พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระดับคุณเพชรนี่ ผมว่าสบายมากครับ

    .
     
  2. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ติดตามอยู่ครับอยากทราบผลเหมือนกันครับ หุ หุ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การบ้านข้อที่ 2 รบกวนขอเร็วนิดนึงครับ

    ขอบคุณครับคุณเพชร
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    การบ้านที่พี่สิทธิพรมอบให้ผมผ่านท่านเลขาฯมานี่ ท้าทายมากๆครับ นานๆจะเจอ"คำถามย้อนยุค"แบบนี้ซักที จะลองพยายามทำการบ้านส่งนะครับ ช่วงนี้ติดงานด่วนมากๆ หากส่งช้าอย่าตัดคะแนนผมนะครับ.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ส่วนการบ้านข้อแรก ผมมีความเห็นเช่นเดียวกันกับคุณเพชร

    เป็นการบ้านที่ยากกกกกกกกกกกกกกกกกก

    ท้าทายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    และบทสรุป น่าจะต้องมีผู้รับรองงงงงงงงง

    ดังนั้น เรื่องนี้น่าจะจบลงด้วยความกระจ่าง สดใส
     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ที่ว่ายากนั้นคือ

    ๑ ) เครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณต้องมีความละเอียดมากเป็นพิเศษเนื่องจากปัจจัยในข้อ ๒ เป็นต้นไป

    ๒ ) สมัยพุทธกาลยังไม่ได้กำหนดเรื่องของการให้เวลาที่เป็นสากลเช่นปัจจุบัน ทราบแต่เพียงว่าเป็นยามเช้า สาย บ่ายเย็น ค่ำ

    ๓ ) ในแต่ละปีซึ่งเหตุการณ์ผ่านมามากกว่า ๒,๕๐๐ ปี พบว่าไม่มีเดือนที่เป็นแรม ๑๕ ค่ำ และปีที่มีเดือน ๘ อยู่ ๒ หน ก็มี

    ๔ ) การเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่

    ๕ ) รายละเอียดของตำราโหราศาสตร์ที่ผู้จัดทำไว้ตามหลักการของบุคคลนั้นอยู่หลายสำนัก ล้วนแตกต่างกัน ปัญหาอยู่ที่ว่าจะยึดหลักการของท่านใด

    ฯลฯ

    ยังมีปัจจัยอีกมากที่ยังไม่ได้กล่าว และหากผิดพลาดนั่นหมายถึง ผลกรรมที่หนักหนามาก เพราะเรื่องราวนี้กระทบต่อบุคคลมากมาย และที่สำคัญจะกลายเป็นอวดอุตตริไป โหราจารย์เก่งๆในอดีต และปัจจุบัน ยังไม่มีผู้ทำนายทายทักในเรื่องนี้

    ผมชอบใจที่ท่านว.วชิรเมธีได้หยิบยกเอาความสำคัญของการเสด็จโปรดพุทธมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องแสดงอุทธาหรณ์ว่า...

    ทำไมพระพุทธองค์จึงเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่างหาก

    ต่อปัญหานี้ผู้เขียนอยากจะถอดรหัสเสียใหม่ว่าพระพุทธจริยาในตอนนี้ท่านคงไม่ต้องการมุ่งแสดงให้เห็นว่าการที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์นั้น มีความสมจริงหรือไม่สมจริงหรอกแต่สิ่งที่ท่านต้องการแสดงให้ชาวโลกเห็นก็คือ พระพุทธองค์ทรงต้องการจะบอกพวกเราว่าขนาดพระมารดาของพระองค์นั้นแม้จะเสด็จสวรรคตไปอุบัติเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วก็ตาม (เวลาฟังธรรมเสด็จลงมาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ )สถานที่หรือภพที่พุทธมารดาประทับอยู่กับสถานที่หรือภพซึ่งพระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์โลดแล่นอยู่ซึ่งคือโลกของเรานั้นแม้จะอยู่กัน "คนละภพ - คนละมิติ "ก็จริงอยู่ แต่ถึงกระนั้น " ความต่างแห่งภพ " ก็หาได้เป็นอุปสรรคแห่งความกตัญญูที่บุตรจะพึงตอบสนองต่อผู้เป็นมารดาของตนแต่อย่างใดไม่


    พูดให้ฟังง่ายกว่านั้นก็คือแม้แม่ของพระองค์จะตายไปอยู่ไกลกันคนละภพคนละโลกแล้วแต่พระองค์ก็ยังคงแสวงหาวิธีที่จะทดแทนพระคุณแม่ให้เสร็จสิ้นจนได้แล้วคนธรรมดาสามัญอย่างเราเล่า อยู่ห่างกับคุณแม่แค่เพียงฝาห้องกั้นอยู่บ้านคนละหลังหรืออยู่ห่างกันแค่ชั่วยกหูโทรศัพท์ถึง ใกล้กันขนาดนี้ภพเดียวกันขนาดนี้ แต่เราทั้งหลายเคยทำอะไรที่แสดงให้เห็นว่าเราเป็นลูกกตัญญูต่อมารดาบิดาเหมือนอย่างที่พระพุทธองค์ทรงวางพุทธจริยาเอาไว้ให้เห็นบ้างหรือไม่ ...


    ก็เป็นบางตอนในเทศนาของท่านว.วชิรเมธี ที่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง

    ดังนั้นในประเด็นที่ได้มอบการบ้านมาให้ผมทำนั้น อาจจะไม่สัมฤทธฺผลดังใจหวัง เนื่องจากปัจจัยความเสี่ยงข้างต้น


    ผมเพียงค้นหาข้อสมมุติฐานสำหรับผู้จะนำไปคิดต่อหากอยากทราบ..

    คำถามคือ "ฤกษ์ยามในวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาจากดาวดึงส์เมื่อได้โปรดพระพุทธมารดาแล้วลงมายังโลกมนุษย์นั้น เป็นฤกษ์อะไร และเมื่อเทียบเคียงกับปีพ.ศ.๒๔๑๑ ในราวเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม คือวันใด ซึ่งน่าจะเป็นฤกษ์ยามเดียวกัน"


    ผมคาดเดาเอาจากเหตุการณ์ข้างเคียงที่รับกับคำถามของผู้สอบถาม ผมคิดว่า ผู้สอบถามน่าจะอยากทราบว่า มีพระพิมพ์ฯที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงโอกาสนี้ เมื่อใดในปี ๒๔๑๑


    ข้อมูลที่ผมพบคือ..

    วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาจากดาวดึงส์เมื่อได้โปรดพระพุทธมารดาแล้วลงมายังโลกมนุษย์คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ วันนั้นคือวันเทโวโรหณะ” หรือ วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก เพราะวันนั้นเป็นวันที่ชาวโลกทั้ง 3 คือ สวรรค์ มนุษย์ บาดาล (นรก) ต่างสามารถแลเห็นกันได้ตลอดทั้ง 3 โลก แม้ในนรกขุมที่มืดสนิทก็มีแสงสว่างพร่างพรายขึ้นชั่วขณะ


    ส่วนวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ ตรงกับวันพฤหัส ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ปีมะโรง เทียบเคียงได้กับปีพ.ศ. ๒๔๑๑ วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันเทโวโรหณะ


    ผมเพียงนำเสนอข้อมูลเพื่อนำไปคิดกันต่อ ไม่ได้เป็นผู้บอกว่า พระองค์ท่านเสด็จเปิดโลกเวลานั้นเป็นฤกษ์อะไร


    ตามตำราให้ฤกษ์ และห้ามฤกษ์ จากตำราฤกษ์พิสดาร ของอาจารย์ เทพย์ สาริกบุตรบางตอน...


    สิทธิการิยะ พระตำรานี้เป็นพระตำรับที่ท่านโบราณาจารย์แต่เก่าก่อนนิยมใช้ในการให้ฤกษ์ กล่าวแต่โดยใช้ดิถีเท่านั้น โดยเฉพาะท่านที่ไม่เข้าใจในวิถีคำนวณฤกษ์ตามแบบโหราศาสตร์ ก็มักจะใช้ตำรานี้เป็นคู่มือในการให้ฤกษ์ เป็นตำรับโบราณที่ยึดถือปฏิบัติสืบกันมา นับว่าเป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่จะใช้สำหรับเป็นอุปกรณ์ในการหาฤกษ์ประกอบกับตำราอื่นๆ เพื่อเพิ่มผลความศักดิ์สิทธิ์แน่นอนยิ่งขึ้น..


    แรม ๑ ค่ำ พระเกตุตกในแผ่นดิน พระศุกร์อยู่ในอากาศให้ฤกษ์ เทพยดาจรอยู่ที่เท้า พระอิศวรมาให้ฤกษ์ ทำการมงคลดี ปลูกเรือนดี ไปค้าขายทางบกทางเรือ ไปสู่ท้าวพระยาจะมีลาภ ตัดเย็บนุ่งผ้าใหม่ดี โชคดีตกแต่เช้าจนถึงบ่ายควาย โชคร้ายตกแต่ค่ำถึงรุ่งแล


    และดิถีฤกษ์ไชย ของอาจารย์ เทพย์ สาริกบุตรบางตอน...


    ตำรานี้เป็นตำราเดิมที่นิยมใช้กันอยู่ในภาคเหนือ และภาคอีสาน ต่อมาแพร่หลายมาถึงภาคกลางนี้ นำมาใช้ปฏิบัติกันดูก็รู้สึกจะมีความแม่นยำมาก เลยจัดเข้าเป็นเครื่องประกอบที่สำคัญอันหนึ่งในการหาฤกษ์โดยมากมักใช้ประกอบการให้ฤกษ์เดินทางไกล หรือให้ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่


    ขึ้น หรือแรม ๑ ค่ำ ขี่ม้าแก้วสู่โรงธรรม

    วันเทโวโรหณะ น่าจะเป็นช่วงเวลา ตี ๕ ถึง ๗ โมงเช้า และ วันออกพรรษาก็น่าจะอยู่ในช่วงเดือน ตุลาคม ไม่น่าจะล้ำเข้าเขตเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม อันนี้ก็เป็นการเทียบเคียง ซึ่งสามารถทำได้เท่านี้ครับ มากกว่านี้ก็เหนือวิสัยแล้วครับ

    ลองอ่านเรื่องราวตามนี้ได้ครับ หากสนใจใคร่รู้..



    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 480pt; mso-cellspacing: 0cm; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=640 border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">วันเทโวโรหนะ หมายถึง วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากเทวโลกมาสู่มนุษยโลกหลังจากที่ได้แสดงธรรมเทศนาโปรดพระมารดา และเสด็จจำพรรษา ณดาวดึงส์พิภพครบไตรมาสแล้ว โดยเสด็จลงทางบันไดสวรรค์ที่ประตูเมืองสังกัสสนครทางตอนเหนือของกรุงสาวัตถี ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือวันพระเจ้าเปิดโลก





    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">









    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 2"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">เหตุที่เกิดวันเทโวโรหนะนั้นมีเรื่องเล่าตามอรรถกถาธรรมบทพอจะสรุปได้ว่า<O:p</O:p





    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 3"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">ภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงเสด็จไปประทับ ณนครสาวัตถี และทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนอยู่เป็นประจำ จนมีประชาชนอยู่เป็นประจำจนมีประชาชนจำนวนมากหันมานับถือศาสนาพุทธ การที่ประชาชนหันมานับถือศาสนาพุทธด้วยทำให้เหล่าเดียรถีย์เสื่อมลงเครื่องสักการะเดียรถีย์เหล่านี้ก็ลดน้อยลงด้วยเช่นเดียวกันทำให้พวกเดียรถีย์เดือดร้อนต่างพากันคิดหาวิธีทำลายพระพุทธศาสนาโดยการกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า และเหล่าสาวกบ้างแกล้งเบียดเบียนพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนบ้างแต่ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ในทางกลับกันพวกเดียรถีย์กลับได้รับผลร้ายนั้นเสียเองในที่สุดเหล่าเดียรถีย์จึงคิดแผนการทำลายพระพุทธศาสนาขึ้นอีกอย่างหนึ่งโดยอาศัยพระพุทธบัญญัติในข้อที่ว่าห้ามมิให้พระสาวกในพระพุทธศาสนาแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเหล่าเดียรถีย์เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าคงไม่กล้าฝ่าฝืนข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ด้วยพระองค์เองจึงช่วยกันกระจายข่าวว่า " พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกสิ้นท่าหมดปาฏิหาริย์ไร ๆ แล้วจึงงดการแสดง ตรงกันข้ามกับเหล่าคณาจารย์เดียรถีย์ซึ่งมีปาฏิหาริย์อบรมมั่นคงเต็มที่พร้อมเสมอจะแสดงให้ปรากฎเมื่อไรได้ทุกเมื่อถ้าไม่เชื่อก็เชิญพระพุทธเจ้ามาแสดงปาฏิหาริย์แข่งกันดูว่าใครจะเก่งกาจสามารถกว่าใคร"<O:p></O:p>





