เมื่อหนูจุไรถามเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    [​IMG]

    พระปัจเจกพุทธเจ้า


    <O:p</O:p

    ตอนนี้เป็นตอน พระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนนี้หลังจากคุยกันมาครู่หนึ่ง พอพระเจ้าหน้าที่ปิดวิหารภายใน สองป้าหลานก็ขยับมานั่งที่ชานวิหารภายนอก ที่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประธาน หนูจุไรก็เดินเข้าไปกราบพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็นั่งพับเพียบทำสมาธิหลับตาอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ลืมตามา มองเห็นที่เกศพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นแฉกไปเบื้องหลัง เธอก็ถามคุณป้าน้อยบอกว่า คุณป้าน้อยเจ้าขา พระปัจเจกพุทธเจ้ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ต่างกันอย่างไรเจ้าคะ ทำไมจึงมีเกศไม่เหมือนกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเกศแหลมขึ้นไปอย่างเดียว แต่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีเกศแหลม แล้วก็มีแฉกไปเบื้องหลัง
    คุณป้าน้อยก็ตอบคุณหลานว่า หลานรัก เรื่องรูปพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ หลวงปู่ท่านทำเพราะว่า หลวงปู่นอกจากเคารพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็เคารพพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย ทั้งนี้ ก็สืบเนื่องมาว่า หลวงพ่อปานไปเรียนคาถา วิระทะโย จากครูผึ้ง จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วก็นำมาแจกบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ทุกคนปฏิบัติตามคาถานี้ ต่างคนก็มีความเป็นอยู่เป็นสุขไปตาม ๆ กัน คือ ไม่หนักใจในเรื่องทรัพย์สิน ถึงแม้จะไม่รวย ก็พอมีกินพอใช้ แต่รวยกันจริง ๆ ก็มาก ฉะนั้น ท่านจึงมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย
    หนูจุไรก็ถามค้านบอก คุณป้าเจ้าคะ หนูอยากจะถามคุณป้าว่า ทำไมเกศจึงไม่เหมือนกัน คุณป้าก็บอกว่า ป้าก็ต้องเล่าประวัติมาก่อนสิว่า ทำไมหลวงปู่จึงเคารพพระปัจเจกพุทธเจ้า
    ก็เป็นอันว่า ประวัติความเป็นมาของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นมีมาก ขอเล่าเรื่องเก่งก่อน คือ ตอนที่ท่านจะทำวิหารหลังนี้ หลานจำได้ไหมว่า ในคราวก่อนโน้น ป้าเคยบอกว่า มีท่านปู่ใหญ่หรือหลวงปู่ใหญ่องค์หนึ่ง ซึ่งเป็นหลวงปู่ใหญ่ที่หลวงปู่ของเราเคารพมาก เวลาจะทำอะไรขึ้นมา หลวงปู่ของหลาน ก็ไปปรึกษาหลวงปู่ใหญ่ ไปหาหลวงปู่ใหญ่บ้าง หลวงปู่ใหญ่ท่านมาเองบ้าง เวลานั้นท่านก็บอกว่า ที่ตรงนี้ควรจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้บูชา
