พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เคล็ดลับทอดไก่ให้กรอบนอกนุ่มใน
    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > เคล็ดลับทอดไก่ให้กรอบนอกนุ่มใน


    [​IMG]

    บ้านไหนที่ชอบทำไก่ทอดรับประทานเอง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเคล็ดลับการทอดไก่ให้กรอบนอกนุ่มในมาบอก...

    เริ่มจากนำเนื้อไก่ที่จะทอดมาล้างแล้วผึ่งให้แห้ง ตำกระเทียมพริกไทยเม็ดให้เข้ากัน ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วนำไปหมักกับไก่อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง จากนั้นเรียงใส่จาน นำไปนึ่ง แต่เวลานำลงนึ่งต้องให้น้ำเดือดก่อน นึ่งจนไก่พอสุก จากนั้นนำออกมาปล่อยให้เย็น พร้อมทั้งผึ่งให้แห้ง

    เสร็จแล้วนำไก่ไปคลุกกับแป้งสาลี จากนั้นชุบด้วย ไข่ไก่ที่ตีเข้ากันแล้ว แล้วนำไปคลุกเกล็ดขนมปัง แล้วเอาไปทอด ในน้ำมันร้อนจัด ด้วยไฟปานกลาง พอเกล็ดขนมปังสุกเหลือง ให้ตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน

    เพียงเท่านี้ก็จะได้รับประทานไก่ทอดที่อร่อย แถมยังกรอบนอกนุ่มในอีกด้วย.
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 84 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 83 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเย็นมากๆๆครับ


    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ทางโลกคือความสุขใจครับ ทางธรรมคือ นิพพานครับ หุ หุ
     
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้ไปกราบพระอีกบ้านมาครับ พบว่าองค์เศรษฐีนวโกฏิ ก็มี...ขึ้นที่องค์พระครับ สงสัยท่านเมตตา ตามความหล่ออ่ะปล่าวครับ หุ หุ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหอๆๆๆ สงกะสัยว่า หล่อน้อยที่สุดแน่เลย ก็เลยขึ้นน้อยกว่าเพื่อน


    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ขอบคุณครับ

    รออีกสักท่าน สองท่าน ดีหรือเปล่าครับ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 69 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 64 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, chantasakuldecha+, dragonlord+, sittiporn.s+, theerasak </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ่า ช่วยกันตอบหน่อยครับ

    .
     
  9. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    การที่เราได้ทำในสิ่งที่ใจเราต้องการ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเฉลยดีกว่าครับ

    จริงๆคำถามนี้ ไม่มีคำตอบที่ถูกเพียงข้อเดียว ตอบอย่างไรก็ถูกทั้งหมด

    เพียงแต่ผมเสนอแนวคิดว่า

    เด็กแรกเกิด ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ การหายใจ
    เด็ก 1 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ จำทุกคนในบ้านได้
    เด็ก 2 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ การเดินได้
    เด็ก 4 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ ไม่ฉี่รดที่นอน
    วัยรุ่น 15 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ มีเพื่อนมาก
    บุคคลอายุ 20 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ เรื่องบนเตียง
    บุคคลอายุ 30 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ ความมั่นคงในชีวิต
    บุคคลอายุ 50 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ เรื่องบนเตียง
    บุคคลอายุ 60 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ มีเพื่อนฝูงมาก (ทั้งๆที่ไม่สามารถให้คุณ ให้โทษ ใครได้)
    บุคคลอายุ 65 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ ไม่ฉี่รดที่นอน
    บุคคลอายุ 70 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ เดินได้ ไม่ต้องใช้ไม้เท้า
    บุคคลอายุ 75 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ จำทุกคนในบ้านได้
    บุคคลอายุ 80 ขวบ ความสำเร็จสูงที่สุด ก็คือ หายใจได้ด้วยตัวเอง

    นอกจากนี้ ก็รู้จัก "เปลี่ยนวิธีคิด" จะทำให้ได้มุมมองที่แตกต่างกันออกไป

    .
     
