เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย The Third Eyes, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. ตัวกลมๆ

    ตัวกลมๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +5,941
    คุณณรงค์ฤทธิ์1976 พูดถึงพระศรีอริยเมตไตรยของอาจารย์ เอ...เราเก็บไปไว้ไหนหนอ

    ตอบช้าค่ะพี่วรรณนันท์ วันนี้ไม่ได้ไปค่ะ เมื่อวาน12/12ก็แวะไปอีก ไปเอาโน่นเอานี่มาอีกแล้ว
    แถมเมื่อวานอาจารย์สามตาคงเพลีย เห็นพักเอาแรง มีหลายๆคนมาช่วยทำให้บูธครึกครื้น
    พี่จักรพลก็มาคอยช่วยอาจารย์ อาจารย์สุวิก็แวะมาเลยได้โอกาสขอบคุณที่แถมยามณีนพเก้า
    และบอกวิธีให้ได้ผลด้วย (แหะๆ เสียของเป็นอาทิตย์)
    [​IMG]

    แล้วก็มีคุณเอ ดูฮวงจุ้ย ใครไม่มาเสียดายแหละ ดูในงาน100 เอาเลขที่บ้าน ที่อยู่ให้พิจารณา
    เราฟังไปก็ขำไป อย่างกะได้ยินคนนินทาตัวเอง ง่ะ ทุกท่านเจ้าขา เวลาทำอะไร ใครไม่เห็น
    แต่ชาวทิพย์รับรู้นะเจ้าคะ แถมเก็บรายละเอียดเก่งยิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก และก็ได้วิธีจัดบ้านใหม่
    เจ้าตัวออกตัวว่า ไม่ได้ไปดูบ้านด้วยตัวเอง โห นี่ไม่ได้ไปเองก็ละเอียดยาวเลย

    อีกหนึ่งหนุ่มก็คุณเปเป้ ท่านนี้มาช่วยตรวจพลังหิน วัตถุ ที่อาจารย์เล่าว่า มีความสามารถ
    คุยกับหินได้ เขาจะรู้ว่าที่ธาตุกายสิทธิ์ที่มี ช่วยในด้านไหน ดีหรือไม่ พอดีได้พญางูเหลือม
    ปากเป็ด กับขนนกอินทรีย์(ติดหินสะเก็ดดาว+คริสตอล) ลุงที่ขายแกดูพลังเป็นนะคะ
    ตรงกับที่คุณเปเป้ว่าเลย คุยด้วยตั้งนาน แบบว่าเล่าให้ฟัง ให้ลองตรวจเองด้วย แบบว่า
    มาช่วยงานแหละ คิดชิ้นละ20บาทเอง

    สำหรับขนนกอินทรีย์เราพัดเบาๆช้าๆ เย็นสบายจริงๆ คุณเปเป้ว่า ช่วยป้องกันออร่าตอนรักษา
    รัศมีประมาณสัก 4นิ้ว ไม่ถึงกับล้างออร่าได้
    [​IMG]

    ถ้าอยากให้งูปากเป็ดช่วยทำอะไร อย่างเตือนภัย ป้องกันอันตราย หรือโชคลาภ เรียกเงินเรียกทอง
    ให้ตั้งจิตดีๆ เท่าที่ฟังจากปากผู้ขาย เขาต้องการนำเงินไปสร้างพุทธศาสนสถาน เลยขอให้มีมาเยอะๆ
    เชื่อกันว่า เมื่อเขามาหาผู้ที่ครอบครองแล้ว ก็จะตาย3-5 นาีที เขาจะเอาแบงค์500 1000ไปช้อนไว้
    ผู้ขายเล่าว่า ตอนนั้นมากจนคุณแม่กลัว เอาไปลอยแม่น้ำทิ้งก็เยอะ
    [​IMG]
    คุณvisnuอยู่ข้างๆ บอกว่าได้ยินเสียงนึกว่าตัวอะไร ร้อง เก้บๆ เขาอยากบอกว่า
    หิว แค่น้ำ น้ำผึ้ง นมก็พอใจมากแล้ว กลับมาเลยจัดให้ โชคดีนะนี่มีคนบอก ไม่งั้นนะ
    อีกนาน(คนขายก็บอกให้จัดวัดพระ แต่ไม่คิดว่าหิวเป็น แหะๆ) และคุณเปเป้ บอกว่า
    เป็นของดีอยู่ ไม่ดีมีคืน 5555 ใครจะกล้าเก็บ และ ฟันธง ว่าไปที่อุดร
    ท่าทางเขาเกี่ยวข้องทางนั้น

    ถัดจากคุณเปเป้ ดูดวงดูกรรมกับคุณvisnuต่อ ง่ะ ก็ตรวจกันเอง นี่แหละ มาขำกันเสียอีกว่า
    ทำไมไม่ดูกับอาจารย์วิเชียร อ.สามตาเดินมาตบบ่า ตอบแทนว่า ดูกะคุณvisnuนี่แหละ
    บอกแบบนุ่มนวล ไม่สะดุ้งโหยง ข้อแนะนำตอนจบ คือ ละวาง ตัดปลิโพธ(ความกังวล)
    เรื่องคนในบ้าน ดีที่ไม่ยุ่งเรืองครอบครัวทั้งหมด เริ่มปฏิบัิติเลย ไม่ต้องผลัดวันประกันพรุ่ง
    ก็ได้กระทู้คุณvisnu เรื่องเรียนกรรมฐาน แล้วพี่เห็ดหอมกระทุ้ง เลยได้ไปวัดไลย์ ไปบวชจิตบวชใจ
    แถมจับเจ้าตัวเล็กไปอีก และคุยเรื่องวิบากกรรมตอนที่เป็นสมัยก่อน และบอกเล่าสิ่งที่เราอยากรู้
    พอออกจากโต๊ะ มีผู้ถามว่า ดีหรือเปล่า ก็เห็นเรายิ้มแฉ่งออกมา เลยกวักเรียกคนไปในตัว

    เป็นวันสนุกอีกวันหนึ่ง อะไรที่ไม่รู้ ก็ได้รู้เพิ่มเติม ขอบคุณทุกท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2009
  2. ploy_manee

    ploy_manee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +1,229
    โอ๊ะโย๊ะโย๋..... ท่าทางจะหนุก
     
  3. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    ประวัติของวัดคณิกาผล ( วัดใหม่ยายแฟง )

    ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า ยายคุณท้าวแฟง หรือบางครั้งก็เรียกว่า ยายแฟง เฉย ๆ ยายคุณท้าวแฟงนี้มีอาชีพเก็บตลาดเอาผลกำไร รวมทั้งเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลมด้วย

    ยายแฟงนั้นแกรู้ว่า ในหลวงทรงโปรดการทำบุญสร้างวัดแกจึงได้ทำการสร้างวัดด้วยเงินรายได้ของแก ขึ้นมา เพื่อต้องการให้สดุดสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดินกับเขาด้วยเหมือนกัน ที่ตรอกแฟง ในแหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า " วัดใหม่ยายแฟง " เมื่อสร้างเสร็จแล้ว แกก็ได้ทูลขอพระราชทานนามของวัดนั้น ทรงโปรดพระราชทานนามของวัดนั้นว่า
    " วัดคณิกาผล " อันแปลตรงตัวได้ว่า วัดที่เป็นผลได้มาจากหญิงโลมเมือง เพราะรายได้หลักของยายแฟงนั้นก็คือได้จากการเป็นแม่เล้า เจ้าโสเภณี