    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 4"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">ข่าวที่เดียรถีย์กล่าวหาพระพุทธเจ้านั้นได้กระจายไปทั่วเป็นที่โจษจันของชาวเมืองโดยทั่วไปบ้างำมรู้แก่นแท้ในพระพุทธศาสนาก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสื่อมเสียพวกเดียรถีย์เห็นว่าพระพุทธเจ้า และเหล่าสาวกเงียบเฉยไม่ออกมาแก้ความก็กล่าวหาพระพุทธเจ้าหนักขึ้นว่า "พระพุทธเจ้าไม่มีความสามารถในการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์จึงเงียบอยู่เช่นนี้ไม่กล้ารับคำท้าทายจากเหล่าเดียรถีย์ทั้งหลาย " ความนี้ได้รู้ถึงพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมาทรงใคร่ครวญว่าหากพระองค์ไม่แสดงปาฏิหาริย์ให้เดียรถีย์ประจักษ์แก่สายตาจะเกิดผลเสียแก่พระพุทธศาสนามากกว่าผลดีเป็นแน่พระพุทธเจ้าจึงทรงประกาศว่าพระองค์จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ ณ ต้นมะม่วง ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘เมื่อเหล่าเดียรถีย์ได้รู้ความที่พระพุทธเจ้าที่แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ก็พากันหวาดกลัวต่างหากลวิธีกลั่นแกล้งมิให้พระพุทธเจ้าทรงสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ โดยแบ่งออกเป็น ๓พวก พวกหนึ่งช่วยกันทำลายต้นมะม่วงในเมืองสาวัตถีจนหมดสิ้นส่วนพวกหนึ่งช่วยกันสร้างมณฑปในวัดเพื่อแสดงปาฏิหาริย์ของตนส่วนอีกพวกหนึ่งให้ช่วยกันประกาศให้ประชาชนไปชมการแสดงปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าและคอยชมความล้มเหลวในการแสดงปาฏิหาริย์ครั้งนี้<O:p></O:p>





    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 5"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">เมื่อถึงกำหนดที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ ปรากฎว่าเกิดพายุใหญ่พัดมณฑปของพวกเดียรถีย์พังจนหมดสิ้นส่วนพระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงมีทีท่าว่าจะแสดงปาฏิหาริย์แต่อย่างใดและในตอนบ่ายของวันนั้นนายคัณฑะ คนเฝ้าพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ถวายมะม่วงผลหนึ่งแก่พระพุทธเจ้าเสียก่อนเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธองค์จึงนำมะม่วงผลนั้นถวายแด่พระพุทธเจ้าเมื่อพระพุทธเจ้าได้รับมะม่วงสุกผลนั้นจากนายคัณฑะทรงรับสั่งให้พระอานนท์นำมะม่วงสุกผลนั้นไปทำน้ำปานะถวายและให้นำเมล็ดมะม่วงวางลงบนพื้นดินบริเวณนั้นเมื่อทรงฉันน้ำปานะหมดทรงล้างพระหัตถ์ให้น้ำล้างพระหัตถ์รดบนเมล็ดมะม่วงนั้นปรากฏว่า ต้นมะม่วงได้งอกขึ้นและใหญ่โดอย่างรวดเร็ว พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งว่าพระองค์จะแสดงปาฏิหาริย์ ณ ต้นมะม่วงแห่งนี้พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตช่อไฟและท่อน้ำแล่นเป็นคู่สลับกันไปมาในอากาศรอบต้นมะม่วงนั้นและทรงเนรมิตบุคคลผู้เหมือนพระองค์ทุกประการขึ้นองค์หนึ่งพร้อมกับทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีกระจายออกทั่วบริเวณพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมพร้อมกับทรงจงกรมสลับกับพระพุทธนิมิตเมื่อประชาชนได้เห็นแก่สายตาของตนเองว่าพระพุทธเจ้าสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้เสมอก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธากันโดยทั่วไปส่วนเหล่าเดียรถีย์นั้นประชาชนต่างพากันสมน้ำหน้าสาปแช่งจนพวกเดียรถีย์นั้นต้องย่อยยับลงไปในครั้งนี้เอง<O:p</O:p





    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 6"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเข้าพรรษาพระพุทธเจ้าทรงประกาศว่าพระองค์จะไปจำพรรษายังดาวดึงส์เทวโลกเนื่องจากทรงระลึกว่าทรงเทศนาโปรดพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา พระนางปชาบดีพระนางยโสธราพิมพา และพระราหุลราชกุมารตลอดจนประยูรญาติทั้งหลายให้บรรลุมรรคผลตามสมควรแล้วแต่ยังมิได้สนองพระคุณพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดาเนื่องจากพระพุทธมารดาสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่พระองค์ประสูติได้เพียง ๗ วันเท่านั้นเห็นว่าควรจะสนองพระคุณพระพุทธมารดาให้สมควรแก่พระคุณทรงเทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดา ตลอดเวลา ๓ เดือนเมื่อออกพรรษาพระองค์จึงเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาสู่โลกมนุษย์ ณประตูเมืองสังกัสสนคร โดยมีขบวนเทพยดา และประชาชนตามส่งเสด็จและรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ ในวันเทโวโรหนะนี้พระองค์ทรงเนรมิตให้เทวดา มนุษย์และสัตว์นรก สามารถมองเห็นซึ่งกันและกันได้<O:p</O:p





    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 7; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลก ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน๑๑ ประชาชนจำนวนมากต่างพร้อมใจมาเฝ้ารับเสด็จและนำภัตตาหารมาถวายแด่พระพุทธเจ้าแต่ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จนั้นมีจำนวนมากบางพวกที่อยู่ห่างไม่สามารถใส่อาหารลงในบาตรได้ จึงนำข้าวสาลีมาปั้นเป็นก้อน ๆแล้วโยนใส่บาตรจนกระทั่งเป็นประเพณีนิยมมาจนถึงปัจจุบันที่ต้องทำข้าวต้มลูกโยนใส่บาตรในวันเทโวโรหนะ<O:p</O:p





