมะลา จักขุมะตา สุทันตา สุสู นาคาติ
    อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ.

    เย เกจิ พุทธัง สะระณังคะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ปะหายะ
    มานุสัง เทหัง เทวะกายัง ปะริปูเรสสันตีติ.

    อะถะโข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ เยภุยเยนะ ภิกขะเว ทะสะสุ โลกะธาตูสุเทวะตา
    สันนิปะติตา ตะถาคะตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ เยปิ เต ภิกขะเวอะเหสุง
    อะตีตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา เตสัมปิ ภะคะวันตานังเอตะปะระมาเยวะ
    เทวะตา สันนิปะติตา อะเหสุง. เสยยะถาปิ มัยหัง เอตะระหิ เยปิ เต ภิกขะเว ภะวิสสันติ.

    อะนาคะตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา, เตสัมปิ ภะคะวันตานัง
    เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะติตา ภะวิสสันติ. เสยยะถาปิ มัยหัง
    เอตะระหิ อาจิกขิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ.

    กิตตะยิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ เทสิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ.
    ตัง สุณาถะ สาธุกัง มะนะสิกะโรถะ ภาสิสสามีติ. เอวัมภันเตติ โข เต ภิกขู ภะคะวะโต
    ปัจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ.

    สิโลกะมะนุสกัสสามิ
    ยัตถะ ภุมมา ตะทัสสิตา เย สิตา คิริคัพภะรัง
    ปะหิตัตตา สะมาหิตา ปุถู สีหาวะ สัลลีนา
    โลมะหังหาภิสัมภิโน โอทาตะมะนะสา สุทธา
    วิปปะสันนะมะนาวิลา ภิยโย ปัญจะสะเต ญัตวา
    วะเน กาปิละวัตถะเว ตะโต อามันตะยิ สัตถา
    สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา
    เต วิชานาถะ ภิกขะเว เต จะอาตัปปะมะกะรุง
    สัตวา พุทธัสสะ สาสะนัง เตสัมปาตุระหุ ญาณัง
    อะมะนุสสานะ ทัสสะนัง อัปเปเก สะตะมัททักขุง
    สะหัสสัง อะถะ สัตตะริง สะตัง เอเก สะหัสสานัง
    อะมะนุสสานะมัททะสุง อัปเปเกนันตะมัททักขุง
    ทิสา สัพพา ผุฏา อะหุง ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ
    วะวักขิตวานะ จักขุมา ตะโต อามันตะยิ สัตถา
    สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา
    เต วิชานาถะ ภิกขะโว เย โวหัง กิตตะยิสสามิ
    คิราหิ อะนุปุพพะโส
    สัตตะสะหัสสา วะยักขา
    ภุมมา กาปิละวัตถะวา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    ฉะสะหัสสา เหมะวะตา
    ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    สาตาคิรา ติสะหัสสา
    ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    อิจเจเต โสฬะสะสะหัสสา
    ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    เวสสามิตตา ปัญจะสะตา
    ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.

    กุมภิโร ราชะคะหิโก
    เวปุลลัสสะ นิเวสะนัง ภิยโย นัง สะตะสะหัสสัง
    ยักขานัง ปะยิรุปาสะติ กุมภิโร ราชะคะหิโก
    โสปาคะ สะมิติง วะนัง.
    ปุริมัณจะ ทิสัง ราชา
    ธะตะรัฏโฐ ปะสาสติ คันธัพพานัง อาธิปะติ
    มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว
    อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.

    ทักขิณัญจะ ทิสัง ราชา
    วิรุฬโห ตัปปะสาสะติ กุมภัณฑานัง อาธิปะติ
    มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว
    อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.

    ปัจฉิมัญจะ ทิสัง ราชา
    วิรูปักโข ปะสาสติ นาคานัง อาธิปะติ
    มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว
    อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    อุตตะรัญจะ ทิสัง ราชา
    กุเวโร ตัปปะสาสะติ ยักขานัง อาธิปะติ
    มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว
    อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.

    ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ
    ทักขิเณนะ วิรุฬหะโก ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข
    กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง. จัตตาโร เต มะหาราชา
    สะมันตา จะตุโร ทิสา ทัททัลละมานา อัฏฐังสุ
    วะเน กาปิละวัตถะเว. เตสัง มายาวิโน ทาสา
    ยาคู วัญจะนิกา สะฐา มายา กุเฎณฑุ เวเฏณฑุ
    วิฏู จะ วิฏุโต สะหะ จันทะโน กามะเสฏโฐ จะ
    กินนุฆัณฑุ นิฆัณฑุ จะ ปะนาโท โอปะมัญโญ จะ
    เทวะสูโต จะ มาตะลิ จิตตะเสโน จะ คันธัพโฑ
    นะโฬราชา ชะโนสะโภ อาคู ปัญจะสิโข เจวะ
    ติมพะรู สุริยะวัจฉะสา เอเต จัญเญ จะ ราชาโน
    คันธัพพา สะหะ ราชุภิ โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิตัง วินัง.

    อะถาคู นาภะสา นาคา
    เวสาลา สะหะตัจฉะกา กัมพะลัสสะตะรา อาคู
    ปายาคา สะหะ ญาติภิ. ยามุนา ธะตะรัฏฐา จะ
    อาคู นาคา ยะสัสสิโน เอราวัณโณ มะหานาโค
    โสปาคะ สะมิติง วะนัง.

    เย นาคะราเช สะหะสา หะรันติ ทิพพา ทิชา ปักขิ วิสุทธะจักขู เวหายะสา เต
    วะนะมัชฌะปัตตา จิตรา สุปัณณา อิติ เตสะ นามัง อะภะยันตะทา
    นาคะราชานะมาสิ สุปัณณะโต เขมะมะกาสิ พุทโธ สัณหาหิ วาจาหิ
    อุปะวะหะยันตา นาคา สุปัณณา สะระณะมะกังสุ พุทธัง.

