พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเปิดไฟล์ ต้องเซฟลงเครื่องก่อนนะครับ เมื่อตอบแล้วกรุณาเปลี่ยนชื่อไฟล์เป็นชื่อของท่านและส่งกลับมาที่ผมครับ
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    นำเหรียญหลวงพ่อโอภาสีมาให้ชมกัน


    วันนี้ได้เหรียญนี้มาโดยบังเอิญ ได้ส่งเหรียญให้น้องท่านหนึ่ง(เธอไม่รู้จักหลวงพ่อโอภาสีว่าเป็นใคร อยู่วัดไหน)ตรวจสอบกระแส ได้รับคำตอบว่าเห็นแสงสีแดง ไม่รู้ว่าคืออะไร...ได้บอกน้องเขาว่า หลวงพ่อโอภาสีท่านชำนาญเตโชกสิณ เลยถึงกับอ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง ช่วงนี้นึกถึงหลวงพ่อโอภาสีบ่อยครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010428.JPG
      P1010428.JPG
      ขนาดไฟล์:
      236.6 KB
      เปิดดู:
      184
    • P1010430.JPG
      P1010430.JPG
      ขนาดไฟล์:
      261.3 KB
      เปิดดู:
      126
    • P1010433.JPG
      P1010433.JPG
      ขนาดไฟล์:
      276.7 KB
      เปิดดู:
      93
  3. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    โมทนาสาธุด้วยครับ
     
  4. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    ตอนนี้เมลล์ผมเสียนะครับ 2 วันแล้วยังซ่อมไม่เสร็จเลยครับ
    ตอนนี้ขอให้การติดต่อใช้โทรศัพท์ก่อนนะครับ หรือไปที่ จีเมลล์ก็ได้ครับ
    คุณหนุ่มกับคุณสมบัติเคยส่งมาให้ผมแล้วครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อึ้ง! วัยรุ่นชายซดเบียร์ ปีละ 367 ขวด




    http://hilight.kapook.com/view/43968

    โจ๋ชายซดเบียร์ 367 ขวด/ปี-90% เห็นโฆษณาทุกวัน (มติชน)

    เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเครือข่ายกว่า 10 องค์กร จัดการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 5 ภายใต้หัวข้อ "แผนยุทธศาสตร์เพื่อควบคุมปัญหาสุราระดับชาติ" ภญ.อรทัย วลีวงษ์ นักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่าการดื่มสุราของกลุ่มวัยรุ่นถือว่าเข้าขั้นวิกฤต วัยรุ่นชายอายุ 12-19 ปี ดื่มเบียร์ครั้งละ 3.8 ขวดใหญ่ คิดเป็นปีละ 367 ขวด ขณะที่วัยรุ่นหญิงดื่มครั้งละ 2 ขวด ปีละ 92 ขวดใหญ่

    นอกจากนี้ เด็กไทย 90% พบเห็นโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกวัน มีร้านเหล้ารอบโรงเรียน รอบมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเหล้าปั่นเพิ่มมากขึ้นโดยขาดการบังคับใช้กฎหมายห้ามขายสุราแก่เด็ก ทำให้เด็กเข้าถึงสุราได้ง่ายขึ้น จากข้อมูลระบุเด็กวัย 12 ปี เพียงร้อยละ 9 ที่บอกว่าเหล้าหาซื้อยาก

    นพ.ทักษพล ธรรมรังสี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า คาดการณ์ว่าปัญหาสุราจะรุนแรงขึ้นอีก หากไม่มีมาตรการที่ได้ผลมารองรับ ประมาณ 10 ปีข้างหน้า คนไทยจะดื่มเพิ่มขึ้น 13.9% นักดื่มหน้าใหม่จะเพิ่มขึ้นถึง 30-31% ส่วนนักดื่มประจำจะเพิ่มขึ้น 20.1% หรือประมาณ 15%

    วันเดียวกัน นายมงคล ไตรรัตนจรัสพร นายกสมาคมโอท็อปไทย ร่วมกับ นายสมศักดิ์ อ่อนศรี นายกสมาคมผู้ประกอบการสถานบริการ นายดำรง พุฒตาล ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับและนายสมเกียรติ เกิดทวี กรรมการพัฒนาองค์กรมูลนิธิประชาธิปไตย ภาคพลเมือง ร่วมกันเสวนาในหัวข้อ "หยุดค้าเสรีเหล้า เอาเปรียบชาติ ทางออกประเทศไทย" เพื่อหาทางออกให้ผู้ประกอบการสุราภายในประเทศไทยโดยเฉพาะสุราพื้นบ้าน ซึ่งอาจถูกเอาเปรียบจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟต้า ที่ลดภาษีสินค้าหลายรายการรวมถึงสุราเหลือร้อยละ 0 ในวันที่ 1 มกราคม 2553

    นายดำรงกล่าวว่า เหล้าที่นำเข้าจะมีราคาถูก แต่ไม่มั่นใจว่าคุณภาพจะเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าคุณภาพต่ำก็จะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ทางมูลนิธิจึงต้องรณรงค์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้น

    นายมงคล กล่าวว่า สุราพื้นบ้านของไทย อาจถูกแทนที่ด้วยสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษี ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม ถือเป็นการทำลายผลิตภัณฑ์ของไทยโดยตรง ผู้ประกอบการคงต้องช่วยเหลือตัวเองไปก่อน


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก มติชน
    [​IMG]
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กุ๊กสาวอยากผอม กินยาลดความอ้วน ช็อกดับ


    Ŵ������ǹ ���������ҡ��� �Թ ��Ŵ������ǹ ��͡�Ѻ


    [​IMG]


    กินยาลดความอ้วน ช็อกตาย กุ๊กสาวอยากผอม (ไทยรัฐ)

    สลด! กุ๊กสาวโรงแรมชื่อดัง บนเกาะสมุย อยากผอม กินยาลดความอ้วน เกิดช็อกหมดสติ เสียชีวิตที่โรงพยาบาล เพื่อนร่วมงานเผยผู้ตายมีร่างกายอ้วน ท้วม จึงหาซื้อยามากิน น้ำหนักลดลงถึง 10 กิโลกรัม คาดว่าอาจจะรับประทานเกินขนาด ...

    เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 พ.ย. 52 ร.ต.ท.ปรเมษฐ์ เธียนธุมา ร้อยเวรสอบสวน สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลสมุยอินเตอร์เนชั่นแนลว่า มีหญิงสาวช็อกเสียชีวิต จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลสงเคราะห์เกาะสมุย ภายในห้องฉุกเฉิน พบศพ น.ส.พัฒตราภรณ์ สุราราษฎร์ อายุ 35 ปี 4/51 ม. 2 ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย ทราบว่า เป็นพนักงานแผนกกุ๊กของโรงแรมชื่อดังระดับห้าดาว บนเกาะสมุย ท้องที่ ม.5 บ้านปลายแหลม ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย นอนเสียชีวิตบนเตียงฉุกเฉินในโรงพยาบาล

    จากการตรวจสอบเบื้องต้น ตามร่างกายของผู้ตายไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้ายแต่อย่างใด และทราบว่าเสียชีวิตมาแล้ว ประมาณ 2 ชั่วโมง จากคำให้การของแพทย์ทราบว่าก่อนเกิดเหตุมีพนักงานของโรงแรมดังกล่าว นำร่างที่ไม่ได้สติของ น.ส.พัฒตราภรณ์ มาทำการรักษา โดยแจ้งรายละเอียดว่า น.ส. พัฒตราภรณ์ เป็นพนักงานแผนกกุ๊กของโรงแรม ขณะเกิดเหตุผู้ตายได้เข้าเวรในตอนเช้า อยู่ ๆ ได้เกิดหน้ามืดและเป็นลมหมดสติ เพื่อน ๆ ที่ทำงานจึงได้นำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์ของโรงพยาบาลได้ชันสูตรและสันนิษฐานว่าผู้ตายมีโรคประจำตัว และหน้ามืดเป็นลม และได้เสียชีวิต

    ขณะเดียวกันได้รับการเปิดเผยจากเพื่อนร่วมงานของผู้ตาย ให้การว่าปกติผู้ตาย เป็นคนมีร่างกายอ้วน ท้วม แข็งแรง น้ำหนักประมาณ 60 กิโลกรัม ต่อมาในระยะหลังผู้ตาย ได้หาซื้อยาลดความอ้วนชนิดหนึ่งมารับประทาน และรับประทานติดต่อมานานหลายเดือน ซึ่งต่อมาร่างกายของผู้ตาย น้ำหนักได้ลดลงประมาณ ร่วม 10 กิโลกรัม ทำให้ผู้ตายรับประทานยาเพิ่มมากขึ้นและคาดว่าครั้งนี้จะเกิดขนาด จนทำให้ผู้ตายเกิดช็อกอย่างกะทันหัน ประกอบกับผู้ตายมีโรคประจำตัวอยู่ด้วย จึงทำให้หัวใจวาย และเสียชีวิตในที่สุด

    ร.ต.ท.ปรเมษฐ์ ร้อยเวรเจ้าของคดี จึงได้นำศพของผู้ตายมอบให้หน่วยกูภัยมูลนิธิกุศลสงเคาระห์เกาะสมุย นำศพผู้ตายไปทำการผ่าพิสูจน์ และชันสูตรอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลเกาะสมุย เพื่อหาสาเหตุแท้จริงต่อไป


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สัญญาก่อนสมรส

    แต่งงาน Wedding สัญญาก่อนสมรส


    [​IMG]



    สัญญาก่อนสมรส (เดลินิวส์)

    โดย : สุกัญญา รัตนนาคินทร์

    ก่อนที่ชายหญิงจะจดทะเบียนสมรสกัน กฎหมายให้สิทธิคู่สมรสที่จะทำ "สัญญาก่อนสมรส" กำหนดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามี ภริยา ในเรื่องทรัพย์สินได้ ซึ่งหากไม่มีสัญญาก่อนสมรสได้ ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาในเรื่องทรัพย์สิน ต้องเป็นไปตามกฎหมาย

    สินสมรสที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายคือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ เช่น เงิน ทอง เพชร รถ ฯลฯ คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจจัดการได้ตามลำพัง เฉพาะอสังหาริมทรัพย์ได้แก่บ้าน ที่ดิน คอนโด ที่เป็นการขาย จำหน่าย จำนองที่กฎหมายบังคับให้คู่สมรสจะต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนการซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นการได้มา คู่สมรสย่อมจัดการตามลำพังได้อยู่แล้ว

    ที่กล่าวมาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างสามี ภริยา ในเรื่องการจัดการทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส ดังนั้น คู่สมรสใดที่ต้องการที่จะจัดการเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ตามลำพัง โดยไม่ต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องขอความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง จึงอาจทำได้โดยการทำ สัญญาก่อนสมรส

    สัญญาก่อนสมรส ทำได้โดยการจดแจ้งสัญญาก่อนสมรสไว้ในทะเบียนสมรส พร้อมกันไปกับ การจดทะเบียนสมรส หรือจะทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สมรสและพยานอย่างน้อยสองคน แนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส พร้อมทั้งจดไว้ในทะเบียนสมรส ในขณะจดทะเบียนสมรสว่า ได้มีสัญญาดังกล่าวแนบไว้ สัญญาก่อนสมรสใดที่ตกลงกันไว้ถ้าไม่ทำตามที่กฎหมายกำหนดแนบไว้ สัญญาก่อนสมรสนั้นจะตกเป็นโมฆะ

    อย่างไรก็ตาม การทำสัญญาก่อนสมรส จะต้องเป็นเรื่องของการจัดทรัพย์สิน ดังนั้น เงื่อนไขข้อที่ 2 ของคุณว่า ต้องการหย่าขาดกัน ให้สินสมรสทั้งหมดตกเป็นของภริยาฝ่ายเดียว โดยสามีไม่มีสิทธิในสินสมรสนั้น สัญญาก่อนสมรสตราเงื่อนไขข้อที่ 2 ใช้บังคับไม่ได้ เพราะไม่ใช่สัญญาที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สิน แต่เป็นสัญญาเกี่ยวกับ การแบ่งทรัพย์สินหลังจากการหย่า เงื่อนไขที่ 2 ถึงแม้จะเขียนไว้ก่อน เป็นสัญญาก่อนสมรสในทะเบียนสมรสก็ไม่อาจใช้บังคับได้