    แล้วหลวงปู่ของเราก็ถามหลวงปู่ใหญ่ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าจะปั้นอย่างไร ท่านก็บอกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่งที่บรรลุเอง คือ ปราศจากครูสอนเบื้องปลาย หมายความว่า ตอนปลาย ตอนที่บรรลุนะ ไม่มีใครสอน บรรลุเองเหมือนกัน ไม่เหมือนพระสาวก พระสาวกต้องรับฟังคำสั่งสอน จึงจะบรรลุ พระปัจเจกพุทธเจ้านี่บรรลุเอง
    แต่ว่าสมัยพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุขึ้นมาแล้วมีองค์เดียว แต่พระปัจเจกพุทธเจ้านี่บรรลุเป็นแสน สมัยนั้นเป็นแสน และตามบาลีบอกว่า อยู่ที่ภูเขาคัณธมาธน์ เมื่อถึงเวลาออกพรรษา ท่านก็มาตามเขานิมนต์ ใครนิมนต์ท่าน ท่านก็ไป ใครถวายภัตตาภารท่านก็รับ ใครอยากจะฟังเทศน์ ท่านก็เทศน์โปรด
    แต่ว่าไม่เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตอนหนึ่ง คือว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เวลาเช้ามืดก็ดี หรือตอนค่ำก็ดี ท่านจะตรวจอุปนิสัยของสัตว์ว่า วันนี้จะมีใครบรรลุมรรคผลไหม และจะไปเทศน์อย่างไรเขาจึงเข้าใจ จึงได้บรรลุมรรคผล แต่ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านไม่ใช่ญาณนี้ ญาณนี้จึงเรียกว่า พุทธญาณ มีเฉพาะพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มี และพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ก็สงเคราะห์คน ส่วนใหญ่คนถือกันว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระมีลาภ นี่ประวัติความเป็นมาของพระปัจเจกพุทธเจ้าโดยย่อตามนี้นะ
    จุไรก็ถามว่า เกศที่แยกออกมานี่เพราะอะไร ป้ายังไม่ตอบเลย คุณป้าก็ตอบว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขณะที่ท่านปู่ใหญ่ท่านมาบอกหลวงปู่ของหลานบอกว่า ตรงนี้ควรเป็นที่ตั้งพระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อให้ทุกคนเคารพสักการะ พระปัจเจกพุทธเจ้านี่มีกำลังลาภมาก เป็นพระที่มีลาภ ลาภสูง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ลาภสูง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีลาภสูง ทีนี้คนที่บูชาท่านผู้มีลาภจะได้มีลาภไปด้วย และก็เป็นความจริงมามากมายแล้ว ที่เขาใช้คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าไปทำ ทีนี้หลวงปู่ใหญ่ก็บอกว่า นี่เดี๋ยวป้าก็ไถลไปอีกแล้ว หลวงปู่ใหญ่ท่านบอกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ควรทำเกศให้ต่างจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิดหน่อย คือ ทำเป็นแฉกออกไปจะได้สังเกต คนจะได้รู้ว่า นี่คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นี้ คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้นเอง
    จุไรก็ถามว่า พระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ราคาเท่าไร คุณป้าก็ยิ้มบอกว่า หลานจะเอาราคาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาถามกันได้อย่าง ขึ้นชื่อว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี หาค่าบ่มิได้ นั่นหมายความว่า หาราคาเท่าไรก็ไม่ได้ ตามบาลีท่านกล่าวว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ฉันใด คุณพระปัจเจกพุทธเจ้าก็หาประมาณมิได้ฉันนั้น
