พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    6 เคล็ดลับเติมความสดชื่นในวันร้อน ๆ

    การดูแลสุขภาพ เติมความสดชื่นใน หน้าร้อน


    [​IMG]


    6 เคล็ดลับเติมความสดชื่นในวันร้อน ๆ (Health Plus)

    วันร้อน ๆ อย่างนี้ เรามีเทคนิคดี ๆ มาช่วยเติมความสดชื่นกันด้วยล่ะ

    [​IMG] 1.มีผลวิจัยยืนยันว่า การมองไปที่สีเขียวจะช่วยทำให้คนเรารู้สึกสดชื่น ลองหาต้นไม้เขียว ๆ มาวางบนโต๊ะทำงาน หรือแทนที่เสื้อผ้าสีดำในตู้ด้วยสีสดใสอย่างสีเขียวดูบ้าง รับรองว่า เวลามองตัวเองในกระจกจะรู้สึกสดชื่นขึ้นอีกเยอะเลย

    [​IMG] 2.ลองเปลี่ยนจากน้ำหอมโปรด กลิ่นฉุนที่ใช้เป็นประจำ มาเป็นกลิ่นอ่อน ๆ ที่หอมสดชื่นจำพวกผลไม้ตระกูลซิตรัส ซึ่งเข้ากับอากาศร้อนชื้นแบบเมืองไทยดูบ้าง นอกจากจะได้ความรู้สึกสดชื่นเหมือนอยู่ในสวนแล้ว ยังเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้คนข้าง ๆ คุณได้แปลกใจอีกด้วย

    [​IMG] 3.เวลาเหงื่อออก ร่างกายจะขาดความชุ่มชื่นเนื่องจากสูญเสียน้ำ ถึงจะรู้สึกว่าผิวเปียกเวลาเหงื่อออก แต่ความจริงแล้วผิวกำลังขาดความชุ่มชื่น เติมความชุ่มชื่นกลับคืนให้ผิวด้วยการทาโลชั่น โดยเลือกโลชั่นที่เป็นอาหารผิวจากธรรมชาติที่ช่วยบำรุงผิวให้สดชื่น มีสุขภาพดี อย่างเช่น แตงกวาและว่านหางจระเข้

    [​IMG] 4.เติมความสดชื่นให้ร่างกายด้วยการดื่มน้ำว่างหางจระเข้ปั่นเย็น ๆ แทนการดื่มน้ำอัดลมซ่า ๆ เพราะว่านหางจระเข้สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายที่อ่อนล้า เพราะขาดการพักผ่อน นอกจากนั้นยังเป็นมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ของผิวอีกด้วย



    [​IMG]

    [​IMG] 5.แตงกวาผลเล็ก ๆ อุดมไปด้วยวิตามินเอ และวิตามินซี ซึ่งช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น รวมถึงใยอาหารและแร่ธาตุที่มีประโยชน์อย่างซิลิกา โพแทสเซียม และแมกนีเซียม นอกจากนั้นแตงกวายังมีน้ำเป็นส่วนประกอบกว่า 50% ลองเปลี่ยนจากการนำแตงกวามาแปะผิวแล้วโยนทิ้ง เป็นการรับประทานแบบสด ๆ แทน เพราะนอกจากจะช่วยให้สดชื่นแล้ว ยังทำให้ผิวสวยชุ่มชื่น เปล่งประกายสุขภาพดีจากภายใน

    [​IMG] 6.ไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ ก็มักจะนึกถึงไอศกรีมในวันร้อน ๆ มองข้ามไอศกรีมเนื้อแน่น ที่อุดมไปด้วยไขมันจากทั้งนมและครีมที่คุณโปรดปราน แล้วหันมาลองไอศกรีมแบบซอร์เบทที่ให้ความสดชื่นสุด ๆ อย่างรสแพชชั่นฟรุต มะนาว หรือราสเบอร์รี่ นอกจากจะสดชื่นแล้วรับรองว่าไม่อ้วน เพราะแคลอรี่อยู่ที่ 0%



    [​IMG] ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • d2.gif
      d2.gif
      ขนาดไฟล์:
      24.9 KB
      เปิดดู:
      34
    • ann73.gif
      ann73.gif
      ขนาดไฟล์:
      2.5 KB
      เปิดดู:
      235
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทั่วประเทศยังคงมีอากาศร้อนจัด
    ทั่วประเทศยังคงมีอากาศร้อนจัด - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

    [​IMG]


    กรมอุตุนิยมวิทยา เตือนอากาศที่ยังคงร้อนจัดทั่วประเทศ ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด เป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีเครื่องป้องกัน...

    พยากรณ์อากาศประจำวัน

    ประจำวันที่ 13 เมษายน 2553 ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับมีลมใต้พัดปกคลุมบริเวณดังกล่าว ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดในหลายพื้นที่ อนึ่ง เนื่องจากประเทศไทยมีอากาศร้อนจัดในหลายพื้นที่ คาดว่า จะยังคงร้อนต่อเนื่องไปอีก ลักษณะดังกล่าวจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ โดยไม่มีเครื่องป้องกัน

    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

    ภาคเหนือ อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดในหลายพื้นที่
    อุณหภูมิสูงสุด 40-42 องศา ลมอ่อน ความเร็ว 6-12 กม./ชม.

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดในหลายพื้นที่ อุณหภูมิสูงสุด 40-42 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคกลาง อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดในบางพื้นที่
    บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี และกาญจนบุรี อุณหภูมิสูงสุด 39-42 องศา
    ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออก อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิสูงสุด 35-39 องศา
    โดยมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากตามบริเวณเทือกเขาและชายฝั่ง ลมใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวันและมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร

    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิสูงสุด 36-39 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • thairath.JPG
      thairath.JPG
      ขนาดไฟล์:
      79.6 KB
      เปิดดู:
      637
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สัญญาณอันตราย... องค์กรเป็นพิษ

    คอลัมน์ hc corner

    โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ tamrongsak@hotmail.com

    ˹ѧ

    สัญญาณอันตราย... องค์กรเป็นพิษ

    คอลัมน์ hc corner

    โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ tamrongsak@hotmail.com

    http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02hmc03120453&sectionid=0220&day=2010-04-12

    เรามักจะได้ยินคนที่อาศัยในกรุงเทพมหานครพูดกันอยู่เสมอ ๆ ว่า กรุงเทพฯมีมลพิษอยู่รอบตัว ทั้งไอเสียจากรถสารพัดชนิด ทั้งฝุ่นละออง ไหนจะโจรผู้ร้ายอีก

    ซึ่งหลายหน่วยงานพยายามนำมาตรวัดต่าง ๆ เข้ามาจับความผิดปกติของสภาพอากาศ ความผิดปกติของสิ่งแวดล้อม แต่จริง ๆ แล้วตัวเราเองรู้สึกได้จากสัญชาตญาณว่า สภาพแวดล้อมเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว !

    นั่นคือมลพิษภายนอก แล้วในองค์กรที่เราทำงานอยู่ทุกวันนี้ล่ะ...ท่านเริ่มสัมผัสได้แล้วหรือยังว่ามีสัญญาณอันตรายที่จะทำให้เกิดมลพิษ หรือเกิดความเป็นพิษขึ้นบ้างหรือยัง ?

    ลักษณะองค์กรที่มีแนวโน้มเป็นพิษจะแสดงสัญญาณออกมาใน 2 ลักษณะ ใหญ่ ๆ คือ

    1.ผลผลิตหรือผลการประกอบการโดยภาพรวมขององค์กรเริ่มตกต่ำลงผู้บริหารองค์กรไม่กล้าที่จะตัดสินใจ"ฟันธง" ให้ชัดเจนว่าจะเอายังไง ทำให้ ผู้ปฏิบัติสับสนเพราะไปถามนาย นายบอกว่า "ขอคิดดูก่อน" และก็ได้แต่คิด ไม่ตัดสินใจซะที

    2.มีการสับเปลี่ยนตัวบุคคลที่รับผิดชอบงานที่สำคัญ ๆ บ่อยจนเกินไป จนเกิดความเครียดขึ้นภายในองค์กร ซึ่งผลกระทบต่อมาก็คือความสัมพันธ์ของบุคลากรในองค์กรเริ่มมีปัญหากระทบกระทั่งกันในที่สุด

    หากองค์กรใดเริ่มมี 2 ลักษณะใหญ่ ๆ นี้เกิดขึ้นก็พึงสังวรไว้ว่า นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรที่กำลังจะมีปัญหา และจะทำให้องค์กรนั้นเกิดความเป็นพิษไปในที่สุด

    สำหรับเงื่อนไขของความเป็นพิษในองค์กร ถ้าจะว่าไปแล้วก็คล้าย ๆ กับเงื่อนไขการปฏิวัติในสมัยอดีตนั่นแหละครับ กล่าวคือต้องมีเหตุจูงใจหรือแรงบันดาลใจที่นำมาเสียก่อน ที่เรียกกันว่าเป็นเงื่อนไขจึงเกิดผลตามมา

    เงื่อนไขของความเป็นพิษในองค์กร พอสรุปได้ดังนี้ครับ

    1.เกิดการกระทบกระทั่งกันจากจุดเล็ก ๆ เช่น การกระทบระหว่างพนักงานในกลุ่มเล็ก ๆ ก่อน แล้วขยายวงเป็นการกระทบกระทั่งกันระหว่างหน่วยงาน มีการขัดแย้งกันเป็นประจำ

    2.เมื่อมีความขัดแย้งกันอย่างนี้แล้ว ก็ไม่อยากจะติดต่อกัน เรียกว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับงานก็อย่าหวังว่าจะคุยกัน เลยทำให้ความสัมพันธ์ในหมู่พนักงานมีปัญหาสะสม

    3.พนักงานแต่ละคนมีความเป็นส่วนตัวสูง ภาษาจิตวิทยาเขาเรียกว่ามี ego สูง ประมาณว่า "ข้าแน่" อะไรทำนองนี้

    4.ผลจากข้อ 3 ก็จะทำให้พนักงานทำอะไรไปตามที่ตัวเองคิดว่าถูก หรือคิดว่าใช่ โดยไม่มองเป้าหมายหลัก หรือวัตถุประสงค์ขององค์กรในภาพรวม

    5.การติดต่อสื่อสารในองค์กรมีปัญหา ไม่มีการทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายร่วมกัน ต่างคนต่างทำงานไปโดยไม่ใส่ใจว่าจะต้องสื่อสารให้เพื่อนร่วมงานรู้ ผลก็คือความไม่เข้าใจกันยิ่งจะเพิ่มมากขึ้น

    6.พนักงานรู้สึกว่ามีความกดดัน หรือมีความเครียดในงานสูงเพิ่มมากขึ้นทุกที ๆ

    7.สำคัญที่สุดคือผู้ที่เป็นผู้บริหาร หรือผู้รับผิดชอบที่จะต้องตัดสินใจ ก็ไม่ทำอะไรเสียอีก แถมบางคนใช้ตำรา "แบ่งแยก...แล้วปกครอง" ทำให้ดูดายกับปัญหาที่เกิดขึ้น เผลอ ๆ ตัวเองก็มีปัญหาอย่างที่ผมเล่ามาข้างต้น กับผู้บริหารต่างหน่วยงานเข้าไปเสียอีก ยิ่งทำให้ปัญหาในองค์กรนั้นจะบานปลายไปเรื่อย ๆ

    ผู้นำทำให้องค์กรเป็นพิษ ?

    คงเคยได้ยินที่เขาบอกกันว่า "องค์กรสะท้อนผู้นำ" กันมาบ้าง

    องค์กรจะมีบุคลิกลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามผู้นำในองค์กรนั้น เช่น หากกรรมการผู้จัดการชอบรูปภาพงานศิลป์ เรามักจะเห็นองค์กรนั้น ๆ มีภาพวาด หรือภาพถ่าย หรืองานปั้นประติมากรรมต่าง ๆ ในสำนักงานนั้น ๆ นี่เป็น ตัวอย่างเบื้องต้นของคำว่า องค์กร สะท้อนผู้นำ

    ทำนองเดียวกัน ถ้าผู้นำขององค์กรมีปัญหาขึ้นมา องค์กรก็ย่อมจะเจ็บป่วยตามไปด้วย ตัวอย่าง เช่น

    1.ผู้นำที่ขาดคุณธรรม ซึ่งเปรียบไปก็คล้ายกับผู้ปกครองหรือบิดามารดา ที่เลี้ยงลูกโดยไม่ให้ความรักความอบอุ่น แถมยังหาทางกลั่นแกล้งทำร้ายอยู่บ่อย ๆ นาน ๆ เข้าก็เกิดความเป็นพิษขึ้นกับผู้คน ในองค์กร

    2.ผู้นำที่บริหารจัดการตามอารมณ์ฉัน คือเอาอารมณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ดังนั้น ลูกน้องจะต้องคอยดูทิศทางลม ฤกษ์ยามให้ดีว่าวันนี้ หัวหน้าอารมณ์ดีหรือไม่ เผลอ ๆ เข้าไปผิดจังหวะอาจหน้าหงายกลับมาด้วยคำพูดเจ็บ ๆ แสบ ๆ

    3.ผู้นำแบบโลเล ไม่มีความชัดเจน วันนี้สั่งงานอย่าง พรุ่งนี้เปลี่ยนใจเอาใหม่ ทำให้ลูกน้องที่ทำงานด้วยทำงานยาก บางงานอุตส่าห์ทุ่มเททำงานจนไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน พอเอางานมาส่งในวันรุ่งขึ้น หัวหน้าบอกว่าเอาใหม่แบบนี้ดีกว่า ลูกน้อง ก็เหวอไป