    ในการสมโภชน์วัด ยายแฟงได้ไปนิมนต์สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต พฺรหฺมรังสี ) ซึ่งสมัยนั้นสมเด็จฯ ท่านยังไม่มีสมณศักดิ์ คงเป็นเพียงแค่มหาโต พระมหาบาเรียนธรรมดาเท่านั้นให้มาเทศน์ฉลอง โดยมีความปรารถนาจะให้ท่านได้สรรเสริญผลบุญของตนต่อหน้าชุมชน แต่ผลก็ไม่ได้เป็นดังใจของยายแฟง เพราะพระมหาโต ท่านกลับเทศน์บอกแก่เจ้าภาพว่า ในการที่เจ้าภาพได้จัดการทำบุญเช่นนี้นั้น เป็นการทำบุญที่มีเบื้องหลังอยู่หลายประการ เป็นเหตุให้เหมือนกับว่า ในเงินทำบุญ ๑ บาทนั้น ยายแฟงจะได้อานิสงส์เพียงแค่สลึงเฟื้องเท่านั้น โดยพระมหาโตท่านได้ยกนิทาน เรื่องตากะยายฝังเงินเฟื้องไว้ที่ศิลาหน้าบันไดขึ้นมาประกอบคำเทศน์ของท่าน ด้วย ท่านได้เทศน์ว่า เพราะด้วยผลบุญที่ทำนั้นมีสาเหตุมูลฐานในการประกอบการบุญนั้นไว้ผิด แม้ว่าเรื่องที่เจ้าภาพได้สร้างวัดนี้ไว้นั้นจะเป็นการดี แต่ก็เพราะการตั้งฐานในการทำบุญครั้งนี้ไม่ถูกบุญใหญ่ จึงทำให้ผลแห่งการทำบุญนั้นใหญ่โตเหมือนดังที่หวังไว้ไปไม่ได้ คงจะได้บ้างก็แค่เพียงของเศษบุญ หรือจาก ๑ บาทก็ได้เพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น

    เมื่อยายคุณท้าวแฟงได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกขัดเคืองใจเป็นกำลัง มีอาการโกรธหน้าแดง จนแทบจะระเบิดวาจาออกมาต่อว่า บริภาษมหาโตอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเกรงเป็นการหมิ่นประมาท แกจึงได้เพียงแต่ประเคนกัณฑ์เทศน์ด้วยอาการไม่พอใจ กระแทก ๆ ดังปึงปังใหญ่ แล้วหลังจากนั้นแกก็จึงได้ไปนิมนต์เสด็จทูลกระหม่อมพระ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ในสมัยเมื่อครั้งที่พระองค์ยังได้ทรงผนวชอยู่ เพื่อจะได้ให้ทรงเสด็จมาประทานธรรมต่อให้อีกสักกกัณฑ์หนึ่ง โดยหวังว่า แกคงจะได้รับคำชมจากพระองค์ท่าน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแก้ลำพระมหาโตไปในคราวเดียวกัน

    ทูลกระหม่อมฯ ทรงรับนิมนต์ของยายแฟงแล้ว ได้ทรงประทานธรรม ในเรื่องจิตของบุคคลที่ประกอบการกุศลว่า ถ้าทำด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวก็จะได้อานิสงส์มาก แต่ถ้าบุคคลใดทำงานการบุญด้วยจิตที่ขุ่นมัว ก็ย่อมจะทำให้เกิดได้ผลน้อย และสำหรับในเรื่องของการสร้างวัดนี้ ก็ดูเหมือนจะเนื่องด้วยเรื่องของจิตที่ขุ่นมัวทั้งนั้น ดังนั้นอานิสงส์ผลบุญจึงมีเพียงเท่านั้น ตามที่ท่านมหาโต ท่านยกเรื่องตากะยาย ไปอ้อนวอนเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่มาประกอบนั้น เป็นเรื่องที่มีปรากฏในฎีกาพระอภิธรรมอยู่ เป็นฉากตัวอย่างที่ช่วยให้ท่านทำการตัดสินบุญของผู้สร้างวัดนี้ว่า ผลแห่งบุญนั้นจะอำนวยให้เกิดได้ไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย คงได้แค่เพียง ๓ ใน ๘ ส่วน เหมือนกับเงิน ๑ บาท โค้งเว้าหายไปเสีย ๕ เฟื้อง คงได้เพียง ๓ เฟื้อง คือ เหลือเพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น การที่ท่านตัดสินอย่างนี้ก็นับว่ายังดีนักเทียว ถ้าเป็นความเห็นของเรา (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ) คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น คือตัดสินตามเหตุที่ได้เห็น เพราะในการสร้างบุญนั้น วัดกันด้วยระดับของจิตใจ ผลที่เธอควรได้รับจึงควรมีเพียงเท่านี้ แล้วทูลกระหม่อมฯ ก็ลง เอวัง ไว้เท่านั้น

    เทศน์ ๒ กัณฑ์ของ ๒ ท่านนี้ นับเป็นเรื่องน่าคิด และในเรื่องนี้ผู้อ่านก็ควรจะคิดวินิจฉัยเองด้วยเหมือนกัน ผู้เรียบเรียงคิดว่า ท่านทั้งสองต้องการให้ยายแฟงรู้จักการทำบุญด้วยการพิจารณาลงไปถึงมูลเหตุ ต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ และให้รู้จักคำนึงถึงที่มาของสิ่งที่ได้มาใช้ในการทำบุญด้วยว่า เป็นมูลฐานสำคัญของบุญ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านคงทรงพระประสงค์ที่จะตอกย้ำความรู้สึกของยายคุณท้าวแฟง ให้รู้ตระหนักลงไปถึงในเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิต มีอำนาจความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องการสร้างวัดของยายแฟงนี้คงจะแสดงให้พวกเราได้เห็นอะไรๆ เกี่ยวกับการทำบุญกุศลได้ชัดขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย

    อนึ่ง ในเรื่องนี้มีอยู่ตอนหนึ่งที่ทูลกระหม่อมพระ ท่านได้ตรัสว่า คุณท้าวแฟงควรจะได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น ท่านผู้อ่านที่มีอายุน้อยนั้นอาจจะไม่ทราบมาตราเงินไทยในสมัยเก่า ดังนั้นจึงจะขอเรียนให้ทราบว่า ๔ ไพนั้นมีค่าเท่ากับ ๑ เฟื้อง และ ๒ เฟื้องเป็น ๑ สลึง ดังนั้น หนึ่งไพจึงมีค่าเพียงราว ๑ สตางค์เท่านั้น พระองค์ทรงบอกว่าที่ทำบุญบาทหนึ่งนั้นได้ผลบุญจริงๆ เพียงแค่ ๖ สตางค์ น้อยกว่าที่มหาโตท่านได้ตัดสินไว้เสียอีก คือ ใน ๑๐๐ ส่วน เหลืออยู่เพียง ๖ ส่วน เท่านั้นนั่นเอง

    และอีกประการหนึ่ง ควรทำความเข้าใจไว้ให้ชัดว่า คำว่า "จิดขุ่นมัว" ที่มีใช้อยู่ในเรื่องนี้นั้น ไม่ได้หมายถึงการขุ่นมัวด้วยความโกรธหรือการลุแก่โทสะเพียงอย่างเดียว ถ้าพิจารณากันให้ดีแล้วจะเห็นว่า ท่านหมายถึงความขุ่นมัวด้วยความโลภและความหลงด้วย คือ พร้อมกันทั้ง ๓ ประการ ยายแฟงโลภอยากได้หน้า และหลงไปว่า ในหลวงท่านจะโปรดปราน จึงได้สร้างวัดขึ้นมา ส่วนจิตใจของยายแฟงนั้น ไม่มีใครรู้ได้ แต่เท่าที่ประมาณพอได้ก็คือ แกเป็นแม่เล้าคุมซ่องนางโลม ดังนั้นจิตใจแกจึงน่าจะมีส่วนที่ผ่องใสในการกุศลอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นอกุศลอันขุ่นมัว ซึ่งซ่อนลึกหลบอยู่ภายในใจของแก