    จุไรก็ถามว่า เท่าที่หนูถาม หนูถามว่า ราคาปั้นนี่ ราคาเท่าไร คุณป้าก็บอกว่า เออ ป้าก็แก่แล้วนะ นึกว่าหลายถามถึงคุณค่าพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ราคาจริง ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะป้าก็ถามหลวงปู่ของหลานแล้วว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระพุทธชินราชก็มีแท่นก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี ทั้งหมดนี้ ราคาเท่าไร
    หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ถ้าจะนับราคาจริง ๆ ทั้งหมดนั่นก็เกินแสน แต่ว่านายช่างประเสริฐ กับช่างจำเนียน สองสามีภรรยา ช่างประเสริฐ ก็ ป. ๔ ช่างจำเนียร ก็ ป. ๔ รวมแล้ว สองช่างเป็น ป. ๘ ทั้งสองช่างนี่ไม่คิดราคาเลย ถวายค่าแรงงานทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ต้องจ้างลูกจ้างมาช่วยทำ เงินค่าลูกจ้างทั้งหมด ไม่ใช่แต่จะเว้นตัวเขา เขาออกเงินค่าลูกจ้างด้วยเสร็จ ศรัทธาเขาดีมาก
    จุไรก็ถามว่า คุณป้าเจ้าคะ การปั้นรูปพระก็ดี ปั้นรูปต่าง ๆ ก็ดี ลวดลายต่าง ๆ ก็ดี ทั้งหมดนี้เขาบอกว่า จะต้องเรียนในที่สูง มีความรู้สูงมาก ๆ จึงทำได้ใช่ไหม คุณป้าก็บอกว่า ใช่ลูก อย่างช่างจำเนียรก็ดี อย่างช่างประเสริฐก็ตาม และช่างก่อสร้างทั้งหมด เป็นช่างชิดก็ตาม ช่างวิเชียรก็ตาม ทั้งหมดนี้มีความรู้ขั้น ดุษฎีบัณฑิต
    จุไรก็ถามว่า ดุษฎีบัณฑิต เป็นอย่างไรเจ้าคะคุณป้า คุณป้าก็บอกว่า ดุษฎี แปลว่า เงียบ มีความรู้ขั้นเงียบ นั่นหมายความว่าไม่ต้องรู้ต่อไปอีก เธอก็ถามคุณป้าว่า คุณป้า ดุษฎีบัณฑิตเขาเรียกกันกี่ปี คุณป้าก็บอกว่า ตามบ้านนอกสมัยก่อน เขาเรียนกัน ๔ ปี จุไรก็ถามว่า ที่โรงเรียนไหน อย่างหนูเรียนได้ไหม คุณป้าก็ถามว่า หนูเรียนจบหรือยัง
    จุไรก็บอกว่า เวลานี้หนูอยู่ ป. ๔ แต่ครูบอกว่า ยังไม่จบ ต้องเรียนถึง ป. ๖ คุณป้าก็บอกว่า การศึกษาสมัยนี้ยาวมาก สมัยที่ช่างต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ทั้งหมด เขาเรียนกันไม่มากแค่ ๔ ปี คือ ป. ๔ ที่เรียกว่า ดุษฎีบัณฑิต หมายความว่า เขาจบประถมปีที่ ๔ คำว่าประถมสมัยนั้นไม่ต้องเรียนต่อไปอีก เงียบเลย เลิกกันเลย จุไรฟังคุณป้าพูดแล้วก็ยิ้ม ก็เลยบอกว่า คุณป้าเจ้าขา เอาละเราคุยกันเรื่องนี้นะ ตอนบริเวณนี้เราคุยกันแล้ว ป้าเดินไปนิดดีไหมเจ้าคะ ป้าก็เดินตามหลานไป