    โดยทั่วไปสัญญาก่อนสมรส เมื่อได้ทำขึ้นตามแบบที่กฎหมายกำหนดคือ บันทึกไว้ในทะเบียนสมรส ในขณะที่มีการจดทะเบียนสมรสแล้ว จะทำให้ผูกพันคู่สมรสตลอดไป การจะเปลี่ยนแปลงเพิกถอนสัญญาก่อนสมรสที่ทำไว้จะทำไม่ได้ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากศาล และแม้จะมีข้อความในสัญญาก่อนสมรสไว้ให้สามีภริยามีสิทธิที่จะตกลงเปลี่ยน แปลงเพิกถอนสัญญาก่อนสมรสได้ ข้อตกลงเช่นนี้บังคับไม่ได้

    การเปลี่ยนแปลงเพิกถอนสัญญาก่อนสมรส ต้องร้องขอต่อศาลให้อนุญาตเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้คู่สมรสที่อยู่กินจดทะเบียนกันแล้ว ซึ่งต่อไปอาจตกอยู่ใต้อิทธิพลของอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสฝ่ายที่เสียประโยชน์อาจถูกบีบบังคับให้เปลี่ยนแปลงเพิกถอนสัญญาก่อนสมรส โดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ได้ เพื่อให้การคุ้มครองในเรื่องนี้ จึงต้องให้ศาลอนุญาต แต่สัญญาก่อนสมรสที่ได้ทำ และต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หากยังไม่มีการจดทะเบียนสมรส ย่อมแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้เสมอ



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->น้องรัก กำลังจะกลับกรุงเทพฯแล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางไปที่สนามบินภูเก็ตอยู่ เดินทางปลอดภัยนะครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปางโปรดยสะ

    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ความจริงพระพุทธรูปปางโปรดยสะ ไม่มีเรียกดอก ส่วนมากจะเรียกว่า ปางภัตตกิจ คือ ปางเสวยพระกระยาหาร คือ เสวยภัตตาหารที่บ้านบิดามารดาของยสะกุลบุตร การบวชของยสะกุลบุตรนั้น ทำให้พระพุทธศาสนาแพร่หลายรวดเร็ว เพราะหลังจากยสะมาบวช สหายของท่านและบริวาร ตามมาบวชด้วย จนเกิดมีพระอรหันต์สาวกขึ้นจำนวนทั้งหมด 60 รูป ชั่วระยะเวลาไม่นาน

    ยสะ เป็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี ชื่อเสียงเรียงไรไม่บอกไว้ มารดาของท่านนั้น คัมภีร์อรรถกถาว่าได้แก่นางสุชาดา บุตรีแห่งนายบ้านอุรุเวลาเสนานิคมที่พุทธคยาโน่นแหละครับ ไปยังไงมายังไงสุชาดาสาวสวยแห่งอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งอยู่คนละเมืองกับพาราณสี ได้มาอยู่ที่พาราณสี ดูเหมือนผมได้สันนิษฐาน (คือเดา) ไว้แล้วในที่อื่น จะไม่เขียนไว้ในที่นี้

    เอาเป็นว่า นางเคยบนเทพที่ต้นไทรไว้ว่า ถ้าได้บุตรชายจะมาแก้บน บนตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ต่อมาได้แต่งงาน (เดาเอาว่า) กับเศรษฐีเมืองพาราณสี แล้วได้มาอยู่กับตระกูลสามี มีลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว เพิ่งนึกได้ว่าบนไว้ จึงกลับมาแก้บน (ตอนที่เอาข้าวมธุปยาสไปถวายพระโพธิสัตว์นั้นแหละครับ) แก้บนแล้วก็คงกลับเมืองพาราณสี

    คืนวันหนึ่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเศรษฐีและคุณนายสุชาดา ตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นภาพเหล่าสตรีที่มาประโคมดนตรี ฟ้อนรำ สร้างความสุขสนุกสนานให้ตามที่เคยปฏิบัติมา นอนหลับมีอาการแปลกๆ เช่น บางนางก็นอนกรนเสียงดัง น้ำลายไหล บางนางก็กัดฟันกรอดๆ ละเมอไม่เป็นส่ำ บางนางผ้านุ่งห่มหลุดลุ่ย ปรากฏแก่ ยสะ ดุจ "ซากศพในป่าช้า" ว่ากันอย่างนั้น

    ยสะเห็นแล้วก็สลดสังเวชใจ เบื่อหน่ายเต็มที่ ถึงกับเปล่งอุทานว่า อุปัททูตัง วะตะ โก อุปสัฏฐัง

    วะตะ โก ท่านแปลได้ความกระชับว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงเดินลงจากคฤหาสน์กลางดึก

    ไม่มีจุดหมายครับ แล้วแต่เท้าจะพาไป เข้าไปยังป่าอิสิปตนะมฤคทายวันโดยไม่รู้ตัว ขณะนั้นก็จวนสว่างแล้ว ประมาณตีสี่ พระพุทธองค์ตื่นบรรทม เสด็จจงกรมอยู่ ยสะผู้เบื่อโลกก็อุทานมาตลอดทางว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ"

    พระพุทธองค์ตรัสว่า "อิทัง อะนุปัททูตัง อิทัง อะนุปะสัฏฐัง = ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มานี่สิ เราจะแสดงธรรมให้ฟัง" หนุ่มยสะผู้เบื่อโลก พลันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ จึงถอดรองเท้า เข้าไปกราบถวายบังคม แล้วนั่งเจี๋ยมเจี้ยม ณ ที่ควรข้างหนึ่ง

    พระพุทธองค์ตรัสเทศนา อนุปุพพิกถา เป็นการปูพื้นให้ยสะก่อนแล้ว ตามด้วยอริยสัจสี่ประการโดยพิสดาร เมื่อจบพระธรรมเทศนา ยสะดวงตาเห็นธรรม คือ บรรลุโสดาปัตติผล

    ขอแวะตรงนี้นิดหน่อย อนุปุพพิกถา คือ การแสดงธรรมที่ลึกลงไปตามลำดับ เริ่มตั้งแต่เรื่องง่ายๆ แล้วก็ลึกลงไปเรื่อยๆ ง่ายๆ ที่ว่านี้คือง่ายที่คนทั่วไปจะทำได้ คือ เริ่มด้วยทาน (การให้) ศีล (ความประพฤติที่ดีงาม) สัคคะ (เรื่องสวรรค์ ความสุขที่พึงได้ด้วยการให้ทานรักษาศีล) กามาทีนวะ (โทษของกามคุณ) และเนกขัมมะ (การไม่หมกมุ่นในกามารมณ์)

    เมื่อปูพื้นดังนี้แล้ว ก็ทรงแสดงอริยสัจครบวงจร เป็นอย่างไร ดูเหมือนได้เล่าไว้แล้วในตอนโปรดปัญจวคีย์

    กล่าวถึงมารดาบิดาของยสะ เมื่อลูกหายไป จึงตามมาจนถึงป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน พบพระพุทธองค์ ได้ฟังธรรมจากพระองค์ ขณะที่ยสะเองก็นั่งฟังอยู่ด้วย แต่พ่อแม่ลูกมองไม่เห็นกัน เพราะอิทธาภิสังขาร (การบันดาลฤทธิ์ของพระพุทธองค์ ไม่ต้องการให้เห็นกัน) ขณะพ่อแม่ฟังธรรมอยู่ ยสะก็ส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนานั้นด้วย เมื่อจบพระธรรมเทศนา พ่อแม่ของยสะดวงตาเห็นธรรม ถวายตนเป็นอุบาสก อุบาสิกา ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ยสะได้บรรลุพระอรหัตตผล

    หลังจากนั้นพระองค์ทรงคลายฤทธิ์ สามพ่อแม่ลูกพบหน้ากัน ท่านเศรษฐีกล่าวกับยสะว่า ลูกรักตอนลูกหายไป มารดาเจ้าร้องไห้รำพันถึงเจ้าอยู่ จงกลับบ้านเถอะ พระพุทธองค์ตรัสว่า บัดนี้ยสะบรรลุอรหัตตผลแล้ว ไม่สมควรครองเรือนอีก มีแต่จะบวชครองสมณเพศต่อไป

    เศรษฐีกราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้นก็เป็นลาภอันประเสริฐของข้าพระองค์ทั้งสอง แล้วทูลอัญเชิญพระพุทธองค์ไปเสวยภัตตาหารที่บ้านตนในวันรุ่งขึ้น

    นี้คือที่มาของ ปางภัตตกิจ ทำไมต้องเน้นช่วงนี้ ก่อนหน้านี้พระองค์มิได้เสวยภัตตาหารหรือ เสวยครับ หลังตรัสรู้ ก็ได้เสวยสัตตุผง สัตตุก้อน จากพ่อค้าสองพี่น้อง และจากที่อื่นด้วย แต่การเสวยภัตตาหารที่คฤหาสน์เศรษฐีนี้ เป็นกิจนิมนต์เป็นกิจลักษณะ เป็นครั้งแรกหลังจากเสด็จออกประกาศพระพุทธศาสนา

    ครูบาอาจารย์กล่าวว่า ประเพณีนิมนต์พระสงฆ์และพระบวชใหม่ไปฉันที่บ้านอันเรียกว่า ทำบุญฉลองพระใหม่ ที่ชาวพุทธไทยนิยมกระทำกันมานั้น มาจากพุทธประวัติตอนนี้เอง ว่ากันอย่างนั้น

    อ้อ ลืมไป สองสามีภรรยา บิดามารดาท่านยสะเป็นอุบาสก อุบาสิกาคู่แรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะนะครับ ก่อนนั้นพ่อค้าสองพี่น้อง ถึงพระพุทธกับพระธรรมเป็นสรณะเท่านั้น

    ˹ѧ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แก้อาการเป็นตะคริว

    สำหรับคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆอ่านทางนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ มีเคล็ดลับวิธีแก้อาการตะคริวแบบง่ายๆมาบอก...

    เริ่มจากการ เป็นตะคริวที่น่อง ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง ใช้มือข้างหนึ่งยกประคองส้นเท้าและใช้มืออีกข้าง ดันปลายเท้าขึ้นลงให้เต็มที่อย่างช้าๆ ประมาณ 5 นาที แล้วหาครีมหรือน้ำมันมานวดซ้ำอีกที เพื่อกระตุ้นให้เลือดตรงบริเวณนั้นไหลเวียน

    หากเป็นตะคริวที่ต้นขา ให้เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวให้ตรง แล้วใช้มือข้างหนึ่งยกประคองส้นเท้า ส่วนอีกข้างกดลงบนหัวเข่า จากนั้นค่อยๆนวดบริเวณที่เป็นตะคริว

    หรือเป็นตะคริวที่นิ้วเท้า ให้เหยียดนิ้วเท้าให้ตรง และลุกขึ้นยืนเข่ยงเท้า จากนั้นค่อยๆนวดบริเวณ นิ้วเท้าอย่างเบามือ

    สุดท้าย ตะคริวที่นิ้วมือ ให้เหยียดนิ้วมือออก แล้วนวดเบาๆบริเวณนิ้วมือที่เป็น

    แนะว่าคนที่เป็นตะคริวบ่อยๆควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อยทอดผักคะน้า ผักหวาน กระถิน ใบตำลึง ผักกวางตุ้ง ลูกพรุน งาดำ และ เต้าหู้ เป็นต้น
    เดลินิวส์

    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > แก้อาการเป็นตะคริว
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลักเศรษฐกิจพอเพียง


    นำประเทศ สู่สังคมคาร์บอนต่ำ

    กระแสตื่นตัวในภาวะโลกร้อนกำลังเข้มข้นขึ้น แม้กระทั่งสหรัฐที่มีท่าทีแข็งกร้าวมาตลอดยังยืนยันว่าลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกลง 14 เปอร์เซ็นต์ ในปีหน้า