  11. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 18 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 16 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สวัสดีครับพี่..
    วันนี้ได้ทำบุญสมทบทุนถวายยอดพระเจดีย์แต่เช้าเลย ... ตอนเย็นไปเลี้ยงขนมเด็กและไปวัด...ทบทวน สนทนาธรรม :)
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ


    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมิทธ ระบุ ปีนี้แล้งนาน จาก เอลนีโญ่

    http://hilight.kapook.com/view/46840



    สมิทธ ระบุ ปีนี้แล้งนาน จาก เอลนีโญ่ (ไทยโพสต์)

    โคราชระดมองค์กรท้องถิ่นรับมือวิกฤติแล้ง หลังน้ำในเขื่อนลดเร็ว ด้าน "สมิทธ" ระบุปีนี้จะแล้งนานจากเอลนีโญ ส่งผลน้ำระเหยมาก แนะวางระบบจัดการน้ำให้ดี ป้องกันปัญหาแย่งน้ำ ชี้น้ำโขงแห้งไม่เกี่ยวจีนปิดเขื่อน ต้นเหตุผลกระทบโลกร้อน

    นายประหยัด เจริญศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดการอบรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจาก 32 อำเภอ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตือนภัยแล้งและแก้ปัญหาแหล่งน้ำ วันนี้ (5 มี.ค.) ที่โรงแรมเฮอร์มิเทจ รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยมีนายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และนายปราโมทย์ ไม้กลัด รองประธานกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมบรรยายพิเศษ "ทฤษฎีและหลักปฏิบัติการจัดหาน้ำเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง"

    นายสมิทธ กล่าวว่า ฤดูร้อนปีนี้คาดว่าจะยาวนาน ซึ่งอุณหภูมิที่ปกคลุมพื้นที่ประเทศไทยจะสูงผิดปกติ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากมีปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ เพราะการระเหยของน้ำสูงมาก และมีผลกระทบต่อการใช้น้ำด้านกสิกรรมและเลี้ยงสัตว์ ส่วนปัญหาที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า คือ น้ำบริโภคจะมีปัญหามาก และจะเกิดปัญหาการแย่งน้ำกันขึ้น หากไม่บริหารจัดการน้ำให้ดี เพราะขณะนี้น้ำแม่น้ำโขงหรือแม่น้ำสำคัญของไทยเริ่มขาดแคลน รวมถึงน้ำในเขื่อนต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่สามารถเก็บกักไว้ได้ในฤดูฝนที่ผ่านมา

    นายสมิทธ ย้ำว่า การที่แม่น้ำโขงแห้งเพราะจีนปิดเขื่อนนั้น คงไม่เกี่ยวกัน เพราะถ้าจีนกักน้ำไว้เพื่อทำพลังงานไฟฟ้า เมื่อพลังงานเต็มก็ปล่อยออกมา ฉะนั้น ปัญหาน้ำโขงแห้ง จึงไม่ใช่สาเหตุมาจากประเทศจีนกักน้ำไว้ แต่เป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน การละลายของหิมะที่ปกคลุมอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยอาจมีการละลายรวดเร็วต่อเนื่อง น้ำส่วนหนึ่งจึงไหลลงทะเลไปหมด

    ด้านชลประทานจังหวัดนครราชสีมา รายงานว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่งของ จ.นครราชสีมา ล่าสุด (5 มี.ค.) มีปริมาณน้ำโดยรวม 514.50 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 51 ของความจุ 992.69 ล้าน ลบ.ม. ได้แก่ เขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว แหล่งน้ำดิบผลิตน้ำประปามีน้ำ 128 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 40 ของระดับเก็บกัก 314 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนลำพระเพลิง อ.ปักธงชัย มีน้ำร้อยละ 49 เขื่อนมูลบน อ.ครบุรี ร้อยละ 52 และเขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี ร้อยละ 61 ขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 18 โครงการ ปริมาณน้ำโดยรวมร้อยละ 62 ของความจุ 168.94 ล้าน ลบ.ม.