    4.ผู้นำที่เอาแต่เลี่ยงความรับผิดชอบ ผู้นำแบบนี้จะทำงานแบบถนอมตัว ไม่พยายามขัดแย้งกับใคร ไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องใด ๆ ถ้าไม่จำเป็น เช่น หากมีอำนาจเซ็นเช็คแล้ว ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเกี่ยงให้คนอื่นเซ็นแทน เพราะกลัวว่าพลาดพลั้งขึ้นมา เดี๋ยวติดคุกแทนบริษัทอะไรทำนองนี้

    นี่เป็นเพียงตัวอย่างในหลาย ๆ เรื่องของผู้นำหรือผู้บริหารในองค์กร ซึ่งหากมีปัญหาแล้วจะทำให้องค์กรเป็นพิษตามไปด้วยในที่สุด

    ในส่วนของลูกน้องก็ทำให้องค์กรเป็นพิษได้ด้วยเหมือนกัน ตัวอย่าง เช่น

    1.นั่งเมาท์หัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชา วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากไป เช่น หัวหน้างานคนนั้นเป็นอย่างงั้น ผู้จัดการคนนี้ไม่ดีอย่างนี้ ไม่มีน้ำใจ ฯลฯ ก็เอาแต่เมาท์กันจนไม่เป็นอันทำงาน

    2.ผลจากการนั่งเมาท์นินทาสโมสรกันไป ก็จะทำให้เกิดข่าวลือในทางไม่ดีต่อองค์กร ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้ง ๆ ที่ผู้นำองค์กรคนที่ถูกวิจารณ์อาจจะไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น แต่ผลกระทบก็ทำให้ไม่มีใครอยากเสวนาด้วย ทำให้การประสานงาน ในองค์กรมีปัญหาในที่สุด

    3.พนักงานจะมีส่วนแก้ไขสถานการณ์เป็นพิษในองค์กรให้ดีขึ้นได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เพราะเมื่อเกิดความไม่เชื่อถือศรัทธาในตัวผู้นำแล้ว คนก็ไม่เป็นอันทำงาน แต่จะรอว่าเมื่อไหร่จะมีการเปลี่ยนตัวผู้นำองค์กรเสียที

    4.จากผลในข้อ 3 ยิ่งนานวันเข้า ก็ยิ่งจะทำให้พนักงานรู้สึกหมดหวังว่าองค์กรจะดีขึ้นมาได้ เพราะฝังใจหรือเชื่อซะแล้วว่า ผู้นำแบบนี้นำพาองค์กรไปไม่รอดแหง ๆ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว พนักงานที่มีศักยภาพหรือมีความสามารถก็จะเริ่มมองหางานใหม่ในที่สุด

    ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะอยู่ในองค์กรที่มีมลพิษ จนเกิดความเป็นพิษ อย่างที่ได้เล่าให้ฟังนี่หรอกนะครับ วันนี้มาตรวจสุขภาพองค์กรประจำปี โดยการสำรวจความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน (employee satisfaction index survey หรือ ESS หรือ climate survey) กันเถอะครับ แต่การทำ ESS จะต้องทำด้วยหลักวิชาการที่ถูกต้อง ปราศจากอคติจริง ๆ ไม่ใช่ว่าทำแบบหลอกตัวเอง เอาใจผู้บริหาร ซึ่งหลาย ๆ องค์กรเลือกใช้บริการที่ปรึกษาภายนอกเข้ามาเป็นคนกลางในการสำรวจ ESS เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรงมากที่สุด

    วันนี้หากบรรยากาศในที่ทำงานเป็นพิษเสียแล้ว พนักงานคงไม่มีความสุขในการทำงานหรอกครับ การทำบรรยากาศในที่ทำงานให้ดี จึงเป็นเรื่องของทุก ๆ คน ทุกระดับที่จะช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อม ให้ดีขึ้นมาให้ได้...

    วันนี้...คุณได้มีส่วนช่วยสร้าง บรรยากาศในที่ทำงานของคุณให้ดีขึ้น แล้วหรือยังครับ ?
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตีแผ่ราคา "น้ำมัน" ขาขึ้น ขยับตามตัวเลข ศก.หรือเก็งกำไร ?

    ˹ѧ��;������ЪҪҵԸ�áԨ�͹�Ź� | ���͹�س��ǧ˹�� �ء�� �ء����

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ราคาน้ำมันเริ่มร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปีกว่า ที่ผ่านมา จนล่าสุดมาทรงตัวอยู่ในระดับกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งหลายเสียงมองว่า ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานความเป็นจริงของตลาดน้ำมันโลกในปัจจุบันนัก

    โดยเฉพาะหากพิจารณาถึงความจริง ที่ว่า แม้เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว แต่ปริมาณน้ำมันสำรองก็ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าความต้องการ อาทิ เมื่อวันที่ 7 เมษายน สำนักงานข้อมูลพลังงานสหรัฐเปิดข้อมูลว่า ปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดเมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ไว้ที่เพียง 1.4 ล้านบาร์เรลมาก

    สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ปรับขึ้นทะลุระดับ 80 ดอลลาร์ไปแล้วนั้น เจสัน เฟียร์ รองประธานบริษัทวิเคราะห์ตลาดน้ำมันอาร์กัส มีเดีย ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า ไม่มีเหตุผลทางกายภาพใด ๆ ที่ช่วยอธิบายว่า ทำไมราคาน้ำมันจึงควรปรับขึ้นไปสูงมาก และแม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกอาจกระตุ้นความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่จริง ๆ แล้วโลกยังมีกำลังการผลิตและการกลั่นน้ำมันสำรองเหลืออยู่อีกมหาศาล

    ด้าน อินดีเพนเดนต์ วิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันขาขึ้นที่ปรับแรงทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 เดือน ที่ 87.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในตลาดนิวยอร์กในช่วงสั้น ๆ เมื่อวันที่ 6 เมษายน ด้วยอานิสงส์จากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของสหรัฐได้จุดประกายการคาดการณ์ที่ว่า ราคาน้ำมันอาจขยับไปถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนสิ้นฤดูร้อนนี้

    แม้ราคาในระดับนี้จะไม่หวือหวานัก หากเทียบกับระดับสูงสุดที่ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเดือนกรกฎาคม 2551 แต่ก็เป็นระดับที่สูงสุดหากนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 โดยราคาน้ำมันพุ่งขึ้นถึง 8% ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา (นับถึงวันที่ 8 เมษายน) และแม้จะปรับลดเล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่าอยู่นอกช่วง 70-80% ซึ่งเป็นระดับที่ทรงตัว มาตลอด นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีกลาย

    ราคาน้ำมันปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐ และประเทศเอเชียที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่สาเหตุที่ทำให้ราคาปรับแรงในช่วงนี้คือ ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งเป็นตลาดน้ำมันเบอร์ 1 ของโลก ล่าสุดตัวเลขการจ้างงานเพิ่มมากสุดในรอบ 3 ปี ขณะที่ภาคบริการก็ขยายตัวเร็วที่สุดตั้งแต่ปี 2549

    บทบาทของนักเก็งกำไรที่ดันให้ราคาพุ่งกลายเป็นศูนย์กลางของการคาดหมายว่าจะเกิดอะไรต่อไป เดวิด ฮันเตอร์ นักวิเคราะห์ของแมคคินนอน แอนด์ คลาค ที่ปรึกษาด้านพลังงานเห็นว่า เรากำลังเจอแรงของการเก็งกำไรที่หนุนโดยข่าวเศรษฐกิจจากสหรัฐ แต่สถานการณ์อุปสงค์และอุปทานเป็นเหตุผลให้น้ำมันพุ่งถึง 100 ดอลลาร์

    และความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในระยะนี้ยังทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า จะเกิดอะไรขึ้น หากราคาน้ำมันไต่ระดับไปจนถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบางอยู่

    ทั้งนี้ยุคที่ราคาน้ำมันพุ่งสู่ระดับสูงสุดในช่วงฤดูร้อนปี 2551 พบว่ามีผลกระทบทางลบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในแง่อัตราเงินเฟ้อ และภาวะถดถอย เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจขณะนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงพอ ที่จะทนกับราคาน้ำมันแพงได้

    ทว่าสภาพแวดล้อมในขณะนี้ที่เศรษฐกิจ กำลังฟื้นตัว ท่ามกลางความกังวลที่ว่าการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นตัวฉุดให้เขตเศรษฐกิจบางแห่งกลับไปสู่บ่วงถดถอยอีกครั้งนั้น การปรับขึ้นของราคาน้ำมันก็จะไม่ได้เป็นตัวหนุนอย่างแน่นอน

    ด้าน โจนาธาน ลอยเนส ประธาน นักเศรษฐศาสตร์ยุโรป ของแคพิทัล อีโคโนมิกส์ ชี้ว่า หากเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะยิ่งสะสมกับปัญหาอื่น เช่น ระดับหนี้สูง การจำกัดสินเชื่อ อัตราเงินเฟ้อสูง และการเข้มงวดนโยบายการคลัง ซึ่งราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ไม่ดีต่ออนาคตการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพราะจะยิ่งบีบคั้นอำนาจการใช้จ่ายในภาวะที่การเติบโตของผลกำไรของบริษัท และอำนาจการจับจ่ายในครัวเรือนยังคงอ่อนแอ

    ปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วพึ่งพาน้ำมันน้อยลงกว่าอดีต ซึ่ง ยาเอล เซลฟิน หัวหน้าที่ปรึกษาเศรษฐกิจมหภาคของ ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์สมองว่า สัดส่วน การบริโภคน้ำมันของประเทศพัฒนาแล้วที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอดีต ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นจึงส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อน้อย แต่จะส่งผลต่อประเทศกำลังพัฒนามากกว่า ซึ่งขณะนี้ประเทศเหล่านี้มีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หากต้องการทราบเรื่องราวของ กองทุนหาพระถวายวัด นอกจากจะหาอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯนี้

    ผมได้นำโพสบางโพส นำไปลงในกระทู้กองทุนหาพระถวายวัด ใน PaLungJit.com > กลุ่มชมรม > พระเครื่อง-วัตถุมงคลพระวังหน้า (กลุ่มชมรม ในหมวด พระเครื่อง-วัตถุมงคล)

    โมทนาสาธุครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในหลวง ทรงทุกข์ที่สุด เห็นลูกตีกัน

    ����ǧ �ç�ء������ش �����١�աѹ


    ในหลวง ทรงทุกข์ลูกตีกัน-อย่าพังบ้าน (ไอเอ็นเอ็น)

    นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา บรรยายพิเศษเรื่อง "พระจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการจัดโครงการศิลปะพัฒนาชีวิต ด้วยอานาปานสติภาวนา" ที่เสถียรธรรมสถาน โดยกล่าวตอนหนึ่งถึงกรณีความวุ่นวายทางการเมืองขณะนี้ว่า ผมยอมเสียสละชีวิตเพื่อตัวอง ผมเห็นแก่ตัว เพราะผมอยากอยู่บนแผ่นดินนี้ ผมไม่อยากไปอาศัยอยู่บ้านนู้น บ้านนี้เหมือนเขมร เหมือนญวน ผมอยากอยู่ที่นี่ ผมก็ต้องรักษา เขาเรียกว่าเห็นแก่ตัวอย่างสร้างสรรค์ คิดถึงแผ่นดินบ้างเถอะ อย่าลืมถ้าไม่มีแผ่นดิน คุณก็ไม่มีที่อยู่เหมือนกัน

    "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า อย่าพังบ้าน ซึ่งเวลานี้กำลังจะพังบ้านกันอยู่แล้ว ใครจะชนะช่างหัว แต่บ้านพังแล้ว ถนอม ๆ กันหน่อยเถอะ เพราะเรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้ เอาธรรมะเข้าจับ อย่าใช้แต่อารมณ์ เหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ตั้งอยู่บนความโกรธ แล้วสุดท้ายคนก็ล้มตายไป ตนเองยังตอบไม่ได้เลยว่า มันจะจบอย่างไร" เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าว

    นายสุเมธ กล่าวต่อว่า ตอนนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว แต่มีพ่อแม่คนไหนที่เห็นลูกตีกันแล้วมีความสุข ลูกไม่ดียังพอทนไหว ลูกทรพีพ่อแม่ยังทนได้ แต่ลูกตีกัน ผมว่าพ่อแม่คนไหนก็ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ที่สุดของของพ่อแม่คือ เห็นพี่น้องตีกัน ทนไม่ได้หรอก ถ้าถามจิตใจของพระองค์ท่านตอนนี้ ผมว่าพระองค์ทุกข์ที่สุด เพราะฉะนั้น อย่าโกรธกันเลย ถ้าโกรธเมื่อไรประเทศพังเมื่อนั้น


    [​IMG]
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ลมแดด อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

    ปฐมพยาบาล เพลียแดด ลมแดด ไม่ควรมองข้าม



    ลมแดด อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม (Hairworld)
    ข้อมูลจาก : ผศ.น.พ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล

    ลมหนาวหมดไป ลมร้อนเข้ามา เป็นวัฐจักรของธรรมชาติ แต่ตอนนี้ธรรมชาติเริ่มจะไม่ปกติ เพราะวันหนึ่งสามารถมีได้ถึง 3 ฤดูในวันเดียว เช้าอากาศเย็น กลางวันร้อน เย็นฝนตกซะงั้น ถ้าไม่อยากให้โลกเป็นแบบนี้พวกเราทุกคนก็ต้องช่วยกันลดภาวะโลกร้อน เพราะไม่มีใครที่จะช่วยโลกได้ถ้าพวกเราทุกคนไม่ช่วยกัน

    เอาล่ะ อากาศร้อน ๆ อย่างนี้คุณผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า ความเจ็บป่วยชนิดหนึ่งที่มากันหน้าร้อนที่หลาย ๆ คนมองข้าม ได้แก่ "ภาวะลมแดด เพลียแดด" นั่นเอง ซึ่งเป็นภาวะที่ทุกคนคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่หารู้ไม่ว่าโรคนี้เป็นอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถป้องกันได้

    โดยภาวะนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ เนื่องจากความร้อนที่มากเกินไป เพราะโดยปกติร่างกายคนเรามีอุณหภูมิประมาณ 36-37 องศาเซลเซียส ถ้าเมื่อไหร่ที่อากาศร้อนมากจนร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ไม่ถึง 40 องศาเซสเซียส อาการนี้เรียกว่า "เพลียแดด" แต่ถ้าสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส และมีอาการชัก เกร็ง ซึม หรือหมดสติ อาการนี้เรียกว่า "โรคลมแดด"

    [​IMG]อาการที่บ่งบอกว่าเป็นอาการเพลียแดด

    อาการที่บ่งบอกว่าเป็นอาการเพลียแดด ได้แก่ ปวดศีรษะ มึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียไม่มีแรง เป็นตะคริวและมีไข้ แต่ต่ำกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการเพลียแดดเป็นสัญญาเตือนว่า ต้องรีบแก้ไขก่อนที่จะเกิดลมแดดซึ่งมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

    อาการลมแดดมีความรุนแรงกว่าเพลียแดด และต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนเพลียแดด แต่มีตัวแดง ร้อนจัด (เกิน 40 องศาเซลเซียส) ผิวแห้งไม่มีเหงื่อ หอบหายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว มีอาการทางสมอง เช่น เห็นภาพหลอนสับสน หงุดหงิด ชักหรือหมดสติ ภาวะนี้สามารถทำให้เกิดตับและไตวาย กล้ามเนื้อสลายตัว หัวใจเต้นผิดจังหวะ น้ำท่วมปอด เกิดลิ่มเลือดอุดตันในกระแสเลือด และช็อกได้

    [​IMG]ปัจจัยเสี่ยง

    ภาวะนี้เกิดได้กับทุกคนที่ถูกแดดจัด หรืออยู่ในที่ที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน แต่ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ได้ง่ายขึ้น ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคทางสมอง ผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่ดี ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย ผู้ที่ติดเหล้า นักกีฬา คนงาน เกษตรกร หรือทหารที่ต้องออกกำลังอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน

    นอกจากนั้นผู้ที่ได้รับยาบางชนิด อาจทำให้เกิดภาวะนี้ได้ง่ายขึ้นถ้าอยู่ในที่ร้อน ๆ นาน ๆ เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาระบาย ยากันชัก ยาทางจิตเวชบางชนิด ยาลดน้ำมูก ยาแก้หวัด ยาลดความดัน และยาโรคหัวใจบางชนิดยาไทรอยด์ เป็นต้น


    [​IMG]การดูแลรักษาเบื้องต้น

    [​IMG] 1.นำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่อากาศร้อน นำเข้าที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หรือห้องแอร์

    [​IMG] 2.ถ้าผู้ป่วยยังไม่หมดสติ ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเย็น แต่ไม่ต้องให้ยาลดไข้แอสไพริน หรือพาราเซตามอล

    [​IMG] 3.พ่นละอองน้ำบนตัวผู้ป่วย และใช้พัดหรือพัดลมเป่า หรืออาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวผู้ป่วย

    [​IMG] 4.ถ้าผู้ป่วยชักเกร็งให้เอาสิ่งกีดขวางรอบตัวผู้ป่วย ที่อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอันตรายได้ออก

    [​IMG] 5.ถ้าผู้ป่วยหมดสติและอาเจียน ให้จับศีรษะผู้ป่วยหันไปด้านข้าง เพื่อลดโอกาสการสำลัก


    [​IMG]วิธีป้องกัน

    [​IMG] 1.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก ติดต่อกันเป็นเวลานานในช่วงที่อากาศร้อนจัด

    [​IMG] 2.ในช่วงที่อากาศร้อน สวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่ง ไม่หนา ระบาย อากาศดี ควรสวมหมวก หรือถือร่มกันแดด ใช้ครีมกันแดดที่มีค่าSPF สูงกว่า 15

    [​IMG] 3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ก่อนออกกำลังกาย

    [​IMG] 4.หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่อากาศร้อน ๆ เป็นเวลานาน ๆ

    [​IMG] 5.สำหรับผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก ควรระมัดระวังเรื่องอุณหภูมิอากาศไม่ให้ร้อนอบอ้าว และควรให้ได้รับสารน้ำอย่างเพียงพอ

    [​IMG] 6.สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่คุ้นกับเมืองร้อน อย่าเพิ่งออกกำลังกายอย่างหักโหม ควรให้ร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศก่อน 1-2 สัปดาห์

    ถ้าหากทุกคนมีความตระหนัก และรู้จักวิธีการป้องกัน รับรองว่าร้อนนี้ไม่ว่าจะโรคอะไรก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้แน่นอนค่ะ


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก Hairworld


    [​IMG]
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ททท.ยันจัดสงกรานต์ 13 พื้นที่ ตั้งเครื่องตรวจวัตถุก่อนเข้าวัด
    Business - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 เมษายน 2553 23:10 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ไม่หวั่นม็อบ โปรยงบ 35 ล้านบาท ประกาศเดินหน้าจัดสงกรานต์ 13 พื้นที่ทั่วประเทศตามเดิม ชวนคนไทย-ต่างชาติเที่ยวสงกรานต์ปีใหม่ไทยกระหึ่ม ภายใต้คอนเซ็ป”เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์” และ “สงกรานต์ ที่บ้านเกิด” ระบุพื้นที่กรุงเทพฯยึดสืบสานประเพณีไทย จัด ไหว้พระ 9 วัดอารามหลวงเสริมสิริมงคล

    นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหน่วยงานกำกับดูและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวเชิญชวนคนไทย สืบสานงานประเพณีสงกรานต์ โดยปีนี้ ททท.ได้ใช้งบประมาณราว 35 ล้านบาท จัดงานสงกรานต์ทั่วประเทศรวม 13 พื้นที่ ภายใต้แคมเปญ “เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์” และ”งานสงกรานต์ที่บ้านเกิด “ได้แก่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สุโขทัย ขอนแก่น หนองคาย นครพนม ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ สุพรรณบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา และภูเก็ต ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 18 เมษายน 2553 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทั่วประเทศ ก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด “เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก”

    “สงกรานต์เป็นงานประเพณีที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของแต่ละท้องถิ่น และยังเป็นการสร้างจิตสำนึกรักและความมีสามัคคีระหว่างหน่วยงาน องค์กร ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ในการมีส่วนร่วมเพื่ออนุรักษ์ และสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมที่ดีงามของไทยให้เผยแพร่สู่สายตานักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ “

    ผลจากการจัดงานสงกรานต์ซึ่งถือเป็นเทศกาลปีใหม่ของไทยนั้นสามารถผลักดันให้เป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวระดับนานาชาติ (World Event) ด้านเทศกาลงานประเพณี (Festivities) ซึ่งเป็น 1 ใน 7 Wonders of Amazing Thailand และเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความคุ้มค่าน่าเที่ยว ตามแคมเปญ “Amazing Thailand Amazing Value

    อย่างไรก็ตาม กระทรวงการท่องเทียว และ ททท ขอเชิญชวนคนไทย ร่วมกิจกรรมสงกรานต์ที่บ้านเกิด แต่งกายแบบไทย ทำบุญเข้าวัด เล่นน้ำสงกรานต์แบบวิถีไทย รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามในการละเล่นสงกรานต์แบบวิถีไทยที่มีมาแต่โบราณ และร่วมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

    สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร ททท.ยังยืนยันการจัดการเทศกาลสงกรานต์ตามปกติ โดยเน้นจัดกิจกรรม “ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง” ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดระฆัง โฆสิตารามวรมหาวิหาร วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร และ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ระหว่างวันที่ 10 - 18 เมษายน 2553

    สำหรับผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงาน ททท. จังหวัดในพื้นที่จัดงาน หรือ ททท. เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย โทร. 1672 หรือสามารถดูข้อมูลสงกรานต์ 76 จังหวัด และร่วมสนุกกับกิจกรรมสงกรานต์ออนไลน์ทางเว็บไซต์ เช่น รดน้ำขอพร ก่อกองทราย เล่นน้ำสงกรานต์ ปล่อยนกปล่อยปลา ได้ที่ www.songkran.net (ให้บริการภาษาไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10 ของกินเล่นที่ไร้คุณค่าทางอาหาร

    อาหารว่าง 10 เมนูอาหารว่าง ไม่ดีต่อ สุขภาพ


    [​IMG]

    คุณสาว ๆ โปรดทราบ อาหารว่างที่ควรเลี่ยงที่สุด (ไอเอ็นเอ็น)

    ในประเทศอเมริกานั้น อาหารว่าง หรืออาหารทานเล่น ดูจะสร้างความวิตกกังวลมากขึ้นทุก ๆ ปี เพราะว่าส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้นั้นส่วนมากจะเป็นพวกน้ำตาล สารเคมี สี และไขมัน เป็นส่วนใหญ่ และเป็นสาเหตุของโรคอ้วน และไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเอาซะเลย

    มาดูกันดีกว่าว่า อาหารว่าง 10 ชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด ได้แก่อะไรบ้าง

    [​IMG] เฟรนซ์ฟรายส์ (French Fries)

    เรา ๆ ท่าน ๆ นั้นอย่าเพิ่งมั่นใจกับสิ่งที่ร้านอาหาร บอกว่า มีการเปลี่ยนน้ำมันสำหรับทอดบ่อย ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ มันฝรั่งนั้นส่วนประกอบหลักเต็มไปด้วยแป้ง และเมื่อนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด และปรุงรสชาตินั้น อาจจะเป็นอาหารว่างที่อันตรายที่สุด


    [​IMG] โดนัท (Donuts)


    [​IMG]

    โดนัทคือ ขนมปังที่นำไปทอด อาหารชนิดนี้ก็เต็มไปด้วยแป้ง และเมื่อนำไปทอดก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ามันฝรั่งทอดเลย

    [​IMG] มันฝรั่งทอด (Chips)

    [​IMG]

    สิ่งนี่ก็คือมันฝรั่งทอดในรูปแบบอื่นที่แตกต่างออกไป ที่ถูกนำไปใส่ไว้ในบรรจุภัณฑ์นั่นเอง แต่เราสามารถที่จะควบคุมอันตรายจากอาหารประเภทนี้ได้ คือการนำไปอบแทนการทอด ซึ่งมันฝรั่งประเภทที่ใช้การอบแทนนั้น สามารถหาซื้อได้จากร้านอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่อาหารที่ดี และควรรับประทานบ่อย ๆ อยู่ดี

    [​IMG] โซดา (Soda)

    [​IMG]

    บางคนอาจจะสับสนกับการรวมสิ่งนี้เข้าไปเป็นกลุ่มอาหารด้วย สิ่งนี้ไม่เพียงไม่มีคุณค่าทางอาหาร ยังรวมไปถึงสารเคมีอีกมากมายที่ถูกบรรจุอยู่ในผลิตภัณฑ์อีกด้วย

    [​IMG] คัพเค้ก (Cupcakes and Snack Cakes: whipped cream)

    [​IMG]

    เค้กที่มีไส้ครีมมันเยิ้ม และส่วนประกอบหลัก ๆ ก็มีแต่ แป้ง น้ำตาล และสารปรุงแต่งกลิ่น รส ซึ่งไม่มีคุณค่าอาหารเลย

    [​IMG] ช็อกโกแลตสอดไส้ถั่ว (Candy Bars)

    [​IMG]

    กับเจ้าสิ่งนี้อาจจะยังพอมีคุณค่าทางอาหารให้เราอยู่บ้าง กับโปรตีนประมาณ 1-2 กรัม จากถั่วที่เป็นส่วนผสม แต่ว่าปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่นั้น ไม่สามารถนำมาทดแทนคุณประโยชน์ได้เลย เพราะความแตกต่างนั้นมีมากกว่ากันเยอะเลย แต่ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทเดียวกันคือ energy bars ซึ่งมีปริมาณแคลอรี่น้อยกว่าถึง 1 ใน 3 มีโปรตีนมากกว่า และมีไขมันน้อยกว่าอีกด้วย แต่ยังไงก็มีคุณค่าสู้อาหารปกติไม่ได้อยู่ดี


    [​IMG] เบคอน หรือแคบหมู (Pork Rinds)

    [​IMG]

    หรือแคบหมูทอดในบ้านเรานั่นเอง ซึ่งข้อนี้คงไม่ต้องบอก ใคร ๆ ก็คงทราบดีถึงสิ่งที่ได้รับจากเจ้าสิ่งนี้ว่ามีแต่ไขมันสัตว์


    [​IMG] คุกกี้ไร้ไขมัน (Fat-Free Cookies)

