พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณรบช.ออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทองบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม


    <TABLE class=tborder id=post3054045 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 09:06 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #2241 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->วัดบ่อเงินบ่อทอง<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3054045", true); </SCRIPT>
    นักบวช

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2009
    ข้อความ: 45
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 3
    ได้รับอนุโมทนา 240 ครั้ง ใน 43 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_3054045 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT>
    ขออนุโมทนาบุญกับคณะบุญ...ของคุณโยมสิทธิพงษ์..ที่จะนำพระหลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า ปางฉันทกิจ"มาถวาย ณ. สำนักเรียนของพระเณร...สาธุ..


    เมื่อวันที่ 8 มีนา พระอาจารย์กับคณะได้เดินทางไปประชาสัมพันธ์..การบรรพชาเณรบวชเรียน ที่จะงหวัดศรีสะเกษ อ. กันทรลักษ์ ไปด้วยกันหลายโรงเรียน...ส่วนมากก็เชิญชวนเด็กๆ ที่อยู่กับตา-ยาย ที่กำพร้าพ่อแม่
    [​IMG]



    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post3058043 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 06:09 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #2243 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->วัดบ่อเงินบ่อทอง<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3058043", true); </SCRIPT>
    นักบวช

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2009
    ข้อความ: 45
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 3
    ได้รับอนุโมทนา 240 ครั้ง ใน 43 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_3058043 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->เจริญพร...ธรรมยามเช้า...ทุกชีวิตล้วนมีแต่..อนิจจัง..ทุกขัง..อนัตตา..ยิ่งใหญ่ขนาดใหน..เล็กที่สุด...เท่าเทียมกัน ยามมีชีวิตอยู่ต้องเป็นทาสของร่างกายนี้..และอำนาจของ กิเลส..ตัณหา..อุปปาทาน...เฮืยกสุดท้ายของชีวิต...นั่นแหละ..คือบทแห่งการตัดสิ้น..ไปสุคติ..หรือ ทุคติ..ทรัพย์สมบัติ...ชื่อเสียง..เกรียติยศ...และทุกๆ อย่างที่ยึดว่า..เป็นของเราๆๆๆๆ...บทสุดท้าย แม้ร่างกายนี้..........ก็เป็นเหยื่อของหมู่หนอนทั้งหลาย...ตามที่พระทธพวจน์ว่า..สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ดุจราชรถ ที่คนเขลาหมกอยู่ แต่ท่านผู้รู้ หาหมกอยู่ไม่..สาธุ...<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า และคณะพระวังหน้าทุกๆท่าน

    ผมได้ส่งหมายกำหนดการ "งานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์และธาตุพระโพธิสัตว์ ,พระบูชาพระศรีอาริยเมตตรัย , พระบูชาองค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และพระบูชาสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี" ให้ทุกๆท่านทราบทาง Email แล้วนะครับ หากท่านใดที่ยังไม่ได้รับ แจ้งผมมาอีกครั้ง หรือ โทร.มาสอบถามผมก็ได้ หรือหากท่านใดเห็นว่าผมยังไม่ได้ส่งให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ก็สามารถส่งEmail ต่อให้ได้ครับ

    ขอบคุณครับ
    sithiphong
    เลขานุการชมรมรักษ์พระวังหน้า


    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แนะหลีกเลี่ยงเส้นทางจราจรช่วงชุมนุม

    http://hilight.kapook.com/view/46974


    [​IMG]



    สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม

    หลังจากที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 12-14 มีนาคมโดยจะมีการระดมผู้คนทั้งในและต่างจังหวัด พร้อมยานพาหนะประเภทต่าง ๆ เตรียมบุกกรุงเทพฯ ในจุดรวมพลหลาย ๆ จุดนั้น ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่า จะเกิดปัญหาการจราจรที่ติดขัดหนักหนาสาหัสขึ้น

    ดังนั้นกองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงได้แนะเส้นทางหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงบริเวณท้องสนามหลวง สะพานผ่านฟ้า ลานพระบรมรูปทรงม้า ไว้ 5 เส้นทาง คือ

    [​IMG] เส้นทางที่ 1 จากสะพานพระราม 8 ให้เลี้ยวซ้ายไป ถ.ประชาธิปไตย ถ.ราชสีมา เลี้ยวซ้าย ถ.ราชวิถี ไปข้ามสะพานกรุงธน

    [​IMG] เส้นทางที่ 2 ลงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ให้เลี้ยวขวา ถ.ราชินี กลับรถข้ามสะพานผ่านพิภพลีลา แล้วข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า

    [​IMG] เส้นทางที่ 3 ลงด่วนยมราช เข้า ถ.พิษณุโลก ให้เลี้ยวขวา ถ.พระราม 5 เลี้ยวขวา ถ.ศรีอยุธยา แล้วเลี้ยวขวา ถ.กำแพงเพชร 5

    [​IMG] เส้นทางที่ 4 ลงด่วนยมราช เข้า ถ.หลานหลวง ให้เลี้ยวซ้ายไป ถ.จักรพรรดิพงษ์

    [​IMG] เส้นทางที่ 5 ลงด่วนถนนพระราม 6 ให้เลี้ยวขวาเข้า ถ.ราชวิถี ข้ามสะพานกรุงธน

    นอกจากนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลยังจะได้ประเมินสถานการณ์ และเตรียมแผนรองรับไว้แล้ว หากกลุ่มเสื้อแดงในจุดชุมนุมอีก 4 จุด มีจำนวนมาก และเกิดเหตุการณ์รุนแรง จนอาจต้องสั่งปิดถนน และจัดเส้นทางหลีกเลี่ยงไว้ดังนี้

    [​IMG] บริเวณสนามกีฬา ไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง หากผู้ชุมนุมมีไม่มาก จะไม่ปิดการจราจร หากมีจำนวนมาก จะปิดการจราจรบน ถ.มิตรไมตรีทั้งสาย

    [​IMG] บริเวณอนุสาวรีย์หลักสี่ ควรหลีกเลี่ยงการจราจรโดยรอบวงเวียน

    [​IMG] บริเวณสวนลุมพินี ฝั่งตรงข้าม สน.ลุมพินี หากมีการปิดถนน ให้ประชาชนใช้เส้นทาง ถ.วิทยุ ฝั่งหน้า สน.ลุมพินี ถ.พระราม 4 ถ.สารสิน และ ถ.ราชดำริ

    [​IMG] บริเวณวงเวียนใหญ่ หากผู้ชุมนุมปิดพื้นที่รอบวงเวียนใหญ่ ตำรวจจะปิดการจราจรตั้งแต่แยกตากสิน จนถึงวงเวียนใหญ่ สามแยกบางยี่เรือจนถึงวงเวียนใหญ่ แยกบ้านแขกถึงวงเวียนใหญ่ และตั้งแต่ซอยลาดหญ้า 12 ถึงวงเวียนใหญ่



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ดับไฟทุกข์ 'ครอบครัวไทย' ทำลายเชื้อไฟก่อนบ้านบึ้ม!
    Life & Family - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 มีนาคม 2553 12:06 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>คุณเหมียว-วรัตดา ภัทโรดม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อพูดถึงสังคมที่กำลังรุ่มร้อนอยู่ ณ เวลานี้ คงไม่ต่างจากครอบครัวไทยยุคใหม่ ที่กำลังแตกร้าว และสั่นคลอนไปด้วยปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้ามากมาย โดยเฉพาะกระแสนิยมของคำว่า "กิ๊ก" รวมไปถึง การติดพนัน สุราเมรัย โกหก ปลิ้นปล้อน กระล่อน ไม่ซื่อสัตย์ ดังนั้น เมื่อตัวปัญหาเหล่านี้มีอยู่ในบ้านของใคร เชื่อได้เลยว่า อีกไม่นานครอบครัวจะลุกเป็นไฟ นำไปสู่ปัญหาความรุนแรง และการหย่าร้างตามมาได้ง่าย

    ปัญหาข้างต้นนี้ ได้ถูกเปิดประเด็นขึ้นในงาน "เคล็ดดับไฟทุกข์ 2010" จัดโดยสำนักพิมพ์ More of Life โดย "คุณเหมียว-วรัตดา ภัทโรดม" ผู้เขียนหนังสือ "เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน" อดีตนักธุรกิจเลือดร้อน ที่มีสติจากธรรมะ เป็นตัวแทนของผู้หญิงไทยสะท้อนให้ฟังว่า สังคมเปลี่ยน คนเปลี่ยน คนสมัยใหม่ ทั้งชาย และหญิง มีความยับยั้งชั่งใจน้อยมาก โดยเฉพาะเรื่องชู้ ที่ปัจจุบันไม่ใช่ฝ่ายชายฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ฝ่ายหญิงก็เริ่มมีค่านิยมเรื่องชู้ หรือมีกิ๊กกันมากขึ้น รวมไปถึงความขี้โมโห ขี้บ่น ทั้งหมดนี้ คือปัญหาที่เกิดขึ้นจริง และพร้อมที่จะลุกเป็นไฟในครอบครัวได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ

    "มีผู้ชายคนหนึ่งเคยถามพระที่อยู่ออสเตรเลียว่า ท่านครับ ศีลข้อ 3 ถ้าเกิดภรรยาผมเขาไม่รู้เรื่องเลย แล้วกิ๊ก หรือชู้ผมก็เต็มใจ เรียกได้ว่า ปิดอย่างดี แบบนี้ผิดไหมครับ พระอาจารย์ตอบว่าอะไรรู้เปล่า ท่านบอกว่า ถ้าคุณรู้ว่าถูก คุณไม่ถามหรอก และท่านก็สอนต่อว่า จิตของมนุษย์มีความรู้ถูกผิดอยู่เสมอ แต่บางทีเราไม่เข้าใจว่ามันแปลว่าอะไร พี่ว่าการไม่โกหกกันมันดี การไม่มีชู้มันดี เราคงไม่อยากให้ใครมาข่มขืนลูกสาวเราใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง และคนอื่น" คุณเหมียวกล่าว

    ด้านอารมณ์ฉุนเฉียว หรือขี้โมโหง่ายนั้น คุณเหมียวบอกว่า ถือเป็นชนวนติดไฟในบ้านตัวหนึ่งที่ดีเลยทีเดียว ดังนั้นหลายบ้านที่อารมณ์ขึ้นง่าย ในฐานะที่เธอเคยเป็นผู้หญิงขี้โมโหขั้นเทพคนหนึ่ง เรียกได้ว่าอารมณ์ขึ้นวันละหลาย 10 ครั้ง จนตอนนี้ลดลงไปมาก แนะนำว่า ให้สามี หรือภรรยา เข้าไปนั่งวิปัสนากรรมฐาน ซึ่งบางคนบอกว่าไม่ได้ผล แต่เธอเชื่อว่า ได้ผล เพราะเธอประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งการปฏิบัติ ไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่อย่างน้อยต้อง 10 วัน ที่ต้องใช้ความอดทน และตั้งใจฝึก แล้วความโกรธ และความขี้โมโหจะลดระดับลง ส่งผลให้การใส่อารมณ์ต่อกันในบางเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ก็จะค่อยๆ เบาลง