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก (ไทยโพสต์)
    [​IMG]
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง เทพเจ้าของชาวภูเก็ต

    คอลัมน์ อริยะโลกที่6



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี" หรือ "หลวงพ่อแช่ม" พระเกจิชื่อดังแห่งวัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) อ.เมือง จ.ภูเก็ต ที่ชาวเมืองภูเก็ตให้ความเลื่อมใสศรัทธายิ่ง

    จนถึงขนาดมีคำขวัญประจำเมืองภูเก็ต ว่า "ไข่มุกอันดามัน สวรรค์เมืองใต้ หาดทรายสีทอง สองวีรสตรี บารมีหลวงพ่อแช่ม"

    อัตโนประวัติ หลวงพ่อแช่ม เกิดที่ต.บ่อแสน อ.ทับปุด จ.พังงา เมื่อปีกุน พุทธศักราช 2370 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ส่วนชื่อโยมบิดา-มารดา ไม่ปรากฏในประวัติ

    ต่อมาครอบครัวอพยพหนีภัยพม่า มาตั้งถิ่นฐานที่บ้านฉลอง จ.ภูเก็ต พ่อแม่ส่งท่านไปเป็นลูกศิษย์วัดฉลอง ขณะนั้นมี พ่อท่านเฒ่า เป็นเจ้าอาวาสวัดฉลอง

    พอท่านเจริญวัยพอสมควร โยมบิดา-มารดา ให้ท่านได้บวชเป็นสามเณร และเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบทที่วัดฉลอง มีพ่อท่านเฒ่า เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลังอุปสมบท ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดฉลอง ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆ จากพ่อท่านเฒ่า จนมีความเชี่ยวชาญทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีสมาธิจิตสูง รวมทั้งได้ศึกษาวิชาคาถาอาคมต่างๆ วิชาแพทย์แผนโบราณ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลวงพ่อแช่มเป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านโดยทั่วไป

    พ.ศ.2393 พ่อท่านเฒ่าได้มรณภาพ หลวงพ่อแช่มได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสสืบแทน นับว่าเป็นเจ้าอาวาสที่มีอายุน้อยมาก เพียง 23 ปีเท่านั้น

    ชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่มปรากฏชัดเจน เมื่อคราวที่หลวงพ่อแช่ม เป็นหัวหน้าปราบอั้งยี่ ในปี พ.ศ.2419 เมื่อคนจีนก่อความไม่สงบ ออกไปปล้น ชาวบ้านที่เป็นลูกศิษย์ท่านจึงไปช่วยพาหลวงพ่อแช่ม หนีไปด้วย

    ท่านตอบว่า "ข้าอยู่ในวัดนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนอายุป่านนี้แล้ว ทั้งเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ด้วย จะทิ้งวัดเสียอย่างไรได้ พวกสูจะหนีก็หนีเถิด แต่ข้าไม่ไปล่ะ จะต้องตายอยู่ในวัด อย่าเป็นห่วงข้าเลย"

    ชาวบ้านเห็นว่า ท่านไม่ยอมทิ้งวัดไป จึงพูดกับท่านว่า "ถ้าขรัวพ่อไม่ไป พวกผมก็อยู่เป็นเพื่อน แต่ขออะไรพอคุ้มตัวสักอย่าง"

    หลวงพ่อแช่ม จึงนำผ้าขาวม้าลงยันต์ ทำเป็นผ้าประเจียด แจกให้ชาวบ้านคนละผืน ออกไปสู้รบกับพวกจีนอั้งยี่ ในที่สุดจีนอั้งยี่พวกนั้นล้มตาย แตกหนีกระจัดกระจายไปหมด

    นับแต่นั้นมา พวกจีนอั้งยี่ก็ไม่กล้าไปปล้นที่บ้านฉลองอีก ชาวเมืองภูเก็ตเริ่มนับถือท่านว่า เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ในทางวิทยาคมอย่างผู้วิเศษ

