108 เคล็ดกิน

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 5 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เคี้ยวช้าๆ พาสุขภาพดี
    เคี้ยวช้าๆ พาสุขภาพดี
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>9 มีนาคม 2553 16:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "108 เคล็ดกิน" เองก็ไม่เคยนับหรอก ก็แค่เคี้ยวๆไปให้พอรู้สึกได้ว่าสามารถกลืนลงไปได้โดยไม่ติดคอ แต่รู้ไหมว่า การเคี้ยวนั้นก็สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีผลการศึกษาทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า การเคี้ยวให้ละเอียดนั้นจะเป็นการช่วยให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง เพราะฟันช่วยผ่อนแรงกระเพาะอาหารไปแล้ว และยังช่วยให้มีสุขภาพดี อายุยืนยาว นอกจากนั้นการเคี้ยวยังมีผลต่อการทำงานของสมอง เพราะการเคี้ยวนั้นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายและต่อมใต้หูให้หลั่งฮอร์โมนออกมา และการที่ฟันบนและฟันล่างได้กระทบกันนั้นก็จะเป็นการออกกำลังกายสมองไปด้วย

    แต่มีคำถามว่า แล้วต้องเคี้ยวคำละกี่ครั้งจึงจะพอ? มีคำแนะนำว่า เคี้ยว 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง เคี้ยว 50 ที จะช่วยลดความวิตกกังวลของอารมณ์และช่วยลดความอ้วน เคี้ยว 60 ที จะดีต่อการกินอาหารที่มีกากไยมาก ลดอาการท้องผูก คราวนี้เริ่มเคี้ยวยากหน่อยเพราะต้องเคี้ยว 80 ที ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น ความจำดีขึ้น เคี้ยว 100 ที ทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้มาก ลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ เคี้ยว 150 ที ระบบการทำงานของกระเพาะและลำไส้จะดีขึ้น และสำหรับคนเป็นโรคกระเพาะเรื้อรังให้เคี้ยว 200 ที ก็จะหายอย่างรวดเร็ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถั่งเช่า สมุนไพรแก้อาการนกเขาไม่ขัน

    สมุนไพร ถั่งเช่า แก้นกเขาไม่ขัน




    [​IMG]
    ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก skn.ac.th , wikipedia

    นับเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจจากบรรดาชายหนุ่มมากมาย สำหรับ "ถั่งเช่า" หรือ "หนอนเทวดา" เห็ดมหัศจรรย์ที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอย่างดีเยี่ยมพอ ๆ กับยาไวอะกร้า ยิ่งล่าสุด หลังจากได้มีการนำเห็ดชนิดนี้เข้ามาปลูกในประเทศไทยได้สำเร็จแล้ว ก็ดูเหมือนว่า "ถั่งเช่า" จะยิ่งได้รับความสนใจ และเป็นที่นิยมมากขึ้น

    แต่เคยสงสัยกันไหมคะว่า "ถั่งเช่า" คืออะไร หน้าตาเป็นยังไง และมีที่ไปที่มาอย่างไร ถ้าหากท่านเป็นอีกคนที่ยังไม่รู้จักเห็ดชนิดนี้แล้วล่ะก็ วันนี้กระปุกจะพาท่านไปรู้จักพร้อม ๆ กันค่ะ

    เห็ดถั่งเช่า หรือ ชื่อเต็มว่า ตังถั่งแห่เช่า เป็นราแมลงในกลุ่ม Ascomycetes มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Cordyceps Sinensis ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน ซึ่งเป็นหนอนผีเสื้อชนิดหนึ่ง และส่วนบนของตัวหนอนที่มีเห็ดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. มีแหล่งกำเนิดเฉพาะถิ่น คือ ในพื้นที่สูง 4,000-5,000 เมตร จากระดับ น้ำทะเล เช่น ประเทศจีน ภูฏาน และทิเบต เกิดขึ้นโดยสปอร์เชื้อราจะเข้าสู่ตัวอ่อนของ หนอนผีเสื้อค้างคาว ที่ฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินในฤดูหนาว และเมื่อถึงฤดูร้อน ก้านสปอร์จะเติบโต ขึ้นมาบนพื้นดิน ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนต้นหญ้าที่ขึ้นเฉพาะฤดูร้อน และด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่า "ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า" หรือ "หนาวหนอนร้อนหญ้า"

    ถั่งเช่า มีสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะสารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) มีฤทธิ์บำรุงไต กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษาสมดุลย์ของคลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด และมีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ดังนั้นเมื่อกินเห็ดชนิดนี้เข้าไป ก็จะส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าหากกินถั่งเช่าวันละ 1 กรัม เป็น เวลา 46 วัน จะช่วยให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้นถึง 64% เลยทีเดียว


    [​IMG]
    ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า


    และไม่เพียงแค่นั้น ถั่งเช่า ยังมีสรรพคุณอื่นอีกมายมาย ได้แก่ ช่วยในเรื่องระบบทางเดินหายใจ อาการไอ ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ ทำให้การทำงานของไตดีขึ้น ทำให้ร่างกายสดชื่น ความจำดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดการอักเสบ ต่อต้านมะเร็ง เพิ่มภูมิต้านทางของร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความชราได้