    คุณหลานเล็กคุณป้าใหญ่ เดินไปถึงถังสเตนเลสลูกหนึ่ง ตั้งอยู่เฉย ๆ มีท่อน้ำต่อเข้า มีสายไฟฟ้า จุไรก็ถามว่า คุณป้าเจ้าคะ นี่มันถังอะไร เขาใส่อะไรกัน คุณป้าก็บอกว่า นี่ถังน้ำเย็น เวลาที่มีแขกมามาก ๆ อย่างมีงาน เขาก็สับกระแสไฟฟ้าเข้า เครื่องไฟฟ้าก็ทำงานในน้ำในถังนี่เย็นเฉียบ เหมือนน้ำแช่น้ำแข็ง เหมือนน้ำในตู้เย็น ทุกคนดื่มได้ฟรี ไม่มีใครเสียสตางค์ หนูจุไรก็ถามว่า ใครถวายหลวงปู่ คุณป้าก็บอกว่า คนทุกคนที่ทำบุญวัดนี้ถวายหลวงปู่ จุไรก็ถามว่า ถังลูกนี้ไม่โตนัก คนที่มาทำบุญกับหลวงปู่เป็นหมื่นเป็นแสน แล้วทำไมจะจ่ายสตางค์ค่าถังลูกนี้คนละเท่าไร
    คุณป้าบอกว่า ไม่ได้คิดอย่างนั้น คือว่า หลวงปู่ท่านเอาเงินของคนทุกคนทำ ทุก ๆ อย่างในวัด แล้วท่านก็เห็นว่า คนทุกคน เป็นผู้มีคุณกับวัด เป็นคนที่หวังดีกับวัด ตั้งใจเป็นบุญกุศล ท่านก็เลยเอาสตางค์ส่วนนี้แหละไปซื้อถังน้ำเย็น ซื้อหลายลูกนะ แล้วก็เครื่องทำน้ำแข็งสำเร็จรูปเป็นก้อน ๆ มาตั้งไว้ให้คนบริโภค คนรับประทานกัน พระก็ดี ชาวบ้านก็ดี และคนที่มาในวัด คำว่า ชาวบ้าน หมายถึง คนที่มาในวัด นักเรียนก็ดี มีน้ำแข็งกิน มีน้ำเย็นกินตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพราะอาศัยเป็นความดีของท่านที่มีศรัทธาทุกคน
    จุไรฟังแล้วก็ยิ้ม ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างหนูล่ะ จะร่วมหุ้นกับเขาได้ไหม จะสร้างตู้น้ำเย็น ๆ ตู้ทำน้ำแข็งย่อม ๆ คุณป้าก็บอกว่า ได้ จุไรก็ควักสตางค์ออกมา มีแบงค์สิบบาทอยู่สองใบ เธอก็ถามคุณป้าว่า จะทำเท่าไรดี คุณป้าก็ตอบว่า ถ้ามีเงินปลีก มีบาทเดียว ทำบาทเดียวก็ใช้ได้ลูก เพราะว่า เราทำบุญรวม ถือว่าทำทั้งวัด ทุกอย่างที่มีในวัด เรามีบาทเดียวก็ทำได้เลย จุไรก็ถมว่า ถ้าอย่างนั้นอานิสงส์จะเป็นอย่างไร ถ้าตั้งใจทำบุญวัดนี้ทั้งวัด แต่ว่า มีบาทเดียว ตั้งใจด้วยความจริงใจ
    คุณป้าก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หนูนั่งตรงนี้นิดหนึ่ง หลับตาหน่อย นึกถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกทำจิตให้เป็นสุข ยกจิตขึ้นไปตามพระท่านเลยว่า ผลจะเป็นอย่างไรหรือว่าถ้าทำอย่างนี้ จะมีผลอย่างไร ขอภาพนั้นจงปรากฏ จุไรก็ทำตามนั้น ประเดี๋ยวเดียว สองนาที เธอก็ลืมตา เธอก็ตอบว่า เจตนาอย่างนี้เห็นแล้วคุณป้า สวยอร่ามเลย บ้านที่คอยท่าอยู่ ถ้าอย่างนั้นหนูขอทำ ๒๐ บาท เพราะจะได้สวยมาก ๆ คุณป้าก็รับบอกว่า ป้าจะนำไปถวายหลวงปู่ท่าน บอกว่า หนูถวายสร้างวัด ๒๐ บาท หมดทั้งวัด
    หลังจากนั้น ป้ากับหลานก็เดินเตาะแตะ ๆ หลานน่ะไม่เตาะแตะนะ หลานเดินปรูดปราด คุณป้าก็เตาะแตะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคุณป้าน่ะอ้วน และก็อายุน้อยแล้วเหลืออยู่ไม่เท่าไร สำหรับคุณหลานยังอายุน้อย เพียงแค่ ๙ ปี วิ่งคล่องตัว ก็เดินออกไปเลี้ยวขวา ไปดูมณฑป มณฑปนี่เขาเรียกว่า มณฑปพระปัจเจกพุทธเจ้า มีเถ้าแก่สุวรรณ วีระผล พร้อมกับบรรดาลูกหลาน ลูกเขยลูกสะใภ้ ร่วมกันสร้าง ๒ หลัง เป็นมณฑปพระปัจเจกพุทธเจ้าหลังหนึ่งด้านทิศตะวันออก มณฑปหลวงพ่อปานหลังหนึ่งด้านทิศตะวันตก แล้วก็มณฑปทิศตะวันออกนี่ มีพระปัจเจกพุทธเจ้าประจำอยู่เป็นรูปของท่าน