    คณะกรรมการเมืองภูเก็ต ได้ทำรายงานกราบทูลไปยังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการเมืองนิมนต์หลวงพ่อแช่ม ให้เดินทางไปยังกรุงเทพฯ มีพระราชประสงค์จะปฏิสันถารกับหลวงพ่อแช่มด้วยพระองค์เอง

    หลวงพ่อแช่มและคณะเดินทางถึงกรุงเทพ มหานคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครู วิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ให้มีตำแหน่งเป็นสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต อันเป็นตำแหน่งสูงสุด ซึ่งบรรพชิตจักพึงมีในสมัยนั้น

    ในโอกาสเดียวกัน ทรงได้พระราชทานนามวัดฉลอง เป็นวัดไชยาธาราราม

    ครั้งหนึ่ง พวกชาวเรือออกไปหาปลาในทะเล ถูกคลื่นพายุกระหน่ำจนเรือจวนล่มต่างก็บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ให้คลื่นลมสงบ แต่คลื่นลมกลับรุนแรงขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งนึกถึงหลวงพ่อแช่มได้ ก็บนหลวงพ่อแช่มว่า "ขอให้หลวงพ่อแช่มบันดาลให้คลื่นลมสงบเถิด รอดตายกลับถึงบ้านจะติดทองที่ตัวหลวงพ่อแช่ม" เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่คลื่นลมสงบโดยพลัน ครั้นกลับถึงบ้าน ชาวเรือกลุ่มนั้น เตรียมทองคำเปลวไปหาหลวงพ่อแช่มเล่าให้หลวงพ่อแช่มทราบและขอปิดทองที่ตัวท่าน

    หลวงพ่อแช่ม บอกว่าท่านยังมีชีวิตอยู่จะปิดทองยังไง ให้ไปปิดทองที่พระพุทธรูป

    ชาวบ้านกลุ่มนั้น บอกว่าถ้าหากหลวงพ่อไม่ให้ปิด จะทำให้เกิดอาเพศอีก ในที่สุดหลวงพ่อแช่มจำต้องยอมให้ชาวบ้านปิดทองที่ตัวท่าน โดยให้ปิดที่แขนและเท้า ชาวบ้านอื่นๆ ก็บนตามอย่างด้วยเป็นอันมาก จนถือเป็นธรรมเนียม

    นับเป็นพระภิกษุรูปแรกของเมืองไทยที่ได้รับการปิดทองแก้บน ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

    หลวงพ่อแช่ม มรณภาพเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2451 สิริอายุ 81 ปี พรรษา 61

    แม้หลวงพ่อแช่ม จะละสังขารไปแล้ว แต่ความเลื่อมใสศรัทธาในคุณงามความดีของท่าน ยังคงมีอยู่อย่างมั่นคงในจิตใจของชาวเมืองภูเก็ตสืบไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระไสยา วัดบวรนิเวศวิหาร

    คอลัมน์ เดินสายไหว้พระ

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ==
    ˹ѧ




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"วัดบวรนิเวศวิหาร" หรือที่ชาวบ้านทั่วไปนิยมเรียกสั้นๆ ว่า วัดบวร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพฯ

    ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนบางลำพู อยู่ใกล้กับตรอกข้าวสารที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาพักอาศัยชั่วคราวเป็นจำนวนมาก จึงมิใช่เรื่องน่าแปลกใจที่จะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาชมความงามและถ่ายรูปวัดบวรเก็บไว้เป็นที่ระลึก

    ทั้งนี้ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่ประทับของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขสงฆ์สูงสุดของประเทศไทย

    วัดบวรนิเวศวิหาร แต่เดิมเป็นวัดใหม่อยู่ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส ต่อมาได้รวมเข้าเป็นวัดเดียวกัน โดยกรมพระ ราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นใหม่