    [​IMG]

    สินค้าเหล่านี้เป็นที่น่าสงสัยในแง่ของโภชนาการ เพราะว่าถ้าดูเพียงผิวเผินอาจจะดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาหารที่ปราศจากไขมัน ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากแคลอรี่ไปด้วย ดังนั้นสรุปก็คือ ไม่สมควรรับประทานอีกนั่นแหละ


    [​IMG] แครกเกอร์ (Crackers)

    [​IMG]

    แครกเกอร์เต็มไปด้วยไขมันชนิด Trans ดังนั้นควรอ่านฉลากดูให้ดีก่อนซื้อ โดย Trans Fat หรือไขมันทรานส์ คือ ไขมันแบบ Polyunsaturated ที่วางขายตามท้องตลาด มีการเติมธาตุไฮโดรเจนสังเคราะห์ เพื่อให้มีสถานะแข็งที่อุณหภูมิห้อง ไขมันแบบนี้ มีคุณภาพต่ำ เพราะไปลดปริมาณ HDL และเพิ่มปริมาณ LDL ในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น


    [​IMG] เพรซเซล (Pretzels)


    [​IMG]

    อาหารกลุ่มนี้เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะเป็นอาหารที่ไม่มีไขมัน แต่ไม่มีไขมันไม่ได้หมายความว่าเป็นอาหารที่ดี เพราะเพรซเซลนั้นเต็มไปด้วยแป้ง และน้ำตาล ซึ่งแอบแฝงให้ดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ



    [​IMG]
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สวยสนุกเล่นสงกรานต์ รู้ทัน “ดินสอพอง” “น้ำอบ”
    Celeb Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 เมษายน 2553 12:22 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> งกรานต์..มาแล้วจ้า! ถึงเทศกาลนี้ทีไร หนุ่มสาวได้ปะแป้งสาดน้ำกันสนุกสุดเหวี่ยงเสมอ แต่เชื่อว่าแทบทุกปี หลังจบเทศกาลแห่งความรื่นเริงกันแล้ว หลายคนต้องนั่งกุมขมับกับทรมานใจ ทั้งเจอสิวบุกหน้า แถมตัวก็ดำเป็นเหนียง เราไม่รอช้า พาไปรู้ลึกเรื่อง “ดินสอพอง” และ “น้ำอบไทย” ว่ามีผลหรือไม่? ต่อการเกิดสิว และที่ขาดไม่ได้ ครีมกันแดดแบบไหนกัน? เหมาะกับทาผิวก่อนออกไปสาดน้ำเป็นที่ซู้ด

    ดินสอพองเจ้าแป้งรูปร่างแปลกตา ที่มักมีการนำมาปะป้ายใบหน้าช่วงสงกรานต์ แต่สาวๆ อย่างเราหวั่นนัก กลัวสารพัด ป้ายแล้วจะสิวขึ้นมั้ย ระคายเคืองหรือเปล่า แต่ครั้นจะไม่มีใครมาป้ายเลย ก็ต้องกลับมาคิดหนักกว่าเดิมอีก (ทำไมไม่มีหนุ่มๆ ปะหว่า?)


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=170 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=170>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดินสอพองหรือแป้งดินสอพองที่ปู่ ย่า ตา ทวด ของเราใช้ปะหน้า ประทินผิวกายกันมาตั้งแต่อดีต ทำมาจากดินสีขาวชนิดหนึ่ง ที่มีสารประกอบหินปูนที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า แคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate) ผสมอยู่มากกว่า 80 % ซึ่งดินที่มีแคลเซียมคาร์บอเนตผสมอยู่จำนวนมากนี้ เรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า ดินมาร์ล (Marl)



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ดินมาร์ลในบ้านเรา (คนโบราณเรียกว่าดินสุก) พบมากที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งวิธีการนำดินเหล่านั้นมาทำเป็นดินสอพองก็คือ เมื่อขุดดินขึ้นมาแล้วจะนำมาแช่น้ำในถังไม้ หรือภาชนะที่บ่อที่ขุดไว้ จากนั้นกวนให้ดินและน้ำปนกันจนมีลักษณะเหลว กรองด้วยตะแกรง และผ้าขาวบาง 2 – 3 ครั้งเพื่อกรองกรวดทรายออก พักดินให้นอนก้นแล้วรินน้ำใสด้านบน และตักหน้าดินที่มีสีดำออก ก่อนกวนดินสอพองอีกครั้งแล้วนำไปหยอดเป็นเม็ดกลมๆ ยอดแหลม (อย่างที่เราเห็นกัน) ตากแดดอีก 1 -2 แดด เมื่อแห้งสนิทดีก็สามารถนำมาใช้ได้


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> โดยหลักๆ แล้ว ดินสอพองนำมาใช้ประโยชน์ในการทาตัวแก้ร้อน ผดผื่นคัน คนโบราณจึงมักนำดินสอพองมาปะหน้าทาตัวในเทศกาลสงกรานต์ ที่เป็นช่วงที่มีอากาศร้อนสุด ๆ ของบ้านเราไงล่ะ



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> สงกรานต์ทั้งที ใครก็ต้องอยากสนุก ร่วมปะแป้งที่แก้มให้เหมาะกับเทศกาลซะหน่อย แต่เมื่อนำดินสอพองมาปะหน้าแล้ว จะทำให้เกิดสิวหรือไม่ ?

    นายแพทย์ จินดา โรจนเมธินทร์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า

    “จริงๆ แล้วไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะด้วยตัวดินสอพอง มันเป็นแป้งธรรมดาชนิดหนึ่ง ซึ่งถามว่าจะทำให้เกิดสิวหรือไม่ ผมว่ามันไม่น่าจะเกิดจากตัวแป้ง เพราะตั้งแต่โบราณเราก็ใช้แป้งดินสอพองกันมานานมาก ก็ไม่ได้เกิดปัญหาอะไร

    แต่เรื่องที่ทำให้เกิดสิว ผมว่าปัญหาอยู่ที่น้ำที่ไปผสมมากกว่า เพราะบางทีมันไม่ใช่น้ำสะอาด และมือที่มาป้าย ก็ไม่ใช่มือที่สะอาด เพราะเวลานำมาปะกันช่วงสงกรานต์ด้วยความสะดวก ก็จะเอาน้ำอะไรไม่รู้เอามาบี้ๆ ผสมกับแป้งดินสอพอง มือไปหยิบจับอะไรมาก็ไม่ได้ล้าง ดังนั้นเรื่องสิวที่เกิดในกรณีนี้น่าจะเป็นเรื่องของความสะอาดมากกว่า

    สำหรับแนวทางป้องกันสิวที่อาจเกิดจากการปะดินสอพองในช่วงสงกรานต์ คุณหมอแนะนำว่า วิธีที่ดีในการป้องกัน ก็คือ ถ้าโดนปุ๊ป ก็รีบล้างน้ำ ทำความสะอาดเอาแป้งดินสอพองออกอย่าทิ้งไว้นานเกิน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าคนที่เอามาปะหน้าเรา เค้าเตรียมแป้งมาอย่างไร สะอาดแค่ไหน



    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วนเรื่องของน้ำอบที่นำมาใช้ผสมกับดินสอพอง หรือประพรมตัวในช่วงสงกรานต์ นพ.จินดา บอกว่า

    “ไม่น่าจะมีปัญหาเหมือนกัน ยกเว้นนำอบที่ผสมน้ำหอมมากๆ ก็มีการพูดถึงเหมือนกันว่า ตัวสารหอม ที่นำมาเป็นองค์ประกอบบางตัว อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้ แต่น้ำอบไทย ผมคิดว่ามันอ่อนนะ มันไม่เหมือนน้ำหอมต่างประเทศที่แรงๆ ที่สุภาพสตรีนิยมใช้ฉีดร่างกายกัน มันจะแรงจะเข้มข้น เคมีจะมีเยอะ แต่ถ้าน้ำอบไทยมันค่อนข้างเจือจาง พอโดนน้ำผสม หรือสาดมาก็หายแทบหมดแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> คุณหมอจินดายังแนะนำสาวๆ ที่จะออกไปลั้นลาในช่วงสงกรานต์ด้วยว่า เรื่องหลักๆ ที่อยากให้ระวังคือ เรื่องผิวที่จะต้องไปโดดแดดแรงๆ ดังนั้นการออกไปเล่นสาดน้ำควร ทาครีมกันแดดที่กันน้ำ หรือที่ระบุว่าวอเตอร์ รีซิสแตนท์ (Water resistant) เพราะถ้าเป็นครีมกันแดดที่ไม่กันน้ำ เมื่อไปเจอน้ำสาดมันก็หลุดออกมาจนหมด โดยตามหลักการจริงๆ ควรทาก่อนออกไปเล่นน้ำประมาณ 20 – 30 นาที และทาซ้ำทุก 1 ชั่วโมง ส่วนค่า SPF ก็เลือกให้สูงสักหน่อย เช่นเกิน 30 ขึ้นไปก็ช่วยจะป้องกันไม่ให้ผิวไหม้ หรือคล้ำเสียได้

    รู้อย่างนี้แล้ว สาวๆ หลายคนคงโล่งใจ กล้ายื่นแก้มใสๆ ให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ได้ปะแป้งดินสอพองกันแล้วเน๊อะ …. เที่ยวสงกรานต์อย่างสุขสันต์ทุกท่านนะคะ


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    ดีครับ หุหุหุ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้พระ9วัด กระแสยังไม่ตก

    ชาติ ภิรมย์กุล - เรื่อง/ภาพ

    ˹ѧ

    ไหว้พระ9วัด กระแสยังไม่ตก

    ชาติ ภิรมย์กุล - เรื่อง/ภาพ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOQzB4TkE9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีศรีพิพัฒน์ วัดญาณฯ</TD></TR></TBODY></TABLE>หน้าร้อนปีนี้ สงสัยเราต้องถอนหายใจบ่อย สาเหตุการถอนหายใจน่าจะมาจากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ยังไม่สงบ อาการถอนหายใจมันบ่งบอกถึงความท้อแท้ใจ-ความเบื่อหน่ายอะไรบางอย่างที่ทำให้จิตใจเราขุ่นมัว

    จิตใจขุ่นมัวถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆ มันจะกลายเป็นความวิตกกังวลและเกาะติดเราไปจนถึงห้องนอน ต้องหาทางดับความวิตกกังวลไม่ให้มันลุกลามและอาศัยอยู่ในใจเราหลายวัน

    เรื่องแบบนี้มันต้องทำใจให้จิตนิ่งๆ

    การทำใจให้นิ่งและสงบ-หลายคนเลือกวิธีสวดมนต์-ไหว้พระ-นั่งสมาธิ-เข้าร้านโออิชิ

    หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ท่านเขียนไว้ "สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน"

    ล่าสุดมียาเสริมเข้ามาช่วยสำหรับคนที่ต้องการกำลังใจแบบง่ายๆ ในระยะสั้นๆ โดยการทัวร์ไหว้พระ ขสมก.อู่รถเมล์บางเขน เปิดเส้นทางทัวร์ไหว้พระ 9 วัดมากกว่า 13 เส้นทาง

    วันนี้ผมเลือกเส้นทางไหว้พระ 9 วัดที่ชลบุรี ออกจากอู่รถเมล์บางเขน ตอน 07.20 น. ถึงวัดแรก 09.30 น.

    "วัดเจริญธรรม" เป็นจุดแรกที่เราแวะ-วิหารหลังใหม่สูง-ใหญ่ตั้งอยู่กลางวัดอย่างโดดเด่นด้วยรูปแบบกระแสนิยม ด้านหน้าวิหารมีศาลาไทยประดิษฐานรูปหล่อปู่ท้าวสหัมบดีพรหม-พระแม่ธรณี-พระแม่โพสพ-พระแม่คงคา ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ หลายองค์

    เราแวะมาไหว้พระและชมวัดอย่างเดียวเนื่องจากไม่เจอเจ้าอาวาส

    วัดที่ 2 เริ่มเป็นรูปแบบของทัวร์ไหว้พระจากขสมก.ที่มีพิธีสวดสะเดาะเคราะห์-ถวายสังฆทานหมู่ร่วมกัน วัดนี้ชื่อ "วัดอ่างเวียน" เราไปรวมกลุ่มกันบนศาลากลางวัด

    หลังจากบริจาคปัจจัยถวายพร้อมสังฆทาน เจ้าอาวาสให้เรานั่งหันหลังและหันหน้าสำหรับพิธี สวดเป็น-สวดตาย เสร็จพิธีใครจะลอดใต้โบสถ์หรือไหว้หลวงพ่อดำแล้วแต่ศรัทธา ปัจจุบันมีหลายวัดนำเอาคติความเชื่อของคนโบราณมาเป็นจุดขายและกลายเป็นกระแส

    ปีที่ผ่านมาและปีนี้กระแสลอดใต้โบสถ์มาแรงตามคาด...ส่วนหนึ่งได้รับการปลุกเสกจากสื่อมวลชนหลายแขนงนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนที่พร้อมจะเชื่อเรื่องนี้เปิดรับทันที