    จุไรก็มองดูรูปของท่านที่เขาปั้นจำลองไว้ รูปเล็ก ๆ หน้าตักประมาณ ๑ เมตร ก็ถามคุณป้า บอกคุณป้าเจ้าคะ พระปัจเจกพุทธเจ้าใช่ไหมองค์นี้ เธอเห็นที่เขียนไว้ที่แท่นว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า คุณป้าก็บอกว่าใช่ลูก นี่คือพระปัจเจกพุทธเจ้า
    จุไรก็ถามว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นี้ รูปร่างหน้าตาลีลาต่าง ๆ เหมือนกับพระสงฆ์ธรรมดา ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านก็เหมือนกับคนธรรมดาที่บวชพระ แต่ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าในวิหาร ๑๐๐ เมตร ที่ชานออกมา ปรากฏว่า มีรูปเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มียอดแหลม องค์นี้ไม่มียอดแหลม มีลักษณะการห่มคลุมไม่ห่มเฉียง จุไรก็ถามคุณป้าว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนี้เจ้าคะ ทำไมจึงไม่เหมือนองค์โน้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์โน้น กับพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นี้ ทำไมจึงไม่เหมือนกัน คุณป้าก็ตอบว่า ป้าจะตอบยาวสักนิดนะลูกนะ คือ อาจจะยาวสักหน่อย สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ในวิหารนั่น หลวงปู่ท่านทำตามคำสั่งหลวงปู่ใหญ่
    เพราะท่านบอกว่า หลวงปู่ใหญ่บอกให้ทำอย่างนี้ เป็นภาพรวม คือว่าเป็นภาพเหมือน ความจริงก็ไม่เหมือน เป็นรูปแทนพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด หมายความว่า ไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้นก็หมายความว่าไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์ หรือบูชาองค์นั้นก็บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์ที่ผ่านมาแล้วทั้งหมด เป็นรูปเปรียบ รูปแทน
    แต่ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นี้ ตามที่หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟัง คือว่า ป้าพอจะนึกได้เมื่อเดือนเมษายน พ.. ๒๕๓๒ วันนั้นถ้าจำไม่ผิดก็เป็นวันที่ ๑๐ เมษายน ป้าได้มีโอกาสเข้าไปใกล้หลวงปู่ของหลาน ท่านก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนวันที่ ๔ เมษายน เวลาประมาณ ๒ ทุ่มเศษ ๆ วันนั้นหลวงปู่ท่านป่วยมาก ท่านอยู่ที่กุฏิกลางน้ำ ตามปกติท่านจะอยู่ของท่านองค์เดียว ไม่มีใครในห้อง ทั้งหมดอยู่ชั้นล่าง ท่านอยู่ชั้นบนแต่ผู้เดียว
    เวลานั้นอาการเครียดขึ้นมา ท่านก็นอนภาวนาบ้าง พิจารณาบ้าง ตามลีลาของพระ ตามที่ท่านบอก ขณะนั้นเมื่อจิตสงบ อารมณ์เริ่มสบาย ก็ปรากฏว่า เห็นรูปพระสงฆ์องค์หนึ่งห่มจีวรสีกรัก ดูอายุถ้าจะเปรียบเทียบกันคนธรรมดาประมาณอายุ ๔๐ ปี มานั่งอยู่บนเตียง ทางด้านขวาของท่านใกล้องค์ท่าน แต่ท่านก็บอกว่า ท่านมีความรู้สึกว่า เวลานี้เรากำลังเพลียมาก และอยากจะสงบ ไม่อยากจะพบใครทั้งหมด ในเมื่อมีพระท่านมา ท่านมาเยี่ยม ก็เป็นความดีของท่าน ขอบคุณท่าน แล้วท่านก็เลยไม่สนใจกับพระองค์นั้น ปล่อยให้ภาพพระองค์นั้นอยู่เฉย ๆ