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <O:p</O:p





    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 480pt; mso-cellspacing: 0cm; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=640 border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent" colSpan=2>
    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=Picture_x0020_2 style="VISIBILITY: visible; WIDTH: 148.5pt; HEIGHT: 28.5pt; mso-wrap-style: square" alt="http://www.tungsong.com/Important_Day/Tevo/Images/title03.gif" type="#_x0000_t75" o:spid="_x0000_i1025"><v:imagedata o:title="title03" src="file:///C:\DOCUME~1\LOTTOM~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image002.gif"></v:imagedata></v:shape><O:p</O:p










    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">๑.<O:p</O:p




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">ทำบุญตักบาตรเทโวซึ่งเป็นประเพณีนิยมดังกล่าวมาแล้วในข้างต้น<O:p</O:p




    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 2"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">๒.<O:p</O:p




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">ฟังธรรมเทศนา<O:p</O:p




    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 3"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">๓.<O:p</O:p




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">ทำทาน<O:p</O:p




    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 4; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">๔.<O:p</O:p




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent">รักษาศีลภาวนา<O:p</O:p




    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <O:p</O:p



    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 457.5pt; mso-cellspacing: 0cm; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=610 border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 127.5pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=170><v:shape id=_x0000_i1025 style="WIDTH: 112.5pt; HEIGHT: 147.75pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\LOTTOM~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image001.jpg" o:href="http://www.irctcoop.com/24_t.jpg"></v:imagedata></v:shape><O:p</O:p








    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 22.5pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=30><O:p</O:p





    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 307.5pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=410>เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา<O:p</O:p

    ในพรรษาที่ ๗ แห่งการประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงระลึก

    ถึงพระพุทธมารดาที่สิ้นพระชนม์ไปขณะที่ประสูติพระโอรสเพียง ๗ วัน และได้
    ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดุสิต พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ที่จะเสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา จึงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้วเสด็จไปจำพรรษาที่โคนต้นปาริฉัตร ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์จอมเทพเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทรงประกาศให้เทพยดาทั้งหลายในสรวงสวรรค์มาร่วมชุมนุมเพื่อฟังพระธรรมเทศนา พระนางสิริมหามายา พุทธมารดาในเพศของเทพบุตร จึงเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตเพื่อฟังพระธรรมเทศนาและได้บรรลุธรรมชั้นโสดาปัตติผล<O:p</O:p













    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <O:p</O:p



    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 457.5pt; mso-cellspacing: 0cm; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=610 border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 127.5pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=170><v:shape id=_x0000_i1026 style="WIDTH: 112.5pt; HEIGHT: 147.75pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\LOTTOM~1\LOCALS~1\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image002.jpg" o:href="http://www.irctcoop.com/25_t.jpg"></v:imagedata></v:shape><O:p</O:p








    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 22.5pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=30><O:p</O:p





    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 307.5pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width=410>เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์<O:p</O:p
    ครั้นพระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบกำหนดหมดฤดูฝนแล้ว ถึงวันออกพรรษา ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงสู่โลกมนุษย์ พระอินทร์ได้เนรมิตบันได ๓ บันได คือ บันไดเงิน บันไดทอง และ บันไดแก้ว บันไดเงินสำหรับท้าวมหาพรหมอยู่ด้านซ้าย บันไดทองสำหรับหมู่เทพอยู่ด้านขวา และบันไดแก้วสำหรับพระพุทธเจ้าอยู่ตรงกลาง วันออกพรรษาจึงมีประเพณีทำบุญตักบาตรเทโวฯ ซึ่งย่อมาจากเทโวโรหณะ แปลว่า วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลกโปรดพุทธมารดา<O:p</O:p







    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    http://www.thai.net/tayat/budda14.html

    http://www.geocities.com/thaibuddhists/buddhalife7.htm

    เสด็จดาวดึงส์

    ลำดับนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงพุทธดำริว่า “พุทธประเพณีแห่งพระพุทธเจ้าในอดีตกาล เมื่อทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จจำพรรษา ณ ที่ใด” ทรงพิจารณาด้วยอดีตตังสญาณก็เห็นแจ้งประจักษ์ว่า “เสด็จจำพรรษาในดาวดึงสพิภพ แล้วตรัสแสดงอภิธรรมปิฎกทั้ง ๗ ปกรณ์ ถวายในไตรมาส เพื่อกระทำการสนองพระคุณพุทธมารดาอีกประการหนึ่ง ความปรารถนาอันใดที่พระชนนีตั้งไว้แทบบาทมูลพระพุทธวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ขอให้นางได้เป็นมารดาพระบรมครูเห็นปานดังพระพุทธองค์” ความปรารถนาอันนั้นก็สำเร็จสมประสงค์และพระชนนีมีพระคุณแก่ตถาคตเป็นอันมาก ยากที่จะได้ตอบสนองพระคุณพระมารดา ทรงจินตนาการดังนี้แล้วเสด็จลุกจากรัตนบัลลังก์ ขึ้นสู่ดาวดึงสพิภพประทับนั่งเหนือกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ปาริฉัตตรุกขชาติ อันเป็นธงแห่งดาวดึงส์เทวโลก

    แสดงพระอภิธรรมปิฎก

    ในกาลนั้น ท้าวสหัสสนัยน์เทวราช เมื่อทอดพระเนตรเห็น จึงประกาศใช้เหล่าทวยเทพได้ทราบทั่วกัน เทพเจ้าทั้งหลายตลอดหมื่นจักรวาลถือทิพยมาลาสักการะมาสโมสรสันนิบาต ถวายนมัสการแล้วประทับนั่งอยู่โดยรอบพระพุทธองค์ เมื่อไม่ทรงเห็นพุทธมารดา จึงตรัสถามท้าวสักกรินทร์เทวราช เทวราชจึงเสด็จไปตามพระสิริมหามายาเทวบุตร ณ ดุสิตพิภพ พระพุทธมารดา ได้สดับทรงประปีติปราโมทย์ เสด็จมายังดาวดึงส์เทวพิภพสู่สำนักพระบรมครู ถวายนมัสการประทับนั่งอยู่เบื้องขวาแห่งพระผู้มีพระภาค พลางดำริว่า อาตมานี้มีบุญยิ่งนัก มีเสียทีที่อาตมาอุ้มท้องมา ได้พระโอรสอันประเสริฐเห็นปานนี้” ส่วนสมเด็จพระชินสีห์มีพระทัยปรารถนาจะสนองคุณพระมารดาจึงดำริว่า “พระคุณแห่งมารดาที่ทำไว้แก่ตถาคตนี้ยิ่งใหญ่นัก สุดที่จะคณานับได้ว่า กว้างหนาและลึกซึ้งปานใด และธรรมอันใดจึงจะสมควรที่จะทดแทนพระคุณได้ พระวินัยปิฎก และพระสุตตันตปิฎกก็ยังน้อยนัก มิเท่าคุณแห่งพระมารดา เห็นควรแต่พระอภิธรรมปิฎกที่จะพอยกขึ้นชั่งเท่ากันได้” ดำริดังนี้แล้ว กวักพระหัตถ์เรียกพระพุทธมารดาว่า “ดูกรชนนี มานี้เถิดตถาคตจะใช้ค่าน้ำนมข้าวป้อนของมารดา อันเลี้ยงตถาคตนี้มาแต่อเนกชาติในอดีตภพ” แล้วกระทำพุทธมารดาเป็นประธาน ตรัสอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์ ให้สมควรแก่ปัญญาบารมี มีสังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก และมหาปัฏฐาน กาลเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสัตตปกรณาภิธรรมเทศนาจบลง องค์พระสิริมหามายาเทวบุตรพุทธมารดา ก็บรรลุโสดาปัตติผล ประกอบด้วยนัย ๑ พันบริบูรณ์