    คนที่ทำบุญเอาหน้า ได้เงินทองมาโดยไม่บริสุทธิ์นั้น จึงอยู่ห่างไกลบุญมาก ทำให้ไม่สามารถไปสู้คนที่ทำบุญด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และด้วยสิ่งของที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามผู้เรียบเรียงคิดว่า แม้ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย บุญนั้นไม่ว่ามากหรือน้อยเพียงใด ย่อมมีผลให้อุบัติเกิดเป็นความดีมาค้ำจุนผู้กระทำบุญนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว จะมากหรือน้อยก็มีแต่ดี เรื่องของยายแฟงนี้ได้เขียนเล่าเก็บเอาไว้เพื่อเตือนใจผู้ที่อาจจะตีความคิด เอาเองว่า จะหากำไรด้วยการทำชั่วทำบาปให้มาก แล้วก็จะเอาสิ่งของจำนวนมากที่ได้จากบาปกรรมของตัวนั้นมาสร้างความดี จะได้มีความดีมากๆ ความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะความดีที่เกิดนั้นย่อมมีผลน้อย อย่าคิดว่าทำชั่วไว้มาก ๆ แล้ว ก็จึงค่อยหันกลับมาทำความดี แล้วก็จะทำให้ได้กำไร เกิดเป็นผลบุญขึ้นอีกมากมายได้ตามที่ใจตนเองคาดเดาเอาไว้เลยเป็นอันขาด เรื่องของคุณท้าวแฟง ที่สร้างวัดคณิกาผลนี่นั้นนับว่าเป็นอุทาหรณ์ ที่น่าสังวรอยู่ไม่น้อยเลย จริง ๆ ทีเดียว

    สอง-สามวันนี้ไปดูชาวบ้านที่งานพลังจิตก็ไม่คิตจะมีอะไร มาตายเอาวันสุดท้าย
    ที่ยกมาให้อ่านข้าต้น บางคนคิดว่าในปัจจุบันจะมีคนที่เราเห็นใกล้ๆตัวเป็นแบบนี้
    ผมไม่เคยนึกเลยมาเจอเอาวันนี้จนได้ มีป้าท่านนึงมาหาอาจารย์ทุกวันมาให้อาจารย์
    ดูนั่นดูนี่อาจารย์ ก็ดูให้ทุกวันวันนี้อาจารย์ลองบอกว่าให้ลองมานั่งให้ผมดูซิ เราก็ดู
    ประโยคแรกก็บอกว่าไม่ใช่ เราก็ว่าเราดูไม่พลาดนะ ก็เลยต้องเร่งดูใหม่ซิก็เลยได้ความ
    ป้าท่านนี้ก็เป็นดังยายแฝง ใมาเพื่อให้เราดูและขมว่าแกทำบุญเยอะสร้างบุญเยอะ
    แต่มาดูกับผมแล้วต้องบอกเลยว่าไม่ใช่เราพูดตามที่รู้ที่เห็นก็บอกไปตรงๆ แล้วยัง
    มาพูดว่าตัวเองปฎิบัติอย่านั้นอย่างนี้ดีแล้วแพราะคนเองคิดดีแล้ว ประมวลแล้ว
    ว่าดี เมื่อรู้จริตว่าเป็นเช่นไรก็ได้แต่บอกว่าไว้รอตอนละสังขาร ก็ค่อยดูแล้วกันว่า
    จิตวาทะยัง หรือจิตสุดท้าย จะไปอยู่ภพภูมิใด ก็ได้แต่ลุ้นตอนนั้นแล้วกัน 5-5-5
     
  4. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    [​IMG]

    วันนี้ 15 ธ.ค. ครบ 7 วันพอดี ที่คุณแม่ผมได้สิ้นใจ หลังจากจัดการงานศพคุณแม่เรียบร้อย

    จึงไปถวายสังฆทาน พร้อมพระพุทธรูป ขนาด 9 นิ้ว โดยถวายกับมือ หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต

    ที่สวนทิพย์ แถมผมได้ถวายเป็นคนแรกอีก หลวงปู่ท่านได้ชี้ที่พระพุทธรูป ให้ถวายก่อน

    สิ่งของอื่นทั้งหมด เมื่อเสร็จแล้ว หลวงปู่ได้พานั่งสมาธิ ตอนขากลับบ้าน ได้ภาพถ่ายหลวงปู่ ,

    ซีดีพระธรรมเทศนา , และหนังสือ "อริยสัจ" ติดกลับมาด้วย ใครที่ยังไม่มีโอกาส สั่งสมกองบุญกุศล

    ก็รีบเร่งทำ สะสมไว้ก่อนตายนะครับ อย่ามัวหลงเพลิน หลงประมาท หลงสนุกไปกับชีวิต
     
  5. ตัวกลมๆ

    ตัวกลมๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +5,941
    ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะพี่มังกรบูรพา ขออำนาจพระพระศรีรัตนตรัยจงบันดาลบุญข้าฯให้คุณแม่พี่มังกรบูรพาค่ะ

    สำหรับปีนี้เป็นปีที่ดีกว่าเดิม เพราะได้เพื่อนๆพี่ๆกัลยาณมิตร พาไปวัด ไปเรียน ไปปฏิบัติธรรมค่ะ กรรมฐานที่
    เคยคิดว่าห่างไกล กลับมีกำลังใจในการปฏิบัติ และรู้สึกสนุกกับชีวิตในการเรียนรู้เรื่องแปลกๆคุณvisnuทักว่า
    เป็นคนที่อยู่คนเดียวแล้วไม่รู้สึกเหงา นั้นเพราะอะไร สาเหตุทีว่านั้น ยินดีเลยแหละค่ะ

    เรื่องอย่างยายแฟงที่คุณvisnuเล่า ก็เคยเจอเหมือนกันค่ะ มีทั้งหลงบุญ ทำบุญเอาหน้า เคยเห็นคนที่
    ทำบุญโทรเข้าไปรายการสด และจะมีรายชื่อปรากฏในหน้าจอทีวีตอนบริจาค แต่พอเขาไปติดต่อรับเงิน
    กลับไม่มีให้ ไม่รู้จะบาปกี่เด้ง ชีวิตจริงก็เฟคไปหมด ตอนลงส.ว.ก็มีคนเลือกไม่ถึง10คน ตอนนี้นอนกินข้าวแดงไปแล้ว
    บางคนทำตัวรวย(มีตังค์)จริง แต่กับลูกจ้างที่เป็นคนแก่ กลับไม่ยอมคืนเงินมัดจำไม่กี่พันบาท
    ถ้าไม่สะสมบุญอย่างพี่มังกรว่า ก็คงลำบากเหมือนกัน แต่ถ้าหลงทาง ไม่ศึกษาการทำบุญที่ถูกวิธี ก็หลงติดอีก
     
  6. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    วันเสาร์นี้อย่าลืมไปต่อยอด กรรมฐานครับ
     
  7. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    งานมหกรรมพลังจิต 10-13 ธค. 52 ผ่านไปด้วยดี
    ขอขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยให้งานสมบูรณ์ ยิ่งๆๆ

    คุณจิรศักดิ์ และคุณจักรพล....ช่วยตรวจ พระเครื่อง
    คุณ เปเป้..ช่วยตรวจพลังหิน
    คุณ เอ..ตรวจฮวงจุ๊ยบ้าน โดยแค่บอกเลขบ้าน..ก็รู้ โดยไม่ต้องไป
    คุณ วิษณุ..ตรวจกรรม
    คุณ กุล..ผู้สนับสนุน ยาสมุนไพร มะรุมอัดเม็ดแห้ง
    .....................................................................
    และบรรดาสมาชิก ชมรมที่มาเยี่ยมเยือนให้ความอบอุ่น..ทุกๆๆท่าน
    ................................................................
    หลังเสร็จงาน สามตา...พัก 2 วัน..หมดแรง หมดจิต จริงๆๆ
    ......................................................................
     