    แล้วต่อมาท่านภาวนาเคลิ้มไปสักพักหนึ่ง ท่านบอกว่า เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ ๒ ยามเศษ ๆ ท่านก็ขยับตัว เห็นพระสงฆ์องค์นั้นยังอยู่ แต่ว่ามาอยู่ด้านซ้ายมือ ท่านก็ถามว่า หลวงปู่ของเรานะ ท่านยกมือไหว้ แล้วก็ถามว่า พระคุณเจ้าเป็นใครขอรับ ที่ตอนหัวค่ำไม่ไหว้ ไม่พูดเพราะท่านเพลียมาก ไม่อยากจะพูด ตอนนี้เคลิ้มไปพักหนึ่งรู้สึกมีแรงขึ้นก็พูด
    ท่านก็ตอบว่า ฉันคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่สงเคราะห์เธอตลอดมา แล้วท่านก็ถามต่อไปว่า มีเรื่องเกี่ยวเนื่องอะไรกัน ที่ปรากฏมาที่นี่ มีความประสงค์อะไรครับ ท่านบอกว่าต้องการมาช่วยเธอ อย่าลืมว่า ฉันช่วยเธอมานาน หลวงปู่ก็ถามว่า มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรครับ ในสมัยในอดีต ท่านก็เลยบอกว่า ฉันนี่เคยเป็นพ่อเธอมา ๗ ชาติ ท่านก็ทำภาพให้ดู ในสมัยที่เธอเป็นลูกฉัน เธอมีความดีปฏิบัติฉันตามนี้ ท่านก็ทำภาพสมัยนั้น ๆ ๗ ชาติ ในสมัยที่ท่านแก่ลง
    ท่านก็บอกว่า ท่านทำภาพหลวงปู่ให้ดู หลวงปู่นี่ได้ปฏิบัติท่านอย่างดี ทุกอย่าง ถ้าอะไรเป็นการงานทั้งหมด ไม่ยอมให้พ่อทำ ทุกอย่างที่พ่อจะต้องทำ หลวงปู่ท่านก็ทำเสียเอง แม้แต่อาหารการบริโภคก็จัดหาได้ ต้องการอะไร ขอให้บอก ทำทุกอย่าง ที่ไม่เกินความสามารถ ถ้าสิ่งใดเกินความสามารถตัวเอง ก็ไปหาคนที่มีความสามารถ
    แต่ความจริง ท่านพ่อก็ไม่จุกไม่จิก อะไรก็ได้ อย่างการบริโภคอาหารนี่ อะไรก็ได้ตามชอบใจ แต่ต้องสังเกตว่า ท่านชอบอะไร หลวงปู่ก็จัดอย่างนั้นมาหา เวลาที่ท่านป่วยไข้ไม่สบายก็ปฏิบัติพยาบาล ถึงขั้นสุดท้าย ถึงวาระที่ท่านตาย ก็ยังพยาบาลอยู่ บางชาติก็เอาศีรษะท่านพาดบนตัก นวดไปบ้าง อะไรไปบ้าง ท่านก็ตายในระหว่างที่ศีรษะพาดตัก เมื่อท่านทำภาพให้ดู ท่านก็บอกว่า อาศัยที่เธอดีกับพ่ออย่างนี้มานาน
    ฉะนั้นในชาตินี้ เธอมีภาระมากพ่อก็ต้องช่วย พยายามช่วยการเงินทุกอย่างที่หาคล่อง ให้หาคล่องขึ้น และความจริงนี่ เธอก็มีบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหมเทวดาทั้งหมด นางฟ้าทั้งหมด ช่วยกันอยู่แล้ว แต่ว่าฉันในฐานะที่เคยเป็นพ่อของเธอ ฉันก็ช่วยอีกแรงหนึ่ง หลวงปู่ก็ลุกขึ้นกราบ กราบ ๆ ก็บอกว่า ผมง่วงครับ ขอนอนต่อไป ท่านบอกว่า ดีมาก จิตจะได้สงบ จะได้มีอารมณ์สบาย ท่านก็บอกว่า ฉันจะไม่ไปไหน ฉันจะอยู่ตรงนี้ อยู่เฝ้าเธอ ช่วยเธอ พอหลวงปู่เอนกายลงมาท่านก็เอามือลูบ ๆ ลูบครั้งที่สามก็หลับป๋อย