    แต่ด้วยความที่เห็ดชนิดนี้หายาก ทั้งยังมีสรรพคุณดีเยี่ยม จึงทำให้เห็ดถั่งเช่ามีราคาสูงมาก คือ สูงถึงกิโลกรัมละ 2 แสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งการรับประทานนั้นสามารถรับประทานได้โดยการรับประทานสด ตากแห้ง หรือ นำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่ม ซึ่งในไทยพบในรูปแบบของกาแฟแล้วค่ะ

    และนี่ก็คือเรื่องราวของเห็ดถั่งเช่าที่นำมาฝากกัน ก็เรียกว่าเป็นสมุนไพรที่ไม่เพียงแต่รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น แต่ มีสรรพคุณครอบจักรวาลเลยทีเดียว

    ว่าแต่.. ราคากิโลกรัมละ 2 แสนบาทขนาดนี้ จะรับประทานทีก็คงต้องคิดแล้วคิดอีก เลยล่ะค่ะ


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    - vcharkarn.com
    - biothai.net
    - tpma.or.th
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กิน"ถั่วแดง" หัวใจเข้มแข็ง
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>16 มีนาคม 2553 14:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"ถั่ว" เป็นธัญพืชที่ทราบกันดีแล้วว่ามีประโยชน์มากมาย ในทางการแพทย์จีนถือว่าถั่วชนิดต่างๆจะให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่น ถั่วดำมีประโยชน์ต่อไต ถั่วเหลืองมีประโยชน์ต่อม้าม ถั่วเขียวใประโยชน์ต่อตับ ถั่วขาวมีประโยชน์ถ่อปอด

    และสำหรับถั่วแดงนั้น แพทย์จีนถือว่าช่วยบำรุงหัวใจ ประเภทอาการใจสั่น ช่วยในการบำรุงระบบประสาท บำรุงลำไส้ ลดอาการบวมน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนั้น ถั่วแดงยังมีทั้งสารอาหารโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามีนเอ บี ซี และเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมาก ดังนั้นจึงช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ดี ทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองปริแตก นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยกรดโฟลิกที่ช่วยบำรุงโลหิต ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ และยังประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ polyphenolics ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีอีกด้วย

    ถั่วแดงมักถูกใช้ประกอบอาหารในรูปของขนมหวานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วแดงบดกินกับไอศกรีม ฯลฯ ซึ่งก็ได้ทั้งความอร่อยและประโยชน์เลยทีเดียว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. เด็กน้อยรักธรรม

    เด็กน้อยรักธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +81
    สาระเยอะแยะเรย ย
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“หัวบัวหิมะ” ผลไม้นำเข้าจากจีน
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>30 มีนาคม 2553 17:55 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สาวๆที่รักสวยรักงาม อาจจะพอรู้จัก "บัวหิมะ" หรือ "จง หัว ฟู เป่า" ที่เป็นผลิตภัณฑ์ ครีมทำให้ผิวพรรณ นวลเนียน เปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนกว่าวัย กันอยู่บ้าง

    แต่ตอนนี้ “108เคล็ดกิน” จะพาไปรู้จักกับ “หัวบัวหิมะ” กันบ้าง ซึ่งเป็นพืชคนละชนิดกันแต่ชื่อพ้องตรงกัน ทั้งยังนำเข้าจากจีนเช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เริ่มมีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ตามแถบชายแดนทางภาคเหนือกันบ้างแล้ว

    หัวบัวหิมะ มีชื่อในภาษาจีนว่า “เสวี่ยเหลียนกว่อ” แปลตามตัวอักษรได้ว่า “ผลของบัวหิมะ” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Smallanthus sonchifolius หรือในภาษาอังกฤษรู้จักกันในนามของ Yacon จัดเป็นพืชในตระกูล ทานตะวัน ความสูงของต้นประมาณ 2 - 3 เมตร เมื่อโตเต็มที่จะแทงดอกสีเหลืองเล็กๆ ที่จะลงหัวที่มีลักษณะภายนอกคล้ายหัวมันเทศมาก

    หัวบัวหิมะเริ่มปลูกกันมากขึ้นในมณฑลยูอิ๋นหนาน ของประเทศจีน เนื่องจากพบว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยกรดอะมิโน แร่ธาตุหลักและจุลธาตุอีกหลายชนิด โดยเฉพาะ แคลเซี่ยม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซีลีเนียมที่มีอยู่ในสัดส่วนสูงเป็นพิเศษ

    มีสรรพคุณทางยาสมุนไพร ในการควบคุมปรับปรุงของเหลวในเลือด ลดน้ำตาล ไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด เป็นการป้องกันและเยียวยาอาการของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน ช่วยการทำงานของระบบขับถ่ายในกระเพาะลำไส้และทางเดินปัสสาวะได้ดี ช่วยย่อยอาหาร ช่วยระบายท้อง ป้องกันท้องเสีย สารก่อมะเร็งร้าย รสชาติของ เสวี่ยเหลียนกว่อ คล้ายคลึงกับผลสาลี่ ที่มีเปลือกบาง กรอบ รสออกหวาน ฉ่ำน้ำ นิยมกินกันสดๆ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผักพื้นบ้าน จานสุขภาพ

    ˹ѧ

    ผักพื้นบ้าน จานสุขภาพ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBeE1DMHdOQzB3TlE9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    น้ำพริกกับผักเหนาะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>เครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาคประชาชนตำบลตำนาน อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำ "โครงการอาหารสุขภาพจากผักพื้นบ้านชุมชนตำบลตำนาน" เพื่อศึกษารวบรวมและฟื้นฟูองค์ความรู้จากผักพื้นบ้าน พร้อมสนับสนุนให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญ และประโยชน์ของอาหารพื้นบ้านที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ

    นางชุติมา เกื้อเส้ง หัวหน้าโครงการและประธานเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาคประชาชนฯ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ในชุมชนพบว่าชาวบ้านป่วยเป็นโรคโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกคนมีแนวคิดอยากปลูกผักกินเองเพื่อป้องกันโรคภัยจากสารเคมีที่แฝงมากับอาหารที่ซื้อจากตลาด แต่ชาวบ้านไม่มีความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของผักพื้นบ้าน รวมถึงไม่รู้วิธีการปรุงอาหารจากผักเหล่านี้ เนื่องจากภูมิปัญญาในการประกอบอาหารท้องถิ่นถูกกลืนหายไปตามสภาวะเศรษฐกิจ ทางเครือข่ายจึงดำเนินงานแก้ปัญหานี้เพื่อให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญ พร้อมกลับมาปลูกพืชและปรุงอาหารจากผักพื้นบ้าน

    โครงการนี้เริ่มจากการสร้างชุดองค์ความรู้เพื่อให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของผักพื้นบ้าน โดยร่วมกับแกนนำชุมชนลงสำรวจผักพื้นบ้าน พบว่ามีผักพื้นบ้านมากถึง 126 ชนิด และยังพบด้วยว่าเป็นพืชผักริมรั้ว ซึ่งเป็นทั้งอาหาร สมุนไพร และยาเกือบทั้งหมด บางชนิดเกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น ขี้พร้าไฟ ฟักข้าว หนามชิด ผักพื้นบ้านยังเชื่อมโยงกับสภาพสิ่งแวดล้อมของชุมชนและสภาพสังคม เพราะการเกษตรแผนใหม่ทำให้ผักพื้นบ้านหลายชนิดสูญหายไป <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ชุติมา เกื้อเส้ง /สรรค์ อัศโรดร /รมย์ เกื้อเส้ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ด้าน นายสรรค์ อัศโรดร อายุ 66 ปี แพทย์พื้นบ้าน กรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ กล่าวว่า ผักพื้นบ้านส่งผลดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นผักที่ขึ้นเองตามฤดูกาล ไม่ต้องปลูก ไม่ต้องลงทุนดูแลรักษา รวมทั้งไม่ต้องใช้ปุ๋ยสารเคมี แต่ปัจจุบันยังขาดการอนุรักษ์ และไม่เห็นความสำคัญจึงทำให้ผักพื้นบ้านถูกทำลายไป

    "ปัจจุบันคนป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดัน หลอดเลือดหัวใจกันมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการกินอาหารที่มันและหวานมากเกินไป โรคเหล่านี้ถ้าเข้าใจแล้วหันมากินเปรี้ยวให้มากกว่าอาหารที่มัน และกินอาหารพื้นบ้านจะช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้ เช่น น้ำพริกทุกชนิดจะมีมะนาว หัวหอม กระ เทียม พริกขี้หนู สมุนไพรเหล่านี้ช่วยละลาย ไขมัน เมื่อรวมกับวิตามินและเกลือแร่ที่เราได้จากผักเหนาะนานาชนิด เช่น สะตอ กระโดน ถ้าเรากินสม่ำเสมอจะช่วยได้ เพราะการกินอาหารพื้นบ้านตามที่ครอบครัวได้รับการถ่ายทอดมาแทบจะไม่ต้องศึกษาเรื่องโปรตีน คาร์โบ ไฮเดรตอะไรเลย เพราะภูมิปัญญาโบราณนั้นมีความสมดุลในธาตุต่างๆ ของร่างกายและอาหารอยู่แล้ว" นายสรรค์กล่าว <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    การหุงข้าวแบบโบราณ

    อาหารที่ปรุงจากผักพื้นบ้าน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นางรมย์ เกื้อเส้ง อายุ 54 ปี แกนนำกลุ่มวิสาหกิจชุมชน บ้านหมู่ 13 ตำบลตำนาน เล่าว่า ทุกวันนี้ซื้อผักจากตลาดน้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้วซึ่งมีอย่างมากมาย ทั้งตำลึง ผักหวาน มะเขือ ซื้อเฉพาะวัตถุดิบที่จำเป็นและหาไม่ได้ในชุมชนเท่านั้น ส่วนมากคนในท้องถิ่นจะไม่ค่อยสนใจผักพื้นบ้านเพราะมันยุ่งยาก บ้างก็ขี้เกียจไปเก็บไปหา ซื้อเอาดีกว่าเพราะติดความสะดวกสบาย แต่การทำกับข้าวโดยใช้ผักพื้นบ้านจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัวไปได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 50 บาท เวลาทำเสร็จก็จะอธิบายให้คนในครอบครัว ลูกหลานว่าผักพื้นบ้านที่นำมาทำกับข้าวในแต่ละวันนั้นมีประโยชน์อย่างไร บอกสรรพคุณให้เขาได้รู้เลยว่ากินแล้วมีประโยชน์อะไรบ้าง ปัจจุบันคนในหมู่บ้านเริ่มหันมาสนใจอาหารพื้นบ้านกันมากขึ้น