    จิตเป็นนาย-กายเป็นบ่าว

    ถ้าเราเชื่อในสิ่งไหน สิ่งนั้นมีส่วนผลักดันให้เราสบาย ใจ แต่อย่างมงายถึงขนาดต้องเสียเงินเยอะๆ โดยไร้เหตุผล <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    1.รูปหล่อสมเด็จพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี วัดสามัคคีบรรพต
    2.พระพุทธรูปในวิหารเจริญธรรม
    3.ลอดใต้โบสถ์วัดอ่างเวียน
    4.ปู่ท้าวสหัมบดีพรหม
    5.ศาลาแปดเหลี่ยมเจ้าแม่กวนอิมที่เกาะลอย
    6.โบสถ์วัดญาณฯรูปแบบเหมือนกับคณะรังสี วัดบวรนิเวศวิหาร
    7.รูปหล่อเหมือนเท่าจริงในวิหารหลวงพ่ออี๋
    8.-9. แม่ย่านางรถ แม่ย่านางเรือ ตรงด้านหน้าทางลงโบสถ์และทางออกอีกด้านหนึ่งของโบสถ์ ที่วัดช่องแสมสาร
    10.ศาลาพระแม่ธรณี-พระแม่โพสพ-พระแม่คงคา
    11.วิหารวัดเจริญธรรม
    12.พระราหู
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ออกจากวัดอ่างเวียนเราไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ วัดท่อใหญ่ (วัดที่ 3) ระหว่างนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่วัดท่อใหญ่ทำให้นึกถึงทัวร์ไหว้พระเส้นทางสิงห์บุรี

    เส้นทางนี้นอกจากจะได้พบกับหลวงพ่อจรัญ ยังได้กินข้าวฟรี 4 มื้อจาก 4 วัด มื้อเที่ยงที่วัดท่อใหญ่กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเข้าไปไหว้รูปหล่อสมเด็จพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี ในศาลาสามัคคีและนั่งพนมมือให้เจ้าอาวาสและพระลูกวัดสวดสะเดาะเคราะห์ และ...สวดเสริมสิริมงคลให้กับลูกทัวร์ทุกคน

    รู้สึกว่า-ตอนออกจากวัดและอยู่บนรถ เราเป็นสิริมงคลเกือบทั้งคันรถ (หลับครับ)

    เนื่องจากเส้นทางไปวัดที่ 4 ผ่านทุ่งโล่งๆ กว้างๆ ระยะทางหลายกิโลทำให้เรายกเปลือกตาไม่ค่อยขึ้น หลับๆ ตื่นๆ ฟื้นทุกทีตอนรถจอด

    รถจอดสนิทอีกครั้งที่ "วัดญาณสังวราราม"...วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 อยู่ในความอุปถัมภ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ และเป็นวัดในพระบรมราชูปถัมภ์

    มาวัดนี้ต้องไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ธาตุ (ในกรุงเทพฯ พระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระ บรมธาตุของเกจิอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ประดิษฐานที่ร.พ. วิชัยยุทธ ตึก 1 ชั้น 20) ตามตำราโบราณทั้ง 47 พระองค์ที่พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีศรีพิพัฒน์

    พระบรมธาตุเจดีย์ฯ สีขาว-สวย-สูง-ภายในพระบรมธาตุฯ ชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่เพื่อการบำเพ็ญกุศลต่างๆ ชั้นสองประดิษฐานพระเจดีย์ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

    วันที่เราไปมีประชาชนมา กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุเยอะมากต้องทยอยกันขึ้น-ลงบันได

    ออกจากพระบรมธาตุเจดีย์ฯ ตั้งใจจะเข้ากราบไหว้พระประธานในโบสถ์

    ภายในโบสถ์มีพิธีบวชพระใหม่ ผมเลยเดินเล่นบริเวณรอบๆ โบสถ์ บรรยากาศที่วัดเหมือนสวนสาธารณะมีต้นไม้ใหญ่หลายต้นและมุมพักผ่อนริมสระน้ำ

    ตอนเดินไปถ่ายรูปเจดีย์พุทธ คยาจำลอง เห็นรถทัวร์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติมากันหลายคัน

    สงสัยเหมือนกันนะทำไมนักท่องเที่ยวผิวขาวๆ หน้าตาออกจีนๆ มาทัวร์วัดไทยเยอะขนาดนี้ คำตอบอยู่นอกวัด

    ห่างจากวัดญาณฯ ประมาณ 2 กิโลเป็นที่ตั้งวิหารเซียนที่คนไทยเชื้อสายจีนรู้จักกันดี <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    อนุวัฒน์ รามศิริ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    วิหารเซียนเป็นสถาปัตยกรรมจีนชั้นสูงและสวยงามมาก-ตำแหน่งที่ตั้งวิหารเซียนได้รับการแนะนำจากยอดซินแสแห่งสยามชื่อ "เซียนสง่า" (อาจารย์สง่า กุลกอบเกียรติ) เสียชีวิตแล้ว

    วิหารเซียนเราไม่ได้แวะ-เราแวะไปไหว้พระพุทธรูปแกะสลักที่หน้าผาเขาชีจรรย์ (เป็นวัดที่ 5) รถจอดฝั่งตรงข้ามเขาชีจรรย์ เรามีเวลาเดินข้ามถนนไป-กลับแค่ 15 นาทีกับแดดจัดๆ ยามบ่ายที่ร้อนระอุ

    ผมยืนถ่ายรูปอยู่ฝั่งตรงข้ามและซื้อมะพร้าวเผาดูดกินท่ามกลางนักท่องเที่ยวต่างชาติหน้าขาว-ใส ได้ยินมาว่า คนเกาหลี-ฮ่องกง-ไต้หวันและจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย หลายกรุ๊ปเขาตั้งใจมาไหว้พระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองไทยโดยเฉพาะ

    วิหารเซียน-วัดญาณฯ และพระพุทธรูปแกะสลักอยู่ในโปรแกรมทัวร์ทุกทัวร์ที่มาเที่ยวชลบุรี

    เมืองไทยมีสิ่งดีๆ มากมายทั้งวัดไทย-วัดจีน-สถานที่ท่องเที่ยว-ผลไม้นานาชนิดนับไม่ถ้วน ลงจากเขาชีจรรย์รถวิ่งเลาะชายหาดแสมสาร-ผ่านชุมชน-สะพานปลาและเลี้ยวเข้าวัด

    "วัดช่องแสมสาร" (วัดที่ 6) วัดนี้มีลอดใต้โบสถ์เป็นจุดขายสำหรับคนที่ชอบเรื่องนี้

    ด้านหน้าซ้าย-ขวาทางลงใต้โบสถ์มีรูปปั้นแม่ย่านางรถ-แม่ย่านางเรือ-ส่วนทางออกอีกด้านหนึ่งเป็นรูปปั้นราหู ที่วัดน่าจะมีแม่ย่านางเครื่องบินและแม่ย่านางทีจี 200 รับรองดังแน่ๆ

    ขอบอกเลยนะ...ห้องน้ำที่วัด ช่องแสมสารสะอาดมาก (ห้องน้ำวัดที่สะอาดเท่าที่ผมไปเห็นมามี 1.วัดท่าการ้อง จ. พระนครศรีอยุธยา 2.วัดบางพลีใหญ่ใน จ.สมุทรปราการ 3.วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย 4.วัดช่องแสมสาร จ.ชลบุรี 5. วัดบ้านกร่าง จ.สุพรรณบุรี) เข้าไปแล้วอยากนอนเล่นสักพัก บางวัดสร้างโบสถ์ใหม่หลายสิบล้านบาทแต่ห้องน้ำสกปรกและเหม็นจนไม่อยากเชื่อ...เป็นห้องน้ำวัด

    วัดที่ 7 อยู่ในเขตอำเภอสัตหีบเป็นวัดที่เซียนพระรู้จักดี...วัดหลวงพ่ออี๋ เรามาไหว้รูปหล่อเหมือนเท่าจริงของหลวงพ่ออี๋ในวิหาร

    กราบไหว้หลวงพ่ออี๋เสร็จต้องรีบออกนะครับ ทั้งคนและควันธูปในวิหารเยอะมากๆ

    วัดดังๆ หลายวัดเขามีที่สำหรับจุดและปักธูปอยู่ด้านนอกโบสถ์-วิหาร เป็นเรื่องที่ดีและน่าทำตามอย่างยิ่งเนื่องจากควันจากธูปมีสารพิษที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

    ทัวร์ไหว้พระเส้นทางนี้เหมือนนั่งรถเที่ยว อ.บางละมุง-อ.บ้านบึง-อ.สัตหีบและอ.ศรีราชา

    ปิดท้ายวัดที่ 9 ที่เกาะลอย อ.ศรีราชา ใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชั่วโมง

    เราไปถึงเกาะลอยเกือบๆ จะ 6 โมงเย็น-คนเยอะ-รถเยอะ-ทะเลกว้าง-อากาศดี-ลมแรง

    ด้านบนสุดของวัดเกาะลอยมีรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อผิว-หลวงพ่อทันใจ และหลวงพ่อเกาะลอย ด้านหลังเกาะใกล้กับที่จอดรถมีศาลาทรงจีนแปดเหลี่ยมประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิ๋ม รอบๆ ริมชายทะเลตั้งแต่สะพานทางเข้ามาถึงบริเวณท้ายเกาะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเที่ยวแบบครอบครัว

    ส่วนวัยรุ่นนั่งจับกลุ่มกันอ่านหนังสือ-ทำการบ้านและสวดมนต์....(ฮิ...ฮิ...เขานั่งกินเหล้ากันครับ) ใครจะกินข้าว-กินเหล้า-นั่งคุยกัน-ไหว้พระ-ไหว้เทพเจ้าจีนแล้วแต่สะดวก

    ไหว้พระ 9 วัดยังจะอยู่ในกระแสไปอีกนานตราบใดที่เหตุการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติ

    เวลาที่เราทุกข์ใจไม่มีทางออก...เรามักเข้าวัดไหว้พระ-นั่งสมาธิเพื่อความสงบ-สุขทางใจ

    เวลาที่เราสบายใจ...เราเข้าวัดทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเองและครอบครัว จะเข้าวัดหรือไม่เข้าวัดก็ได้นะครับ ถ้าเป็นคนดี-จิตใจดี-คิดดี-ทำดี

    บ้านเมืองมีแต่เจริญและสงบสุข

    ไม่ต้องมานั่งถอนหายใจ



    ทัวร์ไหว้พระ 9 วัดกับขสมก. เริ่มให้บริการวันที่ 28 ธันวาคมปี 2548 จนถึงปัจจุบันเขตการเดินรถที่ 1 (อู่รถเมล์บางเขน) เปิดเส้นทางไหว้พระ 9 วัดมากกว่า 13 เส้นทาง คุณอนุวัฒน์ รามศิริ ผอ.เขตการเดินรถที่ 1 พูดถึงทัวร์ไหว้พระ 9 วัด

    "เข้าสู่ปีที่ 5 เราขนคนไปไหว้พระมากกว่า 109 วัด สิ่งที่เห็นได้ชัดคือโบสถ์-วิหาร-ศาลา-กำแพงวัดหลายวัดสำเร็จได้จากเงินบริจาคของลูกทัวร์ นอก จากวัดมีการพัฒนาขึ้นชาวบ้านที่เอาของมาขายในวัดมีรายได้พิเศษทุกอาทิตย์"

    "ปี 2553 เดือนมีนาคม เราเพิ่มเส้นทางไหว้พระที่นครราชสีมา-อุทัยฯและระยองเพื่อตอบสนองลูกทัวร์ที่อยากไปไหว้พระไกลๆ เดินทางเช้า-กลับถึงกรุงเทพฯ ไม่เกิน 3 ทุ่ม"

    สนใจทัวร์ไหว้พระ 9 วัดกับขสมก.ติดต่อสอบ ถามโทร. 0-2551-0491, 0-2552-0885-6
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนระวังพระ-เณรออกเรี่ยไร

    ˹ѧ

    เตือนระวังพระ-เณรออกเรี่ยไร

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1DMHdOQzB4TkE9PQ==

    พระรัตนเมธี วัดแก้วฟ้าจุฬามณี ในฐานะหัวหน้าพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) ในเขตกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ได้รับทราบกรณีที่พระบุญช่วย ปัญญาวโร จากสำนักสงฆ์เอราวัณ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี อายุ 70 ปี พาสามเณรที่บวชในภาคฤดูร้อน จำนวน 16 รูป ออกจากสำนักสงฆ์ ขึ้นรถตู้เดินทางมาที่จังหวัดนครปฐม ออกเดินเรี่ยไรขอรับบริจาคในตลาดปฐมมงคล จ.นครปฐม และได้ถูกพระวินยาธิการจังหวัดนครปฐม ส่งกลับไปให้เจ้าคณะผู้ปกครองดำเนินการแล้วนั้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว ยังไม่เคยเกิดขึ้นในเขตกรุงเทพฯ แต่อยากขอเตือนไปยังผู้ปกครองที่จะส่งบุตรหลาน เข้าบรรพชาสามเณรฤดูร้อน ควรที่จะต้องไปดูให้ถึงวัดหรือสำนักสงฆ์ เพื่อให้แน่ใจว่าสถานที่บรรพชานั้นเป็นวัดจริง และที่สำคัญควรให้บุตร หลาน บรรพชาในวัด หรือสำนักสงฆ์ใกล้บ้าน เพราะจะได้รู้ว่าพระสงฆ์ที่อยู่ที่วัด หรือสำนักสงฆ์มีพฤติกรรมอย่างไร ไม่ควรที่จะให้ไปบรรพชาในวัดที่ไกลๆ เนื่องจากจะทำให้พวกมิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางในการหากินได้ ทั้งนี้ การบรรพชาสามเณรจะต้องมีพระอุปัชฌาย์ และเมื่อบรรพชาแล้ว ในการออกบิณฑบาตควรที่จะบิณฑบาตในรัศมีใกล้วัด มิใช่ออกข้ามจังหวัดหรือข้ามเขต ซึ่งหากเจอในลักษณะดังกล่าวให้สันนิษฐานว่าเป็นการออกบิณฑบาตเพื่อเรี่ยไรเงิน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพระวินยาธิการ ให้เข้าไปตรวจสอบได้ทันที