    ชิตา วะชิระหัตเถนะ
    สะมุททัง อะสุรา สิตา ภาตะโร วาสะวัสเสเต
    อิทธิมันโต ยะสัสสิโน กาละกัญชา มะหาภิสมา
    อะสุรา ทานะเวฆะสา เวปะจิตติ สุจิตติ จะ
    ปะหาราโท นะมุจี สะหะ สะตัญจะ พะลิปุตตานัง
    สัพเพ เวโรจะนามะกา สันนัยหิตวา พะลิง เสนัง
    ราหุภัททะมุปาคะมุง สะมะโยทานิ ภัททันเต
    ภิกขุนัง สะมิติง วินัง.

    อาโป จะ เทวา ปะฐะวี จะ เตโช วาโย ตะทาคะมุง
    วะรุณา วารุณา เทวา โสโม จะ ยะสะสา สะหะ
    เมตตากะรุณากายิกา อาคู เทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.
    เวณฑู จะ เทวา สะหะลี จะ อะสะมา จะ ทุเว ยะมา จันทัสสูปะนิสา เทวา
    จันทะมาคู ปุรักขิตา สุริยัสสูปะนิสา เทวา
    สุริยะมาคู ปุรักขิตา นักขัตตานิ ปุรักขิตวา
    อาคู มันทะพะลาหะกา วะสูนัง วาสะโว เสฏโฐ
    สักโก ปาคะ ปุรินทะโท ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    อะถาคู สะหะภู เทวา ชะละมัคคิสิขาริวะ อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ
    อุมมา ปุปผะนิภาสิโน วะรุณา สะหะธัมมา จะ
    อัจจุตา จะ อะเนชะกา สุเลยยะรุจิรา อาคู อาคู วาสะวะเนสิโน ทะเสเต
    ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    สะมานา มะหาสะมานา
    มานุสา มานุสุตตะมา ขิฑฑาปะทูสิกา อาคู
    อาคู มะโนปะทูสิกา อะถาคู หะระโย เทวา
    เย จะ โลหิตะวาสิโน ปาระคา มะหาปาระคา
    อาคู เทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    สุกกา กะรุมหา อะรุณา
    อาคู เวฆะนะสา สะหะ โอทาตะคัยหา ปาโมกขา
    อาคู เทวา วิจักขะณา สะทามัตตา หาระคะชา
    มิสสะกา จะ ยะสัสสิโน ถะนะยัง อาคา ปะชุนโน
    โย ทิสา อะภิวัสสะติ ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    เขมิยา ตุสิตา ยามา
    กัฏฐะกา จะ ยะสัสสิโน ลัมพิตะกา ลามะเสฏฐา
    โชติมานา จะ อาสะวา นิมมานะระติโน อาคู
    อะถาคู ปะระนิมมิตา ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    สัฏเฐเต เทวะนิกายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน นามันวะเยนะ อาคัญฉุง
    เย จัญเญ สะทิสา สะหะ ปะวุตถะชาติมักขีลัง
    โอฆะติณณะมะนาสะวัง ทักเข โมฆะตะรัง นาคัง
    จันทังวะ อะสิตาสิตัง สุพรัหมา ปะระมัตโต จะ
    ปุตตา อิทธิมะโต สะหะ สันนังกุมาโร ติสโส จะ
    โสปาคะ สะมิติง วะนัง.

    สะหัสสะพรัหมะโลกานัง
    มะหาพรัหมาภิติฏฐะติ อุปะปันโน ชุติมันโต
    ภิสมากาโย ยะสัสสิ โส. ทะเสตถะ อิสสะรา อาคู
    ปัจเจกะวะสะวัตติโน เตสัญจะ มัชธะโต อาคา
    หาริโต ปะริวาริโต. เต จะ สัพเพ อะภิกกันเต
    สินเท เทเว สะพรัหมะเก มาระเสนา อะภิกกามิ
    ปัสสะ กัณหัสสะ มันทิยัง เอถะ คัณหะถะ พันธะถะ
    ราเคนะ พันธมัตถุ โว สะมันตา ปะริวาเรถะ
    มา โว มุญจิตถะ โกจิ นัง. อิติ ตัตถะ มะหาเสโน
    กัณหะเสนัง อะเปสะยิ ปาณินา ตะละมาหัจจะ
    สะรัง กัตวานะ เภระวัง. ยะถา ปาวุสสะโก เมโฆ
    ถะนะยันโต สะวิชชุโก ตะทา โส ปัจจุมาวัตติ
    สังกุทโธ อะสะยังวะเส. ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ
    วิวักขิตวานะ จักจุมา ตะโต อามันตะยิ สัตถา
    สาวะเก สาสะเน ระเต มาระเสนา อะภิกกันตา
    เต วิชานาถะ ภิกขะโว.

    เต จะ อาตัปปะมะกะรุง
    สุตวา พุทธัสสะ สาสะนัง วีตะราเคหิ ปักกามุง
    เนสัง โลมัมปิ อิญชะยุง. สัพเพ วิชิตะสังคามา
    ภะยาตีตา ยะสัสสิโน โมทันติ สะหะ ภูเตหิ
    สาวะกา เต ชะเนสุตาติ.
    มะหาสะมะยะสุตตัง นิฏฐิตัง.