    นางงามจิตต์ จันทรสาธิต ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนโครงการเปิดรับทั่วไป สสส. กล่าวว่า ถ้าชุมชนหันมาสนใจปลูกผักพื้นบ้านแล้วพัฒนาตำรับอาหารหรือเมนูอาหารที่อาจต้องปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยบ้าง น่าจะจูงใจให้คนหันมาบริโภคผักพื้นบ้านกันได้มากขึ้น เพราะบางครั้งผักพื้นบ้านดีๆ คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักแล้วว่ากินอย่างไรถึงจะอร่อย มีประโยชน์อะไร นำไปปรุงอาหารได้อย่างไร โครงการนี้จะส่งผลดีกับชุมชน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างแต่ละชุมชน สิ่งที่ได้นอกเหนือไปจากการที่ชาวบ้านจะได้ฟื้นฟูรักษาตำรับอาหารพื้นบ้านกลับมาแล้ว ยังได้ฟื้นฟูวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนให้กลับคืนมาอีกด้วย
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>มา "กินเปลี่ยนโลก" กันเถอะ
    Travel - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 เมษายน 2553 15:54 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> มูลนิธิชีววิถี หรือ Biothai เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ชุมชนคนรักป่า และสถาบันต้นกล้า ได้จัด "โครงการรณรงค์กินเปลี่ยนโลก" (Slow Food Thailand) เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจเรื่องวิกฤตของอาหาร เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของเรา โดยการมองย้อนกลับไปยังที่มาของอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการปลูก เลี้ยง ขนส่ง แปรรูป ขาย ตลอดจนสิ่งที่เกิดตามมาหลังจากเรากินเข้าไปแล้ว เช่น ปัญหาสุขภาพปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

    "108 เคล็ดกิน" จึงขอพาไปทำความรู้จักการ "กินเปลี่ยนโลก" ที่กินได้ไม่ยาก เพียงกินอาหารตาม 3 เงื่อนไขหลัก ๆ ดังนี้ คือ อาหารดีมีคุณค่า (Good)วัตถุดิบคุณภาพดี สดใหม่ใส่ใจในทุกขั้นตอนการปรุง เปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ สะอาด (Clean)วัตถุดิบมาจากระบบการผลิตที่ปลอดสารเคมี และไม่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เป็นธรรม (Fair)ราคาเป็นธรรมต่อผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้ซื้อ

    สำหรับวิธีรณรงค์ง่ายๆ ที่เปลี่ยนโลกได้ทุกวัน ก็มีหลากหลาย เช่น "ไม่เอาสารเคมี" ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ฟอร์มาลีน บอแรกซ์ ผงชูรส สารกันบูด ป้องกันการกินเพื่อตายผ่อนส่ง

    "มาปลูกกิน" เราปลูกกินเองได้ เช่น โหระพา กะเพรา สะระแหน่ พริก ตะไคร้ ใบเตย หรือลองปล่อยให้ถั่วพลู บวบ เลื้อยตามรั้วบ้านดูบ้างก็เข้าท่าไม่หยอก จัดวางตัดแต่งดีๆ เป็นสวนสวยกินได้ ปลอดภัย ลดรายจ่ายไปในตัว

    "มาทำกินเอง" เราแน่ใจว่าสด สะอาด มีคุณค่า แน่นอนเพราะเราต้องเลือกวัตถุดิบเองและสามารถปรุงรสให้ถูกปากเราได้ ไม่ต้องอารมณ์เสีย นอกจากนั้น การเข้าครัวยังเป็นการทำกิจกรรมร่วมกันของคนในครอบครัว เพียงเท่านี้เราก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ทุกวัน.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สับปะรดสารพัดประโยชน์
    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > สับปะรดสารพัดประโยชน์

    [​IMG]

    ทราบหรือไม่ว่าสับปะรดเป็นผลไม้มีประโยชน์หลากหลาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...

    - ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

    - ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

    - ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนต์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

    - ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และยังช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

    - ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

    รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานสับปะรดกันดีกว่า.
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดื่มน้ำคั้น หัวผักกาดแดง กลายเป็นยาเพิ่มความทรหดอดทน
    ดื่มน้ำคั้น หัวผักกาดแดง กลายเป็นยาเพิ่มความทรหดอดทน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

    [​IMG]

    สารไนเตรทที่มีอยู่ในน้ำคั้นหัวผักกาดแดง ช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลงได้ จึงออกกำลังได้เหนื่อยน้อยลง...

    ดื่มน้ำคั้นหัวผักกาดแดง จะทำให้มีความทรหดอดทนเพิ่มขึ้น ออกกำลังได้นานขึ้นกว่าเดิมอีกถึงร้อยละ 16

    นักวิจัยมหาวิทยาลัยเอกเซอเตอร์ของอังกฤษได้ค้นพบเป็นคนแรกว่า สารไนเตรทที่มีอยู่ในน้ำคั้นหัวผักกาดแดง ช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลงได้ อย่างที่ไม่เคยพบกันมาก่อน จึงออกกำลังได้เหนื่อยน้อยลง สงสัยว่าเป็นเพราะสารไนเตรท ได้เปลี่ยนเป็นไนเตรทออกไซด์ขึ้นในตัว จึงใช้ออกซิเจนน้อยลง ระหว่างการออกกำลัง