    ในส่วนภาพรวมของพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ออกบิณฑบาตเรี่ยไรเงิน บิณฑบาตอยู่กับที่โดยสมรู้ร่วมคิดกับแม่ค้าอาหารถุง เมื่อมีคนมาซื้ออาหารใส่บาตรแล้วก็นำกลับมาวางขายใหม่ รวมไปถึงการปลอมบวช ก็ยังมีให้เห็นอยู่ตลอด และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสภาพเศรษฐกิจยังไม่ดี ส่วนหนึ่งที่ทำให้ยังคงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อยู่ตลอด เนื่องจากกฎหมายที่บังคับใช้ลงโทษนั้น ค่อนข้างเบา คือ มีแค่โทษปรับเงินไม่กี่บาท ทำให้ผู้ที่ทำความผิดไม่กลัว และเมื่อโดนจับสึกไปแล้วก็ไปหาที่บวชใหม่ คนที่ปลอมบวชเมื่อโดนจับ โดนปรับเงิน ก็กลับมาปลอมบวชอีก
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก

    พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์

    ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก / ราชบัณฑิต

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ=

    วันที่ 09 เมษายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7071 ข่าวสดรายวัน

    พระพุทธศาสนาเชื่อในเรื่อง "สังสารวัฏ" คือการเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ มากมายเหลือคณานับ ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลสตัณหา สัตว์โลกทั้งหลาย จะต้องเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดไม่รู้สุดสิ้น

    พื้นฐานความเชื่อเรื่อง "สังสารวัฏ" ของชาวพุทธนี้ มีมาจากศาสนาพราหมณ์ฮินดู สามารถสืบย้อนไปถึงสมัยพระเวท สังสารวัฏของพราหมณ์และพุทธ มีส่วนละม้ายคล้ายกันและแตกต่างกันอยู่ ส่วนที่คล้ายคือ ทั้งพราหมณ์ทั้งพุทธยอมรับว่า "กรรม" เป็นตัวจักรสำคัญที่นำให้มีการเวียนว่ายตายเกิดในชาติภพต่างๆ เหมือนกัน

    แต่ต่างกันในแง่ที่ว่า พราหมณ์ชี้ถึงต้นกำเนิดของจักรวาลและสรรพสิ่งว่ามาจากพระผู้สร้าง (พรหมัน หรือ พระพรหม) แต่พุทธไม่ยืนยันเรื่องนี้เพียงกล่าวเป็นกลางๆ ว่า สังสารวัฏกำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้

    พราหมณ์ชี้ว่า ในที่สุดแห่งการเวียนว่าย มนุษย์จะเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้สร้าง "บนที่นั้น" ชั่ว นิรันดร แต่พุทธกล่าวว่า เมื่อมนุษย์เข้าถึงสัจธรรม คือตรัสรู้อริยสัจแล้ว ก็ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป สังสารวัฏเป็นอันสิ้นสุด

    จะเห็นได้จากพระพุทธอุทาน ทันทีที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณว่า

    "เมื่อตามหานายช่างผู้สร้างเรือน (ตัณหา) ไม่พบ

    เราได้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารนับชาติไม่ถ้วน

    การเกิดแล้วเกิดอีกเป็นทุกข์

    นายช่างเอย บัดนี้เราพบท่านแล้ว

    ท่านจะสร้างเรือนอีกไม่ได้แล้ว

    จันทัน อกไก่ เราทำลายหมดแล้ว

    จิตของเราบรรลุนิพพาน

    หมดความทะยานอยากแล้ว"

    พุทธอุทานบทนี้ตรัสเป็นอุปมา ทรงเปรียบตัณหาเป็นเสมือนนายช่างผู้สร้างเรือนคือก่อให้เกิดมาเป็นคน จันทัน อกไก่ หรือเครื่องเรือนทั้งหมดเปรียบได้กับกิเลสน้อยใหญ่ทั้งหลาย

    เมื่อมีตัณหาก็เป็นเหตุให้คนทำกรรมดีบ้างชั่วบ้าง เมื่อทำกรรมลงไปแล้ว ก็ต้องเวียนเกิดเวียนตายในภพภูมิต่างๆ

    หมุนเวียนอยู่เป็นวงจรไม่รู้จบสิ้น แต่เมื่อขจัดตัณหาเสียได้ เข้าถึงสัจธรรมหรือบรรลุนิพพานวงจรแห่งสังสารวัฏก็เป็นอันสิ้นสุด

    ภพภูมิที่คนและสัตว์จะต้องไปเกิดตามแรงกรรมที่กระทำไว้มีอยู่ ๓ เรียกว่า "ไตรภูมิ" คือ

    (๑) กามภูมิ แดนที่ยังข้องอยู่ด้วยกาม สัตว์ที่เกิดในภูมินี้ยังมีโลภ โกรธ หลงเหมือนกันมากน้อยตามสถานะ กามภูมินี้แบ่งแยกย่อยออกเป็น สุคติภูมิ (แดนดี) มีสวรรค์ 6 ชั้น กับมนุษย์ และ ทุคติภูมิ หรือ อบายภูมิ (แดนเลวแดนที่หาความเจริญมิได้) คือ สัตว์เดียรฉาน, อสุรกาย, เปรต, สัตว์นรก

    โปรดสังเกตว่า มนุษย์มีสถานภาพทัดเทียมกับเทวดา พูดอีกในแง่หนึ่งเทวดามิได้วิเศษวิโสไปกว่ามนุษย์ เพราะต่างก็เป็น สุคติภูมิเหมือนกันในบางกรณีเทวดายังสู้มนุษย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ เช่น มนุษย์สามารถบรรลุนิพพานได้ แต่เทวดาทำไม่ได้ จะบรรลุนิพพานได้ ก็ต้องจุติมาเกิดเป็นมนุษย์เสียก่อน

    เห็นหรือยังครับว่ามนุษย์เราน่ะแค่ไหน อย่าลดฐานะของตัวเองนักเลย เทวดากระจอกๆ อย่างพระภูมิ (ภุมมเทวดา) นั่นน่ะ แกเองยังไม่มีปัญญา หาที่สิงสถิต มนุษย์ต้องเมตตาหาที่อยู่ให้

    ผมเห็นบางคนเอาใจพระภูมิขนาดหนัก ซื้อศาล (บ้าน) ให้แกอยู่เป็นหมื่นๆ แล้วก็ไหว้เช้าไหว้เย็น

    ที่จริง พระภูมินั่นแหละน่าจะไหว้คนมากกว่า ที่เมตตาอนุเคราะห์ช่วยให้แกไม่ต้องเป็นผีไม่มีศาล จริงไหมครับ

    (๒) รูปภูมิ แดนของพรหมที่มีรูป มี ๑๖ ชั้น พรหมพวกนี้ก็ยังคงมีกิเลสเหมือนกัน แต่น้อยกว่าประเภทแรก ว่ากันว่าภูมิทั้ง ๑๖ ชั้นนี้เป็นผลของการได้รูปฌานระดับต่างๆ พรหมชั้นกระจอกที่สุดมี ๓ ชั้นคือ พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา และมหาพรหมา จะไปเกิดใน ๓ ชั้นนี้ ก็ต้องได้ฌานขั้นที่หนึ่งก่อน

    ที่น่าสังเกตพรหมที่มาอัญเชิญให้พระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยแสดงธรรม หลังจากตรัสรู้นั้นเป็นพรหมชั้นที่ ๓ คือ มหาพรหมา มิใช่พรหมชั้นพี่เบิ้ม

    คงจะจำกันได้ใช่ไหมครับ หลังตรัสรู้ พระพุทธ องค์ทรงพิจารณาเห็นว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ลึกซึ้งเกินไป ยากที่สัตว์ผู้หนาไปด้วยกิเลสจะรู้ตามจึงไม่ทรงคิดที่จะแสดงให้ใครฟัง

    ขณะนั้น สหัมบดีพรหมจึงลงมากราบทูลให้พระ องค์ทรงแสดงธรรมเพราะเชื่อว่าสัตว์ที่ "มีธุลีในดวงตาน้อย" (หมายถึงมีโมหะอวิชชาบังตาน้อย มีปัญญาพอที่จะรู้ตาม) มีอยู่

    พระพุทธองค์จึงทรงพิจารณาดูอีกครั้ง ทรงเห็นว่าสัตว์โลกมีหลายระดับ เปรียบเหมือนดอกบัว ๓ ประเภท (ในพระวินัยปิฎก มีแต่ดอกบัว ๓ เหล่า ไม่ใช่ ๔ เหล่าครับ) คือ

    (๑) ประเภทที่ยังจมน้ำ

    (๒) ประเภทที่อยู่เสมอผิวน้ำ

    (๓) ประเภทที่อยู่เหนือน้ำ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก

    พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์

    ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก / ราชบัณฑิต

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ==
    วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7076 ข่าวสดรายวัน


    (ต่อจากฉบับที่แล้ว)

    เสร็จแล้วบรรยายรูปร่างลักษณะนรกว่า "มีสี่มุมสี่ประตูแบ่งส่วนเท่ากัน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ข้างบนครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นเป็นเหล็กลุกเป็นไฟกว้างยาวร้อยโยชน์"

    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ ข้อ ๙๒ ระบุชื่อนรกเพิ่มอีก ๘ ขุม คือ (๑) สัญชีวะ (๒) กาฬสุตตะ (๓) สังฆาฏะ (๔) โรรุวะ (๕) มหาโรรุวะ (๖) อเวจี (๗) ตาปนะ (๘) มหาตาปนะ เล่มนี้ให้รายละเอียดมากกว่าที่อื่น คือบอกว่าใครทำกรรมอะไรไว้ จะได้รับโทษทัณฑ์ชนิดไหน เช่น

    ล่วงเกินฤๅษีผู้ทรงศีล จะถูกไฟนรกไหม้ทั้งข้างในข้างนอก วิ่งพล่านหาประตูออกไม่ได้

    คนฆ่าพระอรหันต์ จะต้องตกนรกขุม กาฬสุตตะ

    พระราชา (สมัยนี้ก็รัฐบาลว่างั้นเถอะ) ที่ปกครองประเทศโดยอยุติธรรม ก่อความเดือดร้อนแก่ประชาชน ตกขุม ตาปนะ ถูกไฟนรกเผาร้องคร่ำครวญอย่างน่าสมเพชยิ่งนัก

    ผู้ฆ่าบิดามารดา ตก กาฬสุตตนรก และโลห กุมภีนรก ถูกไฟคลอกจนไม่มีหนัง ตาบอด กินมูตรกินคูถ (กินเยี่ยว กินขี้) ร้อนจัด และกินก้อนเหล็กแดง สุนัขแดง สุนัขด่าง แร้ง กา นกปากเหล็กรุมกัดรุมทึ้งอย่างทรมาน นายนิรยบาลบังคับให้กินเลือดตนเอง จับโยนลงไปทะเลหนองและเลือด ถูกหนอนปากเหล็กตัวใหญ่มหึมาในทะเลหนองและเลือดนั้นชอนไชร่างกายได้รับทุกข์ทรมานเป็นอันมาก

    สามีนอกใจภรรยา ภรรยานอกใจสามี ถูกนายนิรยบาลเอาหลาวแหลมทิ่มแทงในโลหกุมภีนรก ภรรยาที่ดูหมิ่นสามี แม่ผัวหรือพี่น้องผัว จะถูกเอาเบ็ดเกี่ยวลิ้นลากไปมาในตาปนนรก

    ผู้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และคนส่อเสียดให้คนแตกกัน จะถูกนายนิรยบาลเอาค้อนเหล็กทุบ หอกเหล็กแทง บังคับให้กินอาเจียนของสัตว์นรกอื่น ถูกฝูงแร้ง หมา กาปากเหล็กรุมทึ้ง

    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ ข้อ ๕๑๒-๕๒๓ เทวทูตสูตร ได้เล่าว่า เวลาคนตายไป จะถูกนำไปหาพญายม พญายมจะถามว่าเคยเห็นเด็กแรกเกิด คนแก่ คนป่วย และคนทำผิดถูกลงโทษทัณฑ์ต่างๆ ไหม ถ้าตอบว่า เคยเห็น พญายมจะซักต่อไปว่า เห็นแล้วเกิดความสลดใจ คิดจะกระทำแต่ความดีไหม ถ้าตอบว่าไม่เคยคิดก็จะถูกพญายมทำโทษต่างๆ ในนรก เหมือนกับที่กล่าวไว้ในเล่มที่ ๒๘ แต่มีเพิ่มเติมอีกคือ

    จะถูกโยนลงในคูถนรก หรือนรกขี้ร้อนจัด ดิ้นกระแด่วๆ อยู่ในนั้นอย่างทรมาน

    ถูกบังคับให้ปีนขึ้นปีนลงต้นงิ้วที่มีหนามใหญ่ยาวไฟลุกโชติช่วงชัชวาล

    ถูกไล่เข้าป่างิ้ว มีใบเป็นดาบแหลมคม ลมพัดใบร่วงลงมาบาดหู จมูก แขน ขา ของสัตว์นรก

    ถูกโยนลงแม่น้ำด่าง ดำผุดดำว่ายอย่างทรมาน

    เมื่อร้องว่าหิว นายนิรยบาลจะเอาเหล็กแดงงัดปาก แล้วเอาก้อนเหล็กลุกเป็นไฟยัดปาก บ้างเอาน้ำทองแดงกรอกปากบ้าง