    นอกจากนี้ ตัวปัญหาอย่าง เหล้า การพนัน ถือเป็นตัวจุดไฟไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่น โดยเฉพาะเหล้า ซึ่งถ้าถูกครอบงำแล้ว จะขาดสติ ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่น พอมีเรื่องบุคคลที่สามเข้ามาทั้งๆ ที่ไม่อะไร ก็คิดมาก และโทษความใส่กัน หรือแม้แต่ฝ่ายหนึ่งยังไม่ทำผิดเลย ย่อมเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ง่าย ทางที่ดีไม่ว่าจะเหล้า หรือการพนัน เลิกกิน หรือเลิกเอาเข้าบ้านจะดีที่สุด

    "พี่โชคดีมากที่เข้ามาปฏิบัติธรรม แล้วมาเจอเรื่องหย่าร้างอีก ซึ่งถ้าไม่ปฏิบัติธรรมนะ ด้วยนิสัยขี้วีน ขี้โมโหของพี่แล้ว คงอาวะวาด กราดเกรี้ยวไม่หยุดแน่ แต่พอมีธรรมมะ ครั้นเมื่อเลิกกับสามี พี่ก็ไม่เป็นอะไร เลิกคือเลิก เราเลิกกันด้วยดี ดังนั้น ธรรมะช่วยให้พี่มีสติ และไม่คิดที่จะตามล้างตามผลาญ หรือสร้างกรรมต่อกันอีก แต่เหมียวคิดเสมอว่า ทุกอย่างที่เราทำ คือตัวเราทั้งนั้น เราไม่ได้โทษเขา (สามี) ซึ่งบางคนไม่เชื่อเรื่องกรรม แต่เหมียวเชื่อว่า พระพุทธเจ้าไม่โกหกเรา หรือใครคิดว่าพระพุทธเจ้าโกหกค่ะ"


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>คุณอรสม สุทธิสาคร</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>แง่คิดดับไฟทุกข์ จากนักเขียน "หนังสือธรรมะ"

    ด้าน "คุณอรสม สุทธิสาคร"บรรณาธิการ และนักเขียนหนังสือธรรมะยอดนิยม เคล็ดลับดับทุกข์ (ว.วชิรเมธี) และพระอานนท์ พุทธอนุชา (วศิน อินทสระ) บอกเล่าไฟทุกข์ในครอบครัวไทยยุค 2010 ให้ฟังว่า "ณ ตอนนี้ ครอบครัวไทยเป็นไฟทุกข์จากความรักที่เร่าร้อน ปราศจากความเข้าใจกันระหว่างสามี-ภรรยา และลูก โดยเฉพาะเรี่องการสื่อสาร นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงความรักที่ถูกแบ่งแยก เช่น การมีครอบครัวซ้ำซ้อน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ง่าย เนื่องจากครอบครัวไทยทุกวันนี้ กำลังตกอยู่ในวงล้อของกิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าขาดความเข้าใจ และธรรมะคอยยึดเหนี่ยวแล้ว ปัญหาจะยิ่งทวีคูณเพิ่มมากขึ้น

    "พ่อแม่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีงามให้ลูก บางครอบครัวอาจไม่มีเวลาพาลูกเข้าวัด แต่ขอสักวันพาลูกเข้าหาธรรมะบ้าง ง่ายๆ ก็คือ นั่งสมาธิก่อนนอนด้วยกัน ซึ่งถ้าจะสอนลูกให้เป็นคนดี แต่พ่อแม่ไม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง ลูกจะดีได้อย่างไร เช่น ทะเลาะกันประจำ เห็นความรุนแรง เห็นความไม่อบอุ่น เด็กก็ยากที่จะเติบโตแบบมีความสุข เพราะฉะนั้น เมื่อครอบครัว อยู่ในกระแสวงล้อของการแข่งขัน บ้าวัตถุ ทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะพ่อแม่ต้องพยามทำให้ใจให้เย็น ไม่หลงไปตามกระแสแห่งทุกข์" คุณอรสมให้คำแนะนำ

    อย่างไรก็ดี คุณอรสม แนะนำต่อว่า "คนทุกวันนี้มีความทุกข์กันมาก ความทุกข์อยู่รอบตัว เพียงแต่เราจะหยิบความทุกข์ใดเข้ามาในชีวิต และธรรมะก็เป็นสิ่งใกล้ตัวเช่นเดียวกับความทุกข์ แต่คนมักไม่เลือกหยิบธรรมะ เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลา แต่หากมองสังคมในยุค 2010 ที่เป็นสังคมบริโภค ทุกอย่างต้องรวดเร็วทันใจ ธรรมะ หรือหนทางดับทุกข์ก็สามารถนำมาใช้ได้ทันทีเช่นกัน แต่จะแก้ได้ช้า หรือเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะแน่วแน่ในการปฏิบัติจริงหรือไม่

    ทางที่ดี ทุกคนในบ้าน ต้องเผชิญหน้ากับไฟแห่งทุกข์อย่างมีปัญญา และรู้เท่าทันสติ โดยอาศัยธรรมะเป็นเครื่องนำทาง และยิ่งปัจจุบันธรรมะเป็นสิ่งร่วมสมัยที่เข้าถึงได้ง่ายแล้ว ทำให้คนที่มีความทุกข์ รู้สึกร่มเย็นใจได้ง่ายขึ้น พร้อมกับอยู่ท่ามกลางความทุกข์ได้ โดยรู้สึกตัวทุกขณะทุกข์ ถ้าบอกว่าไม่ทุกข์เลยก็คงไม่ใช่"

    สุดท้าย ทีมงานขอนำคำพูดของ "คุณเหมียว" มาสรุปเป็นแง่คิดถึงทุกครอบครัวคนไทยทุกคนว่า "เมื่อสามี ภรรยา มีปัญหาอะไร ขอให้ใจเย็นๆ ถ้าเป็นคู่กันแล้ว อย่าทำผิดต่อกัน อย่าหลงระเริงกับการโกหก กับการเล่นการพนัน และกับการมีชู้ หรือกิ๊ก มันจะทำให้ชีวิตคู่รอดยาก กับเรื่องหลังนี้ มีคนบอกว่า เดี๋ยวนี้ผู้หญิงรับได้แล้วที่ผู้ชายมีบ้านเล็ก บ้านน้อย แต่มันก็ไม่ถูกต้อง ถ้าจะรักใครอื่นนอกจากคู่ตัวเอง ก็ควรจะจัดการเลิกกันไปให้เรียบร้อย อย่าไปผูกติดกันไว้ เพราะจะมีแต่ทุกข์ใจกันเปล่าๆ"

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้ไว้ใช่ว่า : วิธีป้องกันตัวเอง เมื่อเจอความรุนแรง

    บทความ วิธีป้องกันตัว เมื่อ ผู้หญิง เจอความรุนแรง



    [​IMG]



    รู้ไว้ใช่ว่า : วิธีป้องกันตัวเองเมื่อเจอความรุนแรง (สสส.)

    มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด" แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้คนเราต้องระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยทั้งร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สิน วันนี้จึงนำข้อควรปฏิบัติเมื่อผู้หญิงต้องอยู่ในที่สาธารณะโดยลำพัง ไม่ว่าจะในลิฟต์ ห้องน้ำสาธารณะ หรือแม้กระทั่งบ้านของตัวเอง มาฝากกันค่ะ

    กรณีอยู่ในสถานการณ์คับขัน

    [​IMG] หากคนร้ายประชิดตัว และอยู่กันตามลำพัง พยายามรวบรวมสติอย่าตกใจจนเกินไป หาวิธีการช่วยเหลือตนเองเฉพาะหน้า โดยการใช้น้ำเย็นเข้าลูบ หรือพูดจาถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหาทางหลบหนีออกมาจากสถานการณ์นั้น ๆ

    [​IMG] พยายามไม่ยั่วยุคนร้าย เพราะอาจทำให้คนร้ายใช้ความรุนแรงมีหลายจุดที่อาจจู่โจมคน ร้ายได้ เช่น ดวงตา อวัยวะเพศ แต่ต้องให้แน่ใจว่าสามารถทำให้คนร้ายเจ็บจริงจนหยุดการกระทำ หรือเสียการทรงตัวชั่วขณะ เพื่อให้สามารถหลบหนีออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นได้ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิม

    [​IMG] กรณีอยู่ท่ามกลางฝูงชนหรือบริเวณที่มีผู้คน เช่น ถูกอนาจารบนรถเมล์ ไม่ควรอาย ให้ร้องขอความช่วยเหลือดัง ๆ หากพบว่ามีคนเดินตามในที่เปลี่ยว ควรตะโกนว่า "ไฟไหม้" อย่าตะโกนว่า "ช่วยด้วย" แล้ววิ่งหนีให้เร็วที่สุด ควรแจ้งความหรือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงบันทึกประจำวันเพื่อนำตัวคนทำผิดมาลง โทษ หรืออย่างน้อยเพื่อเป็นการตักเตือนผู้กระทำผิด ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือต้องตั้งสติให้มั่นเพื่อที่จะเลือกวิธีเอาตัวรอดได้อย่าง เหมาะสม

    กรณีความรุนแรงในครอบครัว

    [​IMG] ไม่ทำให้เหตุการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น เช่น ยุติการโต้เถียงในขณะที่ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์โกรธ แล้วพยายามหันหน้ามาปรึกษาพูดคุยกันเมื่อต่างฝ่ายอยู่ในสภาพที่พร้อม กรณีที่ไม่สามารถพูดคุยกันได้โดยตรง อาจให้ผู้ใหญ่ที่นับถือ หรือญาติพี่น้องมาเป็นตัวกลางในการพูดคุย

    [​IMG] กรณีที่ถูกทำร้ายหรือไม่มั่นใจในความปลอดภัยให้พยายามเลี่ยงจากสถานการณ์ หรือ สถานที่นั้น โดยอาจติดต่อขอความช่วยเหลือจากตำรวจ ญาติพี่น้อง หรือเพื่อน หรือบุคคลที่ไว้ใจ หรือย้ายที่อยู่ชั่วคราวจนกว่าปัญหาจะคลี่คลาย