    พวกเขาได้พบจากการทดลองกับชายฉกรรจ์ 8 คน วัยระหว่าง 19-38 ปี เมื่อให้ดื่มน้ำหัวผักกาดแดงคั้น จะออกกำลังโดยการขี่จักรยานได้นานกว่าเวลาเฉลี่ยเดิม 11.25 นาที ขึ้นอีก 92 วินาที นอกจากนั้นยังปรากฏว่าความดันโลหิตก็ลดต่ำลงด้วย.<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>คนไทยติดน้ำตาล
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>20 เมษายน 2553 17:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผย คนไทยติดน้ำตาล มีการบริโภคน้ำตาลเกินกว่ามาตรฐานกำหนดถึง 3 เท่า คือ เป็นปริมาณสูงถึงคนละ 29.6 กิโลกรัมต่อปี หรือ เฉลี่ยวันละ 20 ช้อนชา ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดให้บริโภคได้ไม่เกินคนละ 10 กิโลกรัมต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 6 – 8 ช้อนชา

    ดร.นายแพทย์ สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลอย่างฟุ่มเฟือย โดยที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงที่ว่า "น้ำตาล" ไม่มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการเลย มีประโยชน์เพียงให้พลังงานสูงเท่านั้น ที่สำคัญร่างกายไม่จำเป็นต้องได้พลังงานจากน้ำตาล เนื่องจากมีอาหารอื่นๆ ที่สามารถให้พลังงานทดแทนได้ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน

    ปริมาณน้ำตาลที่บริโภคเกินความต้องการ เมื่อใช้ไม่หมดจะเป็นพลังงานส่วนเกินและเปลี่ยนรูปเป็นไขมันเก็บสะสมในร่างกายอันเป็นสาเหตุของภาวะ"อ้วนลงพุง" ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ อาทิ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดอุดตัน และโรคเบาหวานที่พบว่าปัจจุบันมีคนไทยป่วยเป็นโรคนี้ถึง 10 ล้านคนเลยทีเดียว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>มาใช้ “น้ำมัน” ทอดอาหารให้ถูกวิธี
    Travel - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 พฤษภาคม 2553 16:23 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เดี๋ยวนี้เวลาเลือกซื้ออาหารประเภททอด ๆ ตามร้านค้าต่างๆแล้วเห็นน้ำมันในกระทะดำเมี่ยมมิด “108เคล็ดกิน” ก็ให้นึกผวาพาลกินไม่ลงเสียดื้อๆ ทั้งที่จริงแล้วการเลือกใช้น้ำมันที่ถูกวิธีก็มีอยู่ด้วยกันหลายข้อ

    วันนี้จึงยกตัวอย่างวิธีการใช้น้ำมันทอดอาหารที่ถูกต้องมาให้รู้ทั่วกัน ข้อที่หลายคนรู้กันดีแล้ว คือ ในครัวเรือนไม่ควรใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำเกิน 2 ครั้ง และหากจำเป็นต้องใช้น้ำมันซ้ำให้เทน้ำมันเก่าทิ้งหนึ่งในสามและเติมน้ำมันใหม่ก่อนเริ่มการทอดอาหารครั้งต่อไป แต่ถ้าน้ำมันทอดอาหารมีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น สีดำ ฟองมาก เป็นควันง่ายและเหม็นไหม้ ควรทิ้งไปอย่าเสียดาย

    ไม่ทอดอาหารไฟแรงเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมของน้ำมันประมาณ 160 – 180 องศาเซลเซียส ซับน้ำส่วนที่เกินบริเวณผิวหน้าอาหารดิบก่อนทอด เพื่อชะลอการเสื่อมสลายตัวของน้ำมัน ต้องหมั่นกรองกากอาหารทิ้งระหว่างและหลังการทอดอาหาร และปิดท้ายด้วยการเก็บน้ำมันที่ผ่านการทอดอาหารไว้ในภาชนะสแตนเลสหรือแก้วปิดฝาสนิท เก็บในที่เย็นและไม่โดนแสงสว่าง เพียงเท่านี้ก็ช่วยเพิ่มคุณภาพที่ดีแก่ชีวิตด้วยการกินได้แล้ว

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ใบเตย" กลิ่นรัญจวน มากคุณค่า
    Travel - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 พฤษภาคม 2553 17:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในบรรดาพืชที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ "108เคล็ดกิน" ยกให้พืชจำพวกหญ้าอย่าง "ใบเตย" อยู่ในอับดันต้น ๆ เลยทีเดียว เรื่องความหอมของใบเตยนี้ เชื่อว่าย่อมเป็นที่ประจักษ์กันเป็นอย่างดี เพราะมีการดัดแปลงนำมาใช้ ทั้งในแวดวงดอกไม้ ตลอดจนเป็นส่วนผสมทางอาหารหลากหลายเมนู

    ใบเตยจัดเป็นพืชจำพวกหญ้า แตกเป็นกอใหญ่ มีเหง้าและลำต้นอยู่ใต้ดิน มีก้านและใบที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน ใบออกจากลำต้น เรียงเวียนรอบลำต้นอย่างหนาแน่น ใบสีเขียวรูปเรียวยาวประมาณ 8-10 นิ้ว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ เมื่อขยี้ใบสดจะมีกลิ่นหอมเย็น นิยมคั้นจากใบเพื่อแต่งกลิ่นและสีเขียวสวยงามในขนมต่างๆ