    เสด็จลงจากดาวดึงส์

    พระมหาโมคคัลลานะทูลถามการเสด็จลง

    กาลเมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงกระทำปาฏิหาริย์แล้วขึ้นไปสู่ดาวดึงส์เทวโลก ครั้งนั้น มหาชนทั้งหลายที่มาประชุมกันอยู่ในที่นั้นและดูพระพุทธสรีรกายหายไปในเทวโลก ก็เศร้าโศกปริเทวนาการว่า “พระบรมครูขึ้นไปสู่ภูเขาจิตรกูฏหรือไกรลาส หรือคันธมาสประการใด เราทั้งหลายมิได้เห็นพระองค์ในกาลบัดนี้” แล้วเข้าไปถามพระมหาโมคคัลลานะ “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระบรมครูแห่งเราเสด็จไปสถิตอยู่ ณ ที่แห่งใด” พระมหาเถระจึงกล่าวว่า “พวกท่านจงถามท่านพระอนุรุทธะก็จะทราบ” มหาชนก็ไปถามพระอนุรุทธเถระท่านก็บอกว่า “พระพุทธองค์ เสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในดาวดึงส์เทวโลก เพื่อจะตรัสพระธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โปรดพุทธมารดา” ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็เมื่อใดเล่าจะกลับมาสู่มนุษยโลก ดูกรท่านทั้งปวง พระบรมครูตรัสเทศนาพระอภิธรรมปิฎถ้วนไตรมาสแล้ว พอถึงวันปวารณาจึงจะกลับมายังมนุษยโลกนี้” ชนทั้งหลายจึงกล่าวแก่พระมหาโมคคัลลานะว่า “ถ้ามิได้เห็นองค์พระสัพพัญญู ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะไม่ไปจากที่นี่” แล้วชวนกันพักแรม ตั้งทับและชมรมพักอาศัยมิได้มีหลังคา

    พระมหาโมคคัลลานะขึ้นไปเฝ้า

    เมื่อเวลาเหลืออยู่อีก ๗ วันจะออกพรรษา ประชาชนเข้าไปหาพระโมคคัลลานะและกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้า ควรที่จะรู้วันที่พระสัพพัญญูจะเสด็จลงจากเทวโลกให้แน่นอน และพวกข้าพเจ้ามิได้เห็นพระบรมครูแล้วจะไม่ไปจากที่นี่” พระมหาเถระจึงสำแดงฤทธิ์ขึ้นไปยังชั้นดาวดึงส์กระทำอัญชลีแล้วทูลว่า “พระพุทธองค์จะเสด็จลงจากเทวโลกในกาลเมื่อใด” จึงมีพระดำรัสว่า โมคคัลลานะ แต่นี้ไปอีก ๗ วัน จะถึงวันมหาปวารณา ตถาคตจะลงจากเทวโลก ณ ที่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสนคร ในวันนั้น ผิวมหาชนใคร่จะได้เห็นตถาคต จงไปที่นั้น เธอจงไปแจ้งแก่มหาชนตามคำตถาคตสั่งนี้” พระมหาเถระก็กลับมาแจ้งแก่ประชาชนทุกประการ

    ครั้นถึงวันอัสสยุชปุณณมีเพ็ญเดือน ๑๑ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงปวารณาพรรษาแล้ว จึงตรัสบอกแก่สมเด็จอมรินทราธิราชว่า ดูกรท้าวเทวราชตถาคตจะลงไปสู่มนุษยโลกในเวลาวันพรุ่งนี้ ท้าวโกสีย์จึงเนรมิตบันไดทิพย์ทั้ง ๓ คือบันไดทองอยู่เบื้องขวา บันได้เงินอยู่เบื้องซ้าย บันไดแก้วอยู่ท่ามกลางเชิงบันได้ทั้ง ๓ จรดพื้นภูมิภาค ณ ที่ใกล้เมืองสังกัสสนคร หัวบันไดเบื้องบนจรดยอดเขาสิเนรุราช อันเป็นที่ตั้งแห่งดาวดึงสพิภพ บันไดทองเป็นที่ลงแห่งหมู่เทวดา บันไดเงินเป็นที่ลงแห่งหมู่พรหม ส่วนบันไดแก้วนั้นเป็นที่เสด็จลงแห่งพระบรมศาสดา

    สมเด็จพระบรมครูเสด็จสถิตเหนือยอดเขาสิเนรุ ทอดพระเนตรเห็นเครื่องสักการบูชาแห่งเทวดาทั้งหลายหมื่นโลกธาตุ ก็ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ซ้ำอีก และทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์บันดาลเปิดโลก ยังสวรรค์มนุษย์และนรก ทั้งหมื่นโลกธาตุให้แลเห็นกันปรากฏทั่วทั้งสิ้นอันเป็นมหาอัศจรรย์ เทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาลก็มาประชมพร้อมกัน พระองค์ก็เสด็จลงจากเทวโลก พร้อมด้วยทวยเทพตามส่งเสด็จเป็นจำนวนมาก ครั้งนั้น สรรพสัตว์ทั้งหลายซึ่งได้เห็นองค์พระชินสีห์ ผู้ใดแม้สักคนหนึ่ง ที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิไม่มี เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เสด็จลงจากเทวโลกถึงเชิงบันไดแล้วประทับยืนอยู่ พระธรรมเสนาบดีก็ถวายอัญชลีพระโลกนารถ แล้วประกาศความยินดี