    [​IMG] โทรศัพท์ขอคำปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง เพื่อน หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ หากยังไม่ได้ผล ควรตัดสินใจใช้สิทธิตามกฎหมาย แจ้งความต่อตำรวจ เพราะไม่มีใครมีสิทธิทำร้ายผู้อื่นแม้จะเป็นสามี

    [​IMG] ตั้งสติพยายามทบทวนเรื่องราว หาเหตุผลและวิธีการแก้ไขปัญหา รวมถึงพิจารณาว่าหากจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปควรมีข้อตกลงกันอย่างไรเพื่อ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก

    [​IMG] ไม่ระบายอารมณ์กับเด็ก โดยดุด่า ทุบตี หรือทำร้ายเพื่อประชดอีกฝ่ายหนึ่ง

    กรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ

    [​IMG] ควรรีบให้แพทย์ตรวจร่างกายอย่างเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ไม่ควรอาบน้ำหรือชำระล้างร่างกายหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อให้สามารถเก็บหลักฐานได้ชัดเจนและครบถ้วน เพราะการตรวจร่างกายอย่างเร่งด่วนไม่ว่าจะตัดสินใจดำเนินคดีหรือไม่ จะเป็นผลดีในแง่การป้องกันการติดโรคจากเพศสัมพันธ์ ป้องกันการตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถทำได้ดีภายใน 48 ชั่วโมง และเมื่อตัดสินใจที่จะแจ้งความร้องทุกข์เมื่อใด พยานหลักฐานทางการแพทย์เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ว่าถูกละเมิดทางเพศจริง เพราะการดำเนินคดีการละเมิดทางเพศในประเทศไทยให้ความสำคัญกับผลการตรวจร่าง กายของแพทย์เป็นสำคัญ

    [​IMG] หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียวตามลำพัง เพราะอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่เป็นผลร้ายกับตนเอง เช่น ทำร้ายตนเอง พยายามฆ่าตัวตาย ให้กำลังใจตนเอง ไม่ควรลงโทษตนเอง เพราะไม่มีผู้ใดต้องการถูกข่มขืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความผิดของตนเอง แต่เป็นความผิดของชายที่มากระทำต่างหาก ให้รำลึกอยู่เสมอว่า คุณค่า อนาคต ความสามารถของเรามิได้สูญเสียไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    [​IMG] ควรตัดสินใจคลี่คลายปัญหาโดยอาจหาบุคคลที่ไว้ใจได้ เช่น พ่อแม่ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อร่วมกันคิดแก้ไขปัญหาหรือแจ้งความนำผู้กระทำผิด มาลงโทษ เพื่อไม่ให้เขามีโอกาสมากระทำซ้ำ หรือไปกระทำกับคนอื่นอีก

    ข้อควรจำทางกฎหมาย

    [​IMG] เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสสำคัญในการที่จะพิทักษ์สิทธิตามกฎหมายของตนเอง ผู้ถูกข่มขืนที่มีอายุเกิน 15 ปี ระยะเวลาที่สามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเพียง 3 เดือน นับจากวันเกิดเหตุเท่านั้น สำหรับผู้ถูกข่มขืนที่อายุไม่ถึง 15 ปี เป็นกรณีที่ยอมความไม่ได้ มีระยะเวลาแจ้งความร้องทุกข์ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่เกิดเหตุ




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับเรื่องของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ)

    ว่ามีผู้ที่พบ ที่เห็น ที่เจอ แล้วได้สูตรยาต่างๆ

    ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก

    ต้องใช้หลักกาลามสูตรเข้ามาพิจารณา

    ต้องใช้หลักของพระพุทธศาสนาเข้ามาพิจารณา

    ผมเตือนไว้ด้วยความห่วงใย

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เพราะว่า หากเกิดทานเข้าไปแล้วไม่หาย เป็นมากกว่าเดิม

    แล้วไปปรามาสองค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร จะเป็นกรรมหนักเสียเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อันใด

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    ผกก.กระดูกเหล็ก แห่ง สภ.บันนังสตา จ.ยะลา

    พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ยะลา | สถานีตำรวจภูธรผักไห่

    [​IMG]
    “”" แววตาที่ยังมุ่งมั่นในวัย 57 ปี “”"
    ... จากปฏิบัติการณ์บุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ฯ บริเวณทางเข้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นการใช้ “แก๊สน้ำตา” ต่อผู้ชุมนุม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ..
    … สร้าง”ตราบาป” ให้กับวงการตำรวจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายฝ่ายได้ออกมา “ประนาม” การกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุในครั้งนี้ แม้ทางเจ้าหน้าที่จะออกมาอ้างเหตุผลต่างๆนานา เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง แต่ ก็ไม่สามารถลบภาพการกระทำอันเลวร้าย ในเหตุการณ์ ” 7 ตุลาทมิฬ” ได้ ที่ทำให้ ” ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” กลายมาเป็น ” ผู้พิฆาตประชาชน ” …
    … สงสารและเห็นใจตำรวจน้ำดีอีกจำนวนมาก ที่ตั้งใจทำงานอุทิศกายและใจ เพื่อความสงบสุขของประชาชนและประเทศชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ชื่อเสียงพลอยมัวหมองจากการกระทำของคนสีเดียวกัน..
    [​IMG]
    “”" พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.กระดูกเหล็ก แห่ง สภ.บันนังสตา ยะลา หรือ ” จ่าเพียรมือปราบ ” ..ในอดีต ..
    … สิ่งที่จะได้นำมาเสนอในครั้งนี้ ไม่ใช่จะมาช่วยกู้ภาพลักษณ์ให้กับวงการตำรวจ “แต่อยาก” นำแบบอย่างของ “ตำรวจดี ” นายหนึ่งที่ตลอดทั้งชีวิต ในเครื่องแบบสีกากี ตั้งแต่ เป็น ” พลตำรวจ ” จนถึงปัจจุบัน ” พันตำรวจเอก “ กว่า30 ปี ที่เขาทำงานคลุกคลีอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านการปะทะกับกลุ่มก่อความไม่สงบมานับร้อยครั้ง ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ หลายต่อหลายหนจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ปัจจุบัน นายตำรวจผู้นี้ดำรงตำแหน่ง ” ผู้กำกับการตำรวจภูธร สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ” …
    … ใช่แล้ว เขาคือ ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ” ผู้กำกับฯ ” กระดูกเหล็ก ” แห่งวงการตำรวจชายแดนใต้ ที่ชื่อเป็นที่ครั่นคร้ามของกลุ่มแนวร่วมฯ ในนามของ ” จ่าเพียรมือปราบ ” ฉายาที่ติดตัวมาตั้งแต่เป็นตำรวจชั้นประทวน ..

    … ตั้งแต่ปี 2513 หลังจบการศึกษา โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา พลฯสมเพียร เอกสมญา ถูกส่งเข้าเป็นตำรวจประจำ สภอ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งในขณะนั้น พื้นที่ดังกล่าว เป็นเขตเคลื่อนไหวของขบวนการโจรก่อการร้าย แบ่งแยกดินแดน อย่างหนักทำให้ภาครัฐต้องระดมสรรพกำลัง ทั้งทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง เข้าไปแย่งชิงมวลชน และดูแลความสงบเรียบร้อย หลายครั้งที่เกิดการปะทะ ทำให้มีการสูญเสียอย่างหนักทั้งสองฝ่าย และ ปฐมบทแห่งการเป็น จ่าเพียรมือปราบ ก็เกิดขึ้นที่นั่น …