    ใบเตยมีน้ำมันหอมระเหยอยู่ในตัว คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณที่มีรสหวาน กลิ่นหอม มีสารคลอโรฟิลล์ช่วยลดอาการกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ และช่วยทำให้สดชื่น อีกทั้งมีเกลือแร่ แคลเซียม และฟอสฟอรัส รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาเบาหวาน ใบเตยสดยังสามารถนำมาตำพอกรักษาโรคหัด โรคผิวหนัง ได้ชะงักนัก

    นอกจากนี้ ถ้าเอาใบเตยหอม สดๆ จำนวน 4 ใบ พร้อมใบสดรางจืด 8 ใบ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร จนเดือดและเคี่ยว 15 นาที ดื่มขณะอุ่นครั้งละครึ่งแก้ว เช้า กลางวัน เย็น จะช่วยขับหินปูนตามข้อต่อ ให้ออกได้และทำให้ไม่ปวดข้อ เดินได้สะดวกขึ้น และยังเป็นยาช่วยล้างพิษในร่างกายได้อีกด้วย ต้มดื่มติดต่อกัน 3 วัน เว้น 1 อาทิตย์ต้มดื่มต่อ และสามารถต้มดื่มได้เรื่อยๆ ไม่มีอันตรายอะไร

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ
    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > กินดี > น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ

    [​IMG]

    http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentId=65599

    ‘น้ำตะไคร้’ อาจไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เวลากระหายน้ำ บ้างก็ว่าเหม็น บ้างก็ว่าดื่มยาก แต่รู้ไว้เถอะว่า น้ำตะไคร้ให้คุณค่าทางสารอาหารมากทีเดียว เช่น วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา แคลเซียม-ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ส่วนคุณค่าทางยา ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร บำรุงสมองช่วยให้สมาธิดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต

    สำหรับคอเหล้า นำตะไคร้ไปต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมา ในกรณีที่เมามาก ๆ วิธี้นี้ช่วยให้สร่างเมาเร็วขึ้น

    มาถึงเมนูสุขภาพศุกร์นี้ ‘กินดี’ ขอเสนอ ‘น้ำตะไคร้หอม’ เพื่อสุขภาพ ใช้ส่วนผสมเพียง 3 อย่าง ได้แก่
    • ตะไคร้ 20 กรัม หรือ 1 ต้น
    • น้ำเชื่อม 15 กรัม หรือ 1 ช้อนคาว
    • น้ำเปล่า 240 กรัม หรือ 16 ช้อนคาว

    วิธีทำ นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบ

    .

    .<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดื่มสมุนไพรคลายเครียด

    [​IMG]

    หากผู้อ่านเกิดความรู้สึกเครียดจากการติดตามข่าวสารสถานการณ์บ้านเมืองในระยะนี้ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ เตรียมสูตรเครื่องดื่มที่ใช้สมุนไพรไทยพื้นบ้าน นั่นคือ ‘กระชาย’ เป็นส่วนผสมหลัก

    โดยกระชายมีสรรพคุณคลายเครียด ขยายหลอดเลือดทำให้สมองโปร่งใส อารมณ์ดีขึ้น แก้อาการอ่อนเพลียเนื่องจากนอนดึกหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ปรับสมดุลของความดันโลหิตและฮอร์โมน ทั้งยังกระตุ้นสมรรถนะร่างกาย และกระชับกล้ามเนื้อ แต่กระชายอาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

    รู้ถึงคุณประโยชน์ของกระชายแล้ว ก่อนลงมือผสมดื่มต้องเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ตามสูตรต่อไปนี้
    • กระชาย 1 ขีด
    • มะนาว 2 ผล
    • น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
    สำหรับขั้นตอนในการทำ เริ่มจากนำกระชายขูดปลอกออกแล้วล้างให้สะอาด จากนั้นนำไปปั่น โดยเติมน้ำลงไป 2 แก้ว ปั้นให้ละเอียด แล้วกรองเอาแต่น้ำ ก่อนดื่มให้เติมน้ำมะนาวและน้ำผึ้งลงไป จะช่วยให้ดื่มง่ายขึ้น.

    takecareDD@gmail.com
    ภาพประกอบจาก www.fooddyclub.com



    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ดื่มสมุนไพรคลายเครียด

    .
     
  15. gmx

    gmx สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +3
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"น้ำลอยดอกมะลิ"หอมเย็น เคล็ดขนมไทย
    http://www.manager.co.th/Travel/View...=9530000072114
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 พฤษภาคม 2553 16:03 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ในการทำขนมไทยแบบไทยๆนั้น สิ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ "น้ำลอยดอกไม้" ที่มีไว้สำหรับใช้คั้นกะทิ หรือใช้ผสมกับน้ำตาลทราย ทำเป็นน้ำเชื่อม ทำน้ำอบน้ำปรุง เพราะน้ำลอยดอกไม้มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าการทำน้ำลอยดอกไม้เขาทำกันอย่างไร "108เคล็ดกิน" จึงมีวิธีการทำมาบอกเล่าเก้าสิบกัน