    เนื้อหาโดยย่อ ตำนานมหาสมัยสูตร

    มหาสมัยสูตรปรากฎความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกามหาวรรค ภายหลังการบรรลุอนุตราสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมศาสดา พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก และเมื่อทราบทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาประชวรหนัก จึงเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งเพื่อเยี่ยมอาการพระพุทธบิดา พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก ทรงถวายพยาบาลพระพุทธบิดาตามพุทธวิสัย และโปรดให้พระพุทธบิดาได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในกาลต่อมาพระพุทธบิดาก็ปรินิพพานบนพระแท่นบรรทมภายใต้เศวตฉัตรนั้งเอง
    ภายหลังถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธบิดา พระพุทธองค์ตรัสว่า
    "บุคคลใดมีจิตปรารถนาพระโพธิญาณ จงอุตสาหะภิบาลบำรุงบิดามารดา ประพฤติกุศลสุจริตธรรม จักสมปรารถนาทุกประการ"

    รุ่งขึ้นอีกวัน ขณะทีพระองค์ประทับอยู่ที่นิโครธาราม กรุงกบิลพันดุ์ เหล่าพระญาติข้างฝ่ายศากยะ และ โกลิยะที่ตั้งหลักแหล่งอยู่สองฝั่งแม่น้ำโรหิณีได้วิวาทกันเรื่องแย้งน้ำทำนา
    กษัตริย์ทั้งสองจึงยกกองทัพออกไปจะทำสงครามกัน
    เพราะไม่สามารถตกลงกันได้ พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์นั้นด้วยพระญาณ
    ทรงถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง ไม่ทรงแจ้งให้ใคร ๆ ทราบ เสด็จพุทธดำเนินแต่เพียงพระองค์เดียว ไปประทับนั่งขัดบัลลังก์ระหว่างกองทัพกษัตริย์ทั้งสองนคร

    ครั้นกองทัพชาวเมืองกบิลพัสดุ์และชาวเมืองโกลิยะเห็นพระองค์นั้น
    ต่างก็คิดว่าพระศาสดาผู้เป็นพระญาติ ผู้ประเสริฐของพวกเราเสด็จมา จึงทิ้งอาวุธเขาไปเฝ้าพระพุทธองค์ทั้งที่พระองค์ทรงทราบสถานการณ์ขณะนั้นดีแต่ก็ตรัสถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
    แล้วตรัสสอนว่า มหาบพิตร พวกพระองค์อาศัยน้ำที่มีค่าน้อยแล้วทำให้กษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ให้ฉิบหายทำไมกัน

    ครั้นแล้ว พระพุทธองค์ได้ตรัส ผันทนชาดก ทุททุภายชาดก และลฏุกิกชาดก
    เพื่อระงับการวิวาทของพระญาติทั้งสองฝ่าย และตรัสรุกขธรรมชาดก และวัฏฏชาดก
    เพื่อให้เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกันว่า "หมู่ญาติยิ่งมากยิ่งดี ต้นไม้ที่เกิดในป่าแม้จะโตเป็นเจ้าป่า ถ้าตั้งอยู่โดดเดี่ยวย่อมถูกแรงลมพัดโค่นลงได้
    และว่านกทั้งหลายมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ย่อมพาตาข่ายไปได"้ และในที่สุดก็ตรัส อัตตทัณฑสูตร

    กษัตริย์เหล่านั้นได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว
    เกิดความสังเวชพากันทิ้งอาวุธกล่าวว่า หากพระบรมศาสดา ไม่เสด็จมา
    พวกเราก็จะฆ่าฟันซึ่งกันและกันเลือดไหลนองเป็นสายน้ำ ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเห็นหน้าลูกเมียญาติพี่น้อง กษัตริย์ทั้งสองพระนครจึงถวายพระราชกุมาร 500 องค์ คือ ฝ่ายละ 250 องค์ ให้บรรพชา อุปสมบทกับพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา

    อรรถกถามหาสมัยสูตร เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภิกษุราชกุมารเหล่านั้นบรรลุธรรมไว้ว่า
    เมื่อพระพุทธองค์นำภิกษุราชกุมารเหล่านั้นมาสู่ป่ามหาวัน
    ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ภิกษูปูถวาย ในโอกาสทีสงัด ตรัสบอก
    กัมมัฏฐานแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับกัมมัฏฐานแล้ว
    ต่างแยกย้ายกันไปเจริญวิปัสสนาตามเงื้อมผา และโคนไม้ในโอกาสที่เงียบสงัด
    และก็ทยอยบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จนครบทั้ง 500 รูป

    อรรถถาได้อธิบายความคิดของพระที่ได้บรรลุพระอรหันต์ไว้ว่า
    พระผู้บรรลุพระอรหัตสิ้นกิเลสอาสวะทั้งหลายแล้ว ย่อมมีความคิดอยู่ 2 อย่างคือ
    1. มีความคิดว่า คนทุกคนตลอดจนเทวดาทั้งหลาย ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมตามที่เราบรรลุได้เช่นเดียวกัน
    2. พระที่บรรลุธรรมไม่ประสงค์จะบอกคุณธรรมที่ตนได้บรรลุแก่ผู้อื่น
    เหมือนคนที่ฝังขุมทรัพย์ไว้ไม่ต้องการให้ใครรู้ที่ฝังขุมทรัพย์ของตน

    เมื่อเทวดาทั้งหลายทราบว่า
    พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป
    ล้วนเป็นพระอรหัตบวชจากราชตระกูล ต่างก็กล่าวว่า
    นี้เป็นสมัยแห่งการประชุมใหญ่ในป่ามหาวัน
    พวกเราจักไปชมความงดงามของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกผู้หมดจด
    ต่างก็แต่งคาถากล่าวสรรเสริญ พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก
    เทวดาที่มาประชุมกันใวนนั้นมีจำนวนมากมาย ภิกษุบางรูปก็เห็นเทวดาร้อยหนึ่ง
    บางรูปก็เห็นพันหนึ่ง บางรูปก็เห็นหมื่นหนึ่ง
    บางรูปก็เห็นแสนหนึ่ง บางรูปก็เห็นไม่มีที่สิ้นสุด แตกต่างกันไปตามกำลังญาณของแต่ละองค์

    ในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมเทวดาจำนวนมากเช่นนี้ก็เพียงครั้งเดียว
    พระพุทธองค์ ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวดาในแสนจักรวาลมาประชุมกันเพื่อชมตถาคตและหมู่ภิกษุสงฆ์ เทวดาประมาณเท่านี้แหละได้เคยประชุมกันเพื่อชมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตกาลแล้ว และพวกเทวดาประมาณเท่านั้นแหละจักประชุมกันเพื่อชมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล แล้วพระองค์ก็ทรงแนะนำเทวดาแต่ละจำพวกให้ภิกษุทั้งหลายฟังตามลำดับ ตั้งแต่กุมมเทวดาไปจนถึงพรหมโลก

    ขณะที่เทวดาจากหมื่นจักรวาลมาประชุมกันจนครบนั้น ท้องฟ้าโปร่งใส่ไม่มีเมฆหมอก ก็กลับเกิดเมฆฝนคำรณคำรามกึกก้องฟ้าแลบแปล๊บพราย พระพุทธองค์ทรงพิจารณาทราบว่า หมู่มารก็ได้มาด้วย จึงทรงแนะนำให้ภิกษุรู้จักพญามารเอาไว้

    พญามารกำลังสั่งบังคับเสนามารให้ผูกเหล่าเทวดาไว้ในอำนาจแห่งกามราคะ
    แต่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไม่ให้เหล่าเทวดาเห็น พญามารไม่ได้ดั่งใจจึงทำให้เกิดฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาทไปทั่ว

    โดยปกติในที่จะไม่มีการบรรลุมรรคผล พระพุทธองค์จะไม่ทรงห้ามมารแสดงสิ่งอันน่ากลัวของมาร
    แต่ในที่จะมีการบรรลุมรรคผล พระองค์จะทรงอธิษฐานไม่ให้ใครรู้เห็นสิ่งที่พญามารกำลังทำ
    เนื่องจากการประชุม ใหญ่ของเทวดาครั้งนั้น
    จะมีเทพบรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก พระพุทธองค์จึงทรงอธิษฐานไม่ให้พวกเทวดา รับรู้สิ่งอันน่ากลัวของหมู่มารนั้น พญามารนั้นจึงกลับไปด้วยความเดือดดาลฯ

    สวดเมื่อไร ? สวดแล้วได้อะไร ?

    มหาสมัยสูตร เป็นสูตรว่าด้วยสมัยเป้นที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพ ในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมใหญ่ของเหล่าเทวดาทั้งหลายเช่นนี้เพียงครั้งเดียว เทวดาทั้งหลายจึงพากันคิดว่าพวกเราจะฟังพระสูตรนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงมหาสมัยสูตรจบ
    เทวดาจำนวนหนึ่งแสนโกฎิได้บรรลุพระอรหัต

    พระสูตรนี้จึงเป็นที่รักที่ชอบใจของพวกเทวดา เทวดาทั้งหลายต่างก็คิดว่าพระสูตรของตน เมื่อสวดพระสูตรนี้จะทำให้เหล่เทวดาทั้งหลายประชุมกัน
    เมื่อเทวดาประชุมกันก็จะทำให้สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายถอยห่างออกไป
    เป็นการป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเรานั้นเอง

    พระอรรถกถาจารย์จึงแนะนำว่า "มหาสมัยสูตรนี้ เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดา
    ในสถานที่ใหม่เอี่ยม เมื่อจะกล่าวมงคลกถา ควรสวดพระสูตรนี้" หมายความว่าในสถานที่สำคัญที่จะประกอบกิจใหม่ หรือในสถานใดที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ เมื่อจะสวดมงคลกถาในสถานที่เช่นนี้ควรสวดมหาสมัยสูตรนี้

    เนื่องจากมหาสมัยสูตรเป็นสูตรใหญ่ จึงไม่นิยมใช้สวดในงานทำบุญทั่ว ๆ ไป แต่จะนิยมนำไปสวดเฉพาะในพิธีที่เกี่ยวข้องกับความอยู่เย็นเป็นสุขของทางบ้านเมืองเป็นหลัก นอกนั้นแล้ว การเจริญพระพุทธมนต์ยังเป็นรูปแบบของการเจริญสมาธิภาวนาอย่างหนึ่ง แต่แทนที่จะใช้วิธีนั่งบริกรรมให้จิตเกาะเกี่ยวอยู่กับคำใดคำหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว
    เพื่อเป็นสื่อให้เข้าถึงความสงบ ก็ใช้วิธีจิตเกาะเกี่ยวไปกับอักขระเป็นเกาะแสเช่นนี้
    ไม่ปล่อยให้ความรัก โลภ โกรธ หลง กามราคะ อาฆาตพยาบาท
    ได้โอกาสแทรกเข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตมีความผ่องใส
    เป็นจิตมีพลังในการต้านทานกิเลสที่จะเข้ามามีอำนาจเหนือสติปัญญา
    จิตเช่นนี้เป็นจิตสงบ คือสงบจากกามราคะ อาฆาตพยาบาท
    หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาณ เบื่อหน่าย จึงชื่อว่า "จิตเป็นสมาธิ"
     
  11. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]



    พระวิษณุ (อังกฤษ: Vishnu , อักษรเทวนาครี : विष्णु) หรือเรียกอีกอย่างว่า พระนารายณ์ เป็น1 ใน 3 มหาเทพ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลกตามความเชื่อของชาวฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์ รูปร่างลักษณะมีพระวรกายจะมีสีที่เปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา แต่ที่จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัวบ้าง หรือ ไม่ถืออะไรเลยบ้าง (โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร")
    โดยปรกติ พระวิษณุ จะทรงประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร โดยส่วนมากจะทรงบรรทมอยู่บนหลัง อนันตนาคราช โดยมีพระชายาคือ พระลักษมีมหาเทวี คอยฝ้าดูแลปรนิบัติอยู่ข้างๆเสมอ พาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ

    พระวิษณุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า "หริ" แปลว่าผู้ดูแลแห่งจักรวาลถือเป็นเทพสูงสุด เพราะทุกอย่างเกิดจาก "หริ" โดย"หริ"ได้แบ่งตนเองออกเป็น 3 คือ
    • พระพรหม มีหน้าที่สร้างและลิขิตสรรพสิ่งทั้งปวงในทั้งสามโลก
    • พระวิษณุ หรือ พระหริ มีหน้าที่ดูแลทั้งสามโลกให้อยู่ในความเรียบร้อย และสมดุล
    • พระศิวะ มีหน้าที่ทำลายสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงในโลกทั้งสาม
    ในคัมภีร์ไวษณพนิกาย (นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่) กล่าวว่าเมื่อยามที่พระวิษณุผู้เป็นใหญ่แห่งจักรวาลมีประสงค์จะสร้างโลกทั้ง 3 นั้น ท่านได้เห็นว่าการสร้างโลกทั้ง 3 นี้ เป็นงานที่หนักสำหรับคนเพียงคนเดียว ท่านจึงแบ่งบางส่วนของร่างกายพระองค์ออกเป็นมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ โดยแขนซ้ายเป็นพระพรหม แขนขวาเป็นพระศิวะ และส่วนอกเป็น พระวิษณุ (แม้แต่ในรูปตรีมูรติ ก็จะเห็นว่า พระพักตร์ของพระวิษณุจะอยู่ตรงกลางเสมอ)
    ส่วนในคัมภีร์ของไศวนิกาย (นับถือพระศิวะเป็นใหญ่) จะกล่าวต่างออกไปคือ “พระปรเมศวร” (พระศิวะ) เป็นผู้สร้างพระวิษณุ เนื่องจากทรงมีพระประสงค์จะสร้างสวรรค์และโลก ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ จึงได้ทรงต้องการผู้ช่วย โดยการนำหัตถ์ซ้ายมาลูบหัตถ์ขวา จึงบังเกิดเป็นเทพชื่อ “พระวิษณุ” หรือ “พระนารายณ์” พระปรเมศวร ได้สอนศิลปะด้านต่าง ๆ ให้กับพระวิษณุ ในทุกด้าน และให้ประทับอยู่ ณ เกษียรสมุทร เมื่อเกิดเหตุร้ายในโลกมนุษย์ หรือสวรรค์เมื่อใด พระวิษณุก็จะมีหน้าที่ไปปราบปรามเหล่าอสูร และผู้ประสงค์ร้ายนั้น ๆ โดยในบางคราวก็จะได้รับการร้องขอจากเหล่าเทพเทวดาบ้าง
    คัมภีร์มหาภารตะ เล่าไว้ถึงพระนารายณ์ว่าแต่เดิมคือฤๅษีตนหนึ่ง เป็นบุตรของฤๅษีธรรมมะ ได้เดินทางจากโลกมนุษย์ ไปสู่สถานที่ของพวกพราหมณ์พร้อมเพื่อนสนิทนามว่า “นร” เพื่อบำเพ็ญเพียรจนได้รับการเคารพบูชาจากเทพเทวดาทั้งมวล ต่อมาได้รับการขอร้องจากเหล่าเทวดาให้ช่วยปราบอสูรที่สร้างความเดือดร้อน ฤๅษีทั้งสองจึงได้รับปากช่วยเหลือโดยได้ออกรบกับอสูรจนได้รับชัยชนะ จึงได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเทวดายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จนภายหลังฤๅษีนารายณ์ได้ออกเดินทางไปบำเพ็ญตนยังหิมาลัยจนบรรลุผลเป็นพราหมณ์ (ผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในโลก) และได้เป็นผู้นำเหล่าพราหมณ์ในเวลาต่อมา จากการยกย่องบูชาตลอดที่ผ่านมาจนเป็นที่รู้จักในนาม “พระวิษณุ (นารายณ์) ”
    พระนามของพระวิษณุ พระนารายณ์ มีผู้ขนานนามเรียกขานจากความแตกต่างกันตามความเชื่อ พระนามตามฤทธิ์อำนาจ และตามเหตุการณ์ที่ต่างกันตามกาล อาทิ อนันตะ ไม่สิ้นสุด จตุรภุช มี 4 กร มุราริ เป็นศัตรูแห่งมุระ นระ (นะระ) ผู้ชาย นารายณ์ ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ ปัญจายุทธ พระผู้ทรงอาวุธทั้ง 5 อย่าง ปีตามพร ทรงเครื่องสีเหลือง ทโมทร มีเชือกพันเอาไว้รอบเอว กฤษณะ, โควินทะ, โคบาล ผู้เลี้ยงวัว ชลศายิน ผู้นอนเหนือน้ำ พระพิษณุหริ ผู้สงวน อนันตไศยน นอนบนอนัตนาคราช ลักษมีบดี ผู้เป็นสามีของพระลักษมี วิษว์บวร ผู้คุ้มครองโลก สวยภู เกิดเอง เกศวะ มีผมอันงาม กิรีติน ผู้ใส่มงกุฎ พระวิษณุ พระนารายณ์ ทรงประทับบนสวรรค์ เรียก ไวกูณฐ์ พาหนะ คือครุฑ พระวรกายสีนิล ฉลองดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎ อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์จักรตรีคทา บ้างก็กล่าวไว้ว่าทรงถือ ดอกบัว ลูกศร ดอกไม้ หรือเชือกบ่วงบาศ หรือสายฟ้า อาวุธประจำที่ใช้ คือ สังข์ จักร คทา ธนู และพระขรรค์