    หลังจากหลับไปแล้ว ก็ประมาณตีสี่เศษ ตื่นขึ้นมาอีก ท่านก็อยู่ที่นั่น ตอนนี้ท่านมองหน้า แล้วท่านก็ยิ้ม หลวงปู่ก็สงสัย ก็ถามท่านว่า การที่มาแสดงองค์ให้ปรากฏอย่างนี้ จะให้ปั้นรูปบูชาใช่ไหม ท่านก็บอกว่า ใช่ ขอให้ปั้นตามนี้นะ ปั้นห่มคลุมแบบนี้ ถามท่านว่า เนื้อสีขาวหรือสีดำแดง ท่านบอกว่า ฉันเป็นคนสีเนื้อค่อนข้างขาว คือ ขาวก็แล้วกัน ไม่ขาวจั๊วะ ลักษณะท่าทางแบบนี้ ท่านก็นั่งให้ดู
    ก็ถามว่า ถ้าเวลาช่าง ช่างที่นี่ก็เป็นช่างชั้น ป. ๔ เป็นช่างที่เรียกว่า ช่างชั้นดีเขาอาจจะเหยียดหยามก็ได้ แต่บางคนเขาบอกว่า ป. ๔ ทำอะไรไม่ได้ แต่ว่า ป. ๔ คนนี้ ก็ทำได้ทุกอย่าง และอยากจะถามว่า ถ้าเขาจะปั้นนะ ช่วยได้ไหม ให้คล้ายคลึงจริง ๆ ท่านบอกว่า ได้
    พอรุ่งขึ้นเช้าหลวงปู่ก็บอกว่า เรียกช่างประเสริฐมาบอกลักษณะให้ทราบ ให้ช่างประเสริฐเขาเอาดินเหนียวปั้นก่อน เอามาให้ดู ก็ปรากฏว่า ช่างประเสริฐนี่ เขาก็ได้กรรมฐาน เขาก็ใช้สมาธิตามที่เขาจะพึงได้ เขาก็ปั้นรูปท่าน ปั้นแล้วเขาก็บอกว่า ฝืนมือ คือว่า มือจะทำอย่างนี้ ลากไปทำอย่างโน้น ปั้นไปปั้นมา ได้รูปแบบนี้ ก็นำให้หลวงปู่ดู หลวงปู่เห็นเข้า ก็ลุกขึ้นกราบ ก็บอกเหมือนแล้ว ๆ บอกว่าใช้ได้ ๆ เอารูปอย่างนี้ รูปใหญ่ขอให้ปั้นตามนี้ก็แล้วกัน อันนี้ความเป็นมาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าอย่างนั้นหลายมีความเคารพในหลวงปู่ ก็ต้องเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยนะ
    จุไรก็ถามว่า พระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ช่วยเฉพาะหลวงปู่องค์เดียวหรือ คุณป้าก็ตอบว่า ท่านช่วยคนทุกคนที่บูชาท่าน แม้แต่หลวงพ่อปานเอง ก็มีการบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก่อนเหมือนกัน จะเห็นว่าหลวงพ่อปาน ท่านจะสร้างอะไร ก็สำเร็จทุกอย่าง ทีนี้มาหลวงปู่ก็เช่นเดียวกัน
    เวลานี้หลวงปู่จะทำอะไร ก็ทำได้ตามกำลังเท่าที่ท่านกำหนดจะเห็นว่า การได้ลาภสักการะ การนำมาซึ่งทรัพย์สินต่าง ๆ เนื่องในการก่อสร้างก็ดี ความเป็นอยู่ก็ดี ของท่านมีการคล่องตัว ก็เพราะอาศัยท่านบูชาครบ คือ บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย และพรหม กับเทวดาด้วย เพราะทุกท่านมีคุณทั้งหมด จุไรก็ถามคุณป้าว่า ถ้าหนูจะบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าจะทำอย่างไร
    คุณป้าก็บอกว่า บูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไรก็บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าแบบนั้น แต่ว่าคาถาบูชาของท่านมีบทหนึ่งที่ขึ้นว่า วิระทะโย วิระโคนายัง เป็นต้น ที่หลวงปู่ท่านพิมพ์แจก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงปู่เองได้รับจากหลวงปู่ใหญ่ ท่านนำคาถามาให้หลายตอน สมัยที่เริ่มทำการก่อสร้างใหม่ ๆ สตางค์หลวงปู่ท่านไม่มี ท่านมีมา ๑๐๐ บาท แล้วท่านก็ซื้อกับข้าว ซื้อข้าวสารฉันเสียหมด หลวงปู่ใหญ่ก็ให้คาถาบอกว่า คาถาบทนี้หาเงินคล่องนะ เพื่อการก่อสร้าง แล้วต่อมา ท่านบอกว่า คาถานี้เป็นคาถาเงินแสน บูชาภาวนาไว้ทุก ๆ วัน บอก เงินก็คล่องตัวขึ้น เวลาทอดกฐิน เวลานั้นได้แสนเศษ แล้วต่อมาเริ่มสร้างโบสถ์ ท่านบอกคาถาบทนี้เป็นคาถาเงินล้านนะ