  8. yaninmai

    yaninmai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +129
    อาจารย์บอกหมดแรงซะเร๊ว...ไปเจออาจารย์หลังงานสองวันยังออกจะแรงดีอยู่เลยค่ะ หุหุ.... ยิ่งวันนี้คุยกันเรื่องมูลเหตุของวัดใหม่ยายแฟงที่คุณ visnu ยกตัวอย่างมาให้อ่านจนเห็นภาพ ยังได้อีกนะคะ 'จารย์
     
  9. aoffy_s

    aoffy_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +3,775
    ได้ไปดูกรรม กับพี่บาสมา

    พี่ทักเข้าไปทีนึง ก็อึ้งพูดจาไม่ออกแล้วครับ

    เหอๆ นึกคำถามอะไรก็ไม่ออก

    มานึกออกตอนถึงบ้านแล้ว55




    ขอบพระคุณมากๆครับ ที่เตือนสติ
     
  10. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    เนื่องจาก งานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ พันทิพย์ พลาซ่า..งามวงศ์วานจบลงแล้ว
    ชมรมคนตาทิพย์ จะย้ายฐานของชมรมที่ พันทิพย์ พลาซ่า ชั้น 6 ล๊อค ดี 24 กลับมายัง
    ฐานเดิม ทีี บนสถานี รฟม กำแพงเพชร บู๊ธ 042 ตั้งแต่ วันที่ 24 ธค 52 เป็นต้นไป
    จันทร์-ถึงอาทิตย์ 11.00-16.30 น ..ทุกวันเป็น ต้นไป
    จึงแจ้งมา เพื่อสมาชิก ทราบ
    สามตา
     
  11. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    มีฤทธิ์หรือเปล่า

    พระโสดาบัน-พระสกิทาคามี-พระอนาคามี ไม่มีความจำเป็นต้องเหาะเหินเดินอากาศ ขี่เมฆ หรือตาทิพย์ วิชชา 3 อภิญญา 6 อะไร

    เราก็ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร เพราะไม่เคยเปิดตำราธรรมเลย คือเรามองหน้าคนแล้วรู้ว่า คนนี้ทำดีหรือชั่วแค่นั้น แล้วก็ใช้หูทิพย์คุยกับเทพ+มารทั้งหลาย แค่นั้นเองเพราะพวกท่านมาสอนธรมมะให้เรา โดยไม่แบ่งว่า เป็นเทพหรือมาร
    เพราะในความดีมีความเลว ในความเลวมีความดี คละเคล้ามากน้อยแตกต่างกัน ที่ว่าเลวที่สุดคือท่านพญามารเหรอ ไม่ใช่นะ ท่านมีความดีสอนธรรมเราอยู่ด้วยในขณะนี้

    เราไม่สนว่า ใครจะคิดอย่างไร แค่เราคุยกับเขา ก็สนใจเพียงบทสนทนาต่างๆ เท่านั้น บางทีแทบจะไม่ได้ยินเสียงสนทนาต่างๆ เลย เพราะเราจับอยู่กับเวทนาที่เกิดดับในใจเราเท่านั้น คือยุ่งกับเรื่องของตนเอง ไม่ใส่ใจเรื่องคนอื่นว่าจะคิด จะทำอะไร เพราะมันไม่เกิดประโยชน์กับเรา

    เหมือนเดินเข้าไปนั่งอ่านหนังสือในโรงอาหารที่มหาลัย เราไม่สนใจเสียงดังของคนเลย เราแค่ต้องการอ่านหนังสือของเราเท่านั้น

    จิตคิดว่า จะต้องตายอยู่ทุกขณะ คือเราไม่สนใจว่าจะตายหรืออยู่ เพราะเราลาตายกราบพ่อแม่ไว้นานมากแล้ว เลยพร้อมตายทุกเมื่อ เราคิดเรื่องความตายบ่อยจนกลายเป็นความปกติ คล้ายเวลาหิวก็เดินไปกินข้าว เท่านั้นเอง

    แค่ปัญญาของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถต่อกรกับพญามารได้ ต้องปัญญาในระดับ พระอนาคามี จึงจะตกลงหยวนๆ ได้ เพราะท่านพญามาร ไม่ถึงกับระดับพระอนาคามี เนื่องจากท่านยังติดอยู่กับเรื่อง รักๆ ใคร่ๆ แต่พอเราปรามท่านว่า ท่านเป็นอมตะแบบนี้น่าเบื่อ+ไม่ใช่สุขที่แท้จริง ท่านก็เข้าใจ และเลิกรังแกเรา

    ถามว่าเรานั่งสมาธิได้มั้ยตอนนี้ เราเหมือนอยู่ในฌาน 4 ทุกขณะ คือสงบขึ้นเรื่อยๆ จนในหูมีเสียงคล้ายกับทีวีที่เปิดทิ้งไว้ คือเป็นเสียงของคลื่นเจ็บแก้วหูนิดๆ จมูกเราไวต่อกลิ่นเทพและมารมาก ประสาทสัมผัสของเรารู้ว่าใครมาแตะต้องตัวเราอยู่

    เวทนาที่เกิดกับเราเช่น ปวดท้องน้อย หิวข้าว ล้วนแต่เป็นแบบรู้สึกเฉยๆ เพราะมันไม่รุนแรงขนาดทนไม่ไหวจะต้องตาย มันไม่ใช่แบบนั้นนะ หากเราไม่ทานข้าวเลย เราก็อยู่ได้ แบบปิติยินดีด้วย เพราะเราเบื่อสังขารนี้มาก ตื่นขึ้นมาตอนเช้าต้องมาขับถ่าย เหม็นๆ ทานเข้าไปเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย ใครว่าพระสกิทาคามีไม่หิว พระอรหันต์ไม่หิว ไม่จริงหรอก ท่านหิวแหละ หากไม่มีอะไรให้กิน ก็ไม่แสวงหาหรอกนะ เพราะมันเฉยๆ ไม่กินก็ได้ กินก็ได้ ถามว่าอร่อยมั้ย อร่อยก็งั้นๆ ไม่อร่อยก็งั้นๆ ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยอ่ะ มันก็เหมือนอารมณ์ทั่วๆ ไปเท่านั้นเอง

    ตอนนี้ถามว่า เราอยากไปนิพพานมั้ย เราอยากไปที่สุดเลย ไม่เคยอยากไปไหนได้ขนาดนี้เลย แค่คิดถึงนิพพาน น้ำตาเราก็ไหลแล้ว เพราะมันเหมือนที่สิ้นสุดการเดินทาง หลายแสนล้านล้านกัป ดูดิ น้ำตาไหลเลย แต่แป๊บเดียวก็หายไป แปลกมั้ย

    จิตเราละเอียด แต่ปัญญาของเราไม่ค่อยมีเลย ความจำของเราก็ไม่ดี สัญญาเก่าๆ ที่เพิ่งน้ำตาไหลเมื่อกี้ เราจำแทบไม่ได้ว่า ทำไมต้องน้ำตาไหล พอคิดว่า อ๋อ เพราะคิดถึงนิพพานนั่นเอง ก็นึกออก แต่ก่อนหน้านี้จำไม่ได้เลยว่า เราคิดอะไรอยู่ เพราะเราไม่สนใจที่จะย้อนไป เนื่องจากมันหาสาระไม่ได้ จะไปย้อนนึกถึงมันทำไมกัน แค่อยู่กับปัจจุบันก็พอแล้ว