    พระพุทธองค์ประทานพระธรรมเทศนา เมื่อแสดงพระสัทธรรมเทศนาจบ ภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกแห่งพระสารีบุตรก็บรรลุอรหัตผล ประชาชนก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นจำนวนมาก
    http://www.geocities.com/thaibuddhists/buddhalife7.htm
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137

    ยังไม่ได้รับทราบข้อมูลเลยครับ..
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เรื่องราวนี้เหนือวิสัยของผมครับ ขออภัยด้วย
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า "ผมแค่ปลายแถว แต่ทีมเวิร์คของผมแนวหน้าของโลก"

    เป็นไปตามนั้น และยังยืนยัน นั่งยัน นอนยัน เช่นเดิม

    สิ่งใดที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น
    ก็ได้พบ ได้รู้ ได้เห็น

    ทั้งท่านอาจารย์ประถม , พี่ใหญ่ , คณะพระวังหน้า และ ชมรมรักษ์พระวังหน้า ครับ

    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ประถม , พี่ใหญ่ (ซึ่งทั้งสองท่านเป็นครูบาอาจารย์) , พระอาจารย์รูปหนึ่ง และ ทีมเวิร์คชมรมรักษ์พระวังหน้าและคณะพระวังหน้าทุกๆท่าน

    โมทนาสาธุ
    โมทนาสาธุ
    โมทนาสาธุ
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sithiphong


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กสิกรฯเตือนภัย"อีเมล์"ลวงโลก

    ˹ѧ

    กสิกรฯเตือนภัย"อีเมล์"ลวงโลก

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB4TWc9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ธนาคารกสิกรไทยออกประกาศเตือนภัยกลุ่มมิจฉาชีพไฮเทค ใช้กลลวงประเภท "ฟิชชิ่ง" จัดทำเว็บไซต์และอีเมล์ปลอม ต้มตุ๋นลูกค้ากสิกรที่ใช้บริการ K-Cyber Banking

    รายงานข่าวจากกสิกรไทยระบุว่า ขณะนี้มีอีเมล์หลอกลวงจากมิจฉาชีพส่งถึงบุคคลทั่วไป โดยแจ้งว่าบัญชีของท่านมีปัญหา หรือธนาคารมีการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ และร้องขอให้ท่านทำรายการ/แก้ปัญหาด้วยการคลิกลิงก์ในอีเมล์ดังกล่าว ซึ่งจะเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ปลอม ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับหน้าจอ K-Cyber Banking ทุกประการ แต่ URL หรือที่อยู่เว็บไซต์ไม่ใช่ของธนาคาร เช่น http://www.greenmonsterarts.co.uk, http://ad-park.com/catalog/Access.htm หรือชื่ออื่นๆ ที่อาจจะมีชื่อคล้ายคลึง URL ของธนาคาร

    "ธนาคารขอย้ำว่าไม่มีนโยบายส่งอีเมล์ที่มีลิงก์ให้ท่านคลิกเพื่อเข้าสู่ระบบใดๆ หรือสอบถามข้อมูลส่วนตัวใดๆ ผ่านทางอีเมล์ หากท่านต้องการเข้าสู่ระบบ K-Cyber Banking หรือระบบใดๆ ของธนาคาร ท่านจะต้องใช้ Shortcut (Favorite) ท่านสร้างด้วยตนเองหรือพิมพ์ URL ด้วยตัวท่านเองเท่านั้น หากท่านได้กรอกข้อมูลลงไปใน Website ปลอมแล้ว กรุณาติดต่อ K-Contact Center 0-2888-8888 โดยด่วน เพื่อเปลี่ยนรหัสลับ หรือรีบอายัดบัญชี" ธ.กสิกรไทย แถลง
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยุโรปผวา"สารรมควัน"ก่ออันตราย

    ˹ѧʗ;ԁ?좨҇ʴ͍?䅹젺 ?ú?ءÊ ʴ?ء?荧==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>องค์กรความปลอดภัยด้านอาหารของสหภาพยุโรป (อีเอฟเอสเอ) พบว่า วัตถุผสมอาหารบางชนิดที่ช่วยทำให้เนื้อสัตว์ เนื้อปลา หรือชีส มีรสชาติเหมือนผ่านการรมควัน เมื่อบริโภคเข้าไปอาจกลายเป็นพิษ ทำอันตรายต่อสุขภาพ

    คำเตือนข้างต้นเกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจวัตถุผสมอาหารสร้างรสชาติรมควัน 11 ชนิดที่ใช้กันแพร่หลายในทวีปยุโรป และพบว่าส่วนผสมของ 2-3 ชนิดไม่ผ่านเกณฑ์ความปลอดภัย โดยเฉพาะสารกลุ่มที่เรียกว่า "ไพรมารี่ โปรดักต์ เอเอ็ม 01" จากการนำอนุภาคของไม้บีช (Beech Wood) มาเผาภายใต้การควบคุมสภาพแวดล้อม จากนั้นจึงนำไปผสมกับสารทำละลาย เพื่อนำไปผสมกับอาหารอีกครั้งแทนการนำอาหารไปรมควันจริงๆ

    นายเคลาส์ ดีเตอร์ ยานนี่ ประธานคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญสารผสมอาหาร องค์กรอีเอฟเอสเอ แถลงว่า ปัจจุบัน ข้อมูลผลกระทบจากการรับประทานสารสร้างรสรมควันเหล่านี้ยังมีน้อยมาก จึงต้องลงมือศึกษาให้ละเอียดว่าปริมาณที่เหมาะสมต่อการบริโภคอยู่ที่ระดับใด อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า คนที่เคยทานผลิตภัณฑ์ผสมสารรมควันจะต้องป่วยหรือได้รับอันตรายกันทุกคน เพียงแต่ขณะนี้อีเอฟเอสเอมีความกังวลถึงผลลัพธ์ในอนาคต

    ด้านโฆษกสมาคมอาหารและเครื่องดื่มยุโรป ในฐานะตัวแทนอุตสาหกรรมอาหารรมควัน แถลงว่า ทางสมาคมพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการเต็มที่ เพื่อศึกษาถึงระดับการใช้สารรมควัน รวมทั้งระดับการบริโภคอาหารกลุ่มนี้อย่างปลอดภัย
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สธ.แนะตรุษจีนซื้อไก่ไหว้เจ้า