    ล่าสุดมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ร่วมด้วยสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บริติชเคานซิล ร่วมกันจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “การพัฒนาสังคมคาร์บอนต่ำ โดยการใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

    ตลอดเวลา 30 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตบนทางสายกลางแก่พสกนิกรชาวไทย โดยยึดหลักความพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน ซึ่งพัฒนาโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดังนั้นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาสังคมคาร์บอนต่ำเป็นเรื่องที่สอดคล้องกันควรได้รับการส่งเสริมควบคู่กัน เพื่อเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหา โลกร้อน

    มร.ควินทัน เควลย์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย กล่าวว่า อีกไม่กี่ศตวรรษข้างหน้า ปัญหาโลกร้อนจะเป็นความท้าทายสำหรับทุกประเทศ จากการศึกษาล่าสุด ในเรื่อง ภาวะโลกร้อนกับเศรษฐกิจ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเซีย หรือเอดีบี พบว่าประเทศไทยและประเทศอื่น ๆได้รับผลกระทบจากปัญหาโลกร้อนมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ คาดการณ์ว่า พ.ศ. 2643 อุณหภูมิของโลกอาจปรับตัวสูงขึ้น 4.8 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2533 ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้น 70 เซนติเมตร อากาศจะมีความแห้งแล้งสูง ส่งผลทำให้ผลผลิตข้าวในภูมิภาคลดลงถึงร้อยละ 50 ผลกระทบในเชิงลบเหล่านี้อาจเทียบเท่ากับ การสูญเสียรายได้ประชาชาติ (จีดีพี) ในปี พ.ศ. 2643 ถึงร้อยละ 6.7 นอกจากนั้นการศึกษายังพบว่าปัญหาโลกร้อนยังส่งผลให้ภูมิภาคนี้มีความถี่และรุนแรงมากขึ้น

    ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า ปัญหาโลกร้อนทั้งหมดเกิดจากคน ที่มีความโลภ ส่งผลให้คนที่อยู่แต่ละซีกโลกได้รับผลกระทบเท่า เทียมกัน ในอนาคตผลกระทบทางทรัพยากรที่จะตามมามี 3 ภาคได้แก่ ป่าไม้ เกษตรกรรม ประมง ซึ่งเป็นแหล่ง อาหารทั้งสิ้น คาดการณ์กันว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีประชากรขาดอาหาร 1-2 พันล้านคน ขณะที่ภายในอีก 20 ปีข้างหน้าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ล้านคน ดังนั้นกลไกที่จะเริ่มแก้ปัญหาโลกร้อน ต้องทำให้คนพ้นจากความหิวโหย ซึ่งขณะนี้ มูลนิธิปิดทองหลังพระ องค์กรใหม่ที่ได้รับการอนุมัติจากมติครม.มาเมื่อไม่นานนี้ โดยมีเป้า หมายนำโครงการพระราชดำริมาแก้ปัญหาในทุก ๆ ด้าน ดังตัวอย่างที่เริ่มทำในตอนนี้ กำลังเริ่มต้นใน 3 อำเภอ ใน จ.น่าน ได้แก่ อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.ท่าวังผา และอ.สองแคว เนื่องจากทั้ง 3 อำเภอชาวบ้านรุกพื้นที่ป่า 200,000 ไร่ เพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยว แต่มูลนิธิเข้าไปทำงานร่วมกับชาวบ้าน นำพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมมาทำนาขั้นบันได โดยนำโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่ทำนาขั้นบันไดสำเร็จมาผสมผสานกับแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทำนาสำเร็จใน เชียงใหม่ บนพื้นที่บนดอยสูง ซึ่งเคยเกิดปัญหาคล้ายกัน ชาวเขาปลูกฝิ่นเพื่อนำเงินไปซื้อข้าวกิน ขณะที่เก็บฝิ่นไว้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เพื่อนำมาทำยารักษาโรค เพราะพื้นที่ทุรกันดารไม่มีหมอ แต่ในหลวงมีแนวพระราชดำริให้ชาวบ้านปลูกพืชเมืองหนาวแทนปลูกฝิ่น เฉกเช่นเดียวกับชาวบ้านที่ จ.น่านต้องรุกป่าเพื่อความอยู่รอดในการใช้ชีวิต ซึ่งเราทำงานตามแนวพระราชดำริที่ต้องการให้คนมีอาหารก่อน ปลูกข้าวโพดกินไม่ได้ แถมยังถูกกำหนดราคาโดยคนกลาง แต่ปลูกข้าวสามารถเพิ่มผลผลิตได้ จากเดิมชาวบ้านทำนาปีเดียวได้ข้าว 17 ถังต่อไร่เพราะไม่มีน้ำ แต่มูลนิธินำปราชญ์ชาวบ้าน แต่ละพื้นที่มาร่วมพูดคุยกับปราชญ์ชาวบ้านใน จ.น่าน ได้แนวทางว่าจะต่อน้ำขึ้นไปเพื่อทำนาขั้นบันได คำนวณว่าจะผลิตข้าวได้ 50 ถังต่อไร่ ในปี 1 ปีทำนาได้ 2 ครั้ง เท่ากับ 100 ถังต่อไร่ ในขณะที่วันนี้ ข้าวราคาดีวันดีคืน ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่ชาวบ้านต้องรุกป่า นี่คือการทำงานรักษาป่า เหมือนที่สมเด็จย่าทำไว้ที่ดอยตุง และเป็นโครงการพระราชดำริที่ในหลวงทำมาแล้ว 40 ปี นำป่ากลับคืนมาได้ แต่ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐนำไปใช้

    “ในปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาไม่ส่งออกข้าวโพด เพื่อเก็บไว้ทำแก๊สโซฮอล์ ปรากฏว่าชาวบ้านถางป่าเพิ่มขึ้นเพื่อปลูกข้าวโพดไม่เฉพาะประเทศไทยแต่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เจอปัญหาเดียวกัน”

    โครงการนาขั้นบันไดใน จ.น่านกำลังเริ่มต้นด้วยการปรับพื้นที่ ซึ่งขณะนี้มีคนที่สนใจเข้าไปดูงานจำนวนมาก และงานครั้งต่อไปของมูลนิธิคือการนำโครงการแก้มลิงมาจัดการปัญหาเรื่องน้ำในแต่ละภูมิภาคโดยใช้ การผสมผสาน ให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมและอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่น เหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานที่จะทรงพกแผนที่ไปทุกหนทุกแห่ง พระองค์ทรงรู้เส้นทางของน้ำในพื้นที่นั้น ๆ เป็นอย่างดี

    เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง บอกอีกว่า ส่วนหนึ่งน้ำท่วมภาคกลางมาจากน้ำเหนือ จากแม่น้ำ 4 สาย ปิง วัง ยม น่าน 45 เปอร์เซ็นต์ของน้ำมาจาก แม่น้ำน่าน ถ้าไม่ทำที่น่านจะไปทำที่ไหน

    ด้าน ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร นักวิชาการจากบัณทิตวิทยาลัยร่วมด้านสิ่งแวดล้อมม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวถึงชุมชนที่มีวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงแล้วนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้ว่า ตัวอย่างของชุมชนบ้านเปร็ดใน จ.ตราด มีการจัดสรรการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นลดโลกร้อน โดยนำกิ่งไม้ในสวนผลไม้ที่ตัดสางทิ้งแล้วทุกปีมาเผาถ่านโดยทำเตาเผา 12 เตา สามารถ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ที่ 39 ล้านตัน ที่ไม่ต้องใช้แก๊สมาใช้ประกอบอาหาร นอกจากนี้ตัวอย่าง ของชุมพรคาบาน่า รีสอร์ท ใน จ.ชุมพรเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำธุรกิจลดภาวะโลกร้อน

    เห็นภาพชัดเจนว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียงนำพาประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้ เท่ากับคนไทยเริ่มแล้วเป็นอีกประเด็นที่ควรนำเสนอในที่ประชุมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ว่าด้วยสภาพภูมิอากาศโลก ที่จะเริ่มต้นในระยะอันใกล้นี้.

    ร่วมปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย

    นสพ.เดลินิวส์ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ขอเชิญผู้อ่านร่วมบอกเล่ากิจกรรมดี ๆ ในครอบครัวที่ร่วมกันคิดร่วมกันทำ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัว รวมทั้งนำเสนอวิธีการที่จะทำให้ครอบครัวห่างไกลจากเหล้าบุหรี่ โดยเขียนบอกเล่าเรื่องราวสั้น ๆ ไม่เกิน 10 บรรทัด พร้อมระบุชื่อ-ที่อยู่ให้ชัดเจน ส่งมาที่ คอลัมน์ “ปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย” นสพ.เดลินิวส์ 1/4 ถนนวิภาวดีรังสิต ตลาดบางเขน หลักสี่ กท. 10210 หรืออีเมล articledailynews@gmail.com ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 โดย 20 เรื่องที่โดนใจจะได้รับกิฟต์เซตของที่ระลึกจาก สสส. ส่งตรงถึงบ้าน.

    Daily News Online > โลกสีสวย > สิ่งแวดล้อม-คุ้มครองผู้บริโภค > หลักเศรษฐกิจพอเพียง
     
  12. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 13 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>psombat, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับลูกพี่ ขยันจัง เห็น On..ตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะเนี่ย หุหุ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“ใบรับรองความโสด” /อ้วน อารีวรรณ
    Celeb Online - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 พฤศจิกายน 2552 11:30 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> jatung_32@yahoo.com

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=150 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=150>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ใครทราบเรื่อง “ใบรับรองความโสด” ที่ต้องให้ผู้หญิงทำกันหรือยังคะ ..อาจมีคนทราบบ้าง ไม่ทราบบ้าง..งั้นเรามาอ่านเนื้อหาข่าวนี้กันเลย

    นายยศศักดิ์ คงมาก ผู้อำนวยการสำนักงานปกครองและทะเบียน กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม ในการออกหนังสือรับรองให้กับบุคคลที่ร้องขอเพื่อแสดงว่าตนเองไม่มีคู่สมรสหรือที่เรียกว่าหนังสือรับรองความเป็นโสด เพื่อให้สำนักทะเบียนท้องถิ่นทั่วประเทศ รวมถึง 50 สำนักงานเขตของ กทม.ใช้ปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน

    ซึ่งเดิมในการออกหนังสือรับรองความโสด กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดแนวทางไว้ตามหนังสือที่ มท 0404/ว98 ลงวันที่ 21 มกราคม 2529 เพื่อนำไปใช้ในการติดต่อทำนิติกรรมต่างๆ รวมถึงการสมรสด้วย

    อย่างไรก็ตาม หลังมีการแก้ไขกฎหมายที่ให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว หรือหย่าสามี สามารถใช้คำนำหน้าชื่อว่า น.ส.ได้ ทำให้เกิดความสับสนในการตรวจสอบ แม้ว่าจะมีระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 แล้วก็ตาม

    เนื่องจากก่อนหน้านั้น ข้อมูลทางทะเบียนใช้วิธีการจดบันทึกและไม่ได้นำลงคอมพิวเตอร์ ทำให้การตรวจเช็กข้อมูลเก่าทำได้ยาก รวมถึงกรณีสาวไทยไปจดทะเบียนกับคนต่างชาติในต่างประเทศ ข้อมูลของไทยก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ ขณะที่หญิงไทยที่ต้องการสมรสในต่างประเทศ เกือบทุกประเทศกำหนดให้มีเอกสารรับรองความเป็นโสด แม้กระทั่งในประเทศไทยเองในเรื่องการทำนิติกรรมต่างๆ ก็ใช้เอกสารรับรองความโสด เช่น กรมที่ดินใช้ในเรื่องการโอนหรือขายที่ดิน

    นายยศศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น กรมการปกครองจึงกำหนดแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมในการออกหนังสือรับรองที่เข้มงวดขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ต้องสอบถามสตรีผู้ร้องขอว่าต้องการหนังสือรับรองไปใช้เกี่ยวกับเรื่องใด เช่น หากผู้ร้องนำไปใช้เป็นหลักฐานในการสมรสกับบุคคลต่างชาติ ก็ต้องมีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งต้องตรวจสอบพยานเอกสารและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยต้องนำหลักฐานเอกสารส่วนตัว เช่น บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านไปด้วย และต้องมีการนำพยานบุคคล 2 คน ไปอ้างอิงเพื่อให้ปากคำและข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ หากเป็นพยานเท็จจะต้องถูกดำเนินคดีอาญามีโทษทั้งจำทั้งปรับต่อไป ...