    เราโยนหนังสือต่างๆ ที่เกี่ยวกับ การสอบอารมณ์ทิ้งไปหมด เพราะที่เขียนนั้น มันขึ้นกับสภาวะธรรมของแต่ละคนด้วยว่า ภูมิธรรมของเขาถึงมั้ย หากอ่านแล้วเขาไม่เข้าใจ ก็เพราะเขาไม่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อน เอาตำราแคลคูลัส 3 ไปให้เด็กประถมอ่าน มันจะเข้าใจได้ยังไง ต้องรอให้โตเข้ามหาลัย ผ่านแคล 1 แคล 2 ก่อน ค่อยมาเข้าใจแคล 3

    สรุปนะ เราขอสูบไปค์ก่อน ค่อยเขยิบขึ้นไป เพราะเราต้องการเสพระลึกย้อนความหลังว่า ตอนที่เสพแล้วในระดับพระสกิทาคามีนั้น มันรู้สึกชอบมากน้อยขนาดไหน ระเริงใจมากกว่าระดับโสดาบันขนาดไหน แล้วตอนที่เป็นอนาคามี คงจะเสพไม่อร่อยเท่านี้แล้ว เพราะจิตมันไม่สน

    ทีนี้เรารู้แล้วล่ะ ว่าทำไมความจำเราเสื่อม แล้วเราคิดไม่ออกว่า เมื่อ 2-3 วันที่แล้วเราได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง

    ป.ล. ที่มา ... จากประสบการณ์ของท่านผู้นึง<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2009
  12. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    ประตูแดนนิพพานคืออะไร

    เป็นเพียงประตูทางเข้านะ ยังไม่เหยียบนิพพาน จะเหมือนสัญญาณจอทีวีดับ จะมีแต่คลื่นและพลังงาน เราไม่สนใจหรอกว่า ร่างกายเราจะเป็นยังไง เพราะจิตจะละเอียดขนาดซอยย่อยได้ แต่รู้แค่เกิดดับเท่านั้น

    มิติที่เห็น จะซอยย่อยเป็นภาพพิกเซลเล็กๆ หลายๆ ล้านล้านพิกเซล เข้าไปแล้วเป็นยังงัย เรายังไม่เข้าไปหรอก เพราะเรายังตัดเรื่องทางโลกไม่ได้ เพราะเราเป็นแม่ลูกอ่อน เรามีหน้าที่ต้องทำ ไม่ใช่ว่าเหยียบนิพพานแล้วจะตายนะ แต่หากไปนิพพานแล้วขัดกับสภาพครอบครัว เราไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงลูกชายได้ เพราะเราไม่อยากทิ้งลูกเป็นภาระให้ใครส่งเสียต่อ

    ถามว่า หากตัดได้แล้ว ทำไมถึงเป็นห่วงลูกชายวัย 2 ขวบ นั่นเป็นเพราะเราสร้างเขามาด้วยกฏแห่งกรรม หากเราไม่รับผิดชอบเขาแล้ว เราไปฝืนกฏแห่งกรรมขอเขามาด้วยวิธี พลีกรรมลัทธิพราหมณ์ มาทำไม ชีวิตต้องรู้จักความรับผิดชอบ ก่อนที่จะโยกย้ายสถานภาพ ต้องมั่นใจว่า เป็นทางที่ไม่กระทบกระเทือนทุกฝ่าย หากเราเป็นชาย บวชได้คงบวชไปแล้ว เพราะไม่มีภาระอะไร

    แล้วถามว่า ไปนิพพานแล้วทำไมประกอบอาชีพเลี้ยงลูกไม่ได้ เรารู้แต่เพียงว่า พระอินทร์ท่านไม่ให้เรานิพพาน เพราะสภาวะเราไม่เหมาะ ท่านเตือนว่า ทำอะไรต้องดูสภาพจิตใจด้วย Careful with your heart.

    เราถามพระอินทร์กลับว่า ทำไมพระแม่ธรณีท่านบีบมวยผมล้างพวกพญามารให้พระพุทธองค์ตอนที่ท่านตรัสรู้ ทำไมแม่พระธรณีท่านไม่ไปนิพพานเองเล่า เพราะขนาดปราบพญามารยังสามารถทำได้ แล้วเหตุใด พระพุทธองค์ท่านไม่ปราบเอง

    เพราะพระพุทธเจ้า ท่านเอาโกรธใคร/ทำลายใครไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีอำนาจ แต่เพราะพระองค์ไม่มีความโกระหรือเกลียดใคร ชีวิตมีแต่อภัยทานทั้งชีวิต พระแม่ธรณีท่านเหมือนกับ Guardian เพื่อพิทักษ์ปกป้องคนที่ถูกกำหนดมาให้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    สรุปว่า คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องสภาวะเพียบพร้อมทุกประการ ปราศจาคข้อผูกมัดใดๆ เหมือนคนโบราณกล่าวว่า Born to be เข้าใจไหม

    ป.ล.สูบไปค์เสร็จแล้ว ขอบคุณท่านพญามาร เราไปประตูนิพพานไม่ได้ ขอมอบชีวิตให้ท่านในร่างของพระอินทร์หรือพระเจ้าในศาสนาคริสต์ดูแลไปก่อนนะ ห้ามเผลอล่ะ เผลอจะแว้บไปนิพพานจริงๆ นะ งัดข้อกันต่อได้ แต่วันนี้วันคริสต์มาส ขอบคุณสำหรับแหวนแต่งงาน นี่ท่านจะหลอกอะไรเราอีกมั้ย หากเราตกลงจะเป็นอมตะ Immortal Heaven ครองคู่กับท่าน

    ที่มา.....ประสบการณ์ของผู้ปรารถนานิพพาน แต่สภาวะไม่ได้ Born to be จ้า
     
  13. visnu

    visnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +23,778
    วันนี้มีเรื่องอยากนำมาให้อ่านอีกแล้วครับ[FONT=&quot]
    ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒ หลังพุทธปรินิพพาน ประมาณ พ.ศ. ๒๑๘ ปี
    ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย)
    พระเจ้าศรีธรรมาโศกมหาราช (พระเจ้าอโศกมหาราช)
    ได้ผ่านพิภพมไหสวรรค์ราชสมบัติ พระองค์ทรงเลื่อมในในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
    [/FONT][FONT=&quot]ได้ทรงสถาปนาสร้างพระวิหารและพระสถูปนัยว่าถึงแปดหมื่นสี่พันแห่งทั่วชมภูทวีป
    และได้ทรงขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุมาไว้เพื่อนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง
    เมื่อได้ทรงขุดค้นรวบรวมหมดแล้ว ก็อัญเชิญไปสู่นครปาตลีบุตร ทรงกระทำการสักการะสัมมานะโดยเอนกประการ
    แล้วทรงแจกพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือเข้าบรรจุไว้ในพระสถูปองค์ใหญ่อีก ๑ องค์สูงถึงกึ่งโยชน์ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา
    ใกล้นครปาตลีบุตร แล้วนำพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือข้าบรรจุไว้ในพระสถูปองค์ใหญ่นั้นและก็ทราบว่ามีบางส่วนที่ส่งไปบรรจุไว้ในต่างแคว้น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว [/FONT][FONT=&quot] พระองค์ก็ทรงปรารภที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสีพันองค์นั้น
    เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ในระยะเวลาดังกล่าว
    เพื่อให้การฉลองสมโภชเป็นไปด้วยความเรียบร้อยปราศจากอุปสรรค
    จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพที่ทรงอิทธิฤทธิ์
    เป็นผู้คุ้มครองงานให้ปราศจากการรบกวนจากมาร้ายต่าง ๆ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร [/FONT][FONT=&quot] ไม่มีองค์ใดที่จะรับเป็นผู้คุ้มครอง
    งานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ได้ โดยเฉพาะพญาวัสสวดีมาร
    ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ องค์
    ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์
    ซึ่งจำพรรษาอยู่กลางมหาสมุทรมาช่วยรักษาความปลอดภัยในงาน
    มิให้งานสมโภชองค์พระสถูปเจดีย์พบอุปสรรค
    ให้ดำเนินไปโดยตลอดปลอดภัยทุกประการ [/FONT][FONT=&quot]<o>