    นรกที่พูดถึงในพระไตรปิฎก ที่พอจะแสดงให้เห็นว่าเป็น "นรกทางกายภาพ" หรือนรกที่เป็นรูปเป็นร่างจริงๆ ก็มีปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ กับเล่มที่ ๒๘ (ที่ยกมาข้างบน) เท่านั้น แต่ก็ยังไม่เน้นชัดว่า มัน "ตั้งอยู่" ณ ที่ใด

    โปรดอย่าลืมว่า ปัญหาที่ว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่เป็นอันตัดไปได้ พุทธศาสนายอมรับว่ามีจริง พระไตรปิฎกก็ยืนยันว่ามี แต่มีอยู่ในสภาพใดนี่สิยังเป็นปัญหา

    ในสภาพ "นรกกายภาพ" หรือก็ยังไม่ชัดแจ้งนัก

    หรือว่า มีอยู่ในสภาพเป็น "สภาวะทางจิต" ก็เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกัน

    คือที่เรียกว่าขึ้นสวรรค์ อาจหมายถึงเวลาเรามีจิตใจปลอดโปร่ง ไร้กังวลที่เรียกว่า ตกนรก อาจหมายถึงเวลาจิตใจเร่าร้อน ทุรนทุราย หาความสงบมิได้ เพราะได้ทำความชั่วร้ายไว้

    ที่โบราณว่า "สวรรค์ในอก นรกในใจ" นั่นแหละครับ

    ที่ว่ามานี้ก็มิใช่สรุปเอาเอง พระไตรปิฎกอีกนั่นแหละว่าไว้

    เล่มที่ ๑๐ ข้อ ๙๑ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้พระสาวกดูพวกกษัตริย์ลิจฉวีผู้แต่งตัวโอ่อ่าสวยงามด้วยอัญมณีล้ำค่า หน้าตายิ้มแย้ม ว่า "ใครอยากเห็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็จงดูพวกลิจฉวีนี่แหละ" คล้ายกับจะทรงบอกว่า คนที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเบิกบานนั่นแหละคือ "เทวดา" ล่ะ หาใช่ภพภูมิที่อยู่บนฟ้าดาราพราวไม่

    ความที่กล่าวนี้ยิ่งชัดแจ้งขึ้น เมื่อพลิกดูพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ ข้อ ๒๑๔ พระองค์ตรัสว่า พระองค์ทรงเห็นนรกชื่อ ฉผัสสายตนิกะ กับสวรรค์ ชื่อฉผัสสายตนิกะมาแล้ว คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของคนเรานี่แหละคือนรกและสวรรค์ ขณะใดเราเห็นรูป ได้ยินเสียง สูดกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัสทางกายและมโนภาพที่น่าปรารถนา น่าเพลิดเพลินเจริญใจเรียกว่าเราขึ้นสวรรค์ ขณะใดตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ สัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และมโนภาพที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ มีแต่ความเร่าร้อนทุกข์ใจว่างั้นเถอะ นั่นแหละเรียกว่า "ตกนรก"

    นี่แหละ "สวรรค์ในอก นรกในใจ" อย่างที่โบราณว่าไว้เปี๊ยบเลย

    เพราะฉะนั้น คำสอนเรื่องนรก สวรรค์ ในพระไตรปิฎกจึงสามารถตีความได้สองนัยคือ นรก สวรรค์ "ทางกายภาพ" ก็ได้เป็นเพียง "สภาวะทางจิต" ก็ได้ ดังกล่าวมา

    ใครจะเชื่อจะยึดถืออย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่น่าเสียหายและไม่จำต้องทะเลาะกัน

    หรือถือมันทั้งสองอย่าง กันเหนียว ก็ยิ่งดีใหญ่
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สารพัดวิธีดับร้อนรับสงกรานต์ ด้วยวิธีการ "5 P" "ทำวิธีไหนก็ได้ ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข"

    จากหนังสือพิมพ์ มติชนรายวัน / กิจกรรมวันสงกรานต์มีที่ไหนบ้าง

    Matichon Online: ˹ѧ��;������Ԫ��͹�Ź� : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������
    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]<STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>[/FONT]

    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วุ่นวายดีแท้ ช่วงนี้ทั้งสถานการณ์การชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง บวกกับอากาศร้อนอบอ้าว รวมทั้งภัยแล้งที่ทำเอาน้ำในแม่น้ำโขงแห้งขอด อีกอย่างหลายคนวางแผนจะเล่นน้ำช่วงสงกรานต์ให้ดับความร้อนแรงเสียหน่อย ก็ต้อง "เซ็ง" ตามๆ กัน เพราะหลายหน่วยงาน หลายสถานที่ "งด" กิจกรรมเล่นสงกรานต์ไปหลายจุด สงสัยจะหงอยเหงาเสียแล้วปีนี้

    แล้วอย่างนี้จะดับร้อนด้วยอะไรดี

    น.ส.จุฑามาศ คชาชีวะ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด โรงแรมสุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต ขอแนะนำเมนูดับร้อน อย่าง "ข้าวแช่ชาววัง" เป็นอาหารที่เด็ดสุดในช่วงหน้าร้อนนี้ นอกจากจะอิ่มกับความอร่อย ยังช่วยดับร้อนได้อีกด้วย และต้องเป็นข้าวขัดจากข้าวหอมมะลิ นำไปแช่และต้ม แล้วไปขัดให้กลม ส่วนความหอมนั้นต้องอบเทียมหอมทิ้งไว้ 2 วัน เมื่อเวลาทานจะได้อร่อยหอมหวาน

    นอกจากนี้เธอยังแนะนำขนมหวานที่ช่วยดับร้อนได้ดีทีเดียว อย่าง กระท้อนลอยแก้ว สละลอยแก้ว ลูกตาลลอยแก้ว แช่เย็นๆ หรือใส่น้ำแข็ง เท่านี้ก็สดชื่น ช่วยดับร้อนได้แล้ว
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    สาวสังคม ที่เห็นเธอทุกงานพร้อมรอยยิ้มหวานสดใส "แหน" นันทวัน แสงธรรมกิจกุล ที่ช่วงนี้พักเบรกงาน เพราะสถานการณ์ไม่ปกติ จะไปเดินตากแอร์ในห้าง ก็ดันปิดเสียอีก "แหน" นันทวัน จะหาวิธีดับร้อนอย่างไร

    "ทำวิธีไหนก็ได้ ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข" "แหน" นันทวัน เกริ่นนำพร้อมบอกต่อว่า อากาศร้อนๆ แบบนี้ แต่ต้องรับสภาพกับสภาวะภัยแล้ง งดกิจกรรมการเล่นน้ำ คงต้องบำบัดความสุขให้กับตัวเอง ด้วยการทำผม ทำเล็บ ตามประสาผู้หญิง เพราะนอกจากทำให้ตัวเองสวยแล้ว ยังเป็นการสร้างความสงบ ได้อยู่กับตัวเอง นั่งสบายๆ เป็นวิธีที่ให้สติตัวเองได้วิธีหนึ่งด้วย

    "ถ้าอากาศร้อนมากจนไม่อยากไปไหน ให้อยู่บ้าน ดูโทรทัศน์ หรือทำความสะอาดบ้าน เปลี่ยนแปลงมุมต่างๆ ในบ้านให้สวยขึ้น จะได้สร้างความแปลกใหม่ในบ้าน และรื้อหนังสือที่ไม่ได้อ่าน มาขายในราคาพิเศษ หรือนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆ เป็นการหาเวลาให้กับตัวเอง เท่านี้ช่วยดับร้อน แถมยังเพิ่มคุณค่าให้จิตใจได้เหมือนกัน"

    ด้านคุณหมอ พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร จิตแพทย์แผนกประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท แนะนำว่า อากาศที่ร้อนมาก รวมถึงสถานการณ์ที่ตึงเครียด ส่งผลกระทบต่อจิตใจใครหลายคนได้ ทำให้เครียด หงุดหงิดง่ายขึ้น

    ดูแล้วท่าไม่ค่อยจะดี พญ.เรขาจึงขอแนะนำวิธีแก้ความหงุดหงิดรับสภาวะแบบนี้ และเป็นการดับร้อน ไม่ให้ร้อนมากกว่าเดิมด้วยวิธีการ "5 P"

    เริ่มที่ P แรก "Place" ด้วยการอยู่ในสถานที่ร่มๆ หรือออกไปรับลมเย็นๆ อย่างทะเล ในบ้าน หรือนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ

    P ที่สอง "Peers" หาเพื่อน หรือออกไปหาสังคมข้างนอก เพื่อให้คนรอบข้างที่อารมณ์ดี ช่วยทำให้จิตใจเราสบายๆ ไม่หงุดหงิด หรือโมโหได้

    P ที่สาม "Personal" อยู่กับตัวเอง และพยายามคิดดี ให้มีความหวังไว้เสมอ อย่าเสียดายกับสิ่งที่สูญเสีย หรืออดีตที่ผ่านไปแล้ว จะได้ไม่นั่งจมทุกข์กับความเศร้า เพราะความทุกข์มีไว้ให้เห็น ไม่ได้มีไว้ให้เป็น

    P ที่สี่ "Productivity" อย่าอยู่นิ่งๆ ทำอะไรก็ได้ที่มีประโยชน์ เช่น ถ้าต้องอยู่กับบ้าน ให้จัดบ้าน จัดสวน อ่านหนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน สะสางงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ เป็นการฝึกสมาธิ ส่งผลดีกับจิตใจ ดับทุกข์ และดับร้อนได้ด้วย

    สุดท้าย "Pause" งดรับข่าวสารที่เครียดๆ ยกเว้นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น เพื่อป้องกันความเครียดที่มาไม่รู้ตัว

    จะดับร้อนด้วยวิธีไหน ก็ขอให้ทำด้วยความสบายใจ และไม่เดือดร้อนผู้อื่นเป็นพอ ร้อนกาย อย่าร้อนใจเด็ดขาด



    -------------------------------------------------------

    กิจกรรมวันสงกรานต์

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    รูท 66 คลับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>สงกรานต์ใครที่ไม่อยากเปียก กิจกรรมฮาเฮก็มีมาให้เลือกอยู่เพียบ เริ่มที่ รูท 66 คลับ ที่คลื่น 95.5 เวอร์จิ้น ฮิตซ์ จัดก่อนใคร ตั้งแต่ 12 และยาวไปถึง 16 เมษา ซึ่งภูมิแอนด์เพชรจ้า 2 ดีเจ รับประกันว่ามันแน่ เริ่มจากวันแรก 12 ด้วย "ไวท์ แอนด์ โกล" โชว์เรืองแสงที่มาพร้อมเพลงแนวอิเลคโทรนิค, 13 เมษา "เรโทร สแปลช" ย้อนยุคไปกับเกมสาวน้อยตกน้ำ, ช้อนปลา, ยิงปืน, 14 เมษา "แมด ไวด์ ไนท์" ให้สวมวิญญาณสัตว์ป่า สัมผัสการเป็นนักล่า, 15 เมษา "ไซด์ บิ๊ก บิ๊ก" ท้าคนใจใหญ่มาเจอกัน และ 16 เมษา "ชิค ไอแลนด์" เนรมิตชายหาดสุดเก๋มาไว้ที่นี่ ลุ้นรับบัตรเข้างานที่คลื่น 95.5 หรือ www.virginhitsz.com <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    เปิดโค้กซ่า...บรื๊อออกสงกรานต์


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดิ เอ็มโพเรี่ยม จัด เอ็มโพเรี่ยม สงกรานต์ เฟสติวัล "10 : เดอะ ลีฟวิ่ง เทรดดิชั่น โดยวันที่ 13-15 เมษายน มีการแสดงโขนเยาวชนเรื่องรามเกียรติ์ และเดี่ยวระนาดเอก โดย ขุนน้อย ศิษย์ ขุนอิน และไหนๆ ไปแล้วอย่าลืมดูสินค้าหัตถกรรมในราคาพิเศษ

    ส่วนที่ โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ วันที่ 13-15 เมษายน จัดสงกรานต์ที่มาพร้อมเกมในงานวัด อาทิ สาวน้อยตกน้ำ, ยิงปืน ขายบัตรราคา 650 บาท ซึ่งรวมการดูโชว์อื่นๆ และเครื่องดื่มด้วยละ

    ส่วนที่ แฟชั่นไอส์แลนด์ ชวน 4 สาว เกิร์ลลี่เบอร์รี่ ไปร่วมสนุกในงาน ซัมเมอร์ ออฟ ฟัน จะสนุกรับร้อนแค่ไหน ตามไปเกาะขอบเวทีได้ตั้งแต่ 15.00 น. วันที่ 14 เมษายน

    ปิดท้ายที่ เปิดโค้กซ่า...บรื๊ออออสงกรานต์ ที่ถนน ข้าวสารในวันที่ 13 เมษายน ซึ่งชวนศิลปินไปมินิคอนเสิร์ตเพียบ