    ˹ѧʗ;ԁ?좨҇ʴ͍?䅹젺 ?ú?ءÊ ʴ?ء?荧==

    น.พ.วีรพล นิธิพงศ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดนกในคนของสมุทรปราการ ช่วงตั้งแต่ปี 2547 - 3 ม.ค.2553 มีผู้ป่วยเข้าข่ายเฝ้าระวัง 96 ราย โดยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่พบเชื้อโรคไข้หวัดนก

    ทั้งนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ มีมาตรการเฝ้าระวังโรคในคน ได้เตรียมความพร้อมทั้งบุคลากร ยา เวชภัณฑ์ และสถานพยาบาล มีการคัดกรองผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกทุกรายอย่างเคร่งครัด จัดเตรียมห้องแยกรองรับผู้ป่วยต้องสงสัยโรคไข้หวัดนก ดำเนินการซ้อมแผนรองรับการระบาด มีทีมเคลื่อนที่เร็วในการปฏิบัติงานควบคุมป้องกันโรคอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    สำหรับในช่วงตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอความร่วมมือผู้ชำแหละไก่สดให้สวมถุงมือทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการซื้อสัตว์ปีกป่วยตายมาชำแหละ หากสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติและมีอาการน่าสงสัยควรแจ้งอาสาสมัครสาธารณสุขหรือปศุสัตว์ทันที ในส่วนผู้บริโภคควรเลือกซื้อไก่ชำแหละจากร้านที่มีเครื่องหมายรับรองจากกรมปศุสัตว์และควรเลือกซื้อเนื้อไก่สดไม่มีรอยช้ำ หรือมีจุดเลือดออก ควรปรุงไก่ให้สุก ไม่ควรนำไก่ที่ป่วยหรือตายมาชำแหละเอง
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เรียนท่านเลขา
    ตกลงเป้นเทียนเคลือบออกยากมากครับ คาดว่าต้องใช้น้ำร้อนจัดถึง2ครั้ง เนื้อจะคล้าย top1 ไก่เล็กครับ หุ หุ
     
  13. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วิชาโหราศาสตร์ไทยเรานั้นหลักการใหญ่ๆขึ้นกับเทพยดา การพยากรณ์ยึดเอาเทพยดาอัฎฐเคราะห์ในการพยากรณ์ดีร้ายราศีทั้ง ๑๒ ก็มีเทพเจ้าครองอยู่ แบ่งราศีเป็นตรียางค์ ราศีละ ๓ ตรียางค์ ก็มีเทพเจ้าครองอยู่ แบ่งราศีตามนวางค์ ราศีละ ๙ นวางค์ก็มีเทพเจ้าครองอยู่ แม้กระทั่งดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ กลุ่มก็มีเทพเจ้าครอง ทุกราศี ทุกธาตุ วันเดือน ปี มีเทพเจ้าครองเช่นกัน ใน ๑ วันมีทั้งกลางวัน กลางคืนสลับกันไปก็มีเทพเจ้าครองอยู่ เรียกยามอัฎฐกาล การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ก็คือ วิชาว่าด้วยเรื่องที่เกี่ยวพันกับกาลเวลาของเราในขณะใดขณะหนึ่ง กับเทพยดาที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ปรุงแต่งบุญบาปของเรานั่นเอง

    โหรคือสื่อกลางของเทพยดา กับมนุษย์ ทำหน้าที่แจกแจงผลดีร้ายให้มนุษย์ได้ทราบโหราจารย์ผู้ใหญ่เช่นตำแหน่งพระยาโหราธิบดีจึงทำหน้าที่หนักมากไม่เพียงความเป็นอยู่ของพลเรือน แต่รวมไปถึงการรบทัพจับศึก หาจุดอ่อนของข้าศึก หาจุดเด่นของกองทัพ เมื่อได้ฤกษ์ยามแล้ว โหรก็ทำหน้าที่บอกกล่าวเทพยดาผู้ครองฤกษ์ยามนั้นให้ช่วยอวยชัยให้ คตามคติถือว่าพระอิศวรผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ครอบครองฤกษ์ทั้งหมด การบูชาฤกษ์คือการบูชาพระอิศวรนั่นเอง การให้ฤกษ์ผิด ผลร้ายอาจวกกลับเข้าสู่ตัวผู้ให้ฤกษ์ ดังนั้นการให้ฤกษ์ทุกคราวจึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน...

    ย่อจากบางตอนในฤกษ์พิสดารของอจ.เทพย์ สาริกบุตร
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การร่ำเรียนวิชาฟ้าดิน(ผมเรียกของผมเอง) นี้เป็นไปด้วยความสงสัยก่อนว่า จริงหรือ?? ผมก็ได้มีโอกาสพยากรณ์ให้กับบุคคลต่างๆจำนวนหนึ่ง บางท่านก็รอการพิสูจน์อยู่ บางท่านก็เห็นผลไปแล้ว และได้พยากรณ์ชะตาของตนเองก็เป็นไปตามนั้นทุกอย่าง เมื่อผลที่เกิดจริงตามที่ทำนายไว้มาถึง กลับไม่รู้สึกกระวนกระวาย หรือร้อนรุ่มใจไป หากแต่เป็นไปด้วยการยอมรับ เห็นแล้วก็เฉยๆ ปลงกับวัฎจักรความเป็นไปของชีวิตตัวเอง และผู้คนทั้งหลายด้วยซ้ำไป สุขทุกข์สลับกันไป ตามกฎของโลกธรรม ๘ มันไม่มีสาระเลยจริงๆ...

    พูดเรื่องโหราศาสตร์กับคนรุ่นใหม่ยิ่งในยุคhi-tech แบบนี้ด้วยแล้ว เขาเชื่อยากครับ เพราะความคิดเขาเป็นวิทยาศาสตร์ในเชิงของวัตถุ สิ่งของ ต้องได้รับการพิสูจน์ การวิจัย และออกผลงานวิจัยออกมาเป็นทางการจึงจะยอมรับได้ อันนี้ก็เป็นการคิดแบบหนึ่งในหลายๆทาง คือระดับการยอมรับของคนไม่เท่ากัน บางคนกว่าจะเชื่อต้อง match ความคิดให้เข้ากันหลายทางมาก และต้อง match กับแนวทางที่ใกล้เคียงกันด้วย อย่างจะนำผลการแพทย์ไปmatch กับทางโหราศาสตร์นี่ยากมากๆ เช่นวันก่อน ผมพาภรรยาไปตรวจหามะเร็งเต้านมทุกปี หลังจากที่เคยเป็นมาก่อน แต่ผ่าตัดจนได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่มีเนื้อร้ายแล้ว แต่เราก็ต้องตรวจทุกปี จนเมื่อสัปดาห์ก่อนคุณหมอบอกว่าที่ film เอกซ์เรย์เห็นแคลเซียมเกรงว่าจะเกิดซ้ำ ขอดู second opinion กับทางหมอรังสีก่อน ก็อีก ๑ อาทิตย์ไปฟังผลว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่