    [​IMG]
    “”"” ผู้ฝากผลงาน ด้านการสืบสวน ปราบปราม สู้กับ โจรก่อการร้าย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มากว่า 30 ปี “”"
    … จากชีวิตตำรวจที่คลุกคลีอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด เขาได้สร้างผลงานด้านการปราบปราม ต่อสู้กับโจรก่อการร้ายอย่างห้าวหาญ สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ของผู้บังคับบัญชา ทำให้กรมตำรวจ (ในขณะนั้น) ได้อนุมัติให้เข้ารับการ อบรมหลักสูตร ” นายตำรวจสัญญาบัตร ” โดยไม่ต้องสอบคัดเลือก และได้รับการเลื่อนลำดับขั้น จากผงพวงการทำงานอย่างหนักมาโดยตลอด …
    [​IMG]
    “”" เมื่อครั้งนำกำลังเจ้าหน้าที่ เข้าช่วยเหลือ นักบินและช่างเครื่อง ที่รอดชีวิต จากเหตุเฮลิคอปเตอร์ ตำรวจ ตก ที่เขื่อนบางลางเมื่อปลายปี 50 “”"
    … และหากนับผลการปฏิบัติราชการตรวจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ ปี 2513 จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่เป็น ” พลตำรวจ” จนถึงยศ “พันตำรวจเอก ” เขาได้เข้าทำการปะทะต่อสู้กับโจรก่อการร้าย โจรจีนคอมมิวนิสต์ มาแล้วนับ 100 ครั้ง สามารถสังหารฝ่ายตรงข้าม ยึดอาวุธปืน และที่พักเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลในการนำกำลังเข้าปะทะกับโจรก่อการร้ายดังกล่าว ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บทั้งเล็กน้อยและสาหัส จำนวน 8 ครั้ง เช่นในปี 2519 ได้ยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย กลุ่มนายลาเตะ เจาะปันตัง ที่จับกุมตัวตำรวจและครอบครัวไปเรียกค่าไถ่ ที่เทือกเขาเจาะปันตัง อ.บันนังสตา จ.ยะลา ผลการปะทะทำให้ เขา ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณขาซ้าย หน้าอกได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกส่งรักษาตัว รพ.ศูนย์ยะลา และจากการปะทะในครั้งนี้ทำให้ขาข้างซ้ายแทบพิการ ..
    [​IMG]
    “”" ไม่ทิ้งงานมวลชน ในพื้นที่ “”"
    … และปี 2526 ได้ยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้าย กลุ่มนายคอเดร์ แกแตะ กับพวกประมาณ 30 คน ที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ทำให้ได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่ต้นขาขวากระสุนฝังใน …
    … เป็นต้น ..
    … จากความทุ่มเท มุ่งมั่น ทำงานอย่างหนักในพื้นที่ ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ มวลชนให้ความยอมรับให้ความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ ” ฝ่ายตรงข้ามเกรงกลัว ” จนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง ในปี 2550 เขาได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ” ผู้กำกับการตำรวจภูธร สภ.บันนังสตา จ.ยะลา แห่งเดียวกับที่เริ่มรับราชการครั้งแรก เมื่อยังเป็นตำรวจชั้นประทวน …
    [​IMG]
    “”" เครื่องแบบนายตำรวจ น้อยครั้งที่จะนำมาสวมใส่ เนื่องจากต้องการทำตัวให้ใกล้ชิด และ เข้าถึงชุมชนให้มากที่สุด “”"
    … พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา กลับสู่บันนังสตา ในขณะแผ่นดินกำลังลุกเป็นไฟ กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ สามารถจัดตั้งแนวร่วมฯ และกองกำลังรบขนาดเล็ก ( RKK) เพื่อใช้ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ ให้ได้รับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก โชคดีที่ พ.ต.อ.สมเพียร เคยทำงานอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน แม้รูปแบบการก่อความไม่สงบของกลุ่มคนร้ายได้ปรับเปลี่ยนไปจาก เมื่อ เกือบ 30 ปี ที่แล้วมาก แต่อาศัยเป็นผู้ชำนาญในพื้นที่มาก่อน และมีแหล่งข่าวเก่าที่เคยทำงานร่วมกันในอดีต จึงไม่เกินความสามารถที่จะที่จะสืบเสาะหาแหล่งกบดาน และติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ และหลังจากเขาเข้ามารับตำแหน่ง ผกก.สภ.บันนังสตาได้ไม่นาน วันที่ 1 สค.50 ได้ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดเข้าปิดล้อมตรวจค้น และยิงปะทะกับกลุ่มโจรก่อการร้ายที่บ้านเตี๊ยะ หมู่ 5 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา กลุ่มนายสุริมิง เปาะสา ที่ก่อเหตุร้ายในพื้นที่หลายครั้ง ผลการปะทะ ทำให้กลุ่มคนร้ายเสียชีวิต 6 ราย สามารถยึดอาวุธปืนสงครามและยุทธภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมาก …
    … นอกจากนี้ยังได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และพลเรือน เข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายอีกหลายครั้ง สามารถจับกุม สร้างความสูญเสียให้กับกลุ่มคนร้าย และทำลายฐานที่มั่น ได้หลายแห่ง จนขบวนการกลุ่มก่อความไม่สงบ รวมตัวกันไม่ติด หนีหลบซ่อนออกนอกพื้นที่และบริเวณป่าเขา ทำให้เหตุร้ายใน พื้นที่ อ.บันนังสตา เบาบางลงมาก …
    … แม้ พ.ต.อ.สมเพียร จะมีความสามารถในงาน สืบสวน ปราบปราม แต่ งานมวลชน เขาก็ไม่ได้ละทิ้ง ยังคงติดต่อฟื้นสายสัมพันธ์เก่า กับประชาชนทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่ ที่เคยทำงานร่วมกันมาเมื่อครั้งอดีต ด้วยใจถึงใจ ต่อกัน มีกิจกรรมใดๆที่เกี่ยวกับการสร้างความเข้าใจและความรู้สึกอันดีกับชุมชน เขาไม่เคยที่จะปฏิเสธในการเข้าไปมีส่วนร่วม แม้จะรู้ว่ามีอันตรายแฝงอยู่ในทุกย่างก้าว …
    [​IMG]
    “”" เป็นกันเองกับผู้ใต้บังคับบัญชา “”"
    … ผลจากการทำงานทุ่มเทมาตลอดชีวิตข้าราชการตำรวจ ทำให้ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ได้รับการยกย่อง และประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานต่างๆเป็นจำนวนมาก และ ที่สร้างความปลาบปลื้ม สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสูงสุดในชีวิต และครอบครัว คือ ได้รับการโปรดเกล้า ฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับพระราชทาน ” เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญมาลาเข็มกล้ากลางสมร ” ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง และกระทำพิธี ” ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา “ ณ อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2525 …
    [​IMG]
    “”"” ภาระกิจในพื้นที่ บันนังสตา ต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียว “”"
    … และนับเป็น ตำรวจเพียงคนเดียว ในขณะมียศแค่ ” จ่าสิบตำรวจ ” ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ …
    … นอกจากนี้ พ.ต.อ.สมเพียร ยังได้รับพระราชทาน และประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานต่างๆอีกมากมาย เช่น ..
    1.ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนชั้นสอง ประเภทหนึ่ง
    2.ได้รับประกาศนียบัตร ” ผู้มีผลงานสู้รบดีเด่น ” จากกระทรวงมหาดไทย
    3.ได้รับเข็มรักษาดินแดนสดุดี จากกระทรวงมหาดไทย
    4.ได้รับมอบเกียรติบัตรผู้ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติด้วยความเสียสละ จากองค์การทหารผ่านศึก
    5.ไดัรับประกาศผู้มีผลงานดีเด่นด้านการปราบปราม จากกองบัญชาการตำรวจภูธร 9
    6.ได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์เก่า โรงเรียนตำรวจภูธร 9 ดีเด่น
    7.ได้รับหนังสือสำคัญ จากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต ) ยกย่องเชิดชู เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดน และรักษาความสงบสุขของบ้านเมือง ด้วยความเข้มแข็งเสียสละ
    8 .ฯลฯ …
    “”" และล่าสุด หลังจากรับตำแหน่ง ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ตั้งแต่ปี 2550 เป็นตันมา พ.ต.อ.สมเพียร ได้นำกำลังเข้าปิดล้อม ตรวจค้น และได้มีการปะทะยิงต่อสู้กับแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ (RKK) มาแล้วจำนวน 7 ครั้ง ทำให้คนร้ายเสียชีวิต จำนวน 17 คน สามารถยึดอาวุธสงครามและยุทธภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมาก ทำให้เขาได้รับการยกย่องเป็น ” ผู้นำหน่วยยอดเยี่ยม ” จากศูนย์ปฏิบัติการตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า ( ศปก.ตร.สน ) …
    [​IMG]
    ……….. นี่คือเรื่องราวเพียงเศษเสี้ยวของชีวิต ตำรวจนายหนึ่ง ที่ทำงานทุ่มเท เพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชน เช่นเดียวกับตำรวจน้ำดีในพื้นที่อีกหลายคน พวกเขาเสมือนผู้ปิดทองหลังพระ ภายใต้เครื่องแบบสีกากี ที่เขาแสนภาคภูมิใจ แม้จะเหน็ดเหนื่อย ตรากตรำ และ เสี่ยงต่ออันตรายแค่ไหน แต่เขาไม่เคยย่อท้อ แม้อายุราชการ ของ พ.ต.อ.สมเพียร จะเหลืออีกไม่กี่ปี แต่เขายืนยัน ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด สมดั่งปรัชญา ” ตำรวจคือ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ” …
    13 ตุลาคม ” วันตำรวจ ” ของไว้อาลัยแด่ ตำรวจทุกท่านที่เสียชีวิตจากปฏบัติหน้าที่ ในการรักษาความสงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ และขอให้ผู้กล้าทั้งหลายที่ยังคงอยู่ มีขวัญ กำลังใจ ในการทำงาน ขอให้ปลอดภัย แคล้วคลาด ทำงานประสบความสำเร็จทุกประการ สวัสดีครับ ………..
    ข้อมูลจาก
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สุดสลด!โจรใต้บึม-ยิงผกก.บันนังสตาพลีชีพ
    สุดสลด!โจรใต้บึม-ยิงผกก.บันนังสตาพลีชีพ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์


    [​IMG]

    ประเทศไทยสูญเสียนายตำรวจนักรบ หลังโจรใต้บึม-ยิงถล่มซ้ำ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เจ็บสาหัสพร้อมลูกน้องอีก 4 คน ขณะลุยค้นบ้านต้องสงสัย แต่หมอสุดยื้อชีวิต...
    วันที่ 12 มี.ค. พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา สนธิกำลังหลายฝ่ายเข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมายพื้นที่ ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา แต่ขณะรถกระบะซึ่งใช้เป็นพาหนะวิ่งอยู่บนถนนสายบ้านตาเนาะปูเต๊ะ-บ้านทับช้าง ซึ่งเป็นถนนขึ้นเนินเขา 2 ข้างทางเป็นสวนยางพารา ในเขตบ้านทับช้าง ม.9 ต.ตาเนาะปูเต๊ะมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบกดระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัมฝังไว้ใต้พื้นถนน จากนั้น คนร้าย ซึ่งคาดว่า มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 คน ได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มซ้ำจนเกิดการปะทะกันขึ้น
    ต่อมา พ.ต.ท.วิชัย แจ้งสกุล รอง ผกก.สส.สภ.บันนังสตา พ.ต.ท.ณรงค์ ธนานันทกุล รอง ผกก.ตชด. 44 ผบ.ฉก.ตชด. 44 นายปรเมศวร์ จันทร์แสง ปลัดป้องกันอำเภอบันนังสตา นำกำลังไปสนับสนุน แต่คนร้ายได้ล่าถอยเข้าป่าไปแล้ว จึงไม่ทราบการสูญเสีย ส่วนฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจปรากฏว่า พ.ต.อ.สมเพียร ถูกสะเก็ดระเบิดและถูกยิงที่ลำตัวได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนั้น ยังมี ร.ต.ท.กิตติศักดิ์ โลมา อายุ 38 ปี รอง สวป.สภ.บันนังสตา ด.ต.โสภณ อินทรบวร อายุ 36 ปี พลขับ ส.ต.ท.รวิกร สังข์ศิริ อายุ 28 ปี ผบ.หมู่ ป.สภ.บันนังสตา และอส.อับดุลอาซิ กาจะลากี อายุ 35 ปี อส.อำเภอบันนังสตา ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย
    จากนั้น พล.ต.ต.สายัณห์ กระแสแสน ผบก.ภ.จว.ยะลา ทราบเหตุนำกำลังรุดไปที่เกิดเหตุและเดินทางไปดูอาการผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล พร้อมประสานเฮลิคอปเตอร์ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) รับผู้บาดเจ็บทั้งหมดนำส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา ล่าสุด พ.ต.อ.สมเพียร ซึ่งมีอาการสาหัสที่สุดเสียชีวิตแล้ว
    สำหรับ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา รับราชการตำรวจอยู่ในพื้นที่ อ.บันนังสตา มานาน ตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆ จากชั้นประทวนขยับขึ้นชั้นสัญญาบัตร ต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมานาน หวุดหวิดจะเสียชีวิต และได้ รับบาดเจ็บสาหัสหลายครั้ง จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็น ผกก.สภ.บันนังสตา ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากนายกรัฐมนตรีและรักษาการ ผบ.ตร. กรณีทำเรื่องขอย้ายออกนอกพื้นที่เพราะจะเกษียณราชการในปี 2553 แต่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา ล่าสุด วันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ถูกจยย.บอมบ์ แต่ไม่ได้รับอันตรายรุนแรง จนมาเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้
    ขณะที่ เมื่อ เวลา 17.00 น.วันเดียวกัน ที่แหล่งสมาคมนายทหาร ร.11 รอ.นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ที่เคยบุกเข้าทำเนียบรัฐบาลมาร้องเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อขอย้ายไปเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จวนใกล้เกษียณแต่ถูกเด็กนักการเมืองใหญ่วิ่งเต้นแซงหน้า จึงไม่ได้ตำแหน่งถูกผู้ก่อความไม่สงบยิงเสียชีวิต ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้วทาง คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) มีมาตรการ แนวทางการช่วยเหลือและระเบียบเยียวยาอยู่แล้ว
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอไว้อาลัยให้กับวีระบุรุษของชาติไทย

    ขอให้ท่านไปสู่สุขคติด้วยเทอญ



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2010
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนเจ้าหน้าที่ระวัง ปลาร้าบอมบ์ โดนปาถึงขั้นตาบอด
    เตือนเจ้าหน้าที่ระวัง ปลาร้าบอมบ์ โดนปาถึงขั้นตาบอด - ข่าวไทยรัฐออนไลน์


    [​IMG]

    จักษุแพทย์ เตือน เจ้าหน้าที่ระวัง โดนปลาร้าบอมบ์ม็อบเสื้อแดง ถึงขั้นตาบอด เพราะมีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย และเศษชิ้นส่วนปลาอาจทะลุโดนตาได้...

    นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวว่า ตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมมีการเตรียมปลาร้ามาเพื่อใช้ประกอบอาหาร และขว้างใส่เจ้าหน้าที่นั้น อยากเตือนว่าปลาร้าประกอบด้วยเกลือ และปลา นำมาหมักรวมกันจนเนื้อปลายุ่ย เละแต่หากเป็นปลาเกรดต่ำหรือเรียกว่าปลาเบญจพรรณ ที่นำปลาหลายชนิดมาหมักรวมกัน อาจทำให้มีก้าง ครีบ หรือเงี่ยงปลาที่ไม่ยุ่ย หากนำมาขว้างใส่กันแล้วเข้าหน้าอาจจะไม่อันตรายมากนัก แต่หากเข้าตาส่วนของปลาที่ไม่ยุ่ย มีโอกาสที่จะทิ่มตาทำให้ตาดำทะลุ เกิดการติดเชื้อ ตาอักเสบ เพราะอาจจะมีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย และตาบอดได้ ถ้าพบแพทย์ไม่ทัน

    และแม้จะเป็นปลาร้าคุณภาพดีที่ใช้เกลือ 3 ส่วนและปลา 4 ส่วน ทำให้ปลาร้าเค็มมาก ไม่เน่า ปราศจากแบคทีเรีย แต่ก็อาจมีสารเคมีปนเปื้อน หากเข้าตาก็จะเหมือนโดนน้ำส้มสายชู หรือโคลนดินเข้าตา จะทำให้ตาอักเสบได้เช่นกัน ถ้านำมาขว้างเป็นถุงก็จะเป็นก้อนใหญ่แม้จะหลบได้ง่าย แต่หากโดนเข้าที่ตาแบบจังๆโดยเฉพาะในระยะใกล้ ก็จะเหมือนโดนลูกเทนนิสหรือก้อนหินปะทะตา แรงอัดจะส่งผลให้ตาช้ำ ตาบวม ตาแตกและเกิดเลือดออกช่องหน้าม่านตา มีโอกาสที่จะทำให้ตาบอดได้เช่นเดียวกัน

    ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงที่จะนำปลาร้ามาขว้างปาใส่กัน เอามารับประทานดีกว่า แต่หากปลาร้าเข้าตาควรรีบล้างน้ำสะอาด อาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์



    .
     
  13. keawsa

    keawsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +241
    พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    ผกก.กระดูกเหล็ก แห่ง สภ.บันนังสตา จ.ยะลา

    ดู ข่าวแล้ว รู้ สึก ว่า ท่านเกิดมามีคุณค่า มาก มาย
    ขอให้ ท่านไปสู่ ที่ดีๆๆ ยิ่งๆๆขึ้นไปนะคะ มนุษย์อย่างแท้จริง :cool:
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>วิธีการปฐมพยาบาลกรณีฉุกเฉิน / เอมอร คชเสนี
    Quality of Life - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย เอมอร คชเสนี</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 มีนาคม 2553 13:50 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=384 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=384>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>การปฐมพยาบาล คือ การให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในขั้นแรก ก่อนส่งโรงพยาบาล หรือก่อนจะถึงมือแพทย์ ทุกคนควรมีความรู้ในการปฐมพยาบาล เพื่อที่จะใช้เวลาทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ที่สุดเพื่อช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่น

    การปฐมพยาบาลนั้น ต้องทำด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง ขั้นแรกต้องระงับความตื่นเต้นตกใจ ตั้งสติให้ดี ไม่ว่าคนที่คุณต้องช่วยเหลือจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือแม้แต่คนแปลกหน้า

    พยายามอย่าให้คนมุง เพื่อให้คนเจ็บได้รับอากาศบริสุทธิ์ ปลอดโปร่ง มีแสงสว่างเพียงพอ และสะดวกในการปฐมพยาบาล โทรเรียกรถพยาบาลก่อน แล้วรีบตรวจดูคนเจ็บและปฐมพยาบาลเบื้องต้น

    กรณีที่คนเจ็บยังมีสติ ควรแนะนำตัวเอง สอบถามชื่อนามสกุลของคนเจ็บ และสอบถามอาการ
    กรณีที่คนเจ็บหมดสติ ให้ตรวจดูว่ายังหายใจหรือไม่

    การกู้ชีพ

    หากคนเจ็บหายใจไม่สะดวกหรือหยุดหายใจให้เริ่มผายปอดแบบเป่าปาก โดยให้คนเจ็บนอนหงาย จับปลายคางให้เชิดขึ้น มือกดหน้าผากไว้ ตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในปากหรือลำคอ หากตรวจพบให้ล้วงออกมาให้หมด เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น

    ใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกคนเจ็บ มืออีกข้างดึงปลายคางไว้เพื่อเปิดช่องปาก จากนั้นสูดลมเข้าปอดแล้วเป่าเข้าไปทางปากของคนเจ็บ สังเกตว่าลมเข้าปอดโดยดูจากการเคลื่อนไหวของหน้าอก รอให้ลมออกจากปอดก่อนแล้วจึงเป่าครั้งที่สอง จากนั้นให้สำรวจชีพจร ง่ายที่สุดคือที่คอ บริเวณสองข้างของลูกกระเดือก หากคลำชีพจรไม่พบ ให้นวดหัวใจด้วย

    วิธีการนวดหัวใจ ให้นั่งคุกเข่าอยู่ข้างตัวคนเจ็บ ให้เข่าข้างหนึ่งอยู่บริเวณเอว อีกข้างอยู่บริเวณหัวไหล่ วางมือข้างที่ไม่ถนัดตรงกึ่งกลางหน้าอกเหนือกระดูกลิ้นปี่เล็กน้อย วางมือข้างที่ถนัดไว้ด้านบน แล้วยืดแขนให้ตรง โน้มตัวมาข้างหน้า ถ่ายน้ำหนักลงไปบนแขน เริ่มนวดหัวใจโดยการกดมือลงไป

    จังหวะการนวดคือ 15 ครั้งต่อ 10 วินาที แรงกดให้ดูจากการยุบตัวของหน้าอก ควรยุบแค่ประมาณ 1 ½ ถึง 2 นิ้ว หลังจากนวดครบ 15 ครั้ง ให้เป่าปาก 2 ครั้ง แล้วตรวจดูชีพจรอีกครั้ง หากยังไม่มีชีพจร ให้เริ่มนวดหัวใจอีกครั้ง ทำจนกว่าคนเจ็บจะเริ่มหายใจเองได้ หรือรถพยาบาลมาถึง

    การเคลื่อนย้ายคนเจ็บ

    หากบาดเจ็บที่คอ หรือกระดูกสันหลัง ห้ามเคลื่อนย้ายคนเจ็บ หากเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ที่ประสบอุบัติเหตุ อย่าเพิ่งถอดหมวกกันน็อก จนกว่าจะตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีกระดูกคอ หรือหลังหัก

    รู้ได้อย่างไรว่ากระดูกสันหลังหักหรือไม่
    - หากเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่มีความรุนแรง มีโอกาสสูงที่คนเจ็บจะกระดูกสันหลังหักจากแรงกระแทก
    - หากคนเจ็บยังมีสติ ลองให้เขาขยับนิ้วมือ นิ้วเท้า เป็นจังหวะ หรือลองให้คนเจ็บบีบมือของคุณ หากยังเคลื่อนไหวนิ้วได้ หรือยังมีแรงบีบ กระดูกสันหลังไม่น่าจะหัก
    - ลองหาวัตถุแข็งๆ ลากบริเวณฝ่าเท้า หากมีการตอบสนองแบบเดียวกับจั๊กจี๋ หรือหัวแม่โป้งกระดิก เป็นสัญญาณที่ดี

    แต่หากลองทำทุกอย่างแล้ว ไม่มีการตอบสนองที่ดี นั่นเป็นสัญญาณว่าคนเจ็บอาจมีกระดูกสันหลังหัก ไม่ควรเคลื่อนย้ายคนเจ็บ ยกเว้นว่าอยู่ในสถานที่ที่เสี่ยงเกินไป เช่น ไฟไหม้ ใกล้เชื้อเพลิงที่อาจระเบิด บนถนนที่อาจถูกรถทับ หรือตึกที่กำลังจะถล่ม ให้เคลื่อนย้ายคนเจ็บอย่างถูกวิธี และทำด้วยความระมัดระวังที่สุด

    วิธีการเคลื่อนย้ายที่ใช้ได้กับคนเจ็บที่สงสัยว่าอาจจะมีกระดูกสันหลังหรือกระดูกคอหัก ก็คือ การลากไหล่ โดยยืนอยู่เหนือศีรษะของคนเจ็บ ย่อเข่าลง สอดมือทั้งสองข้างเข้าไปที่ใต้แขนของคนเจ็บ แล้วจับให้แน่น ให้ศีรษะและคอของคนเจ็บอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้างของคุณ ค่อยๆ เดินถอยหลังทีละก้าวช้าๆ โดยลากไปตรงๆ ห้ามลากไปทางซ้ายหรือขวา พยายามให้ศีรษะ คอ ลำตัว และขาของคนเจ็บ อยู่ในแนวเส้นตรงระนาบเดียวกัน สังเกตด้วยว่าเสื้อของคนเจ็บไม่รั้งที่คอจนขาดอากาศหายใจ