    อ่านเนื้อหาข่าวนี้จบแล้ว ใครเป็นผู้หญิงที่เตรียมตัวแต่งงานหรือทำนิติกรรมต่างๆ เช่น จะซื้อขายหรือโอนทรัพย์สินบ้าน ที่ดิน หรือคอนโด ก็ต้องลุกขึ้นแต่งตัวไปขอใบรับรองความโสดมาเก็บไว้กับตัวแล้วล่ะค่ะ ที่สำคัญงานนี้ไปคนเดียวไม่ได้ด้วยนะคะ ต้องพาพยานบุคคลไปกับเราด้วยสองคนเพื่อไปยืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่า เรานี้เป็นโสดของแท้จริงๆ

    เฮ้อ..เป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก ตูจะเป็นโสด ไม่มีสามี เพราะหา(ดี)ไม่ได้ก็ไม่มีใครเชื่อ เจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็ไม่เชื่อข้อมูลที่ตนมีอยู่ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ก็ไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีพอ

    แถมผู้หญิงพูดคนเดียวก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่สามารถยืนยันความเป็นโสดของตัวเองได้ ต้องมีพยานบุคคลไปยืนยันความเป็นโสดของเราอีกสองคน (ถ้าโกหกก็ต้องถูกดำเนินคดีทางอาญา มีโทษทั้งจำคุก ทั้งปรับ ฐานแจ้งความเท็จ แต่จำคุกคนเดียวก็ไม่ได้น่ะค่ะ คุณผู้อ่าน ต้องให้มีเพื่อนไปร่วมจำคุกอีกสองคน 555)

    ทำไมศักดิ์ศรีความน่าเชื่อถือ ในความเป็นลูกผู้หญิงมันต่ำเตี้ย ติดดินอย่างนี้ค่ะ..ท่านเจ้าหน้าที่ของรัฐ ช่างเป็นแนวคิดวิธีปฏิบัติที่คำนึงถึงสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมกันเหลือเกิน !

    ด้านคุณผู้ชายทั้งหลายใช้คำนำหน้าว่า “นาย” ตั้งแต่อายุ 15 ปี โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเลยจนตาย ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน หรือจะแต่งงานสักกี่หนกี่ครั้งก็ตาม ก็ยังใช้ “นาย” อยู่อย่างนั้น

    และที่ผ่านมา คุณผู้ชายทั้งหลายก็ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรเลยใช่ไหมคะ? สงสัยตั้งแต่ตั้งหน่วยงานทะเบียนราษฎรขึ้นมา ประเทศไทยไม่เคยมีปัญหาผู้ชายสมรสซ้อนเลย? กรมที่ดินไม่เคยมีปัญหาผู้ชายแอบขายบ้านที่ดิน ซึ่งเป็นที่สินสมรสเลยด้วย?

    แหม..ถ้าคุณผู้ชายเป็นคนแสนดีอย่างนี้ก็สมควรแล้วล่ะค่ะ ที่หน่วยงานภาครัฐต้องออกกฎระเบียบปฎิบัติให้ผู้หญิงมีใบรับรองความโสด ไม่อย่างงั้นคุณผู้ชายที่แสนดีทั้งหลายคงจะกลัวไม่กล้าจีบผู้หญิงคนไหน เพราะไม่รู้ว่าเธอโสดจริงหรือเปล่า?

    ตั้งแต่รัฐบาล รสช.ได้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายคำนำหน้าชื่อสตรี เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาในมาตรา 30 ที่ว่าด้วยความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติไว้ และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ ก็ดูจะมีแต่สร้างปัญหาให้กับคุณๆ เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐมาโดยตลอดน่ะค่ะ

    ดังนั้นอ้วนขอแนะนำให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยยื่นเรื่องถึงศาลปกครองในการออกระเบียบปฏิบัตินี้ก่อนดีไหมคะ หรือถ้าต้องการลดขั้นตอนยุ่งยากก็ยื่นเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญขอให้ยกเลิกกฎหมายคำนำหน้าชื่อสตรีที่แก้ไขใหม่เสียเลย เพราะทำให้เกิดปัญหาในขั้นตอนปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายทะเบียนฯ

    แต่ เอ..ถ้าเราต้องใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 นี้อยู่ต่อไป “สิทธิความเสมอภาคหญิงชาย” ก็ยังต้องมีอยู่ใช่ไหมค่ะ อย่างนี้ ต้องรบกวนถามว่า แล้วทำไม? ต้องให้ผู้หญิงมีใบรับรองความโสดอยู่ข้างเดียวล่ะค่ะ อ้วนก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งล่ะ ที่อยากได้..ใบรับรองความโสดของคุณผู้ชายบ้าง ไม่ทราบว่ากรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยจะจัดการเรื่องนี้ให้ผู้หญิงบ้างได้ไหมคะ?

    อ้อ..ขอให้มีพยานรับรองความโสดของผู้ชายสองคนด้วยนะคะ อิอิ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อคืนเปิดดูนิดหน่อย

    แต่วันนี้ มาทำงาน ต้องมาเปิดออฟฟิต จะได้ให้คนงานเข้ามาปรับปรุงห้องน้ำอยู่

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถ้าเป็นในรับรองความโสด หรือ หม้าย ที่สถาบันการเงินใช้อยู่ จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรม ซึ่งรวมไปถึงสินสมรส หรือ สินส่วนตัวครับ

    ------------------------------

    การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
    ความหมาย
    การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส คือ การที่สามีและภริยา หย่าขาดจากกัน และได้
    ตกลงแบ่งหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสให้แก่กัน ซึ่งจะเป็นการตกลงแบ่งสินสมรส แต่ละสิ่งให้แต่ละฝ่าย
    เท่า ๆ กัน ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง ก็ทำได้ หรืออาจตกลงแบ่งสินสมรส สิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งทั้งหมด หรือเกินกว่าครึ่งหนึ่งแห่งราคาของสินสมรสนั้นก็ทำได้

    กฎหมายและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง
    - ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๖๕ - ๑๔๙๓ , ๑๕๓๒ - ๑๕๓๕
    - คำสั่งกรมที่ดิน ที่ ๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ เรื่อง จดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส

    สาระสำคัญ
    - ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการแบ่งประเภททรัพย์สินระหว่างสามีภริยาไว้ตามมาตรา ๑๔๗๐ ว่า “ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัวย่อมเป็น
    สินสมรส” กฎหมายดังกล่าวได้แยกทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาเป็น ๒ ประเภท คือ ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะเรียกว่า “สินส่วนตัว” และทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างคู่สมรส
    ทั้งสองฝ่ายเรียกว่า “สินสมรส”

    ๑. สินส่วนตัว
    มาตรา ๑๔๗๑ “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน
    (๑) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส
    (๒) ที่เป็นเครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกาย หรือเครื่องประดับกายตามควรแก่ฐานะหรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
    (๓) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา
    (๔) ที่เป็นของหมั้น”
    มาตรา ๑๔๗๒ “สินส่วนตัวนั้น ถ้าได้แลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นก็ดี ซื้อทรัพย์สินอื่นมาก็ดี หรือขายได้เป็นเงินมาก็ดี ทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว
    สินส่วนตัวที่ถูกทำลายไปทั้งหมดหรือแต่บางส่วน แต่ได้ทรัพย์สินอื่นหรือเงินมาทดแทนทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว”

    ๒. สินสมรส
    มาตรา ๑๔๗๔ “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน
    (๑) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส
    (๒) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรม หรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส
    (๓) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว
    ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า
    เป็น ”สินสมรส”
    มาตรา ๑๕๓๓ “เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน”

    หลักเกณฑ์การสอบสวน
    - เมื่อมีผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสตามนัยมาตรา ๑๕๓๓ แห่ง ป.พ.พ.
    ให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนและเรียกหลักฐาน ดังนี้
    (๑) เมื่อสามีภรรยาหย่าขาดจากกัน และประสงค์จะแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเกี่ยวกับที่ดิน โดยขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่กันและกันแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินเรียกหลักฐานการหย่าขาดจากสามีภรรยา เช่น คำพิพากษาหรือหนังสือหย่าระหว่างกันมาตรวจสอบ ถ้าในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนหย่า ให้เรียกหลักฐานการจดทะเบียนหย่ามาแสดงด้วย
    (๒) เมื่อเห็นว่ามีการหย่าขาดจากกันถูกต้องแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินรับจดทะเบียนในประเภท “แบ่งทรัพย์สินระหว่างสมรส” โดยให้คู่สมรสยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และแก้ทะเบียนตามตัวอย่างท้ายคำสั่งนี้

    วิธีดำเนินการ
    การจัดทำคำขอฯ (ท.ด. ๑) คำขอ (ท.ด. ๙) เป็นไปตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ ๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ เรื่อง จดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
    มาตรา ๑๕๓๓ แห่ง ป.พ.พ. บัญญัติไว้เพียงว่า เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้สัดส่วน
    เท่ากัน มิได้ระบุว่าจะต้องแบ่งสินสมรสให้แต่ละฝ่ายได้เท่า ๆ กัน ทุกสิ่งทุกอย่าง คู่สมรสจึงอาจตกลงแบ่งสินสมรสสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่อีกฝ่ายหนึ่งทั้งหมดหรือเกินกว่าครึ่งหนึ่งแห่งราคาของสินสมรสนั้นได้ หากทรัพย์สินนั้นได้ตกลงกันไว้ในเวลาจดทะเบียนหย่า ข้อตกลงนั้นย่อมจะมีผลบังคับผูกพันให้เป็นไปตามข้อตกลงได้ และกรณี
    เช่นนี้ส่วนที่เกินครึ่งก็มิใช่เป็นการให้โดยเสน่หา (เทียบฎีกาที่ ๑๔๐๖/๒๕๑๗) พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่จำต้อง
    พิจารณาว่าส่วนแบ่งตามที่ตกลงกันนั้น จะเท่ากันหรือไม่ ก็ย่อมจดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสได้
    (หนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/๒๖๗๖๑ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ตอบข้อหารือจังหวัดชลบุรี เรื่อง หารือการจดทะเบียนที่ดิน เวียนตามหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/ว ๓๗๐๐๖ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗)