    </o>[/FONT] [FONT=&quot]เมื่อพระอุปคุตเถระได้รับนิมนต์จากผู้แทนพระสงฆ์เมืองปาตลีบุตรแล้ว
    [/FONT][FONT=&quot]ก็เดินทางมานมัสการและรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น
    พระเจ้าศรีธรรมโศกมหาราชได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์ เพื่อขอทราบ
    ผู้จะเข้ามาทำหน้าที่รักษาการงานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์
    พระสงฆ์แนะนำพระอุปคุตเถระให้ทรงทราบ เมื่อพระองค์ทรงทรงทราบ
    ผู้จะมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในงานแล้ว
    ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระมีลักษณะอ่อนแอ
    ร่างกายผ่ายผอมเกรงจะทำหน้าที่ไม่ได้สมบูรณ์แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]รุ่งขึ้นวันใหม่ ขณะที่พระอุปคุตหาเถระออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรนั้น [/FONT][FONT=&quot]
    พระเจ้าศรีธรรมาโศกมหาราชใคร่จะทดสอบดูฤทธิ์พระเถระ
    จึงทรงปล่อยช้างซับมัน ( ช้างตกมัน )
    ให้เข้าทำร้ายพระเถระพระมหาอุปคุตเห็นดังนั้นจึงสะกดช้างที่กำลังวิ่งเข้ามา
    ให้ยุดอยู่กับที่ ไม่ไหวติงประดุจช้างที่สลักด้วยศิลา [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อพระเจ้าศรีธรรมาโศกมหาราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใส
    จึงเสด็จไปขอขมาโทษพระเถระ ที่ได้กระทำการล่วงเกิน
    โดยเจตนาจะทดลอง พระมหาอุปคุตเถระ ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าศรีธรรมโศกมหาราช
    และพญาคชสาร พญาศรีธรรมาโศกมหาราชทรงพอพระทัย
    [/FONT][FONT=&quot] ตรัสสั่งให้เตรียมฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมด ด้วยการปลูกปะรำร้านโรง
    ประดับธงทิว และประทีปโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์
    ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคาสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ[/FONT]
    [FONT=&quot]บรรลุ ฤกษ์งามยามดีตามที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ [/FONT][FONT=&quot] บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพ
    และพระสงฆ์ปุถุชน ตลอดพุทธศาสนิกชน
    ทั้งในนครปาตลีบุตรและต่างแดนจากจตุรทิศ ได้เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงาน
    ต่างก็มีเครื่องสักการะบูชาอยู่ในมือเพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภชพระบรม
    สารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์ และเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์
    ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่ามกลางบรรดานักแสวงบุญ ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณงานนั้น พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร
    ( เทพบุตรที่เป็นมาร )
    ได้โอกาสงามเช่นนี้ [/FONT][FONT=&quot] ก็แปลงร่างจากปรนิมมิตตะวัสสวดีเทวโลก
    อันเป็นที่อยู่ของตน ปนเปกับนักบุญทั้งหลายเพื่อทำลายพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่นั้น [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ในขณะนั้นพระมหาเถระอุปคุต [/FONT][FONT=&quot] ผู้ได้รับแต่งตั้งให้รับผิดชอบรักษาความปลอดภัยในบริเวณงานทั้งหมด
    หยั่งทราบด้วยญาณอันวิเศษ ถึงมหาภัยที่กำลังคุกคามอยู่เบื้องหน้า ที่ปลอมมาในรูปของนักบุญจึงเนรมิตร่างสุนัขเน่าที่กำลังขึ้นหนอน
    อธิฐานให้เข้าไปคล้องไว้กับคอพญามารแล้วอธิฐานว่า
    แม้เทพดามหาพรหมยมยักษ์ภูตผีปีศาจที่มีฤทธิ์เข็ดขลัง
    ก็อย่าสามารถนำร่างสุนัขเน่านี้ออกจากคอพญามารได้ แล้ว
    ขับพญามารหนีออกจากบริเวณงานทันทีพญามารพยายามแก้ร่างสุนัขเน่า
    ด้วยฤทธานุภาพอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ออกได้ [/FONT]
    [FONT=&quot]พญาวัสสวดีมาร ยอมแพ้แก่พระอุปคุตเถระผู้ทรงฤทธิ์ เมื่อสิ้นคิดที่จะแก้ไข
    [/FONT][FONT=&quot]ก็ยอมออกจากบริเวณงานโดยดีแต่ขอร้องให้มหาอุปคุตเถระแก้ร่างสุนัขเน่า
    ออกจากคอของตน เพราะทนต่อกลิ่นเหม็นไม่ได้พระมหาอุปคุตป์ก็อนุโลม
    ตามแต่ไม่ไว้ใจพญามารสนิทนัก เพราะเกรงพญามารอาจคิดกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง
    จึงอธิษฐานประคตเอวให้เป็นดังโซ่เหล็กผูกพญามารติดไว้กับเขาลูกหนึ่งนอกบริเวณงาน
    แล้วบอกแก่พญามารว่า เมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้ว
    จึงจะแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่องานฉลองสมโภชมหาเจดีย์ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน
    [/FONT][FONT=&quot]สิ้นสุดลงด้วยความเรียบร้อย พระมหาเถระจึงได้ไปหาพญามารที่เขานอกเมือง
    เพื่อสังเกตดูว่าพญามารจะสิ้นพยศหรือยัง
    ก็ทราบว่าสิ้นพยศแล้วทั้งยังกล่าวสดุดีพระพุทธเจ้าว่า “ สมเด็จพระพุทธชินสิห์”
    องค์ใด ทรงมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่
    ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้ เป็นที่พึ่งพำนักแก่สัตว์โลกทั้งมวล
    ในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้นเป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง ในกาลก่อน
    ข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์โดยประการต่างๆ
    แต่พระองค์ ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ มิได้กระทำการโต้ตอบแก่ข้าพเจ้าเลย
    มาบัดนี้ สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุตไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย
    กระทำกับข้าพเจ้าให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสและได้รับความอับอายเป็นอย่างยิ่ง
    ถ้าหากว่า ข้ายังมีบุญกุศลที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานปรารถนา
    เป็นพระสัพพัญญูในอนาคต” [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อพระอุปคุตเถระ [/FONT][FONT=&quot] ได้ยินคำกล่าวสดุดีพระพุทธคุณและแสดงความเสียใจ
    ของพญามารออกมาเช่นนั้น ก็เห็นว่าพญามารสิ้นพยศแล้ว จึงแก้โซ่เหล็กออก
    ปล่อยให้พญามารเป็นอิสสระอีกครั้งหนึ่ง