    ดอกไม้ที่นิยมนำมาลอยน้ำ ก็มีหลากหลายชนิดทั้ง กุหลาบ กระดังงา แต่ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือ ดอกมะลิ การทำน้ำลอยดอกไม้ จะต้องทำเตรียมไว้ในตอนเย็น เพื่อทำขนมในวันรุ่งขึ้น เหตุผลที่ต้องทิ้งไว้ค้างคืน ก็เพื่ออบเอากลิ่นหอมของมะลิ เนื่องจากธรรมชาติของดอกมะลิ เป็นดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมในเวลากลางคืน ถ้าจะลอยด้วยดอกอื่น ควรทราบเวลาที่ดอกไม้ชนิดนั้นส่งกลิ่นจึงจะได้ผลดี

    การทำก็ไม่ได้ซับซ้อน เพียงแค่เก็บดอกมะลิ ปลิดขั้วต่อกับดอกออก ล้างน้ำอย่างเบามือที่สุด ต้มน้ำให้เดือด แล้วทิ้งไว้ให้เย็น เทใส่ภาชนะเคลือบหรือถังพลาสติกอย่างดีมีฝาปิด หย่อนดอกมะลิ (แนะนำใช้ดอกตูม)ให้ลอยทีละดอก ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ตลอดคืน รุ่งเช้าจึงเก็บดอกมะลิขึ้นก็จะได้น้ำลอยดอกไม้แล้ว

    สมัยก่อนน้ำที่นิยมใช้ในการลอยดอกไม้เป็นน้ำฝน แต่ปัจจุบันหากต้องการใช้น้ำประปา ควรรองน้ำทิ้งไว้ให้หมดกลิ่นคลอรีนก่อน การลอยดอกมะลิ ถ้าไม่ได้ใช้ดอกมะลิปลูกเอง ไม่ควรเอาดอกมะลิลอยในน้ำโดยตรง เพราะอาจมียาฆ่าแมลงตกค้าง ให้ใส่ดอกมะลิในภาชนะอื่น เช่น ขันใบเล็ก ๆ ลอยลงในน้ำอีกที
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร

    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร

    [​IMG]

    สมุนไพรหลายชนิดนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีประโยชน์ของน้ำสมุนไพรแต่ละชนิดมาบอก....

    - น้ำใบบัวบก : น้ำใบบัวบกมีวิตามินเอสูงมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้สายตาทำงานหนักอยู่เป็นประจำ เพราะจะช่วยบำรุงสายตา และยังมีแคลเซียมและวิตามินบี1 สูงกว่าผักชนิดอื่น ส่วนประโยชน์อื่นๆ ของน้ำใบบัวบก คือ ใช้แก้ช้ำใน แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ร้อนใน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ถ้าดื่มทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์จะช่วยลดความดันโลหิต แก้แผลอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว ช่วยขับปัสสาวะ

    - น้ำว่านหางจระเข้ : ประโยชน์ของว่านห่างจระเข้อยู่ที่วุ้น ถ้ารับประทานจะช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้หายอ่อนเพลีย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ ว่านหางจระเข้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้สดๆ ดังนั้นเมื่อตัดออกมาแล้วควรใช้ทันที อย่าวางทิ้งไว้ และก่อนใช้ควรล้างยางสีเหลืองๆ ออกให้หมดก่อน เพื่อไม่ให้เกิดอาการคันหรือแพ้ในภายหลัง

    - น้ำลูกเดือย : เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส จึงช่วยบำรุงกระดูกได้ดี เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้เจริญอาหารและเหมาะที่เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น ส่วนคนสมัยก่อนใช้น้ำลูกเดือยเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน และโรคท้องร่วง

    - น้ำขิง : อุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ส่วนสารเบต้าแคโรทีนในน้ำขิงสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ และยังเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ คลื่นไส้อาเจียน เมารถหรือเมาเรือ ลดการจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น

    รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพกันดีกว่า. <!-- google_ad_section_end -->
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!

    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!

    [​IMG]

    อย่าเข้าใจว่า ‘ใบบัวบก’ มีไว้ ‘แก้ช้ำใน’ อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ‘ใบบัวบก’ ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้พิษงูกัด ระดูขาว ดับพิษไข้ แก้อาเจียนเป็นเลือด และดีซ่าน เป็นต้น

    บัวบก เป็นพืชปลูกง่าย มีประวัติการใช้ประโยชน์ทางยามานาน มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวทของประเทศจีนและแพทย์แผนไทย พบมากในประเทศแถบยุโรป แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา พบว่า ส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ที่ ส่วนของใบและราก

    ศุกร์นี้ ‘กินดี’ จึงหยิบเมนูสุขภาพทำได้ไม่ยากมาให้ลอง เมนูที่ว่าคือ น้ำใบบัวบก เตรียมส่วนผสม 3 อย่างคือ ใบบัวบก 10 กรัม, น้ำเปล่าต้มสุก 240 กรัม และน้ำเชื่อม 15 กรัม น้ำเชื่อมจะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่ก็ตามชอบ

    มาถึงวิธีทำ ล้างใบบัวบกให้สะอาด นำใส่เครื่องปั่นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด คั้นกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อมปรุงรสตามใจชอบ

    เมนูอร่อยเพื่อสุขภาพ ท้าให้ลอง
    takecaredd@gmail.com

    http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentId=68247
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "บัวบก-ตะไคร้"ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง

    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>
    Matichon Online: ˹ѧ

    "บัวบก-ตะไคร้"ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง

    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>
    http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=04

    ศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะนักวิจัยโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ถึงงานวิจัยบัวบกและตะไคร้พืชสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ว่า จากการทดสอบการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากบัวบกและตะไคร้ต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูขาว พบว่าสารสกัดจากบัวบกและตะไคร้มีฤทธิ์ป้องกันและยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างดี โดยกลุ่มหนูขาวที่ถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หลังจากการได้รับสารก่อมะเร็งปนเปื้อนในอาหารประเภทปิ้งย่าง ตรวจพบจำนวนเซลล์ก่อมะเร็งขนาดใหญ่และมีเซลล์มะเร็งที่มีลักษณะเป็นเซลล์ร้ายและลุกลาม ขณะที่กลุ่มหนูขาวซึ่งได้รับสารสกัดจากใบบัวบกหรือตะไคร้ไม่ว่าก่อนหรือหลังถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบจำนวนเซลล์ก่อมะเร็งลดลงถึงร้อยละ 60 โดยเซลล์มีขนาดเล็กกว่าและไม่เกิดการลุกลาม

    ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าวว่า ในสารสกัดบัวบกมีกรดอะเซียติก (Asiatic acid) ที่เป็นสารออกฤทธิ์ทำให้เซลล์มะเร็งเกิดการทำลายตัวเอง ส่วนสารสกัดจากตะไคร้นั้นพบสารสำคัญ คือ ซิทรอล (citral) ที่มีฤทธิ์หยุดวงจรการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกสำหรับคุณสมบัติข้อนี้ของตะไคร้ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังใช้เทคนิค HPLC fingerprint ในการกำหนดและควบคุมสารที่สกัดจากบัวบกหรือตะไคร้ให้มีปริมาณความเข้มข้นของสารสำคัญที่แน่นอน สม่ำเสมอ ปลอดภัย และได้มาตรฐานจึงเหมาะต่อการนำไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เนื่องจากสมุนไพรส่วนใหญ่โดยธรรมชาติมักจะมีปริมาณสารสำคัญเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล

    "เพื่อให้สามารถกำหนดปริมาณในการบริโภคสารสกัดจากบัวบกหรือตะไคร้สำหรับป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิผล ทีมวิจัยยังได้เจาะเลือดหนูขาวมาทำการศึกษา วัดอัตราและขอบเขตการออกฤทธิ์ของสารออกฤทธิ์ภายหลังการป้อนสารสกัดมาตรฐานจากบัวบกหรือตะไคร้ โดยพบว่า หนูขาวสามารถดูดซึมสารสำคัญได้ในเวลา 10 นาที และเพิ่มปริมาณสูงสุดที่เวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นสารสกัดจะค่อยๆ ลดลงจนระทั่งหายไปจากซีรั่มภายใน 6 ชั่วโมง ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้คำนวณสำหรับวางแผนวิจัยเชิงคลินิกในอาสาสมัคร สำหรับหาปริมาณการบริโภคที่เหมาะสมในมนุษย์ต่อไป" ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าว

     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ส้มโอมือ ผลไม้เก่าแก่ตระกูลส้ม
    Travel - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>8 มิถุนายน 2553 15:31 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>คนไทยสมัยก่อนคุ้นเคยกับส้มมือที่นำมาใช้ทำเป็นยาดม เรียกกันว่า 'ยาดมส้มโอมือ' ที่มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ใช้สูดดมบรรเทาอาการเป็นลม หน้ามืดตาลาย แต่เชื่อว่าคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้ว่ายาดมส้มโอมือทำมาจาก "ผลส้มโอมือ" ซึ่งเป็นผลไม้หายากในปัจจุบัน วันนี้"108เคล็ดกิน"จึงขอพาไปทำความรู้จักผลไม้ชนิดนี้กัน

    ส้มโอมือ หรือ ส้มมือ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในจำพวกส้ม พบได้ทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน ผลรูปร่างแปลกกว่าส้มอื่น มีรูปร่างเรียวยาวห้อยลงมาเป็นแฉก ๆ คล้ายนิ้วมือ บ้างก็ว่าคล้ายลำเทียน ขนาดใกล้เคียงกับนิ้วมือผู้ใหญ่ หรือใหญ่กว่า

    ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ผลมีผิวขรุขระ มีร่องแฉกคล้าย นิ้วมือกว่า 10 นิ้ว เมื่อสุกผลมีสีเหลืองสด ภายในผลสีขาว ไม่มีเมล็ด เปลือกหนาคล้ายฟองน้ำอย่างส้มโอ เนื้อแห้งไม่ชุ่มน้ำ ผิวเปลือกมีน้ำมันหอมระเหย กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นมะนาว

    ส่วนเนื้อแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำ มักไม่นิยมนำผลมารับประทานสดเหมือนส้มทั่วไป รสชาติจืดชืดไม่อร่อยแต่จะนำเปลือกไปใช้ประกอบในการปรุงอาหาร และทำยา เพราะมีสรรพคุณในการกระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ บำรุงตับ ทำให้เลือดลมดี ไปสกัดทำน้ำมันหอมระเหย แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลายเครียด ในประเทศจีนและญี่ปุ่นนิยมนำไปไว้ในห้องนอนและห้องน้ำเพื่ออบกลิ่น ขณะที่ในประเทศตะวันตกรู้จักสรรพคุณทางการแพทย์ของส้มโอมือมาช้านาน ด้วยเหตุนี้ จึงตั้งชื่อส้มชนิดนี้เป็นภาษาละตินว่า medica
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...