    ความสำคัญด้านศาสนา-ลัทธิ

    เมื่อลัทธิไวษณพนิกาย ซึ่งนับถือว่าพระวิษณุทรงเป็นใหญ่เหนือมหาเทพทั้งหลายในตรีมูรติ มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ์คุปตะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3-6 และกษัตริย์อินเดียในราชวงศ์นี้ส่วนมากจะนับถือลัทธินี้ และทรงรับลัทธินี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเอาถือว่าการอวตารขององค์พระวิษณุ เป็นหัวใจที่สำคัญของลัทธิภควตา (Bhagavata) ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์คุปตะและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นลำดับแม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเสื่อมลงแล้วก็ตามลัทธินี้ก็ยังคงอยู่ ชาวฮินดูยังเคารพบูชาปางอวตารของพระวิษณุกันมาก แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการนับถืออยู่
    การอวตาร (Avatar) หรือในภาษาอังกฤษว่า “Incarnation” แปลว่า “การลงมา” คือการลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือ “การเข้าในร่างของมนุษย์” หมายถึง พระวิษณุเสด็จลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นภาคเป็นตอนต่าง ๆ กันเพื่อปราบยุคเข็ญในโลกให้หมดสิ้นไป ถือเป็นปฏิบัติการอันสำคัญยิ่งของพระวิษณุ เมื่อมียุคเข็ญเกิดบนโลกมนุษย์ พระวิษณุก็จะอวตารลงมาช่วยขจัดปัดเป่าเสีย

    การอวตารของพระวิษณุนั้นทรงอวตารเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ และการอวตารของพระองค์จะเป็นไปตามศิวะโองการ (คำสั่งของพระศิวะ) และการอัญเชิญขอร้องของหมู่เทวดา การอวตารของพระวิษณุบ้างก็ว่ามีมากจนนับได้ยาก แต่ปางที่มีจุดประสงค์เพื่อมาช่วยเทวดา และมนุษย์โลกนี้มีทั้งหมด 25 ปาง แต่ปางที่ถือเป็นปางที่สำคัญที่สุดมี 10 ปาง ดังนี้
    • ปางที่ 1 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลา) เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์และสัตว์ให้พ้นจากน้ำท่วมโลก
    • ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่า) เพื่อช่วยเหล่าเทวะและอสูรกวนเกษียรสมุทร
    • ปางที่ 3 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูป่า) มีสองตำนานหลักๆคือ 1) เพื่อปราบอสูรนาม"หิรัณยากษะ"ซึ่งลักเอาแผ่นธรณีไปโดยการม้วนแล้วเหน็บไว้ที่ข้างกาย และ 2) เพื่อยุติการประลองพลังอำนาจกันระหว่าง พระศิวะ และ พระพรหม
    • ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์) เพื่อปราบอสูรนาม "หิรัณยกศิปุ" ผู้เป็นน้องชายของ "หิรัณยากษะ"
    • ปางที่ 5 วามนาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย) เพื่อปราบอสูรนาม "พาลี" ผู้เป็นเหลนของ "หิรัณยกศิปุ"
    • ปางที่ 6 ปรศุรามาวตาร (อวตารเป็นพราหม์ผู้ใช้ขวานเป็นอาวุธ) เพื่อปราบกษัตริย์ (ผู้เป็นมนุษย์) นาม "พระเจ้าอรชุน" หรือ "พระเจ้าสหัสอรชุน" ผู้มีใบหน้า 1พันหน้า ผู้ก่อยุคเข็ญและทำลายล้างศาสนา
    • ปางที่ 7 รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร (อวตารเป็นพระราม กษัตริย์แห่งอโยธยา) เพื่อปราบอสูรนาม "ราวณะ" หรือ "ราพณ์" หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม "ทศกัณฐ์" กษํตริย์ แห่งกรุงลงกา - ปางนี้เป็นหลักในการจัด จารีต และ ขนบธรรมเนียม ประเพณีของสังคมอินเดีย
    • ปางที่ 8 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ) เพื่อขับรถม้าให้ "พระอรชุน" และสอนวิถี และวิธีการดำเนินชีวิต ให้แก่พระอรชุน
    • ปางที่ 9 พุทธาวตาร (อวตารเป็นพระพุทธเจ้า) ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าพระนารายณ์อวตารในปางนี้เพื่อหลอกลวงให้พวกนอกรีตที่ไม่นับถือวรรณะแยกออกไปจากศาสนาพราหมณ์ ; ในบางแห่งเชื่อว่าปางที่เก้านี้คือ พลรามาวตาร (อวตารเป็นพลราม) หรือพระพลรามซึ่งเป็นพี่ชายของพระกฤษณะ เป็นการอวตารคู่กับพระกฤษณะ
    • ปางที่ 10 กัลกยาวตาร หรือ กัลกิยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ผู้ขี่ม้าขาว หรือ กัลกี) เป็นอวตารที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการทำนายอนาคตไว้ว่า ในยามที่เป็นปลายแห่งกลียุค ที่ที่เมื่อผู้คนไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี่ม้าปรากฏตัวขึ้นเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก และนำธรรมะกลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2010
  12. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    หวังว่าพระกริ่งนารายณ์รุ่งเรืองนี้หลังจากสร้างเสร็จขอให้พระนี้เสมือนหนึ่ง พระกริ่งมหาปราบ ปราบสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากเเผ่นดินไทย ขอให้มีความสามัคคีร่มเย็นสืบต่อไป:cool::cool::cool:
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]