    วัดแห่งนี้ได้รับการทำนุบำรุงและ สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้นจนเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง โดยเฉพาะในสมัยปลายรัชกาลที่ 3

    ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ อยู่วัดสมอรายหรือวัดราชาธิวาส เสด็จมาครอง เมื่อพ.ศ. 2375 ทำให้วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์และเสริมสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมากมาย

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชาคณะเสด็จประทับที่วัดแห่งนี้ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เพิ่มเติมขึ้นหลายอย่าง

    พร้อมทั้งได้รับพระราชทานตำหนักจากรัชกาลที่ 3 ด้วย ในสมัยต่อมาวัดนี้ เป็นวัดที่ประทับของพระมหากษัตริย์ เมื่อทรงพระผนวชหลายพระองค์ เช่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทำให้วัดนี้ได้รับการทำนุบำรุงให้คงสภาพดีอยู่เสมอ

    ในปัจจุบันนี้ ศิลปกรรมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุหลายสิ่งหลายอย่าง อยู่ในสภาพดีพอที่จะชม และศึกษาได้เป็นจำนวนไม่น้อย

    วัดบวรนิเวศ มีพระพุทธรูปสำคัญประดิษฐานมากมาย อาทิ พระพุทธชินสีห์ หลวงพ่อดำ พระศรีศาสดา พระ นิรันตรายพระพุทธปัญญาอัคคะ เป็นต้น

    "พระไสยา" หรือ "พระพุทธไส ยาสน์" หรือพระเจ้าเข้านิพพาน เป็นอีกหนึ่งพระพุทธรูปสำคัญ ประดิษ ฐานอยู่ที่มุขหลังวิหารพระศรีศาสดา

    พระไสยา เป็นพระพุทธรูปศิลาสมัยสุโขทัย มีขนาดความยาวตั้งแต่พระจุฬาถึงพระบาท 6 ศอก คืบ 5 นิ้ว หรือ 132.95 นิ้ว พระรัศมียาว 9.84 นิ้ว

    สันนิษฐานเวลาการสร้างประมาณระหว่างพุทธศักราช 1800-1893 ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช ทรงจาริกไปยังเมืองเก่าภาคเหนือถึงสุโขทัย ได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธไสยาสน์ ประดิษฐานทิ้งร้างอยู่ ณ วัดพระพายหลวง เป็นพระพุทธรูปมีลักษณะงดงามมาก

    เมื่อเสด็จกลับจึงได้อัญเชิญลงมาไว้ยังพระวิหารในวัดบวรนิเวศวิหาร

    ต่อมาได้นำพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มาบรรจุไว้ใต้ฐาน

    หากมีโอกาสเดินทางไปที่วัดบวรนิเวศวิหาร ควรได้เข้าไปกราบนมัสการขอพรจากพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ จากนั้น ลองเดินเข้าไปในบริเวณพุทธาวาส ที่มีศิลปกรรมน่าสนใจอีกหลายอย่าง อาทิ พระพุทธบาทจำลอง ซึ่งเป็นพระพุทธ บาทโบราณสมัยสุโขทัย ประดิษฐานอยู่ในศาลาข้างพระอุโบสถพลับพลา

    สำหรับเขตสังฆาวาส เป็นเขตที่จำพรรษาของพระภิกษุ-สามเณร บรรยากาศเป็นไปด้วยความสงบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่เรียงรายให้ร่มเงา

    ศิลปกรรมและถาวรวัตถุของวัดบวรนิเวศวิหาร นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทย ต่อมรดกแห่งอารยธรรมไทยที่ยิ่งใหญ่งดงาม อันเป็นประจักษ์พยานถึงความรุ่งโรจน์แห่งพุทธศิลปะและพลังแห่งศรัทธาในบวรพุทธศาสนา

    สืบเนื่องมาจากอดีต จวบจนปัจจุบัน และเรื่อยไปยังอนาคตกาล
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    150 ปี-สังฆราชองค์ที่ 10 สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ

    ˹ѧ

    150 ปี-สังฆราชองค์ที่ 10 สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB3Tnc9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"วัดบวรนิเวศวิหาร" จัดงานบำเพ็ญกุศล ครบ 150 ปี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในวันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2553 (ประสูติเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2403) ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ

    และเนื่องในวาระวันประสูติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เวียนมาบรรจบเป็นปีที่ 150 ในวันที่ 12 เมษายน 2553 วัดบวรนิเวศวิหาร จึงกำหนดจัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวาย

    ทั้งนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เมื่อปี พ.ศ.2443 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงพระอิสริยยศ 22 พรรษา

    ทั้งนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระอุปัชฌาจารย์ของพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุ ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุ นอกจากนี้ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ อีกหลายพระองค์

    พระองค์ได้ทรงปรับปรุงการพระพุทธศาสนา และทางคณะสงฆ์ในด้านต่างๆ เป็นอันมาก โดยเริ่มงานตั้งแต่เสด็จไปตรวจการณ์คณะสงฆ์ในหัวเมืองต่างๆ เกือบทั่วราชอาณาจักร โดยกระทำอย่างต่อเนื่องทุกปีเกือบ ตลอดพระชนม์ชีพ ทำให้ทรงทราบความเป็นไปของคณะสงฆ์ และของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ เป็นอย่างดี และนำข้อมูลและปัญหาต่างๆ มาปรับปรุง แก้ไขในทุกๆ ด้าน พอประมวลได้ดังนี้ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ด้านการพระศาสนา พระองค์ได้พัฒนาภิกษุสามเณร ให้มีความรู้ความสามารถในพระธรรมวินัย เพื่อจะได้แนะนำสั่งสอนประชาชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทรงผลิตตำราและหนังสือทางพระพุทธศาสนา ที่คนทั่วไปสามารถอ่านทำความเข้าใจได้ง่าย

    ด้านการคณะสงฆ์ ทรงออกพระมหาสมณาณัติ ประทานพระวินิจฉัยและทรงวางระเบียบ แบบแผน เกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรในด้านต่างๆ ให้ถูกต้องเป็นมาตรฐาน เช่น ระเบียบเกี่ยวกับพระอุปัชฌาย์ การบรรพชา-อุปสมบท การปกครองภิกษุสามเณรและศิษย์วัด การวินิจฉัยอธิกรณ์ ระเบียบเกี่ยวกับสมณศักดิ์ พัดยศ นิตยภัต ดวงตราประจำตำแหน่ง เป็นต้น

    ด้านการศึกษา ทรงปรับปรุงการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันสมัย ทรงจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมเพิ่มขึ้นจากแบบเดิมที่ศึกษาภาษาบาลี โดยให้ศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาไทยเรียกว่า หลักสูตรนักธรรม

    งานพระนิพนธ์ พระองค์ทรงรอบรู้ภาษาต่างๆ หลายภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ได้ทรงนิพนธ์เรื่องต่างๆ ไว้เป็นอันมาก เช่น หนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี โท เอก หลักสูตรบาลี ไวยากรณ์ทั้งชุด รวมพระนิพนธ์ทั้งหมดมีมากกว่า 200 เรื่อง <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นอกจากนี้ ยังทรงชำระคัมภีร์บาลีไว้กว่า 20 คัมภีร์

    กล่าวได้ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาระดับประถมศึกษาในประเทศไทยโดยมีวัดเป็นโรงเรียน มีพระเป็นครูสอน มีมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นต้นแบบในด้านหลักสูตรและการฝึกหัดครูสำหรับออกไปสอนในโรงเรียนนั้นๆ

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาแพ ธรรมสโรช ประสูติ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2403

    เมื่อพระชนมายุได้ 8 พรรษา ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนทรงบรรพชาเป็นสามเณร นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษ และโหราศาสตร์ อีกด้วย

    เมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณร โดยมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศ วริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ และหม่อมเจ้าพระธรรมุณหิศธาดา ทรงเป็นผู้ประทานศีล 10

    หลังจากทรงบรรพชาแล้วได้ประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ประมาณ 2 เดือน จึงทรงลาสิกขา

    ครั้นครบปีบวช (พระชนมายุ 20 พรรษา) ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2422 ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาจารย์ และพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรังสี) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ แล้วมาประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

    พระองค์ได้ครองวัดบวรนิเวศวิหาร สืบต่อจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศฯ เมื่อปี พ.ศ.2434 ได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เมื่อปี พ.ศ. 2436

    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงประชวรด้วยวัณโรค มีพระอาการเรื้อรังมานานนับสิบปี จนกำเริบรุนแรงเกินความสามารถของแพทย์หลวง

    ในที่สุดท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2464 สิริพระชนมายุ 62 พรรษา ครองวัดบวรนิเวศวิหารนาน 30 ปี ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ 10 ปี 7 เดือน

    สำหรับกำหนดการจัดงานบำเพ็ญกุศล ครบ 150 ปี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โดยสังเขป มีดังนี้

    วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2553 เวลา 16.00 น. พระสงฆ์ 20 รูป สวดพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ 150 รูป สดับปกรณ์

    วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2553 เวลา 09.30 น. มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 เวลา 10.30 น. พระสงฆ์ 20 รูป เจริญพระพุทธมนต์ เวลา 11.00 น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสามเณรอีกประมาณ 200 รูป

    จึงขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมงานบำเพ็ญกุศล ครบ 150 ปี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โดยทั่วกัน
     
  17. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้....บอกว่าเป็น สูตรแห่งชีวิตประจำวัน
    ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก
    , ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
    เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น
    Lifebook หรือเป็น ตำราแห่งชีวิต ซึ่งเหมาะเจาะกับเนื้อหาและคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง
    ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้, เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุนสมควรจะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง

    สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

    ๑. ดื่มน้ำให้มาก
    ๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยงและตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแห??ะ)
    ๓. กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
    ๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
    ๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
    ๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
    ๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
    ๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
    ๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
    ๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
    ๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

    นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้

    วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได

    แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน


    สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้

    ๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
    ๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
    ๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
    ๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
    ๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
    ๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
    ๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
    ๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
    ๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
    ๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
    ๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
    ๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
    ๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
    ๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

    แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?

    ๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
    ๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
    ๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
    ๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
    ๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
    ๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
    ๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

    และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

    ๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
    ๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
    ๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
    ๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
    ๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก จากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน ด้วย...get up, dress up and show up.
    ๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
    ๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
    ๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?
     
  18. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้ผมได้อัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุพระโลหิตธาตุ มอบถวาย พระอาจารย์สมคิด วัดเขาวงศ์ อู่ทอง สุพรรณบุรีครับ
    ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"หอเครื่องทองไทย"สุดยอดงานศิลป์ฝีมือมือทอง
    Travel - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>7 มีนาคม 2553 12:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เครื่องทองไทย ถือว่ามีความงดงามและความปราณีตเป็นอันดับต้นๆของโลก โดยเฉพาะเครื่องทองโบราณนั้น ถือเป็นการแสดงฝีมือเชิงช่างในขั้นเอกอุเลยทีเดียว

    สำหรับหนึ่งในสถานที่ที่รวบรวมงานเครื่องทองไทยอันโดดเด่นไว้ให้ผู้สนใจได้ชื่นชม เรียนรู้กันก็คือ ที่ "หอเครื่องทองไทย" ที่ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ ต.ช้างใหญ่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา

    ภายในหอเครื่องทองไทย ประกอบด้วยการจัดแสดงผลิตภัณฑ์เครื่องทองโบราณ และเครื่องทองหลวง ซึ่งถือเป็นงานศิลปหัตถกรรมชั้นสูง รวมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ในการทำเครื่องทอง และกรรมวิธีการทำผ่านวิดีโอพรีเซนเตชั่นที่ทันสมัยโดยภายในจะแบ่งออกเป็นส่วนๆ