    ระหว่างรอผลนี้ ผมก็ตรวจดูทางโหราศาสตร์แล้วก็ไม่พบว่ามีอะไรที่น่าเป็นห่วง เพราะยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่มันจะร้ายนั่นเอง

    เมื่อไปฟังผล หมอก็สรุปว่า ไม่น่าจะมีอะไร เพราะขนาดของกลุ่มแคลเซียมไม่ได้ขยายขนาดใหญ่กว่าเมื่อ ๒ ปีก่อน แต่อยากให้ไปreconfirm กับคุณหมออีกโรงพยาบาล โดยวิธีการแทงเข็มเจาะตรงเข้าไปยังกลุ่มแคลเซียมนั้นแล้วดูดออกมาตรวจเพื่อขยายผลว่าใช่เนื้อร้ายหรือไม่..555555

    นี่คือการคิดแบบนักวิทยาศาสตร์จริงๆ การสร้างสมดุลโดยใช้เหตุผลตรรกะแบบทางวิทยาศาสตร์ และการคาดเดาจากตำแหน่งดวงดาวตามคัมภีร์โหราศาสตร์จึงควรใช้ให้เหมาะสม บางครั้งรู้แล้วก็ต้องวางอุเบกขาไว้ เพราะอธิบายยากจริงๆ ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเภสัชกรรม ตามหลักสูตรของกระทรวงสาธารณสุขที่ใช้ศึกษานั้น ก็ว่ากันถึงวิวัฒนาการการค้นพบหินบดยาในสมัยทวารวดี เรื่อยมาจวบจนสมัยรัตนโกสินทร์ จนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีพระองค์ท่านได้ตรากฎหมายเสนาบดี แบ่งการประกอบโรคศิลปะออกเป็น"แผนปัจจุบัน" และ"แผนโบราณ" โดยกำหนดว่า

    แผนปัจจุบัน คือผู้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยความรู้จากตำราอันเป็นหลักวิชาโดยสากลนิยม ซึ่งดำเนิน และจำเริญขึ้นโดยอาศัยการศึกษา ตรวจค้น และทดลองของผู้รู้ทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลก

    แผนโบราณ คือผู้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยความสังเกต ความชำนาญ อันได้สืบต่อกันมาเป็นที่ตั้ง หรืออาศัยตำราอันมีมาแต่โบราณ มิได้ดำเนินไปในทางวิทยาศาสตร์

    ดังนั้น เพื่อไม่ต้องไปค้าความกับผู้ใด จึงใช้หลักการง่ายๆคือ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  15. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    - ยังมีอีกมากที่วิทยาศาสตร์ ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องของพระพุทธศาสนา

    - สิ่งที่คนปัจจุบัน ไม่รู้ ไม่เห็น และ ไม่ทราบเรื่องราวในอดีต อีกมากมาย
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับล็อกเก็ต ผมเองจองไว้ 10 องค์ แต่ในจำนวน 10 องค์ มีเจ้าของแล้ว 8 องค์

    ท่านที่มีความประสงค์ที่จะจองหลังจากที่ผมได้ปิดการรับจองแล้ว ผมจะเปิดโอกาสให้กับท่านที่มีความประสงค์ที่ต้องการจะได้ไว้บูชา จำนวน 2 องค์ แต่จะต้องร่วมบริจาคเข้าชมรมรักษ์พระวังหน้า จำนวน 3,500 บาท/ 1 องค์ โดยหักค่าใช้จ่ายองค์ละ 1,500 บาท คงเหลือเงินบริจาคเข้าชมรมจำนวน 2,000 บาท และให้สิทธิเฉพาะสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า เท่านั้น

    แต่เดิมที่ผมเองเคยคุยกับหลายๆท่านว่า ในส่วน 2 องค์ที่ผมจองเกินไว้ จะให้ร่วมบริจาคเข้าชมรม โดยผมจะให้ร่วมบริจาคองค์ละ 6,500 บาทและหักค่าใช้จ่ายองค์ละ 1,500 บาท คงเหลือ 5,000 บาทที่จะเข้าบัญชีของชมรม แต่เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ผมจึงตัดสินใจลดเหลือเพียงองค์ละ 3,500 บาท(ตามที่แจ้งไว้ด้านบน)ครับ
    http://palungjit.org/threads/เம.ml#post2838743
    PaLungJit.com - ชมรม รักษ์พระวังหน้า
    ขอบคุณครับ
     
  19. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ใช้น้ำมันจันทร์น่าจะง่ายกว่าครับพี่ทั้งสอง...

    ช่วงนี้งานเยอะมากที่นี่ เพราะเปิดศูนย์ผู้อพยพแห่งใหม่ ต้อง Link Network / Test เสร็จจากนี้อาจขึ้นไปแม่ฮ่องสอนอีกจึงค่อยลงมาเรื่อยๆ ... จึงอาจมีเวลาร่วมแจมน้อยไปหน่อยครับ :)
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพิมพ์ที่จะติดด้านหลังล็อกเก็ต ผมจะดูก่อนว่า จะมีพิมพ์ไหนที่สามารถติดด้านหลังได้ดีหรือสวยกว่ากัน ระหว่างพิมพ์พิเศษ(เป็นที่รักของสามโลก) กับ พิมพ์พระสมเด็จ(จิ๋ว)(top of the top 4)

    ในส่วนของผมจะติดเป็นพิมพ์พระสมเด็จ (พิมพ์แป้งกระแจะ บุทอง , บุเงิน) ซึ่งหากท่านใดมีความประสงค์ที่จะติดเป็นพิมพ์แป้งกระแจะ บุทอง หรือ บุเงิน ขอให้แจ้งให้ผมทราบด้วย แต่ว่าต้องเพิ่มจำนวนเงินด้วย(โทร.สอบถามผมในรายละเอียด) หรือท่านใดที่มีพิมพ์นี้แล้ว สามารถนำส่งมาให้ผมได้ เพื่อดำเนินการนำไปติดให้ ส่วนพิมพ์ที่จะติดด้านหลังนี้ ผมจะมอบกลับไปให้ท่านเช่นกัน

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...