    แนวทางการวินิจฉัยที่สำคัญเกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
    ๑. การจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรสเป็นการจดทะเบียนลงชื่อสามีภรรยาในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินซึ่งเป็นสินสมรส ตามนัยมาตรา ๑๔๗๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงไปไม่ว่าด้วยเหตุใด เช่น ด้วยความตาย หรือ หย่า ฯ คู่สมรสย่อมไม่ใช่สามีภรรยาอีกต่อไป และสินสมรสก็สิ้นสภาพ แม้ยังมิได้มีการตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสทรัพย์สินนั้นก็คงเป็นกรรมสิทธิ์รวมธรรมดาเท่านั้น (คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๕๒๓/๒๕๑๙) ดังนั้น เมื่อคู่สมรสฝ่ายที่มีชื่อในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินถึงแก่ความตายแล้ว จึงไม่อาจจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรสได้ และเมื่อตามมาตรา ๑๕๓๒ วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก็บัญญัติว่า “เมื่อหย่าแล้วให้จัดการแบ่งทรัพย์สินของสามีภรรยา” กรณีจึงเป็นเรื่องที่ต้องไปจัดการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยากัน และขอจดทะเบียนในประเภท “แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส” แต่การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเช่นนี้เป็นการขอจดทะเบียนสิทธิในที่ดินโดยประการอื่นนอกจากนิติกรรมจะต้องให้ผู้ขอนำคำสั่งศาลซึ่งแสดงว่าตนมีสิทธิหรือได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสแล้วมาขอจดทะเบียนสิทธิตามข้อ ๙ แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
    พ.ศ.๒๔๙๗
    ๒. การจดทะเบียนกรณีได้มาซึ่งที่ดินในระหว่างอยู่กินฉันสามีภรรยาแล้ว ต่อมาคู่กรณีฝ่ายที่มีชื่อในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินถึงแก่ความตาย คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่จะมาขอจดทะเบียนให้ปรากฏชื่อร่วมในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินเป็นการจดทะเบียนสิทธิในที่ดินโดยประการอื่นนอกจากนิติกรรม ผู้ขอจะต้องนำ
    คำสั่งศาลที่แสดงว่าตนมีสิทธิหรือได้รับส่วนแบ่งในที่ดินอันเป็นทรัพย์สินร่วมกันมาขอจดทะเบียนสิทธิตามข้อ ๙ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
    พ.ศ.๒๔๙๗
    ๓. ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่า ญ. กับ ช. สมรสกันเมื่อปี ๒๕๒๒ ระหว่างสมรส ญ. ได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ดินเมื่อปี ๒๕๒๘ และปี ๒๕๓๔ ตามลำดับที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๔ ภายหลังทั้งสองหย่าขาดจากกัน การสมรสจึงสิ้นสุดลงและบันทึกข้อตกลงยกสินสมรสให้แก่บุตร เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๒ และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุตรทั้งสองคน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา ๓๗๕ วรรคท้าย ดังนั้น ตราบใดที่บุตรของ ญ. กับ ช. ยังมิได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญา ญ. กับ ช. จึงอาจตกลงกันเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิตามที่ตกลงกันไว้ได้ทุกเมื่อ (เทียบกับคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๑/๒๕๔๑) แต่ในการที่ ญ. จะจดทะเบียนลงชื่อ ช. ในโฉนดที่ดินดังกล่าวซึ่งมีชื่อ ญ. ถือกรรมสิทธิ์ไว้แต่เพียงผู้เดียว ผู้ขอจะ
    ต้องนำใบสำคัญการหย่ามาประกอบการขอจดทะเบียน เพื่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้รับจดทะเบียนในประเภท
    “แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส” ตามนัยมาตรา ๑๕๓๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ ว.
    ผู้รับมอบอำนาจนำหลักฐานทะเบียนสมรสมาแสดงทั้งยังให้ถ้อยคำยืนยันว่า ญ. กับ ช. ยังเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าใจว่า ทั้งสองยังเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายและรับจดทะเบียนให้ไปในประเภท “ลงชื่อคู่สมรส” ตามนัยมาตรา ๑๔๗๕ แห่ง ป.พ.พ. อันเป็นการจดทะเบียนไปโดยคลาดเคลื่อน จึงควรดำเนินการเพิกถอนรายการจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรสซึ่งจดทะเบียนในโฉนดที่ดินเมื่อปี ๒๕๔๒ ตามนัยมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับการจดทะเบียนให้ที่ดินเฉพาะส่วนระหว่าง ญ. กับ ช. ในลำดับถัดมา เมื่อเพิกถอนรายการจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรสแล้ว โฉนดที่ดินจะกลับมีชื่อ ญ. ถือกรรมสิทธิ์
    แต่เพียงผู้เดียวดังเดิมและไม่มีเหตุใดที่จะต้องจดทะเบียนให้เฉพาะส่วนแก่ ช. เพราะเมื่อที่ดินเป็นสินสมรส ช. ย่อมเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อทั้งสองหย่าขาดจากกันแล้วที่ดินดังกล่าวย่อมคงไว้เพื่อการแบ่งสินสมรส
    เท่านั้น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนให้ที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของ ญ. แก่ ช. จึงเป็นไปโดยคลาดเคลื่อน ให้เพิกถอนเสีย
    ๔. โดยปกติแล้วการโอนมรดก พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ได้พิจารณาถึงสินสมรสว่าจะแบ่งแล้วหรือยัง แต่จะพิจารณาเพียงชื่อเจ้าของที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินว่าเป็นชื่อของเจ้ามรดกหรือไม่เท่านั้น หากมีชื่อเจ้ามรดกแล้วทายาทย่อมมาขอจะทะเบียนรับโอนมรดกได้ และถ้าคู่สมรสจะมาขอแบ่งสินสมรสในกรณีที่ไม่มีพินัยกรรมระบุว่าเป็นสินสมรสแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะไม่จดทะเบียนแบ่งสินสมรสให้ โดยถือว่าการแบ่งสินสมรสเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม คู่สมรสที่ขอแบ่งจะต้องไปร้องขอให้ศาลสั่งมาเสียก่อน แต่ถ้าพินัยกรรมระบุชัดว่าที่ดินทุกแปลงเป็นสินสมรสระหว่างเจ้ามรดกและสามีแล้วการที่จะโอนมรดกให้แก่ทายาทไปทั้งหมด โดยไม่คำนึงว่าที่ดินที่โอนไปนั้นเป็นมรดกของเจ้ามรดกตกทอดแก่ทายาทหรือไม่นั้น ย่อมจะฝืนต่อข้อเท็จจริง แม้ว่าคู่สมรสของเจ้ามรดกจะยินยอมก็ตามจึงควรโอนมรดกให้เพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือให้
    จดทะเบียนแบ่งสินสมรสให้คู่สมรสของเจ้ามรดกไป โดยถือว่าเมื่อพินัยกรรมระบุไว้ชัดแจ้งว่าที่ดินมรดกเป็นสินสมรส คู่สมรสของเจ้ามรดกจึงขอแบ่งฝ่ายเดียวได้ โดยอนุโลมตามนัยคำสั่งกรมที่ดินที่ ๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ เรื่อง จดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนในประเภทไม่มีทุนทรัพย์
    ๕. แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการที่คู่สมรสจะมาขอแบ่งสินสมรสในกรณีที่ไม่มีพินัยกรรมระบุไว้ว่าเป็นสินสมรส พนักงานเจ้าหน้าที่จะไม่จดทะเบียนแบ่งสินสมรสให้ โดยถือว่าการแบ่งสินสมรสเป็นการได้มาทางอื่นนอกจากนิติกรรม คู่สมรสที่ขอแบ่งจะต้องไปร้องขอให้ศาลสั่งมาเสียก่อน แม้โฉนดที่ดิน จะมีชื่อ ญ. เจ้ามรดกเพียงผู้เดียว อันเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่ปรากฏว่าในพินัยกรรมของ ญ.
    ระบุชัดว่า ทรัพย์สินทุกอย่างเป็นสินสมรสระหว่าง ญ. กับ ช. และ ญ. มีเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น โดยอ้างเหตุที่มีเพียงหนึ่งในสามส่วนว่าตนได้สมรสกับ ช. มาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ และ
    มีสินเดิมมาด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ปรากฏว่า ส. บุตรคนหนึ่งของ ญ. กับ ช. ตามสำเนาทะเบียนบ้านเกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔ และที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ญ. ได้มาโดยการซื้อและรับให้ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๔๓ - ๒๔๙๘ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ญ. และ ช. ได้สมรสกันมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ และที่ดินทั้งสามแปลงเป็นสินสมรสจริง เมื่อ ญ. ตาย ที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของ ญ. ตาย ที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของ ญ. ที่จะตกทอดไปยังทายาทจึงมีเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น (เทียบฎีกาที่ ๒๖๒๘/๒๕๒๒)
    ดังนั้น การแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสรายนี้ ช. ย่อมจะขอแบ่งฝ่ายเดียวได้ โดยอนุโลมปฏิบัติตามนัยคำสั่งกรมที่ดินที่ ๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ เรื่อง จดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในประเภทไม่มีทุนทรัพย์ เมื่อแบ่งแล้วหาก ช. จะขอรับโอนมรดกส่วนของ ญ. ก็ต้องคิดค่าธรรมเนียมตามส่วนของที่ดินที่เป็นมรดก
    ๖. กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินเป็นสินสมรสระหว่าง ช. และ ญ.ให้ ญ. โอนให้ ช. ครึ่งหนึ่งตาม
    สารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดินดังกล่าวมีชื่อ ญ. ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินจำนวน ๘๐๐ ส่วน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โอนให้ ช. ครึ่งหนึ่ง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำนวนครึ่งหนึ่งของที่ดินที่ ญ. จะต้องโอนให้แก่ ช. จำนวนครึ่งหนึ่งของที่ดินที่ ญ. จะต้องโอนให้แก่ ช. จึงชัดเจนแล้วว่าหมายถึงจำนวน ๔๐๐ ส่วน ของที่ดินจำนวน ๘๐๐ ส่วนที่ ญ. ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งในระหว่างที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ญ. ได้
    จดทะเบียนให้ ท. ถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของตนไปแล้วครึ่งหนึ่งจำนวน ๔๐๐ ส่วน ในจำนวน ๘๐๐ ส่วน
    การจำหน่ายที่ดินดังกล่าวต้องถือว่าเป็นการจำหน่ายที่ดินสินสมรสเฉพาะส่วนของ ญ. ฝ่ายเดียว ไม่ใช่ส่วนของ ช. ที่ดินส่วนที่เหลืออยู่อีก ๔๐๐ ส่วน จึงเป็นสินสมรสส่วนที่จะต้องแบ่งให้ ช. ตามคำพิพากษาของศาลทั้งหมด จึงชอบที่จะจดทะเบียนให้ ช. ตามคำขอได้ โดยจดทะเบียนในประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเฉพาะส่วนตามคำพิพากษา........ ตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ ๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘ แต่โดยที่ ญ. เป็น
    ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเต็มทั้งแปลง กรณีนี้จึงให้หมายเหตุในเรื่องราวขอจดทะเบียนฯ (ท.ด. ๑) และสารบัญจดทะเบียนว่า “ช. ขอแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเฉพาะส่วนของ ญ. ตามคำพิพากษา......... ส่วนของคนอื่นคงมีอยู่ตามเดิม” และให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมประเภทไม่มี
    ทุนทรัพย์ แปลงละ ๕๐ บาท


    คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
    ๑. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๒๓/๒๕๑๙ สามีภริยาหย่ากันโดยคำพิพากษาและจดทะเบียนหย่าแล้ว
    สินบริคณห์สิ้นสภาพ แม้ยังมิได้แบ่งก็เป็นแต่กรรมสิทธิ์รวมธรรมดา หญิงถูกยึดทรัพย์ ชายร้องขัดทรัพย์ไม่ได้
    ได้แต่ขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมเท่านั้น ไม่ต้องร้องขอแยกสินบริคณห์เป็นส่วนของสามีและภริยาก่อน
    ๒. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๙/๒๕๓๑ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำหนังสือหย่าและตกลงแบ่งทรัพย์สินกันโดยชอบ แต่ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ หย่าขาดจากกันแล้วเพราะยังไม่ได้จดทะเบียนหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๑๕ แต่ข้อตกลงเรื่องการหย่าและข้อตกลงเรื่องแบ่งทรัพย์สินเช่นนี้เป็นข้อตกลงที่แยกจากกันไม่ได้ เมื่อยังไม่มีการหย่าทรัพย์สินนั้นคงเป็นสินสมรสอยู่ตามเดิม โจทก์อ้างไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทแต่ผู้เดียว........
    ๓. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๙๖๑/๒๕๓๕ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๓๓ การจะแบ่งสินสมรสได้ต้องมีการหย่ากันเท่านั้น เมื่อไม่มีการหย่าแม้คู่สมรสจะจำหน่ายสินสมรสไปเพื่อประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียวมาตรา ๑๕๓๔ ก็ให้ถือเสมือนว่า ทรัพย์สินนั้นคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสตามมาตรา ๑๕๓๓ กฎหมายมิได้มุ่งประสงค์ให้แบ่งสินสมรสกันได้หากคู่สมรสยังเป็นสามีภริยากันอยู่........
    ๔. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๓๕/๒๕๓๖ ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับ ฟ. เมื่อหย่ากันแต่ละฝ่ายย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวคนละครึ่ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๓๓ แต่โจทก์ที่ ๒ ไม่ได้แสดงเจตนาแก่ ฟ. ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาในส่วนที่ดินพิพาทซึ่ง ฟ. มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งก่อนที่ ฟ. จะตาย
    กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งจึงยังเป็นของ ฟ. อยู่ ฟ. ย่อมแสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับที่ดินนั้นในส่วนของตนเพื่อให้มีผลบังคับตามกฎหมายเมื่อตนตายได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๖๔๖
    ๕. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๘/๒๕๓๗ ..........บันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินหลังทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญา ซึ่งกันและกันแล้วยังมีบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้องเป็น ผู้รับประโยชน์แห่งสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยด้วย คือ แทนที่โจทก์และจำเลยจะแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาด้วยกันเอง โจทก์และจำเลยกลับยอมให้ที่ดินจำนวน ๒ แปลง และบ้านอีก ๑ หลัง ตกเป็นของผู้เยาว์ทั้งสองหลังจากโจทก์
    และจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภรรยา ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๓๒ และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๗๔ มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๒๕ แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้จำเลยผิดสัญญา โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันได้
    ๖. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๑๔/๒๕๓๘ ห. กับ จ. เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมาย
    ลักษณะผัวเมียโดยต่างมีสินเดิมมาด้วยกัน บุคคลทั้งสองได้ทรัพย์พิพาทมาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรส แม้ ห. ถึงแก่ความตายในปี ๒๕๓๒ เมื่อ ป.พ.พ. บรรพ ๕ ใหม่ ประกาศใช้แล้วก็ตาม การแบ่งสินสมรสก็ต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ ๖๘ คือ ชายได้ ๒ ส่วน หญิงได้ ๑ ส่วน จะแบ่งคนละส่วนเท่ากัน
    ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๓๓ หาได้ไม่
    ๗. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๑๔/๒๕๓๙ ข้อตกลงที่ ป. จะโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามหนังสือสัญญาหย่า มิใช่เป็นการจะให้ที่ดินแก่โจทก์โดยตรง แต่เป็นการให้ที่เกิดจากข้อตกลงตามสัญญาแบ่งทรัพย์สินในการหย่าระหว่าง ป. กับโจทก์ ดังนี้ข้อตกลงจะให้ที่ดินดังกล่าวย่อมสมบูรณ์ มีผลผูกพันกันได้โดยไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่..........
    ๘. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๕๒/๒๕๔๐ การที่จำเลยกับผู้ร้องจดทะเบียนหย่ากัน และทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สิน ไว้หลังทะเบียนการหย่าว่าให้สินสมรสทั้งหมดรวมทั้งที่ดินพร้อมบ้านพิพาทตกเป็นของ
    ผู้ร้องนั้น เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๓๒ มีผลบังคับผูกพันสามีภริยานับแต่นายทะเบียนจดทะเบียนการหย่าแล้ว หากจำเลยที่ ๒ ผิดสัญญา ผู้ร้องในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่เมื่อผู้ร้องยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทในส่วนที่เป็นสินสมรสของจำเลยที่ ๒ จึงยังไม่ตกเป็นของผู้ร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง..........
    ๙. คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๓๘๒/๒๕๔๐ โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินที่โจทก์อ้างว่าโจทก์จำเลยหามาได้ร่วมกันในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาก่อนจดทะเบียนสมรส เท่ากับโจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์ที่โจทก์อ้างว่ามีอยู่ก่อน
    สมรสอันเป็นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๑ (๑) ซึ่งแต่ละฝ่ายในฐานะเจ้าของย่อมมีอำนาจจัดการเองได้โดยลำพังตามมาตรา ๑๔๗๓ และมาตรา ๑๓๓๖ แม้ต่อมาจะจดทะเบียนสมรสกัน ก็ไม่ทำให้สินส่วนตัวนั้นกลับเป็นสินสมรสได้ จึงไม่ใช่การฟ้องร้องเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา อันต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ หมวด ๔ ว่าด้วยทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา และการห้ามมิให้สามีหรือภริยายึดหรืออายัดทรัพย์สินของอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องร้องอีกฝ่ายหนึ่ง ตามมาตรา ๑๔๘๗
    ก็ไม่ใช่ห้ามมิให้ฝ่ายหนึ่งฟ้องร้องอีกฝ่ายหนึ่งให้แบ่งทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมที่มีอยู่ก่อนสมรส เมื่อโจทก์
    มีหนังสือขอแบ่งที่ดินดังกล่าวไปยังจำเลยแล้วจำเลยไม่แบ่งให้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้แบ่งที่ดินได้
    ตามมาตรา ๑๓๖๓
    ๑๐. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๑/๒๕๔๑ ส. กับจำเลยที่ ๒ จดทะเบียนหย่ากันและได้ทำบันทึกข้อตกลงยกที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยที่ ๑ กับพวกซึ่งเป็นบุตรและยังเป็นผู้เยาว์ สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๒ และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ กับพวกซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา ๓๗๔ สิทธิของจำเลยที่ ๑ กับพวกจะเกิดขึ้นเมื่อได้แสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น ตามมาตรา ๓๗๔ วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑
    กับพวกได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ ๑ กับพวกจึงยังไม่มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาท ส. ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของย่อมสามารถโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่บุคคลอื่นได้
    ๑๑. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๔๔/๒๕๔๒ แม้การที่ ร. ให้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสโดยเสน่หาแก่
    จำเลยโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์ ซึ่งเป็นคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖ (๕) และ ๑๔๗๕ เมื่อมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์ และโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ดังกล่าวภายในกำหนดเวลา ๑ ปี นับแต่วันที่ได้รู้เรื่องที่ ร. จดทะเบียนการให้ที่ดินแก่จำเลยที่ ๒ หรือภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันจดทะเบียนการให้ตาม มาตรา ๑๔๘๐ ได้ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ ดังนี้ ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และจำเลยมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะทายาทของ ร. ที่จะต้องมีหน้าที่แบ่งสินสมรสให้โจทก์แทน ร. แต่จำเลยครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของ
    กรรมสิทธิ์เนื่องจากได้รับยกให้จาก ร. จำเลยจึงไม่มีหน้าที่แบ่งสินสมรสดังกล่าวของ ร. ให้โจทก์
    การทำพินัยกรรม มิใช่เป็นการจัดการสินสมรสที่จะต้องได้รับความยินยอมคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖ วรรคหนึ่ง
    แม้ ร. มีสิทธิทำพินัยกรรมยกบ้านพิพาทที่เป็นสินสมรสระหว่าง ร. กับโจทก์ส่วนที่ ร. มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖ วรรคสอง ได้ก็ตาม แต่ ร. ก็ไม่
    มีสิทธิทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในบ้านส่วนของโจทก์อีกครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยได้ การที่ ร. ทำพินัยกรรมยกบ้าน
    สินสมรสทั้งหลังให้แก่จำเลยจึงไม่มีผลผูกพัน ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของมีสิทธิฟ้องติดตามเอาคืนทรัพย์ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้โดยไม่มีกำหนดเวลาการใช้สิทธิ เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ โดยโจทก์ไม่ต้องฟ้องร้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมของ ร. ก่อน
    ๑๒. คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๔๗๗/๒๕๔๒ การพิจารณาว่าทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสามีภริยาเป็นประเภทใด ต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ได้มา
    จำเลยได้รับที่ดินพิพาทโดยทางพินัยกรรมในระหว่างสมรสและไม่มีการระบุว่าให้เป็นสินสมรสหรือสินส่วนตัวเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ ในขณะที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิม ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยตามบรรพ ๕ เดิม มาตรา ๑๔๖๖ วรรคหนึ่ง แม้ต่อมาจะได้มีการแบ่งแยกที่ดินและออกโฉนดใหม่เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.๒๕๑๙
    ใช้บังคับแล้ว ก็เป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์สินในระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ไม่ทำให้ที่ดินพิพาทหลังจากแบ่งแยกโฉนดแล้วเปลี่ยนเป็นสินส่วนตัวตามมาตรา ๑๔๗๑ (๓)
    ๑๓. คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๙๖๑/๒๕๔๔ ป.พ.พ.มาตรา ๑๕๓๔ ที่บัญญัติว่า ”สินสมรสที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจำหน่ายไป…..ให้ถือเสมือนว่าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสตามมาตรา ๑๕๓๓ …..” นั้น เป็นการแบ่งสินสมรสที่ฝ่ายหนึ่งจำหน่ายจ่ายโอนไปหรือทำให้สูญหายไปโดยมิชอบ ในกรณีที่หย่ากันให้แบ่งทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์สินในฐานะเจ้าของรวม จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๑๕๓๔ ดังกล่าว โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินกึ่งหนึ่ง เมื่อจำเลยขายที่ดินไปได้เงินเท่าใด โจทก์ก็ควรได้รับเงินกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่จำเลยขายไป มิใช่กึ่งหนึ่ง
    ของราคาที่ดินปัจจุบัน การกำหนดมูลค่าที่ดินที่จำเลยจำหน่ายจ่ายโอนไปก่อนฟ้องเพื่อเป็นฐานในการคิดคำนวณค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์จึงต้องคิดจากราคา ณ วันที่จำเลยจำหน่ายจ่ายโอน
    ๑๔. คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๖๕๐/๒๕๔๕ โจทก์และจำเลยได้ร่วมกันดำเนินกิจการร้านเสริมสวยตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนสมรสกัน กิจการร้านเสริมสวยดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยมีอยู่แล้วก่อนสมรส จึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๗๑ (๑) โจทก์ลงทุนในกิจการดังกล่าว ๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยลงทุน ๑๐๐,๐๐๐ บาท กิจการร้านเสริมสวยจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยตามสัดส่วนของเงินลงทุน คือ ๒ ต่อ ๑
    ที่ดินและห้องชุดทั้งสี่ห้องจำเลยได้รับโอนมาภายหลังจากโจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ส่วนเงินดาวน์ของที่ดินและของห้องชุดที่จำเลยนำไปชำระนั้น จำเลยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารซึ่งเป็นเงิน
    สินส่วนตัวของจำเลย แต่เงินในบัญชีดังกล่าวมีเงินรายได้จากกิจการร้านเสริมสวยรวมอยู่ด้วย ซึ่งเงินรายได้
    ดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลย และไม่อาจแยกได้ว่าส่วนไหนเป็นเงินสินส่วนตัวของจำเลย ส่วนไหนเป็นเงินสินสมรสได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่อาจฟังได้ว่า มีเงินสินส่วนตัวของจำเลยเข้ามาปะปนอยู่กับเงินดาวน์ของที่ดินและของห้องชุดทั้งสี่จำนวนเท่าใด กรณีจึงต้องถือตามข้อสันนิษฐาน ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๗๑ วรรคท้าย ว่า เงินดาวน์ดังกล่าวเป็นสินสมรสด้วย ที่ดินและห้องชุดทั้งสี่ห้องจึงเป็นสินสมรสเต็มจำนวนที่ต้องแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง..........