     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_6014.JPG
      IMG_6014.JPG
      ขนาดไฟล์:
      83.8 KB
      เปิดดู:
      8,328
    • IMG_6017.JPG
      IMG_6017.JPG
      ขนาดไฟล์:
      78.9 KB
      เปิดดู:
      8,250
    • IMG_6020.JPG
      IMG_6020.JPG
      ขนาดไฟล์:
      74.1 KB
      เปิดดู:
      8,176
    • IMG_6028.JPG
      IMG_6028.JPG
      ขนาดไฟล์:
      76.3 KB
      เปิดดู:
      8,007
    • IMG_6032.JPG
      IMG_6032.JPG
      ขนาดไฟล์:
      85.1 KB
      เปิดดู:
      7,921
    • IMG_6035.JPG
      IMG_6035.JPG
      ขนาดไฟล์:
      78.1 KB
      เปิดดู:
      7,841
    • IMG_6046.JPG
      IMG_6046.JPG
      ขนาดไฟล์:
      72.1 KB
      เปิดดู:
      7,855
    • IMG_6051.JPG
      IMG_6051.JPG
      ขนาดไฟล์:
      72.5 KB
      เปิดดู:
      7,792
    • IMG_6059.JPG
      IMG_6059.JPG
      ขนาดไฟล์:
      163.7 KB
      เปิดดู:
      7,770
    • IMG_6070.JPG
      IMG_6070.JPG
      ขนาดไฟล์:
      96.8 KB
      เปิดดู:
      7,691
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2010
  13. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    รายชื่อพระผู้ทรงวิทยาคมที่เสกมวลสารให้
    1หลวงปู่เรือง เขาสามยอด ลพบุรี พระอรหันต์เมืองละโว้
    2หลวงปู่ต่อ วัดเขาเเก้ว นครสวรรค์ พระอริยเจ้าผู้เรียบง่าย
    3หลวงตาเร่ง วัดดงเเขวน อุทัยธานี ศิษย์หลวงพ่อเคลือบ องค์สุดท้าย
    4หลวงปู่ทองอินทร์ วัดกลางคลองสี่ ปทุมธานี พระอริยเจ้าผู้หยั่งรู้กาล
    5หลวงปู่นาม วัดน้อยชมภู่ สุพรรณบุรี พระอริยเจ้าผู้สืบสายวิชชามามากมาย
    6หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฏีทอง ...พระเกจิรุ่นใหม่ที่เป็นพระมอญเเละคร่ำเคร่งวิชชาโบราณ
    7หลวงพ่ออั้น วัดโรงโค อุทัยธานี สำเร็จวิชชาเทพรัญจวน เเละ พิรุณกำบัง ของสายหลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า
    8หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ ศิษย์เอกหลวงพ่อดู่ สำเร็จวิชชาตั้งองค์พระเเละจักรพรรดิ์

     
  14. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    บอกคำเดียวว่าห้ามพลาดจริงๆ:cool::cool::cool:<!-- google_ad_section_end -->

    ใกล้วันเททองเเล้วครับ<!-- google_ad_section_end -->


    วันนี้มีคนจองพระกริ่งก้นเงิน3องค์
    พระกริ่งก้นทองเเดง 1องค์

    วันนี้คุณสุพจน์ คุณอำนนต์ และเพื่อน
    ได้ส่งชนวนมาร่วมดังนี้ ขออนุโมธนาบุญด้วยครับ
    1หลวงพ่อทวด รุ่นขุนพันธ์พุทธาคมเขาอ้อเนื้อนวโลหะ
    2เหรียญหลวงปู่หงส์เนื้อเงินรุ่น นั่งรวย
    3พระกริ่งชัยวรมันของหลวงปู่หงส์ รุ่นยอดฉัตร เนื้อนวโลหะ
    4พระขรรค์อาจารย์ประคอง รุ่นเจริญ เนื้อนวโลหะมีชนวนกริ่งพรหมมุณี โลหะยอดพระธาตุ เข็มทองคำอาจารย์ประคอง
    5เม็ดรวมชนวนอาจารย์ชำนาญ
    6เหรียญมงคลจักรวาลพุทธาคม เขาอ้อใหญ่ เนื้อเงิน<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_6072.JPG
      IMG_6072.JPG
      ขนาดไฟล์:
      57.1 KB
      เปิดดู:
      149
    • IMG_6074.JPG
      IMG_6074.JPG
      ขนาดไฟล์:
      63.2 KB
      เปิดดู:
      137
    • IMG_6075.JPG
      IMG_6075.JPG
      ขนาดไฟล์:
      59 KB
      เปิดดู:
      161
    • IMG_6076.JPG
      IMG_6076.JPG
      ขนาดไฟล์:
      64.2 KB
      เปิดดู:
      156
    • IMG_6077.JPG
      IMG_6077.JPG
      ขนาดไฟล์:
      32.8 KB
      เปิดดู:
      132
    • IMG_6079.JPG
      IMG_6079.JPG
      ขนาดไฟล์:
      30.5 KB
      เปิดดู:
      142
    • IMG_6083.JPG
      IMG_6083.JPG
      ขนาดไฟล์:
      54.1 KB
      เปิดดู:
      131
    • IMG_6084.JPG
      IMG_6084.JPG
      ขนาดไฟล์:
      64.3 KB
      เปิดดู:
      142
    • IMG_6085.JPG
      IMG_6085.JPG
      ขนาดไฟล์:
      40.9 KB
      เปิดดู:
      127
    • IMG_6086.JPG
      IMG_6086.JPG
      ขนาดไฟล์:
      51.7 KB
      เปิดดู:
      144
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2010
  15. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    "ต่อไป สิ่งที่ไม่เคยเกิดก็จะเกิด คนจะตายหมู่กันมากขึ้น ที่ไหนมีคนรวมกลุ่มกันมากๆอย่าได้เข้าไป จะมีอันตรายมาก..!!!??!"
    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> indexCA7NNY35.gif </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ต่อไป ศาสนาพุทธจะเสื่อมจากเมืองไทย(แม้รูปแบบวัดวาพระบทพระบาทพระธาตุเจดีย์จะยังคงมีอยู่ แต่มรรคผลนิพพานอันเป็นเนื้อแท้แห่งศาสนาแทบไม่เหลือ เพราะสัทธรรมปฏิรูปเข้ามาปลอมปนจนวิปริตผิดเพี้ยนจากพุทธพจน์เดิมไปจนหมดสิ้น) แต่จะไปเจริญทางยุโรป,จีน,รัสเซีย,ออสเตรเลียแทน..!!?!"