    ในส่วนแรกได้แก่ "ทองหมุนรอบตัวเรา" ซึ่งจะได้เห็นว่าทองมีความเกี่ยวข้องกับสังคมไทย และชีวิตรอบตัวเรามาช้านาน โดยคนไทยจะมีขนบเกี่ยวกับทองอยู่มากมาย เช่นการตั้งชื่อลูกด้วยทอง การตั้งชื่อขนม หรืออยู่ในคำสุภาษิตไทย ในงานวรรณกรรม หัตถกรรม เช่นผ้าไหมยกทองซึ่งมีใช้ในสมัยรัชกาลที่ 8 เป็นต้น

    ส่วนถัดไป เป็นลักษณะทางกายภาพของทอง ไม่ว่าจะเป็นจุดหลอมเหลว อุณหภูมิ ลักษณะทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ทองในอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน หรือมาตราเกี่ยวกับทองทั้งหลาย รวมไปถึงคำศัพท์ต่างๆเกี่ยวกับทองอีกมากมาย นอกจากนี้ยังเสนอวิธีการทำทอง การขึ้นชิ้นงาน อุปกรณ์การทำทอง และแหล่งกำเนิดทองในประเทศไทย ที่มีช่างทอง 3 สกุลหลัก ได้แก่


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>"สกุลช่างทองสุโขทัย" หรือที่เรียกกันว่าทองรูปพรรณศรีสัชนาลัย มีชื่อเสียงจากลวดลายสวยงามเป็นเอกลักษณ์ โดยเป็นงานที่ทำขึ้นจากทองบริสุทธิ์ 99.99% ลอกเลียนจากเครื่องเงินเครื่องทองโบราณ อาศัยเครื่องมือการผลิตแบบพื้นบ้านของชาวตำบลท่าชัย และตำบลศรีสัชนาลัย อาทิ ลายพฤกษา ลายสิงสาราสัตว์ ไปจนถึงลายที่เกิดจากจินตนาการและเลียนแบบปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ลายเทค ที่ได้จากจินตนาการจากดวงไฟตามดิสโก้เทค ลายหัวใจ ลายเสื่อ ฯลฯ

    "สกุลช่างทองเมืองเพชร" เป็นการสืบทอดทักษะเชิงช่างจากสมัยอยุธยา โดยพัฒนาต่อยอดจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลวดลายที่ได้รับความนิยมอย่างเช่น ลายดอกพิกุล ดอกมะลิ ก้านบัว ประจำยาม ลูกสน สมอเกลียว ฯลฯ ส่วนใหญ่นิยมทำเครื่องประดับประเภทสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน ตุ้มหู ฯลฯ

    "สกุลช่างถมนคร" สมัยก่อนถือเป็นของสูง เพราะเป็นเครื่องราชูปโภคของกษัตริย์ และใช้เป็นเครื่องบรรณาการแด่กษัตริย์ต่างชาติ โดยเฉพาะเครื่อง "ถมทอง" อันขึ้นชื่อ โดยงานที่โดดเด่นก็มีหลายชิ้นด้วยกัน อาทิ กระดุม หรือ ดอกบัวสัตตบงกช ซึ่งเป็นงานทองที่ทำยากและเป็นงานที่ละเอียดมาก, แหวนแลกำไลพิรอด ซึ่งในสมัยโบราณ พิรอด คือแหวนเครื่องรางถักด้วยผ้ายันต์หรือสายสิญจน์ เชื่อกันว่าทำให้แคล้วคลาดจากโชคร้าย แหวนพิรอดประดับพลอยนิยมฝังทองนพเก้า และลงยาสีแดงกับเขียว ซึ่งอัญมณีเก้าชนิดนี้ ก็เป็นคติความเชื่อแบบพราหมณ์ ว่าจะนำศิริมงคลมาให้ผู้เป็นเจ้าของ เป็นต้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...