    ให้ออกแรงลากโดยใช้กำลังขา ย่อเข่า พยายามให้หลังเหยียดตรง จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกหลัก และช่วยให้คุณไม่ปวดหลัง


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>การห้ามเลือด

    หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดของคนเจ็บโดยตรง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้รีบล้างมือด้วยสบู่ รวมทั้งบริเวณที่เปื้อนเลือดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    การห้ามเลือดทำได้โดย
    - ใช้นิ้วมือกดไว้ตรงบาดแผล
    - ใช้ผ้าสะอาดพันปิดแผลไว้ อย่าให้แน่นจนชา
    หากไม่มีผ้าพันแผล เราสามารถดัดแปลงสิ่งของใกล้ตัวมาใช้ได้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ชายเสื้อ ชายกระโปรง เนคไท
    - แผลที่แขนหรือขาให้ยกสูง จะช่วยให้เลือดไหลช้าลง ปกติเลือดจะหยุดไหลภายในเวลาประมาณ 15 นาที ถ้าเลือดไหลไม่หยุด ให้กดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงแขน ขา
    - การกดเส้นเลือดแดงใหญ่เพื่อห้ามเลือด ให้กดบริเวณเหนือบาดแผล ตำแหน่งที่ใช้กดเพื่อห้ามเลือดคือ ถ้าเลือดไหลที่แขนให้กดแขนด้านใน ช่วงระหว่างข้อศอกและหัวไหล่ ถ้าเลือดไหลที่ขา ให้กดที่หน้าขาบริเวณขาหนีบ

    การห้ามเลือดโดยการกดเส้นเลือดแดงใหญ่นั้น ควรทำก็ต่อเมื่อใช้วิธีการห้ามเลือดโดยการกดบาดแผล หรือใช้ผ้าพันแผลแล้วไม่ได้ผล เพราะจะทำให้อวัยวะที่ต่ำกว่าจุดกดขาดเลือดไปเลี้ยง หากกดนานๆ กล้ามเนื้ออาจตายได้ จึงไม่ควรกดเส้นเลือดแดงใหญ่เกินกว่าครั้งละ 15 นาที
    ไม่ควรถอดหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าของคนเจ็บ แม้ว่าจะเปื้อนเลือดจนชุ่มแล้ว เพราะอาจยิ่งทำให้เลือดไหลออกมาอีก

    กระดูกหัก

    หากมีเลือดออกให้ห้ามเลือดทันที หากกระดูกแทงทะลุออกมานอกผิวหนัง ห้ามจับกระดูกกลับเข้าที่เดิม
    สิ่งสำคัญในการช่วยเหลือคนเจ็บที่กระดูกหัก ก็คือ การใส่เฝือกเพื่อยึดไม่ให้มีการเคลื่อนไหว ถ้ากระดูกหักที่แขน มือ หรือข้อศอก ให้ใส่ผ้าคล้องแขนด้วย

    สิ่งที่จะใช้ทำเฝือกได้ ก็คือ วัสดุที่แข็งและไม่ยืดหยุ่น เช่น ไม้กระดาน ด้ามไม้กวาด หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารที่นำมาม้วนให้แข็ง หากพื้นผิวของวัสดุไม่เรียบ ให้หาผ้ารองไว้ชั้นในก่อน เฝือกควรมีความยาวมากกว่าอวัยวะส่วนที่หักเล็กน้อย ผูกเฝือกด้วยเชือก เนกไท ผ้าพันคอ หรือเศษผ้าที่หาได้ โดยไม่ควรผูกให้แน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากสังเกตว่าบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ หรือมีอาการชา ให้รีบคลายเฝือกออก

    แผลถูกแทง

    หากวัตถุที่แทงมีขนาดยาวมาก สามารถตัดให้สั้นลงได้โดยทำอย่างระมัดระวัง แต่ห้ามดึงออกเพราะจะทำให้เลือดออกมากยิ่งขึ้นหรือเพิ่มอันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียง ห้ามเลือดโดยใช้ห่วงผ้ารองไม่ให้วัตถุนั้นปักลึกมากยิ่งขึ้น ไม่ควรให้กินอะไรทั้งสิ้น ให้คนเจ็บอยู่นิ่งๆ ให้มากที่สุด แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

    แผลถูกยิง

    ห้ามเลือดโดยใช้วิธีกดลงบนบาดแผลโดยตรง หรือกดเส้นเลือดแดงเหนือบาดแผล ถ้ามีกระดูกหักร่วมด้วยให้ดามกระดูกที่หัก ให้คนเจ็บนอนนิ่งๆ ห่มผ้าให้อบอุ่นเพื่อป้องกันการช็อค งดให้น้ำหรืออาหารใดๆ แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

    การปฐมพยาบาลดังที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นโดยย่อเท่านั้น รายละเอียดอื่นๆ ติดตามได้ในตอนต่อไป

    ติดตามฟังรายการ “Happy & Healthy”
    ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.00 น.
    ทางคลื่นของประชาชน FM 97.75 MHz
    และ Manager Radio

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใช้ครีมกันแดดแค่ไหน ถึงจะเพียงพอต่อการปกป้อง

    ผิวสวย ใช้ครีมกันแดดแค่ไหน ถึงจะเพียงพอต่อการปกป้อง

    [​IMG]

    ใช้ครีมกันแดดแค่ไหน ถึงจะเพียงพอต่อการปกป้อง (Woman's Story)

    เรื่องครีมกันแดดเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับสาว ๆ เพราะเดี๋ยวนี้แดดร้อนแรงเหลือเกิน หากไม่ปกป้องให้ดีผิวหน้าก็คงหมองคล้ำ หมดราศีแน่นอนนะคะ แต่ต้องทาครีมประมาณไหนล่ะค่ะถึงจะปกป้องแสงแดดได้ดีที่สุด เคยสงสัยกันบ้างรึเปล่า ถ้าหากยังไม่รู้วันนี้มีคำตอบเรื่องนี้มาเฉลยให้ฟังค่ะ

    คำตอบก็คือ 1 ช้อนชาค่ะ เป็นปริมาณที่ดีที่สุด แต่ถ้าครีมกันแดดแบบไหนที่ความเข้มข้นมาก ก็สมารถลดปริมาณลงได้ตามสมควร แล้วทาบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า และควรทาซ้ำทุก ๆ 3 ชั่วโมง เพราะระหว่างวันฝุ่น และเหงื่อจะทำให้ประสิทธิภาพในการปกป้องลดลงได้ ที่สำคัญครีมกันแดดมีอายุการใช้งานแค่ 1 ปี นะคะ ไม่ว่าจะถูกหรือแพง พอครบปีก็ควรจะเปลี่ยนได้แล้วค่ะ


    [​IMG] เรื่องราวผู้หญิง ความสวยความงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โค้งสุดท้ายคนซื้อบ้าน เร่งโอนถูก-ต้องรอบคอบ

    คอลัมน์ รายงานพิเศษ

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนซื้อบ้านต้องกลับสู่ความเป็นจริง เพราะนับถอยหลังอีกเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ก่อนจะถึงวันที่ 28 มี.ค.53 วันปิดฉากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล

    ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมการโอนบ้านและที่ดินจะกลับสู่อัตราปกติ 2% จาก 0.01% ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 1% จาก 0.01% และภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% จาก 0.11% ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ก.พ.53 ด้วยเหตุผลว่า เศรษฐกิจเริ่มฟื้นจึงไม่จำเป็นต้องช่วยเหลืออีก

    โดยที่ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวสนับสนุนเหตุผลว่า หากขยายมาตรการออกไปอีก จะทำให้การตัดสินใจเร่งด่วนของประชาชนผู้ต้องการซื้อบ้านไม่เกิด และจะมีผลให้มาตรการชั่วคราวกลายเป็นมาตรการถาวรไปทันที

    ดังนั้น การไม่ต่อมาตรการจะเป็นการเร่งให้คนที่ยังลังเลต้องเร่งซื้อเร่งโอนอสังหาริมทรัพย์ และจะทำให้สต๊อกบ้านของผู้ประกอบการหมดไป ภาคอสังหาริมทรัพย์จะได้เริ่มก่อสร้าง เกิดการจ้างงานเพิ่มเติม

    สําหรับยอดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 5 จังหวัดเมื่อปี 2552 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่ามีจำนวน 220,300 แปลง เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2551

    โดยมีมูลค่าอสังหาริมทรัพย์รวมประมาณ 572,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน จากจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด แบ่งออกเป็นอสังหาริมทรัพย์เฉพาะประเภทที่อยู่อาศัยประมาณ 160,600 หน่วย รวมมูลค่าประมาณ 336,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2551

    ช่วง 2 สัปดาห์ก่อนสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ คงกระตุ้นให้ผู้กำลังจะซื้อบ้านเร่งการโอนอย่างด่วนจี๋

    จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องเตรียมความพร้อมรับมือเต็มที่ โดยเฉพาะกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย

    ก่อนหน้านี้ นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อธิบดีกรมที่ดิน ได้แจ้งไปยังที่ดินทุกพื้นที่ ให้เตรียมรองรับธุรกรรมที่จะทะลักเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย ก่อนมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จะสิ้นสุดลงในวันที่ 26 มี.ค.นี้

    เชื่อว่าจะมีประชาชนมาเร่งรัดการโอนที่ดินจำนวนมาก ก่อนที่มาตรการจะสิ้นสุด โดยเฉพาะผู้ค้าที่ดินที่ต้องการประหยัดค่าธรรมเนียมการโอนและผู้ซื้อที่จะได้รับสิทธิทางภาษี

    "วันสุดท้ายที่ประชาชนจะมาโอนที่ดินได้คือวันที่ 26 มี.ค. เนื่องจากเดิมที่ระบุวันที่ 28 มี.ค.นั้นเป็นวันหยุดราชการ ไม่สามารถทำนิติกรรมโอนย้ายทรัพย์สินได้ โดยผู้ที่มายื่นคำร้องก่อนเวลา 16.30 น.ของวันดังกล่าว กรมที่ดินยืนยันจะสามารถโอนให้ได้ทั้งหมด" นายอนุวัฒน์กล่าว

    ทั้งนี้ จากการใช้มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ของกรมที่ดินหายไปปีละ 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมจะจัดเก็บได้จากธุรกรรมการโอนและจดจำนองที่ปีละ 5 หมื่นล้านบาท ก็เหลือเพียงปีละ 3 หมื่นล้านบาท และแม้ปีนี้จะยกเลิกมาตรการแล้วแต่คาดว่าจะมีรายได้กลับเพิ่มเข้ามาเพียง 1 หมื่นล้านบาท

    อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มี.ค. นายกรณ์ระบุว่าได้หารือกับกรมที่ดินแล้ว โดยจะให้กรมที่ดินเปิดให้บริการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในวันหยุดราชการเริ่มตั้งแต่วันเสาร์-อาทิตย์นี้ เพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ได้ทัน

    เพราะคาดว่าจะมีผู้ต้องการใช้บริการจำนวนมาก จึงให้กรมที่ดินขยายเวลาการให้บริการในวันหยุดราชการตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.