    พญามารตนนี้หรืออีกชื่อคือ[/FONT][FONT=&quot] พญาวัสสวดีมาร คือมารตนเดียวกันกับที่มาขวางการตรัสรู้ของพระพุธองค์
    ในครั้งนั้นพญามารแพ้ไปแต่มิได้คิดว่าพระพุทธองค์ นั้นเก่งหรือมีบารมีมากซักเท่าไรจึงยังไม่สำนึก
    แต่เมื่มาเจอกับ[/FONT] พระอุปคุตซึ่งเกิดขึ้นหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วประมาณ พ.ศ. ๒๑๘ ปี จึงได้รู้ว่า พระอุปคุตที่เป็นเพียง สาวกยังมีพลานุภาพมากมายขนาดนี้ ถ้าเป็นพระพุทธองค์ จะขนาดไหน
    เพียงแต่ พระพุทธองค์ ทรงมีพระเมตตา จึงไม่ได้กระทำการตอบโต้มา จึงได้ตาเห็นธรรมตามที่พุทธองค์ เคนทำนายไว้ว่า
    [FONT=&quot]พญาวัสสวดีมาร จะมีดวงตาเห็นธรรมโดยมี [/FONT]พระอุปคุตเป็นผู้ที่ทำให้รู้ธรรมครับ[FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2009
  14. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    การสอบตก

    หากเข้าแดนนิพพานแล้ว ไม่ได้หมายถึงว่า จะเป็นแบบนั้นอมตะกาลนะ อันนี้ไม่จริง เพราะจะถูกสอบอารมณ์ตลอด หากไม่ผ่านต่อสิ่งเร้าต่างๆ ก็ตกชั้นมาตามลำดับ ไม่ใช่ว่าแดนนิพพานจะดับสูญนะ ไม่จริง เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นอนัตตา มีเกิดมีดับตลอด จับเอาแก่นสาระไม่ได้

    แดนนิพพานเป็นเพียงพลังงานเท่านั้น อันนี้ต้องเข้าใจก่อน แล้วพลังงานตามหลักควอนตัมฟิสิกส์ ก็ต้องมีการควบคุมบาลานซ์กันตลอด ไม่ใช่ว่าแดนนิพพานจะมีพลังงานความดีอย่างเดียว ไม่มีความชั่วนะ เพราะจะถูกล่อลวงให้ตกมาตามลำดับขั้นตลอด หากใครปรารถนานิพพานจริงๆ ต้องทรงสถานภาพนั้นๆ ไว้ให้ได้ คล้ายการทรงอารมณ์ของฌาน 4 ไม่มีหลุดเลย

    บอกแล้วว่าต้อง Born to be จริงๆ เพราะเราสอบตก เมื่อวานเหยียบอนาคามี วันนี้มาอยู่สกิทาคามี เกือบจะตกไปอยู่ระดับโสดาบันแล้ว แต่หากผู้ใดรู้หนทางไปที่สุงกว่าแล้ว ย่อมทำได้ไม่ยากที่จะก้าวกลับไปใหม่ เหมือนสอบเข้ามหาลัยได้แล้ว การลงมาเรียนชั้นมัธยมปลายมันสบายใจกว่า ก็เรียนมัธยามปลายไปก่อน เพื่อนเยอะและไม่ต้องโตเป็นผู้ใหญ่งัย เข้าใจไหม หากจะเอนทรานซ์เข้ามหาลัยใหม่ ก็ทำตามแบบเดิมๆ ที่เคยทำ ก็ไปได้ แต่มันเหงานะ แล้วสภาพฆราวาสทำไม่ได้หรอก ควบ 2 โลกคือโลกมนุษย์กับโลกวิญยาณแล้ว เหมือนเหยียบเรือ 2 แคม เอาดีไม่ได้สักทาง ก็ขออยู่มัธยมก่อน แล้วค่อยเอนทรานซ์ใหม่ เมื่อถึงเวลาที่ควร

    ที่เราเขียนมานี่ พอจะเข้าใจไหม หากไม่เข้าใจ ก็เอาไว้สอบอารมณ์ กางตำราไปก่อน หากสถานภาพถึงเมื่อไร ก็เอาตำรามาเปิดกางดูว่า ที่เรากล่าวมานี้ ท่านเห็นด้วยไหม

    ยิ่งครองร่างกายมนุษย์นานขึ้นเท่าใด โดยที่ไม่ก้าวไปนิพพาน ยิ่งไหลตกลงมาเรื่อยๆ เขาเรียกว่าภูมิธรรมตก และไม่รู้จะถูกกาละเทศะเมื่อไรด้วย หากแต่การครองร่างมนุษย์นี้ เราทำเพื่ออะไร ใช่เพราะกลัวตายหรือเปล่า แต่ครองร่างกายนี้เอาไว้เพื่ออะไร ต้องเขียนสัญญาให้ดีนะ เพราะพญามารมาทวงมาตามจี้ทุกวันแบบนี้ ก็ไม่มีความสุขหรอก อาหาร+น้ำก็หากินลำบากจริงๆ

    ที่มา...ประสบการณ์ท่านที่ไม่มีบารมีจะก้าวสู่แดนนิพพาน แค่เห็นประตูทางเข้า อิ อิ
     
  15. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    เคล็ดลับพระนิพพาน

    ต้องรวมศาสนาทุกศาสนาให้ได้ก่อน แล้วดูว่าใครเป็นใคร ภูมิธรรมระดับใด คอนเซปท์เป็นอย่างไร หากยังรวมไม่ได้ หรือคิดแอนตี้ ก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้าพระนิพพานจ้า...

    ป.ล. เรากำลังเด็กลงทุกวัน เด็กลงมากๆ เลยนะ แทบไม่เชื่อตัวเองเลยล่ะ เด็กที่ระดับสมองและสติปัญญา รวมทั้งรสนิยม เหอะ เหอะ
     
  16. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    ที่ถ่ายไม่ ชัด เพราะว่า ถ่ายใกล้ เกินไป
    เกินกว่า ระยะ ที่ ใกล้ที่ สุด ของ เลนซ์ กล้อง ตัวนี้ จะ โฟกัส ได้ ครับ ผม

    พระสวยดี นะ..........55
     
  17. ploy_manee

    ploy_manee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +1,229
    ถ่ายใกล้ไม่พอ แสงแฟลชสะท้อนถุง จึงมัวววว

    อีกมะกี่วันจะเข้าสู่ปีใหม่แระ อิอิ เราก็รู้สึกดีขึ้น อย่างที่เบื้องบนบอก
    จะเจอไรอีกเยอะ ตั้งท่ารับให้ดี

    วันๆ รู้สึกจะคุยกะคนไม่รู้เรื่อง เพราะคุยข้างในมากเกินไป คนละภาษา
    กลายเป็นคนโง่ซ้ำซากเพราะพูดไม่รู้ภาษาคน

    แต่ก็ อารมณ์ดีเว้ย 555555555
     
  18. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    อาจจะใช่กระมังค่ะ เพราะว่าเคยลองเอากล้องออกห่างจากจุดนี้แล้ว รูปก้ไม่ชัดเหมือนเคย พอเอาเข้าก้เป็นอย่างที่เห็น ตอนก่อนกดถ่ายรูปก้ออกมาพอดูได้นะคือ แต่พอกดถ่ายจริงๆกลับเป็นอีกแบบอย่างที่เหนมันเบลอๆอย่างนี้เกือบทุกรูปเลยไม่ว่าจะถ่ายออกห่างจากนี้มากแค่ไหน แถมมีแสงสะท้อนออกมาจากองพระ ถึงแม้จะไม่ใส่ถุงก้ตาม ลองทั้งปิดและเปิดเฟรชแล้ว ก้ยังไม่ชัดเหมือนเดิมลองทั้งถอดออกจากถุงแล้วก้ยังเบลอเหมือนเดิม สรุปว่าจนปัญญาค่ะ แหะๆ อาจจะเพราะท่านองเล็กด้วย กระมังค่ะ ก้เลยถ่ายลายละเอียดออกมาลำบาก(มั้ง)