    ออกจากกรุงมุ่งต่างจังหวัดบ้าง 12 เมษายน ที่ร้านไฮโฟร์ รร.หินน้ำทรายสวย หัวหิน มี จีเอ็มเอ็ม ไวท์ ปาร์ตี้ ตอน สงกรานต์มหาสนุก ที่รวมสาวเซ็กซี่อย่าง ดีเจโตเกียว และ 4 สาว แบล็ค บิวตี้ และดนตรีสกาเร็กเก้จาก โจฟ็อกซ์ และวง เคลียร์ มาสร้างความสำราญ บัตรเข้างาน 300 บาทจ้ะ

    ส่วนเอไอเอสเตรียมขนทัพดาราไปจัดกิจกรรม สงกรานต์ทั่วไทย อุ่นใจไปกับเอไอเอส ที่คราวนี้ไปทั่วครบ 4 ภาคในวันที่ 13 โดย วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ และ กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง จะขี่ช้างเล่นน้ำที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ใต้ กระแต-ศุภักษร ไชยมงคล จะไปเล่นน้ำกับพี่ๆ น้องๆ ที่ภูเก็ต ขณะชาวอีสานก็เตรียมสนุกสนานกับ สเตฟาน-ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์ ที่ จ.นครราชสีมาได้เลย สำหรับชาวเหนือเตรียมตัวม่วนซื่นกับ เมย์-พิชนาฎ สาขากร

    [/FONT]
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เลี้ยงสุนัข-แมวอย่างไรปลอดโรคพิษสุนัขบ้า
    Daily News Online > หน้าเกษตร > สัตว์สวยป่างาม > เลี้ยงสุนัข-แมวอย่างไรปลอดโรคพิษสุนัขบ้า

    [​IMG]
    [​IMG]






    ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า

    โรคพิษสุนัขบ้า หรือ โรคกลัวน้ำหรือในภาษาอีสานเรียกว่า โรคหมาว้อ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่งที่มนุษย์รู้จักมากว่า 500 ปีแล้ว ซึ่งอาจเกิดจากการกัด หรือ ข่วน จาก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว หนู เป็นต้น เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อเรบีส์ (Rabies) ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาหายแต่สามารถป้องกันได้ ผู้ป่วยมักคงสภาพอยู่ได้นานไม่เกิน 1 สัปดาห์และเสียชีวิต เนื่องจากอัมพาตของกล้ามเนื้อและ ระบบทางเดินหายใจ

    กรมปศุสัตว์ออกมาตรการเข้มเพื่อป้องกันอันตรายที่ส่งผลต่อชีวิตของประชาชน โดยเบื้องต้นให้ความรู้ประชาชนที่เลี้ยงสุนัข-แมวให้เลี้ยงสัตว์ของตัวเองอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เนื่องจากปัจจุบันยังคงพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย โดยในปี 2553 (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2553-2 เมษายน 2553) พบผู้เสียชีวิตแล้วจำนวน 10 ราย

    นายปรีชา สมบูรณ์ประเสริฐ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า เตือนประชาชนให้ระวังโรคพิษสุนัขบ้าซึ่งประเทศไทยยังคงพบโรคนี้ โดยเฉพาะในปี 2553 มีผู้เสียชีวิตแล้วจำนวน 10 ราย โรคพิษสุนัขบ้าพบได้ในสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น แมว แพะ ช้าง ม้า สุนัข รวมทั้งคน แต่พบมากที่สุดคือ สุนัข รองลงมาคือ แมว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนัข และแมวจรจัดที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและการติดโรคส่วนใหญ่เนื่องจากถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัด ข่วน หรืออาจได้รับเชื้อทางน้ำลายเข้าทางบาดแผลหรือเยื่อเมือกได้

    สำหรับสถิติเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้าที่น่าสนใจ คือในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าปีละกว่า 55,000 รายทั่วโลก ซึ่ง 95% หรือประมาณ 52,250 ราย เกิดในทวีปเอเชียและแอฟริกา และประมาณ 30-60% เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าปีละ 10-20 ราย จากเดิมที่เคยมีคนเสียชีวิตปีละกว่า 300 ราย ด้วยวัคซีนที่ถูกพัฒนาใช้ฉีดในคนมีคุณภาพดี ปลอดภัย ราคาไม่แพง และฉีดเพียง 5 เข็ม ทำให้คนเสียชีวิตลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุให้คนละความสนใจและไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อโรคนี้สักเท่าใด

    ในปัจจุบันโรคพิษสุนัขบ้ายังไม่มียารักษาที่ได้ผล ผู้ที่เป็นโรคนี้มักเสียชีวิตทุกราย ดังนั้น การป้องกันโรคจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะผู้เลี้ยงที่คลุกคลีกับสุนัข-แมว ซึ่งการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทำได้ 2 ทาง คือ การป้องกันที่สัตว์เลี้ยง และป้องกันที่ตัวเรา

    การป้องกันที่สัตว์เลี้ยงวิธีที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ในลูกสัตว์เริ่มฉีดเมื่อสัตว์เลี้ยงอายุ 3 เดือน จากนั้นให้ฉีดกระตุ้นตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ปีละ 1 ครั้ง นอกจากนี้ การปล่อยสัตว์เลี้ยงออกไปเดินเพ่นพ่านนอกบ้าน อาจจะทำให้ ได้รับเชื้อจากสุนัข-แมวจรจัดได้ ดังนั้น ผู้ ที่คิดจะเลี้ยงสุนัข-แมว จะต้องคิดอยู่เสมอ ว่าจะต้องรับผิดชอบสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ตลอดชีวิต ไม่ทิ้งสัตว์ เมื่อมันมีขนาดที่ใหญ่โต ขึ้น เจ็บป่วย หรือเริ่มไม่น่ารัก ผู้เลี้ยงควรดูแลด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี เพื่อไม่เป็นภาระแก่สังคม และลดปัญหาการเกิดสุนัข-แมวจรจัด

    การป้องกันตัวที่เรา วิธีการที่ดีที่สุดควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสเมื่อพบสุนัข-แมวที่ไม่ทราบประวัติว่าเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อนหรือไม่ แต่หากถูกสุนัข-แมวดังกล่าวกัดหรือสัมผัสน้ำลายทางบาดแผล ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่หลาย ๆ ครั้งทันที ถ้ามีเลือดออกควรให้ไหลออกมาเพราะเลือดจะพาเอาเชื้อออกมาด้วย ใส่ยาทาแผลเช่น เบตาดีน ทิงเจอร์ แล้วรีบไปพบแพทย์ พร้อมข้อมูลตัวสัตว์เพื่อเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ควรกักสัตว์ไว้ดูอาการอย่างน้อย 15 วัน ถ้าสัตว์แสดงอาการผิดปกติจากเดิม เช่น ให้สันนิษฐานว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ทันที โดย นำสุนัข-แมวดังกล่าวส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้า ต่อไป

    ในปี 2553 กรมปศุสัตว์จัดทำโครงการควบคุมและกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าพร้อมกันทั่วประเทศทั้ง 76 จังหวัด ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนของทุกปี โดยเจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมควบคุมโรค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ทำหมันให้สัตว์เลี้ยงฟรี และประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และมีส่วนร่วมในการควบคุม ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า นอกจากนี้ยังดำเนินการจัดกิจกรรมวันป้องกันโรคพิษสุนัขโลก ในวันที่ 28 กันยายนของทุกปี และเป้าหมายต่อไป คือ กำหนดยุทธศาสตร์ว่าจะทำอย่างไร เพื่อดำเนินการให้ประเทศไทยปลอดจากโรคพิษสุนัขบ้าภายในปี ค.ศ. 2020 หรือในปี พ.ศ. 2563 ตามที่องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (OIE) กำหนด

    อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่ต้นเหตุ คือ การเลี้ยงสัตว์ด้วยความเอาใจใส่ ไม่ทิ้งสัตว์ให้เป็นสัตว์จรจัด และฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามกำหนด เพียงเท่านี้ก็จะสามารถป้องกันโรคได้.<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ป้องกัน ‘กลาก-เกลื้อน’ เยือนกาย
    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ป้องกัน ‘กลาก-เกลื้อน’ เยือนกาย


    [​IMG]

    แค่ไม่รักษาความสะอาดร่างกาย ปล่อยให้เกิดความอับชื้นทั้งจากเหงื่อและน้ำ โรคกลากและโรคเกลื้อนก็จะเยือนเรือนกายของคุณได้อย่างงายดาย ขณะที่วิธีป้องกันนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้...

    หลังการอาบน้ำหรือว่ายน้ำ ต้องเช็ดตัวให้แห้งสนิททุกซอกทุกมุม โดยเฉพาะศีรษะ รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ ซอกมือและซอกเท้า ก่อนโรยแป้ง

    กรณีที่เครื่องแต่งกายเปียกชื้น เช่น เสื้อ กางเกง กางเกงชั้นใน ถุงเท้า รองเท้า ต้องรีบทำให้แห้ง หากจำเป็นต้องเดินเข้าไปในบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ควรสวมรองเท้าบูทที่สามารถป้องกันผิวหนังสัมผัสกับน้ำ แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงและไม่มีรองเท้าบูท หลังเดินพ้นจากน้ำที่ท่วมขัง ให้รีบล้างและฟอกสบู่ให้สะอาด

    นอกจากนี้ ยังต้องหมั่นตัดเล็บให้สั้น รวมทั้งทำความสะอาดซอกเล็บเป็นประจำ ที่สำคัญหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้บางอย่างร่วมกัน เช่น ของใช้ในหมวดเสื้อผ้า-เครื่องแต่งกาย แปรงหรือหวีผม ในผู้ที่เป็นโรคกลากและโรคเกลื้อนแล้วยิ่งไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่น เพราะโรคดังกล่าวสามารถติดต่อกันได้ทางการสัมผัส และพฤติกรรมการใช้ข้าวของร่วมกัน.

    takecareDD@gmail.com

    ภาพประกอบจาก
    Health Information, Resources, Tools & News Online - EverydayHealth.com
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สแกนตัวดู ‘กลาก-เกลื้อน’ หัวจรดเท้า
    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > สแกนตัวดู ‘กลาก-เกลื้อน’ หัวจรดเท้า


    [​IMG]

    ทั่วร่างกายของคนเรามีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคกลากและโรคเกลื้อนด้วยกันทั้งนั้น เพราะตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั้นเกิดความอับชื้นได้ทั้งหมด ดังนั้น ‘มุมสุขภาพ-ภาษาหมอ’ วันนี้ มีตัวอย่างความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวหนังมาเติมความเข้าใจให้ผู้อ่านสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง

    เริ่มจากกลากที่ศีรษะ ส่วนใหญ่มักพบในเด็ก เมื่อเป็นแล้วจะทำให้ผมร่วงเป็นหย่อมและเกิดสะเก็ด เส้นผมหัก หากรุนแรงมากจะเกิดตุ่มหนองคล้ายฝี ขนาด 3-5 เซนติเมตร และรู้สึกปวด

    ส่วนกลากที่ใบหน้า ลำตัว แขน-ขา รักแร้ มือ ง่ามเท้า ฝ่าเท้า จะเกิดเป็นตุ่มแดง จากนั้นจะขยายวงกว้างขึ้น ขอบของวงผื่นจะนูนแดง มีขุยขาว ลักษณะดังกล่าวมักเกิดในบริเวณผิวหนังที่อ่อนแอที่สุด คือ ขาหนีบ ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะปัญหาผิวที่ขาหนีบ ว่า สังคัง

    อีกจุดที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคนอ้วน คือ ใต้ราวนม จะมีผื่นแดง คลุมด้วยฝ้าขาว ยิ่งผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานจะลุกลามขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว

    สำหรับที่ฝ่าเท้า และง่ามเท้า หรือที่มักเรียกกันว่า ฮ่องกงฟุต ผิวหนังที่เป็นโรคกลากจะมีแผ่นขาว ยุ่ย ๆ ลอกออกได้ ทั้งยังมะสะเก็ด เกิดกลิ่น และทำให้รู้สึกคันมาก

    หากเป็นที่เล็บ จะไม่มีอาการเจ็บหรือคัน แต่จะทำให้เล็บเป็นสีน้ำตาล ขาวขุ่น ผิวเล็บขรุขระ เปื่อยยุ่ย และอาจแยกออกจากหนังใต้เล็บได้ โดยความผิดปกติมักเกิดขึ้นที่ปลายเล็บหรือด้านข้างเล็บก่อน

    ขณะที่โรคเกลื้อน มักเกิดที่บริเวณแผ่นหลัง กลางแผงอก มีบ้างที่ใบหน้า ลำตัว ต้นแขน แต่จะไม่เกิดขึ้นที่ศีรษะ มือ เท้า ขา และเล็บ

    แล้วพรุ่งนี้ตามอ่านวิธีป้องกันโรคกลาก โรคเกลื้อนกันต่อ.

    takecareDD@gmail.com

    ภาพประกอบจาก
    www.library.thinkquest.org


    .
     
  20. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    คณะผู้นำไปถวายพระบรมฯ แด่วัดของศิษย์เอกครูบาชัยวงศา อ.ลี้ จ.ลำพูน เพื่อบรรจุตามวัดตามที่ท่านเห็นสมควร โทรมารายงานไปถึงวัดราว 6 โมงเย็น โทร.แจ้งมาว่า ...

    พระท่านทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุยังส่วนของหัวใจพระนอนพึ่งเสร็จวันนี้ ขาดแต่ส่วนของพระเศียร ก็พอดีได้รับการถวายจากคณะของเรา ท่านก็จะบรรจุยังส่วนพระเศียรต่อไป

    อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หุหุหุ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...