    เป็นอันว่า หลวงปู่ท่านบูชาคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่แล้ว ในเมื่อหลวงปู่ใหญ่ท่านให้มาอีก ก็เลยประสานกัน เอามารวมกันไปเป็นบทเดียวกัน บูชาครบถ้วน ถ้าหนูอยากจะมีเงินคล่องตัว อยากจะมีความเป็นสุขจากทรัพย์สินเท่าที่จะพึงพอมีกันได้ ไม่ใช่ร่ำรวยใหญ่ ก็ใช้คาถาบทที่หลวงปู่แจก เวลาเจริญกรรมฐาน หากว่าเจริญกรรมฐานเป็นที่พอใจแล้ว ก็ใช้คาถาบทนั้นภาวนา เป็นการเจริญกรรมฐานต่อไป อย่างนี้หลานจะมีการคล่องตัวเหมือนหลวงปู่
    จุไรก็บอกว่า คุณป้าเจ้าคะ มองดูเวลานี้ หลวงลุงอนันต์ท่านกำลังจะมาปิดประตูข้างนอก เราสองคนไปกันดีกว่า คุณป้าเจ้าคะ เวลานี้คุณแม่กำลังยืนอยู่ที่หลวงปู่โน้น เดี๋ยวไปรวมกับแม่ที่หลวงปู่ แต่ว่าคืนนี้หนูจะค้างหนึ่งคืน แล้ววันพรุ่งนี้จะกลับ วันหลังต่อไปถ้ามีโอกาสหนูขออนุญาตคุณป้าต่อไปนะเจ้าคะ ในเมื่อคุณป้าอนุญาต ป้ากับหลานต่างคนต่างกลับไป
    ในเมื่อทุกคนกลับไปหมด หมดเวลาพอดี ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี
    <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มกราคม 2010
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260

    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  3. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  4. Guide_Raito

    Guide_Raito เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +2,990
    มีบุญมาฝากคับทางกลุ่มพระพุทธศาสนา ม. สงขลานครินทร์ ภูเก็ต ได้ จัดทำโครงการแจกสือ่ ธรรมะของสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำคับ เพราะ ที่นี่มีเด็กหลายคนสนใจมาฝึกมโนมยิทธิและหันมาทำความดีกัน เนื่องด้วย สื่อ ธรรมะ ของหลวงพ่อ ครับทางชมรมเลยจัดโครงการแจกสือ่ธรรมะเป็นสาธารณะประโยชน์ แก่ โรงเรียน ห้องสมุดต่างๆเพื่อ ชักจูง คนให้เป็นสัมมาทิฐิและเป็นกำลังพระศาสนา สืบต่อไปครับ
    ขอให้ชาวเวปพลังจิตทุกท่าน เจริญขึ้นทั้งทางโลก และทางธรรม เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จฯ ได้โดยง่ายครับ
    [​IMG] [​IMG]
    เข้าชมรายละเอียดได้ที่http://palungjit.org/forums/ขอเชิญร่วมบุญ-โครงการธรรมทานกับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์-ภูเก็ต-[.109/FONT]218421.html<O:p></O:p>
    <O:p</O:p
     
  5. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2010
  6. noi

    noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,120
    ค่าพลัง:
    +47,443

แชร์หน้านี้

Loading...