    ประมวลคำพยากรณ์ของครูบาอาจารย์หลายองค์ มีหลวงพ่ออุตตมะ,หลวงพ่อพุธ,หลวงพ่อบุญฤทธิ์และ ฯลฯเป็นต้น
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> 00293_4(2).gif </TD></TR></TBODY></TABLE>พวกฝรั่งน่ะ เขาศึกษาพระไตรปิฏกได้ละเอียดและลึกซึ้งกว่าไทยมากน๊ะ..!!!!"

    หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ออสเตรเลีย <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> 07(1).jpg </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2010
  16. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    เจ้าฟ้าหญิงฯ ตรัส ในหลวง ทรงอยากเห็นคนไทยรักกัน

    <SCRIPT src="http://static.ak.fbcdn.net/connect.php/js/FB.Share" type=text/javascript></SCRIPT>
    [​IMG]

    ฟ้าหญิงฯ ตรัสในหลวงอยากเห็นคนไทยรักกัน (ไอเอ็นเอ็น)

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอยากเห็นคนไทยรักกัน

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมีพระดำรัส พระราชทานแก่คนไทย ในนครแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ที่มาเข้าเฝ้า ในเรื่องการเจริญรอยตามคำสอนของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสอนเสมอว่า ต้องรู้จักหน้าที่ของตนเองต่อแผ่นดินไทย ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นลูกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้ามีหน้าที่หลายหน้าที่ หน้าที่หลักของข้าพเจ้า ที่ทรงสอนตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ คือหน้าที่ที่มีต่อแผ่นดินไทย และหน้าที่ที่มีต่อประชาชน ท่านรับสั่งว่า เกิดมาเป็นเจ้าต้องรับใช้ประชาชน

    ข้าพเจ้าอยากเห็นคนไทยรักกัน การที่คนไทยรักกันอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขนั้น เป็นสุดยอดปรารถนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าท่านทรงเห็นคนไทยรักกัน อยู่กันด้วยดี อยู่ดีกินดี ท่านก็ทรงปลื้มที่สุดแล้ว ข้าพเจ้าเห็นท่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ ท่านไม่เคยปรารถนาอะไรเลย นอกจากความอยู่ดีกินดีของคนไทย
    ท่านทรงทุ่มเทพระวรกายมาก พร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเยี่ยมประชาชนทุกจังหวัดในประเทศไทย ทรงพระราชทานความช่วยเหลือประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสุขอนามัย การศึกษา ปากท้อง ทรงสนพระทัยใส่ใจมาก ๆ จริง



    [​IMG]


    http://hilight.kapook.com/view/48495เจ้าฟ้าหญิงฯ ตรัส ในหลวง ทรงอยากเห็นคนไทยรักกัน102
     
  17. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941


    อนุโมทนานะครับ
     
  18. คชบุตร

    คชบุตร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,637
    ค่าพลัง:
    +4,388

    ดีใจ ครับ ที่ได้เกิดเป็นคนไทย และได้อยู่ภายใต้ พระบรมโพธิสมภาร ขอพระเจ้าอยู่หัว "ทรงพระเจริญ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2010
  19. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    พระกริ่งก้นเงินเหลือ27องค์สุดท้ายเเล้วนะครับ:cool::cool::cool:<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    ต้องรีบเเล้วละครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    มาถึงตอนนี้เริ่มมีคนโทรเข้ามาจองกันมากขึ้นเเละเริ่มมีคนสอบถามกันมากขึ้นว่าพระกริ่งรุ่นนี้หล่อเเบบไหนอย่างไร ต้องบอกว่าพระกริ่งรุ่นนี้เป็นพระกริ่งเททองดินไทยใช้มูลวัวพอกหุ่นเเบบเดิมๆ หรือเรียกง่ายๆว่าพอกขึ้วัวหล่อในพิธีทุกองค์ เเละบอกได้เลยว่ารุ่นนี้รุ่นเเรกของผมที่เป็นการทำพระกริ่งสองชั้นหมายถึงหล่อพระกริ่งก้นตันเเล้วคว้านก้นอุดกริ่งก่อนหนึ่งชั้นหลังจากนั้นจะทำการอุดผงบรรจุพระธาตุเเละอัฐิหลวงพ่อรุ่งเเละมวลสารมงคลอื่นๆทุกองค์ทุกเนื้อ หลังจากนั้นจะปิดก้นพระกริ่งด้วยเเผ่นโลหะ ทองคำ เงิน เเละทองเเดง เเต่ละรายการ เนื่องจากพระองค์ค่อนข้างใหญ่การหุ้มก้นจึงเป็นไปได้ยากเพราะเปลืองทองคำมากคงจะตีทองคำปิดเป็นก้นทองคำเพราะทองอีกส่วนต้องลงในเบ้าเพื่อหลอมออกมาเป็นพระ พระรุ่นนี้นอกจากมีกริ่ง ทำให้ดังเเล้ว ยังมีมวลสารทั้งโลหะเเละผงที่อุดอีกเรียกว่าดังเเบบยกกำลังเลยทีเดียว ดีทั้งนอกเเละใน สุดๆไปเลยครับพี่น้อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...