    แต่ได้ป๊ะปี๊องนี้มาแล้วรู้สึกมีกำลังใจในการทำอะไรมากขึ้น ปีห้าสามนี่ศึกทัพใหญ่จาก...กำลังจะมา ต้องรับศึกหหนักแบบเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ได้ป๊ะปี๊มาช่วยเสริมกำลังใจละ สู้ๆๆตายค่ะ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2009
  19. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    อ้อ..เลื่อนเป็นน้ำท่วมโลกปี 2010 นะ พวกมันเลยรีบใช้เงินในธนาคารของเราจนหมดงัย สงสัยมันจะเอาเราใส่ยานอวกาศไปด้วยแน่ๆ เลย นี่ตรูจะได้เจอหน้าลูกมั้ยเนี่ยะ ตรูไม่ใช่โรงงานผลิตเด็กนะ ตรูก็มีหัวใจนะ

    ตอนนี้ฐานทัพเอเลี่ยนอยู่ใต้ทะเลครับ แล้วเมื่อวานรถที่อัสดงนั่งไปกับเพื่อนหม้อน้ำระเบิด บู้มส์ เลยครับ พวกเสื้อแดงมันจะเอาอัสดงตายตอนที่อยู่ในพื้นที่ภายในปกครองมันแถวชลบุรี อมตะนคร บ้าบอของมันหล่ะครับ

    อัสดงให้เพื่อนซิ่งหนี 200 km/h รถไหม้เลยครับ หม้อน้ำระเบิด มาถึงพระราม 6 เกือบตายอ่ะ ต้องเอารถไปพักบ้านตระกูล เศวตศิลา แถมมันเรียกนกแสกมา 3 ตัวอีก

    กว่าจะให้คนมาช่วยรอดนั้น มันปิดมิติไม่ให้เพื่อนของอัสดงเห็นรถอัสดง มันซ่อนเรา ติดต่อทางโทรศัพท์ก็ลำบาก เพราะมันกวนคลื่น ไม่ให้โทร.ขอความช่วยเหลือ

    ยิ่งมืดพวกแวมไพร์ก็ออกมารุมกันเต็ม มันจ้องดักทุก 4 แยก อัสดงไม่กลัวหรอกครับ พระบารมีของในหลวงคุ้มครองอัสดง จึงไม่กลัวตายเลยครับ

    อ๊ะ อ๊ะ พวกเสื้อแดง มรึงรู้ป่าวว่า พวกเล่นไสยศาสตร์ทำร้ายคนอื่น ต้องตกนรกโดนเคี่ยวในน้ำมันเดือดๆ หากพวกมรึงอมตะ แน่จริงฝืนนรกให้ได้นะ เราจะคอยดู 5555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2009
  20. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    อุตตรกุรุทวีป

    โลกของเขาแต่ละโลกใหญ่กว่าโลกเราถึง 9 เท่า แต่มีมนุษย์อยู่เพียง 90,000 กว่าคนเศษเท่านั้น มีอายุประมาณ 1,000 ปี มากกว่ามนุษย์โลกเราราว 10 เท่า มีร่างกายสูงใหญ่ คนเตี้ยที่สุดสูงราว 175 ซม. รูปร่างสะโอดสะองทั้งหญิงและชายใบหน้าสี่เหลี่ยมเหมือนลูกเต๋าตัดมุม คล้ายๆพระพุทธรูป คิ้วโก่ง คางกลม ตาเรียวยาว ปากหนา มีพระราชาชื่อ วะตายีราชา ไม่มีพระราชินี พวกเขาเกิดด้วยบุญกุศลแรงแก่กล้ามาก(ทำด้วยเงินมากๆ) เช่นสร้างโบสถ์คนเดียว แต่ไม่มีปัญญา บุญจึงส่งไปเกิดที่นี่ มีความสุขสบายมาก ถือศีล 5ประจำ ป่วยเจ็บไม่ค่อยมี เหมือนอยู่บนสวรรค์น้อยๆ หาลูกยาก ผู้หญิงตั้งครรภ์ 3 ปี จึงออกลูกครั้งหนึ่ง ตายยาก ไม่รู้จักความทุกข์ ไม่มีการฆ่าคน หรือสัตว์ อากาศดี อาหารดี พื้นที่ราบเป็นส่วนใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ในโลกมนุษย์ตายแล้วมาเกิดที่นี่มาก ผิวพรรณเต่งตึง ถนนทำด้วยทองคำล้วนๆ ผู้คนมีตัณหาจัด เลือกคู่ได้ตามใจชอบเพราะเขาไม่ถือกัน มีอิสระเสรีมาก แต่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาโปรด เพราะมีปัญญา แต่ไม่สามารถสั่งสอนได้เนื่องจากไม่รู้จักทุกข์ เป็นโลกที่ไม่มีธรรมะ แต่พวกเขามีศีลโดยปกติของเขาเอง ตายไปมีโอกาสเป็นเทวดาได้.......ทำมาหากินเหมือนโลกมนุษย์ แต่ข้าวปลา อาหารไม่ต้องหา เกิดเองโดยธรรมชาติ เก็บไปกินได้เลย....

    จุดประสงค์ที่มนุษย์ต่างดาวจะมา ก็เป็นไปตามอำนาจบุญของผู้มีบุญน่ะครับ เช่น ในสมัยพุทธกาล ภรรยาของท่านโชติกะเศรษฐี ก็เป็นหญิง(ต่างดาว) ที่มาจากอุตรกุรุทวีปครับ หน้าตาสวยมาก
    ในพระไตรปิฏกตอนหนึ่ง มีกล่าวไว้ว่า ในอดีต มีพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง มีอานุภาพมาก ครั้งหนึ่งพระเจ้าจักพรรดิพระองนั้น ได้นำจักรแก้ว ซึ่งเกิดขึ้นด้วยบุญของพระองค์ ไปท่องเที่ยวยัง อุตรกุรุทวีป แล้วยังได้เชิญชวนชาวอุตรกุรุทวีปจำนวนหนึ่ง มายังโลกของเรา(ชมพูทวีป) แล้วในกาลต่อมา พระเจ้าจักรพรรดิพระองนั้นก็ได้สวรรคต เสียก่อน และรัตนะทั้ง7ก็อันตรธานหายไป ทำให้ชาวอุตรกุรุทวีป เหล่านั้น เดินทางกลับทวีป(โลก)ของตนไม่ได้ ต่อมาคนเหล่านั้นได้อาศัยอยู่บริเวณหนึ่งซึ่งเรียกว่าทุ่งกุรุ หรือกุรุรัฐ อยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย และต่อมาได้เกิดสงครามขึ้น ในชนเหล่านั้น ซึ่งก็คือ สงคราม มหาภารตยุทธ สังเกตุได้ว่า ในเนื้อเรื่องมหาภารตะนั้น อาวุธยุทโธปกร หรือวิทยาการต่างๆ ในเรื่อง ล้วนแต่มหัศจรรย์ พิลึกพิลั่นทั้งสิ้น คงเป็นเพราะชนเหล่านั้น ได้นำเอาวิทยาการต่างๆมาจาก อุตรกุรุทวีปนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ ผมเองก็พอจำเค้าเรื่องได้ลางๆ จะผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมาที่นี่ด้วยครับ และใครที่พอจะรู้ว่า เรื่องนี้ อยู่ในคำภีร์หรือในพระไตรปิฏกตอนใด โปรดบอกเป็นวิทยาทาน จะขอบคุณมากครับ
    ที่มา ในเนต
     

แชร์หน้านี้

Loading...