    และในวันสุดท้าย วันอาทิตย์ที่ 28 มี.ค. หากมีผู้มาขอรับบริการจำนวนมากกรมที่ดินจะขยายเวลาให้บริการจนถึงเวลา 24.00 น.

    ขณะเดียวกันธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะผู้นำสินเชื่อบ้าน เตรียมทีมบริการลูกค้าเช่นกัน

    นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธอส.ได้เตรียมทีมงานบริการลูกค้า ที่คาดว่าจะมีปริมาณการใช้บริการของสินเชื่อ และทำนิติกรรมเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติไว้อย่างเต็มที่ เพื่ออำนวยความสะดวกกับลูกค้าที่ต้องการโอนที่อยู่อาศัยให้ทันภายในเดือนมี.ค.นี้ ด้วยบริการพิเศษสินเชื่อบ้านอนุมัติด่วนภายใน 7 วันทำการ (นับจากเอกสารประกอบการยื่นกู้ครบถ้วน)

    พร้อมเร่งทำนิติกรรมให้แล้วเสร็จภายใน 3 วันทำการ นับจากวันอนุมัติสินเชื่อ เพื่อให้ลูกค้าสามารถโอนที่อยู่อาศัยได้ทัน โดยจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกค้าได้อีกทางหนึ่ง หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 0-2645-9000

    สิ่งสำคัญคือ ขอให้ลูกค้านัดแล้วมาตามนัด เพราะหากไม่ทันกำหนดจะต้องมีภาระภาษีมาก พิจารณาจากมูลค่าบ้าน 1 ล้านบาทต้องมีภาระภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าโอนค่าจดจำนองรวม 3 หมื่นบาท จากปัจจุบันที่ได้รับสิทธิลดหย่อนเหลือเพียง 200 บาทเท่านั้น

    ด‰านตัวแทนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ อย่าง นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ก่อนวันที่ 28 มี.ค.นี้ผู้ประกอบการต้องเร่งทำความเข้าใจกับผู้บริโภคถึงสิทธิประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการตัดสินใจโอนบ้านพร้อมอยู่ หรือคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จให้ทันก่อนหมดมาตรการ

    เพราะหลังจากนั้นราคาที่อยู่อาศัยจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือ ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนองและภาษีธุรกิจเฉพาะเฉลี่ย 4.2% ยังไม่นับรวมต้นทุนค่าก่อสร้าง ที่ดิน ที่ยังมีความผันผวน

    แต่ทางสมาคมจะรอวัดผลหลังการยกเลิกมาตรการเป็นเวลา 3 เดือน ว่า ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง หากยอดขายชะลอตัว จะยื่นให้ภาครัฐทบทวนเรื่องนี้ใหม่ แต่เบื้องต้นคาดการณ์ว่าปีนี้ยอดการโอนจะลดลง 5%

    ในเวลาเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกโรงเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังเรื่องสัญญาไม่เป็นธรรม สำหรับช่วงเร่งรัด 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนมาตรการลดค่าธรรมเนียมอสังหาริม ทรัพย์จะหมดลง เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสของผู้ประกอบการที่ไร้จริยธรรม

    นายจิรชัย มูลทองโร่ย รองเลขาธิการสคบ. กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนจากการเช่าซื้อที่อยู่อาศัยเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 ราย เนื่องจากถูกผู้ประกอบการผิดสัญญา, โฆษณาเกินจริง และไม่คืนค่าจองกรณีมีปัญหาการทำธุรกรรม

    ดังนั้น ผู้บริโภคควรรอบคอบในการทำสัญญา ก่อนวันที่ 28 มี.ค.นี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการซื้อขายมาก อาจส่งผลให้ล่าช้า จนซ้ำเติมให้ผู้บริโภคต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนที่สูงขึ้น

    ทั้งนี้ ช่วงทำสัญญาจองซื้อบ้านผู้บริโภคควรเจรจากับผู้ขายเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน เพื่อขอคืนค่าจองได้ในกรณีที่การทำธุรกรรมล่าช้า โดยเฉพาะการขอสินเชื่อที่อาจใช้เวลา 1 เดือนกว่าจะรู้ผล ซึ่งมาตรการจะหมดอายุลงก่อน และผู้บริโภคไม่ต้องการรับภาระภาษีค่าธรรมเนียมการโอนที่แพง ซึ่งจะเป็นหลักฐานร้องเรียนกับ สคบ.ได้ หากผู้ประกอบการไม่คืนค่าจอง

    อย่างไรก็ตาม สคบ.พร้อมช่วยเหลือผู้บริโภคที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ เพราะหากมาตรการสิ้นสุดลงทำให้ผู้ประกอบการอาจปรับขึ้นราคาบ้านทันที 5-7%

    ดังนั้น หากผู้บริโภคเห็นว่ามีการปรับราคาสูงเกินจริงก็ร้องเรียนที่ สคบ.ให้เชิญผู้ประกอบการชี้แจงถึงต้นทุนที่ปรับเพิ่ม เพื่อให้ผู้ซื้อได้พิจารณาเลือกซื้อสินค้าที่ถูกใจมากที่สุด

    แต่ตามกฎหมายคงไม่มีอำนาจในการควบคุมห้ามปรับราคาบ้าน

    สำหรับการร้องเรียนเกี่ยวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในงบประมาณปี 2552 มี 2,575 ราย ประกอบด้วย ไม่ปลูกสร้าง, ก่อสร้างแต่ไม่แล้วเสร็จ, ไม่ปฏิบัติตามที่โฆษณา, มีการก่อสร้างแล้วเสร็จแต่เก็บงานไม่เรียบร้อย, ไม่ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์, มีการชำรุดหลังปลูกสร้าง, กู้ไม่ผ่าน, กู้ได้ไม่เต็มจำนวนที่ขอกู้

    ไม่จัดทำสาธารณูปโภค, ก่อสร้างไม่ตรงแบบแปลน, ก่อสร้างล่าช้า, พื้นที่จอดรถเป็นรอยแตกร้าว, กรรมการหมู่บ้านบริหารงานไม่โปร่งใส, ก่อสร้างบ้านไม่ได้มาตรฐาน และไม่สามารถแบ่งแยกโฉนดที่ดิน เป็นต้น

    โค้งสุดท้ายของมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์นี้คงคึกคักแน่

    แต่ผู้บริโภคต้องรอบคอบจะได้ไม่เสียเปรียบ และไม่ต้องมานั่งปวดหัวในภายหลัง
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีลดเครียด

    คอลัมน์ คอลัมน์ที่13

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ==

    สถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังตึงเครียด

    มีการนำเสนอทั้งภาพและเสียงของเหตุการณ์การชุมนุมที่อาจเกิดการปะทะและใช้ความรุนแรง

    รวมถึงการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ

    อาจจะทำให้ประชาชนผู้บริโภคข่าวสาร ทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือเว็บไซต์ เกิดความรู้สึกร่วมไปกับข่าว มีความโกรธและความเครียดตามมา

    น.พ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย จิตแพทย์ โรงพยาบาล มโนรมย์ เปิดเผยว่า สังคมไทยปัจจุบันเกิดความขัดแย้งรุนแรง ตึงเครียดจากสถานการณ์ทาง การเมือง

    ผู้คนจำนวนมากกำลังใช้ชีวิตด้วยอารมณ์ มากกว่าสติและเหตุผล

    หากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ และใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหา คงยากที่จะหลีกพ้นการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

    ผู้คนอาจได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย บ้านเมืองได้รับความเสียหาย เศรษฐกิจสังคมพังพินาศ

    ช่วงนี้จึงเป็นเวลาสำคัญที่คนไทยทุกคนต้องตั้งสติให้ได้ วิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสุขุม

    มองผลระยะยาวมากกว่าผลระยะสั้น

    เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทยมีประสบการณ์และบทเรียนด้านความขัดแย้งทางการเมือง และประสบกับความสูญเสียมาหลายครั้งแล้ว

    เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงย่อมมีการขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ ถ้าการแก้ไขความขัดแย้งใช้แต่อารมณ์ ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นมาก แต่ถ้าใช้สติมากกว่าความเสียหายก็จะมีน้อย

    เพื่อจะมีสติและสามารถดูแลซึ่งกันและกัน และลดความเครียดลง

    จึงแนะนำว่า ขณะที่ดูภาพข่าวหรือเหตุการณ์ ควรจะมีสติ และพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้

    ควรที่จะฝึกผ่อนคลายจิตใจ เพื่อไม่ให้ความเครียดและ อารมณ์โกรธ สะสมจนถึงจุดเดือด

    โดยมีแนวทางแนะนำบางประการ คือ

    1.นึกเสมอว่า การเมืองย่อมมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่ไม่จำเป็นต้องแตกแยก และเชื่อว่าทุกปัญหาต้องมีทางออก

    2.ควรดูข่าวการเมือง เพื่อให้รู้ความเป็นไปของสถานการณ์ เพื่อความเข้าใจ และการเตรียมความพร้อมที่เหมาะสม ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจและมีอารมณ์ร่วมมากจนเกินไป

    3.เตือนตนเองว่า คนเราในโลกนี้แตกต่างกัน ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่ตัวเราเองก็มีข้อบกพร่อง จะช่วยทำให้โกรธยากขึ้น ให้อภัยได้ง่ายขึ้น

    4.คอยเตือนตนเองว่า ความโกรธและความเครียดคือการเผาตัวเอง ทำลายสุขภาพตัวเอง พยายามสังเกตอารมณ์ตัวเองให้รู้เท่าทันว่ากำลังเครียด หรือกำลังจะโกรธ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความโกรธได้ง่าย

    5.ฝึกชะลออารมณ์โกรธและสลายความเครียดโดยการเบี่ยงเบนความสนใจ ด้วยการนับ 1-10 หายใจเข้า-ออก ลึกๆ ช้าๆ พยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย

    6.หลีกเลี่ยงสถานที่หรือสถานการณ์ที่ยั่วยุให้เกิดอารมณ์โกรธ เพราะอาจจะทำให้ความโกรธถึงจุดเดือด และปัญหาความเครียดก็จะตามมาได้

    7.ฝึกให้อภัยและปล่อยวาง

    ที่สำคัญ ต้องดูแลสุขภาพกายของตนเองให้ดี ด้วยการรับประทานอาหาร และพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ

    คิดเสมอว่า เรื่องของการเมืองย่อมมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้

    ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ทุกคนตั้งสติ เอาใจใส่กัน ช่วยเหลือกัน

    เพื่อให้สังคมไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยความราบรื่นหรือสูญเสียน้อยที่สุด

    เพื่อรักษาสังคมที่ดีไว้ ให้แก่ลูกหลานไทยของเรา

    หากใครมีอาการเครียดสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่เบอร์ 08-6810-2061
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อานาปานสติ

    คอลัมน์ ศาลาวัด

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ==

    การหายใจเข้า "พุท" หายใจออก "โธ" เป็นการภาวนาสมาธิที่ชาวบ้านทั่วไปคุ้นเคยกันดี ทำแล้วจักส่งผลทำให้อารมณ์เบิกบานแจ่มใส ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ "อานาปานสติ" แปลว่า ความกำหนดพิจารณาลมหายใจเข้าและลมหายใจออก หมายถึง การใช้สติเป็นตัวกำหนดดูลมหายใจเข้าและลมหายใจออกของตนในปัจจุบันแต่ละขณะ เป็นหนึ่งในวิธีฝึกกัมมัฏฐาน 40 วิธี โดยจัดอยู่ในข้อที่ 9 แห่งกัมมัฏฐานประเภทใช้สติเป็นตัวนำ

    เพราะเป็นหนึ่งในวิธีการฝึกกัมมัฏฐาน จึงเรียกว่า อานาปานสติกัมมัฏฐาน ซึ่งหมายถึงกัมมัฏฐานที่ใช้สติกำหนดลมหายใจเข้า-ออก

    หรือเรียกว่า อานาปานสติสมาธิ หมายถึงวิธีการฝึกสมาธิโดยใช้สติเป็นเครื่องกำหนดลมหายใจเข้า-ออกทุกขณะ

    นอกจากนี้ ยังเรียกรวมๆ ว่า อานาปานสติภาวนา หมายถึงการเจริญอานาปานสติ หรือการฝึกสมาธิเจริญปัญญาด้วยการใช้สติระลึกอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก เรียกกันสั้นๆ ว่า "อานาปานสติ"

    อานาปานสติกัมมัฏฐาน เป็นวิธีการฝึกสมาธิเจริญวิปัสสนาที่นิยมกันมากที่สุดในพระพุทธศาสนา เพราะสามารถเจริญเป็นสมถกัมมัฏฐานให้สมบูรณ์และยังสามารถเจริญเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐานให้สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ได้

    อีกทั้งยังเป็นสมาธิภาวนาแบบที่พระพุทธองค์ทรงคุ้นเคยกับการฝึกแบบนี้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

    ดังปรากฏหลักฐานในพุทธประวัติตอนเสด็จพิธีแรกนาขวัญว่า สิทธัตถราชกุมาร ได้ตามเสด็จพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาในพิธีแรกนาขวัญของชาวกรุงกบิลพัสดุ์

    ขณะที่พิธีการกำลังดำเนินการอยู่นั้น ได้ปลีกพระองค์ไปประทับใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งเจริญอานาปานสติ คือ ทรงใช้สติกำหนดลมหายใจเข้า-ออก นับว่า พระองค์ทรงเป็นนักภาวนาหรือนักสมาธิโดยกำเนิดก็ว่าได้

    ดังนั้น พุทธบริษัททั้งในอดีตและปัจจุบัน จึงนิยมใช้อานาปานสติเป็นแบบอย่างในการฝึกกัมมัฏฐาน ด้วยศรัทธาเชื่อมั่นว่าเป็นสมาธิภาวนาที่พระพุทธองค์ทรงใช้

    หลักง่ายๆ ของการเจริญอานาปานสติ คือ การใช้สติกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ให้พิจารณาระลึกรู้ว่ายาวหรือสั้น เป็นต้น โดยใช้สติตามกำหนดระลึกไปเพื่อคุมจิตให้อยู่กับลมหายใจเท่านั้น ไม่คิดพล่านไปในเรื่องอื่น

    เพียงแต่ใช้สติกำหนดลมหายใจเข้า-ออกของตนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ยังไม่เกิดสมาธิอย่างชัดเจน จนจิตสงบลงเรื่อยๆ ทำให้อารมณ์หรือความคิดฝ่ายอกุศลหมดไป สนับสนุนให้เกิดอารมณ์ฝ่ายกุศลด้วยเครื่องมือที่ใช้ทำจิตใจให้สงบ คือ ลมหายใจเข้า-ออก ทำให้เราต้องการจะเจริญเมื่อไรก็ได้การปฏิบัติอานาปานสติ นับเป็นการลงทุนที่ถูก แต่ได้ผลคุ้มค่าที่สุด
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เผยลางร้าย !รอบเขื่อนสามโตรก
    China - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 มีนาคม 2553 08:00 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เขื่อนสามโตรก ใหญ่สุดในโลก ที่สร้างขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก-ภาพเอเจนซี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์--ขณะที่เกิดปรากฎการณ์น้ำในแม่น้ำโขงลดระดับลงต่ำสุดครั้งประวัติการณ์ พร้อมกับเสียงโจมตีจีนกักน้ำไว้ในเขื่อนร่วม 10 หลังที่ตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขงในประเทศจีน เป็นเหตุสร้างความเดือดร้อนแก่กลุ่มชาติลุ่มน้ำโขง ทั้งกัมพูชา ลาว เวียดนาม และไทย ในครั้งนี้

    ในกรุงปักกิ่ง ก็มีการรายงานถึงผลกระทบจากโครงการเขื่อนใหญ่เป็นข่าวเล็กๆ โดยผู้แทนประชาชนของจีนได้เผยถึงความเสี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติที่กลัวมากจากเขื่อนสามโตรก หรือซันเสีย (Three Gorges) ซึ่งเป็นเขื่อนใหญ่ที่สุดในโลกที่จีนได้สร้างขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลกเช่นกัน

    สื่อจีน เป่ยจิง ไทมส์ เผยว่า นาย ถัง ซีเว่ย รองนายกเทศมนตรีนครฉงชิ่ง ได้แถลงต่อที่ประชุมสมัชชาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (เอ็นพีซี) หรือรัฐสภาระหว่างการประชุมประจำปีในสัปดาห์นี้ ระบุว่าขณะนี้พื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำของเขื่อนสามโตรก กำลังประสบปัญหาน่าวิตก จากภัยพิบัติทางธรณีวิทยา การกลายสภาพเป็นทะเลทราย และมลพิษน้ำ

    นับจากเขื่อนสามโตรกผุดขึ้นมา ก็มีรายงานข่าวแผ่นดินถล่มบ่อยครั้ง ซึ่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเป็นผลกระทบจากเขื่อน และในการแถลงต่อรัฐสภา นายถัง รองพ่อเมืองฉงชิ่ง สรุปข้อมูลล่าสุดว่า ได้เกิดภัยพิบัติทางธรณีวิทยาแล้ว 252 ครั้งในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนสามโตรก นอกจากนี้ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญยังได้คาดการณ์กันว่าอาจเกิดภัยพิบัติในบริเวณอ่างเก็บน้ำอีก 2,500 แห่ง หากน้ำในอ่างเก็บน้ำเพิ่มสูงขึ้น

    ทั้งนี้จีนได้ระงับแผนการเพิ่มระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนสามโตรกในเดือนพ.ย.ปีที่ผ่านมา ซึ่งตามแผนฯจะเพิ่มถึง 175 เมตร เนื่องจากกลัวภัยพิบัติแผ่นดินถล่มจะสูงขึ้นตามด้วย นอกจากนั้น ระดับน้ำที่เพิ่มยังอาจทำให้รอยแยกจากแผ่นดินถล่มเดิม เกิดปริแยกออกไปอีก เนื่องจากดินบริเวณรอบเขื่อนจะยิ่งอิ่มน้ำ และอ่อนตัวลง

    และก่อนหน้ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญจีนได้ชี้ว่าปัญหาภัยพิบัติทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นดังกล่าว เป็นลางบ่งชี้ถึง “ปัญหาที่ไม่อาจคาดหมาย” จากผลกระทบเขื่อนสามโตรก ดังนั้น นครฉงชิ่งจึงได้เสนอแผนโยกย้ายคนออกจากพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำอีก 4 ล้านคนระหว่าง 10 ปีข้างหน้านี้ มากกว่าการอพยพในช่วงก่อสร้างเขื่อนถึง 3 เท่า! โดยแผนนี้ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลเมื่อปีที่แล้ว

    เขื่อนสามโตรก เป็นเขื่อนใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่หุบเขาซีหลิงเสีย เมืองอี๋ชัง ในมณฑลหูเป่ย ที่มีระบบนิเวศวิทยาที่เปราะบาง ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับเขตตะวันออกเฉียงเหนือของมหานครฉงชิ่ง ความมโหฬารของเขื่อนสามโตรก เฉพาะตัวเขื่อนมีความยาวร่วม 3 กิโลเมตร และต้องปล่อยน้ำท่วมเมืองต่างๆที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแยงซีเกียง 116 เมือง เพื่อเป็นอ่างเก็บน้ำซึ่งมีความยาว 640 กิโลเมตร ในตอนนั้น จีนต้องโยกย้ายประชากรออกจากพื้นที่ 1.4 ล้านคน ซึ่งได้ทุบสถิติด้านการย้ายคนออกจากพื้นที่ครั้งใหญ่สุดในโลกเช่นกัน จีนใช้เวลาสร้างเขื่อนยักษ์นี้นาน 15 ปี เริ่มจากปี 2537 โดยเฟสสุดท้ายแล้วเสร็จเมื่อปี 2552 สำหรับงบประมาณก่อสร้างเขื่อนสามโตรกที่เปิดเผย เท่ากับ 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ผมได้เดินทางไปหาท่านอาจารย์ประถม ได้ไปคุยเรื่องของอาหารที่จะถวายพระอาจารย์รูปหนึ่ง และอาหารที่จะเลี้ยงผู้ที่ไปร่วมงาน

    สรุปแล้วเรื่องของอาหารก็เสร็จสิ้น

    กลับมาก็มาแวะที่ห้าง ไปซื้อของที่ต้องใช้ในงานพิธี และ ของที่ใช้เกี่ยวกับผู้ที่มาร่วมงาน ผมซื้อมาพอสมควรแล้ว แต่ยังขาดอีกนิดหน่อย ซึ่งก็จะไปซื้อในวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2553 นี้อีกครั้ง รวมทั้งเรื่องของพานบายศรี , พานต่างๆ , ขนมหวาน เครื่องดื่ม ก็ไม่มากนัก



    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...