    ข้อควรระวังในการจดทะเบียน “ลงชื่อคู่สมรส” “แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส”
    (๑) การจดทะเบียนประเภทลงชื่อคู่สมรสเป็นการจดทะเบียนลงชื่อสามีภรรยาในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินอันเป็นสินสมรสซึ่งมีชื่อสามีหรือภรรยาเป็นเจ้าของอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้สามีและภรรยามีชื่อเป็นเจ้าของร่วมกันตามนัยมาตรา ๑๔๗๕ แห่ง ป.พ.พ. ซึ่งมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญคือ ที่ดินนั้นต้องเป็นสินสมรส และคู่กรณีต้องเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับการจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส ที่ดินที่จะจดทะเบียนต้องเป็นสินสมรสและคู่กรณีต้องเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าการจดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเป็นการจดทะเบียนไปตามข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสหลังจากที่ได้หย่าขาดจากกันแล้ว กล่าวคือ ในขณะเมื่อยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ สินสมรสย่อมเป็นสิทธิของสามีภรรยาร่วมกันในทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งถ้าสินสมรสนั้นเป็น ที่ดินมีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินและมีชื่อคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของแต่ฝ่ายเดียว หากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งจะขอจดทะเบียนเพื่อให้มีชื่อเป็นเจ้าของร่วมกันก็จดทะเบียนในประเภทลงชื่อคู่สมรส ต่อเมื่อได้หย่าขาดจากกันไม่ว่าจะเป็นการหย่าโดยความยินยอมหรือไม่ก็ตามมาตรา ๑๕๓๒ แห่ง ป.พ.พ. บัญญัติให้มีการจัดการแบ่งทรัพย์สินของสามีภรรยา ซึ่งในการจัดการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยานี้ตามมาตรา ๑๕๓๓ บัญญัติว่า “ เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน” สามีภรรยาจะจัดการแบ่งกันอย่างไร ทรัพย์สินใดเป็นของฝ่ายใดก็สุดแล้วแต่สามีภรรยาจะตกลงกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาทรัพย์สินแต่ละอย่างมาแบ่งกันคนละครึ่ง แต่เมื่อแบ่งกันแล้วทรัพย์สินที่แต่ละฝ่ายได้ไปทั้งหมดรวมกันแล้วต้อง
    มีมูลค่าเท่ากัน เช่น โฉนดที่ดินมีชื่อสามีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาเมื่อหย่าร้างกันคู่สมรสอาจตกลงกันให้ที่ดินแปลงนี้ตกเป็นของภรรยาคนเดียวก็ได้ หรือสามีภรรยาอาจจะตกลงแบ่งโดยให้สินสมรสชิ้นใดชิ้นหนึ่งเป็นของ
    ทั้งสองคนถือกรรมสิทธิ์รวมกันไปก็ได้ ซึ่งไม่ว่าคู่กรณีจะตกลงแบ่งกันอย่างไรก็ต้อง จดทะเบียนในประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากกรณีเป็นเรื่องที่ตกลงกันให้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันต่อไปตามตัวอย่างข้างต้น ในการจดทะเบียนพนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะต้องจดทะเบียนลงชื่อภรรยาให้ปรากฏในโฉนดที่ดินทำนองเดียวกันกับการจดทะเบียนลงชื่อคู่สมรส แต่ต้องจดทะเบียนในประเภท “ แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส”
    มิใช่จดทะเบียนในประเภทลงชื่อคู่สมรส
    (๒) กรณีที่โฉนดที่ดินมีชื่อสามีแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาเมื่อหย่ากันได้ตกลงแบ่งทรัพย์สินให้ที่ดินแปลงนี้เป็นของภรรยาฝ่ายเดียว ซึ่งที่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องจดทะเบียนให้ในประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไม่มีทุนทรัพย์แปลงละ ๕๐ บาท แต่พนักงานเจ้าหน้าที่บางคนได้
    จดทะเบียนให้ในประเภท “ให้” และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมมีทุนทรัพย์ในอัตราร้อยละ ๒ ซึ่งไม่ถูกต้อง


    ค่าธรรมเนียม
    การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส เป็นการจดทะเบียนประเภทไม่มีทุนทรัพย์ เรียกเก็บค่า
    ธรรมเนียมแปลงละ ๕๐ บาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ.๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๒ (๗)(ฑ) ทั้งนี้ไม่ว่าที่ดินแปลงที่จดทะเบียนคู่กรณีจะได้ตกลงให้แก่กันเกินครึ่งแปลงนั้น ๆ หรือไม่ เช่น โฉนดที่ดินที่มีชื่อสามีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คู่กรณีได้จดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสให้แก่ภริยาไปทั้งแปลงเช่นนี้ ต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแปลงละ ๕๐ บาท (หนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/๒๖๗๖๑ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ ตอบข้อหารือจังหวัดชลบุรี เวียนโดยหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/ว ๒๗๐๐๖ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗)


    ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
    การแบ่งสินสมรสที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีราคาของแต่ละฝ่ายเท่ากันไม่ถือเป็นการ “ขาย” ตามมาตรา ๓๙ แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ แต่ถ้าในการแบ่งสินสมรสฝ่ายใดได้ไปเกินกว่าส่วนของตนตามกฎหมายต้องถือว่าฝ่ายที่ยอมให้ส่วนของตนเกินไปให้กับอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นผู้ให้ ซึ่งถือว่าเป็นการ “ขาย” จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้โดยการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งคำนวณจากราคาอสังหาริมทรัพย์ เฉพาะส่วนที่เกินไปนั้น (หนังสือกรมสรรพากร ที่ กค ๐๘๐๒/๒๒๒๙๗ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๕ ซึ่งกรมสรรพากรได้เวียนให้ทุกจังหวัดทราบ ตามหนังสือกรมสรรพากร ที่ กค ๐๘๐๒/๖๓๗ ลงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๖ , คำสั่งกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/๒๖๗๖๑ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ตอบข้อหารือจังหวัดชลบุรี เวียนโดยหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๐๘/ว ๒๗๐๐๖ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗)

    อากรแสตมป์
    การจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส ไม่มีกรณีที่จะต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร

    ส่วนมาตรฐานการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
    สำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน
    พฤษภาคม ๒๕๔๘
    ___________________​


    คำสั่งที่ ๖/๒๔๙๘
    เรื่อง จดทะเบียนประเภทแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
    _________________​


    เนื่องจากการแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสซึ่งหย่าขาดจากกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินมักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ และบางกรณีเป็นเรื่องซึ่งสามีภรรยาต่างได้ตกลงแบ่งที่ดิน หรือโอนที่ดินให้แก่กันแต่ละฝ่ายเกินปริมาณ
    ที่จำกัดไว้ตามมาตรา ๓๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งที่ดินใหม่ เพราะเป็นทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาซึ่งมีอยู่แต่เดิม จึงเห็นสมควรวางระเบียบในการจดทะเบียนดังต่อไปนี้ คือ ๑. เมื่อสามีภรรยาหย่าขาดจากกัน และประสงค์จะแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสเกี่ยวกับที่ดิน โดยขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่กันและกันแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินเรียกหลักฐานการหย่าขาดจากสามีภรรยา เช่น คำพิพากษา หรือหนังสือสัญญาหย่าระหว่างกันมาตรวจสอบดูเสียก่อน ถ้าในกรณีที่จะต้องจดทะเบียนหย่า ให้เรียกหลักฐานการจดทะเบียนหย่ามาแสดงด้วย
    ๒. เมื่อเห็นว่ามีการหย่าขาดจากกันถูกต้องแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินรับจดทะเบียนให้ในประเภท “แบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส” โดยให้คู่สมรสยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และแก้ทะเบียนตามตัวอย่างท้ายคำสั่งนี้
    ๓. ในการแก้สารบัญรายชื่อ สารบัญที่ดิน ให้ใช้อักษรย่อว่า “บ.ส.”
    ๔. ค่าธรรมเนียมให้เรียกเก็บตามกฎกระทรวง (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ.๒๔๙๗ ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๙๗ ข้อ ๕ (๕)
    อนึ่ง ในกรณีซึ่งในโฉนดที่ดินมีชื่อสามีภรรยาร่วมกัน แต่ไม่ประสงค์จะโอนส่วนของตนให้แก่กัน ต้องการจะแบ่งแยกออกจากกัน ให้อนุโลมดำเนินการอย่างจดทะเบียนประเภทแบ่งระหว่างเจ้าของเดิม ตลอดจนค่าธรรมเนียมให้เรียกเก็บเช่นเดียวกัน
    กรมที่ดิน
    สั่ง ณ วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๙๘
    (ลงชื่อ) ศ. ไทยวัฒน์
    (นายศักดิ์ ไทยวัฒน์)
    อธิบดีกรมที่ดิน​
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรรมตัดเศียรพระพุทธรูป

    วันพุธที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๒

    ครั้งที่ ๓๒

    นรกขุม ๖ แดนลงทัณฑ์ ๒

    บุคคลใดก็ตามที่กระทำกรรมล่วงล้ำต่อพระพุทธศาสนาหรือศาสนวัตถุสถานใดที่สร้างด้วยพระพุทธบารมีที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ให้โลกมนุษย์ มนุษย์ เพื่อให้มนุษย์นั้นได้กลับย้อนสู่ชาติมาตุภูมิที่บังเกิดอยู่ก่อนที่จะมาสนองผลกรรมในชาติกรรมนี้
    ด้วยกรรมสนองที่ใครก็ตามที่คิดบังอาจทำตนเป็นผู้บั่นทอนทำลายชาติศาสนาที่บังเกิดขึ้นเพื่อให้มนุษย์ได้รู้แจ้งในกรรม หรือแม้แต่คิดร้ายต่อ ผลกรรมนั้นจักสนองบาปอย่างยิ่งในผลแห่งตน ณ สถานจักรฎกรรม (สถานที่มนุษย์ต้องมาสู่เมื่อกระทำผิด และสนองบาปเมื่อครั้งตนเป็นมนุษย์ที่สร้างบุญบาปนั้นไว้ในมนุษย์ภูมิ) ในนรกภูมิ
    ตัวอย่างกรรมในเรื่องนี้ เป็นเรื่องของบุคคลที่กระทำกรรมต่อพระพุทธศาสนาด้วยการตัดเศียรพระพุทธรูปหากินเลี้ยงชีพ ด้วยการบำเรอความสุขส่วนตนด้วยของสูง เขาจึงต้องรับผลแห่งบาปนั้นด้วยกรรมทัณฑ์
    ในนรกแดนนี้ มีวิญญาณบาปตนหนึ่งกระทำกรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาได้รับผลแห่งกรรมนั้นอยู่ในนรกด้วยกรรมนั้น ทำให้เขาต้องโดนเหล็กตัดร่างจนขาดออกจากกันชิ้นส่วนไหนที่เขาถูกตัด นั่นหมายถึงเขาได้ตัดอวัยวะบางส่วนของพระพุทธรูปหรือศาสนวัตถุไปจนหมด และกรรมที่เขาต้องถูกตัดอวัยวะเพศในที่ ๆ เขาได้เพศกำเนิดนั้น เขาจะต้องใช้กรรมเนื่องจากบุรากรรมที่คิดบังอาจกระทำกรรมต่อพระพุทธศาสนา หากแม้เป็นเพศหญิงก็จะต้องโดนไฟลนอวัยวะเพศจนหมด ไม่สามารถกระทำการได้อีกต่อไป นี่เป็นสัตกรรมที่เขาจะต้องได้รับ
    วิญญาณตนนี้เป็นชาย ที่ขาและแขนของเขาถูกลงตรวนเอาไว้ทั้งสองข้างกำลังนอนหงายอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ ในรูปร่างเปลือยกาย ปากของเขาก็ร้องว่า “กูไม่ทำอีกแล้ว กูไม่ทำอีกแล้ว ๆๆๆ …”
    แขนและขาของเขาถูกตัดออกไปด้วย “จักรกลมผัน” อันแสนคม เหลือแต่หัวกับตัว เลือดสด ๆ ไหลออกจากอวัยวะที่ถูกตัด และอวัยวะที่ถูกตัดออกไปนั้นได้กลับเข้ามาต่อกันใหม่ด้วยฤทธิ์แห่งกรรมที่เขากระทำ และเขาจะต้องรับบาปกรรมที่เขากระทำกรรมจนกว่าจะหมดกรรม
    สภาพที่น่าอดสูของสัตว์ผู้เรียกว่าตนเองเป็นมนุษย์ เมื่อจิตใจของมนุษย์มีแต่ความหยาบช้า จึงต้องมีกฏแห่งกรรมเข้ามาลงโทษเพื่อให้รู้สำนึกและกลับตนเสียใหม่ มรรคธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้แนะไว้แล้ว หากสัตว์ตนใดกระทำตามก็จะพ้นทุกข์ตามครรลองศาสนธรรม
    “ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงมีแต่ความสุขในผลบุญที่ตนได้สร้างมานั้นเถิด”
    “ศาสนธรรมในศาสนสถานที่ประกาศออกมาสู่มนุษย์ธรรมกะนั้น เป็นพระพุทธธรรมอันประเสริฐ และตรัสสอนว่า มนุษย์ทั้งหลายนั้นได้สู่โลกมนุษย์เพื่อใช้กรรม หากสัตว์ตนใดกระทำตนเป็นพุทธมามกะยึดมั่นในพระพุทธศาสนาแล้ว ปฏิบัติธรรมในศีลธรรมบารมีธรรม ปฏิบัติธรรมศาสนาที่พระพุทธเจ้าลงมาตรัส แน่นอน … ที่สุดท้ายของวิญญาณนั้น จะกลับย้อนสู่มาตุชนศาสนบุญ (สถานที่รับบุญแห่งสัตว์โลก)
    วิญญาณตนใดที่กระทำกรรมดังกล่าวแล้ว เขาจะมีกรรมบุญอันสร้างเสริมด้วยผลบุญแห่งตน นำหนุนส่งให้เขาสู่แดนมาตุภูมิชนชั้นเทอญ ….
    *สัตกรรม (ผลรวมแห่งสัตว์นั้นกระทำและได้รับอยู่) *ธรรมกะ (วิญญูชนหรือมนุษย์ชน)

    อาหารเจ อนุตตรธรรม เต๋า นิทานชาดก เรื่องสั้น เพื่อน พบกันในสังคมธรรมะออนไลน์ - ครั้งที่ ๓๒

    mindcyber.com
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา จากหนังสือ กรรมกำหนด

    ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา?
    โดย..วารี จากหนังสือ “กรรมกำหนด” เล่มที่ ๑

    ************************
    โยมผู้ใหญ่ .... อาตมาขอปรึกษาโยมสักหน่อย และจะมอบหมายให้โยมรับไปดำเนินการด้วย เพราะอาตมาเอง ก็ไม่สู้จะเข้าอกเข้าใจอะไรนัก คือ ทางวัดเราจะหล่อพระพุทธรูปไว้ให้ญาติโยมสักการะบูชา ตั้งใจจะหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ และปิดทองคำเปลวภายนอกตามกำลังปัจจัย และศรัทธาตามประสาวัดบ้านนอก ปัจจัยนั้นอาตมามีเตรียมไว้แล้วจากเงินทอดกฐินเมื่อปีที่แล้ว พอได้สักก้อนนึงไม่มากหรอก โยมช่วยเป็นธุระด้วยนะ ในฐานะเป็นมรรคทายกอาวุโสของวัดมานาน ในเดือนหน้าเขาจะมีการประกอบพิธีพุทธาภิเษก เททองหล่อพระพุทธรูป เบิกพระเนตร ที่วัดใหญ่ในเมือง อยากให้โยมผู้ใหญ่หาทองสัมฤทธิ์และทองคำเปลว ไปร่วมพิธีหล่อพระกับเขาด้วย โยมจะเห็นเป็นการใด ที่อาตมาขอร้องล่ะ...”

    เจ้าอาวาสวัดหนองซาก อำเภอประลอง พูดปรึกษาเรื่องบุญกุศลนี้กับผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๑ ประจำท้องถิ่นนั้น ในวันพระหรือวันธรรมสวนะ บนศาลาการเปรียญของวัดดังกล่าว ในขณะที่พระสงฆ์กำลังฉันเช้า โดยมีญาติโยมอุบาสก อุบาสิกา ผู้ศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา นำอาหารคาวหวาน เครื่องไทยทาน มาทำบุญในวันพระตามปกติ
    ผมเองอยู่ในวงสนทนานั้นด้วย ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าอาวาส หลังจากท่านเจ้าอาวาสพูดจบ โดยไม่ต้องตริตรองตัดสินใจอะไรให้มากเรื่องมากความ ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นตอบรับปากตกลงพระไปในทันที โดยจะรับเป็นธุระจัดซื้อหาทองสัมฤทธิ์ ทองคำเปลว และตัวเองจะไปร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปในพิธีพุทธาภิเษกเดือนหน้า ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปี เกจิอาจารย์ พระเถรานุเถระผู้ใหญ่ และ ช่างฝีมือหล่อ และปั้นพระพุทธรูป จะมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียงกัน..

    เจ้าอาวาสถึงกับยิ้มออกมาได้ และทันใดนั้นโดยที่ใคร ๆ คาดไม่ถึง ท่านกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้ ๆ ใช้ให้ไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลซองหนึ่งในย่าม ซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ ตัว ขึ้นมา และสั่งให้มอบแก่ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมกับพูดว่า ในซองนี้คือเงินสด ๕๓ ,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินบุญทอดกฐินสามัคคีในปีที่แล้ว ขอให้ผู้ใหญ่บ้านนำไปดำเนินการตามที่เห็นสมควร แล้วแต่ดุลยพินิจเห็นชอบ
    ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นระบายยิ้มบนใบหน้า ดวงตาคมวาวล่อกแล่กแบบตาเหยี่ยวลุกโพลง ความจริงผมเองนั้นไม่ชอบหน้ามรรคทายกคนนี้มานานแล้วแต่พูดอะไรไม่ออก ไม่มีอำนาจอะไรไปคัดค้านหรือยุ่มย่าม เพราะตัวเองก็ต้อยต่ำมีฐานะเพียงเด็กวัด กินข้าวก้นบาตรเลี้ยงตัวรอดไปวัน ๆ

    นิสัยของผู้ใหญ่บ้านคนนี้ คดในข้องดในกระดูก โลภโมห์โทสัน และไม่รู้จักกรรมเวรบาปบุญคุณโทษ เบียดบังโกงเงินทอง ข้าวของ ของวัดสารพัดสาระเพ แม้ทางวัดรู้อยู่แต่ใจ ก็เข้าทำนองน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออก ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาจนทุกวันนี้ เพราะความมีหน้ามีตา อำนาจอิทธิพลท้องถิ่นในหมู่บ้านนั่นเอง

    ผมและเด็กวัดคนอื่น ๆ รู้อยู่แก่ใจ และเห็นตำตามานานว่า มรรคทายกคอรัปชั่น โกงเงินเอาผลประโยชน์ของวัดที่ญาติโยมเขาศรัทธาบริจาค เพื่ออานิสงส์ไปใช้ส่วนตัว สร้างความร่ำรวยให้ครอบครัวของตนอย่างไม่ละอายต่อบาป สมบัติส่วนกลางเครื่องใช้ในวัดก็เอามาไว้บ้าน แม้ต้นไม้ใหญ่ ในวัด ก็ยังสั่งให้ลูกน้องโค่นมาทำฟืนขาย หารายได้เข้าพกเข้าห่อตัวเองเลย เรียกว่า กินเล็กกินใหญ่ ทำตัวเป็นมารศาสนา โดยที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องสอบสวนจับผิด แบบทำนองเอาลูกกระพรวนไปผูกคอแมวนั่นแหละ

    ผู้ใหญ่บ้านคนนี้จึงรอดตัวลอยนวล ตั้งหน้าตั้งตาทำความชั่วยักยอกผลประโยชน์รายได้ของวัดอย่างคล่องคอ ไม่ติดขัดอะไร จนมาถึงกรณีเงินค่าหาทองสัมฤทธิ์ และทองคำเปลวไปร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปในงานพิธีพุทธาภิเษกเดือนหน้านั้น ผมวิตกและใจหายวูบขึ้นมาว่า มันจะสูญไปอีก เพราะกิตติศัพท์การคดโกงคอรัปชั่นของมรรคทายกคนนี้มีอย่างไร ชาวบ้านและพระเองก็ซึมซาบอยู่แก่ใจดี..ผมก็ได้แต่คิดกังวลไม่สบายใจไปเท่านั้นเอง

    แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ คงได้แต่วิงวอนเทพยดาฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้สั่งสอนลงโทษ คนสร้างกรรมทำลายศาสนาคนนี้ให้รู้สำนึกเสียบ้าง และกาลเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ ใกล้กำหนดงานเททองหล่อพระพุทธรูปประจำปีของวัดใหญ่ในเมืองเข้ามาทุกทีแล้ว เหตุการณ์แทรกซ้อนก็อุบัติขึ้นจนได้
    ในตอนดึกของคืนวันหนึ่ง คืนนั้นใกล้ห้าทุ่มแล้ว อากาศร้อนอบอ้าวจนทนแทบไม่ไหว ผมและเพื่อน ๆ ศิษย์วัดคนอื่น ๆ ราว ๓ – ๔ คน นอนอยู่บนระเบียงหน้ากุฏิพระไม่ไหว ร้อนจนนอนไม่หลับ ไม่ง่วง เลยชักชวนกันลงมาเดินเล่นที่ลานกว้างข้างหน้ามณฑปเก่าแก่ของวัด เพื่อรับลมเย็น ๆ กลางแจ้ง
    ทันใดนั้นเอง สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ที่ด้านหน้าของมณฑป ซึ่งเป็นศาสนสถานเก่าแก่คู่กับวัดมานานแล้ว ร่างของคนสองสามคนเคลื่อนไหวอยู่ในแสงสลัว ๆ ของไฟฟ้าน้อยแรงเทียนที่ติดอยู่ที่เสาไฟ ทุกคนวิ่งกันสับสนวุ่นวายเหมือนกับมีอะไรพิรุธเสียอย่างหนึ่ง เพื่อนเด็กวัดคนหนึ่งไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ปากไวพูดตะโกนออกไปดัง ๆ ว่า “ขโมย...ขโมย...ขโมย....มาขโมยพระพุทธรูป เร็ว ๆ ....มาช่วยกันจับขโมย...”

    เท่านั้นเอง เหมือนลูกระเบิดหล่นกลางลานวัด ในขณะที่พวกเราวิ่งโครม ๆ เข้าไปที่มณฑป ร่างของบุรุษยามวิกาลพวกนั้น ก็หันรีหันขวางหมุนตัวไปมา และไม่รอช้า กระโจนแบบใส่ตีนสุนัขโกยแน่บออกไปจากที่นั้นทันที จากแสงไฟสลัว ๆ ทำให้ผมมองเห็นคนที่วิ่งนำหน้าได้ และจำได้ถนัดติดหูติดตา อนิจจา ผู้ใหญ่บ้าน มรรคทายกของวัดนี้นั่นเอง !!!!
    เขามาทำอะไรที่มณฑปนี้ และมาอย่างน่าสงสัยในพฤติการณ์ที่ลับ ๆ ล่อ ๆ หลบ ๆ ซ่อน ๆ จิตสังหรณ์ลางบอกเหตุวูบหนึ่งเกิดขึ้นมากับตัวผมในทันที โอ๊ย..มันเลวร้ายถึงขนาดนี้หรือนี่ ? ภายในมณฑปหลังนี้ มีพระพุทธรูปเก่าแก่อายุนับร้อย ๆ ปี ขึ้นไปอยู่หลายองค์ ซึ่งเป็นสมบัติดั้งเดิมของวัด พระพุทธรูปเท่าที่ผมเคยเห็นมา ที่ประดิษฐานอยู่เรียงรายรอบมณฑปด้านในที่ผนังปูน มีทั้งพระพุทธรูปหินทราย และหล่อด้วยสัมฤทธิ์ บางองค์ก็มีทองคำเปลวฉาบที่ผิวภายนอก
    ที่จำได้พระพุทธรูปมีหลายสมัยหลายศิลปกรรม ทั้งพระนาคปรก ปางสมาธิ สมัยลพบุรี พระปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ รัศมีเปลวเพลิง สมัยศิลปะสุโขทัย และพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนต้น ที่มีรูปประกอบที่ฐานเป็นรูปสาวก ๒ องค์ หรืออัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นามพระโมคคัลลาน์ สารีบุตร รวมทั้งพระทรงเครื่องใหญ่และน้อย ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นต้น มาจนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาให้พม่า ประติมากรรมลอยตัวพระพุทธรูปเหล่านี้ มีทั้งพระพุทธลักษณะกิริยาประทับนั่งและยืน ส่วนกิริยาของหัตถ์หรือเรียกว่า ปาง หรือ มุทรา มีทั้งปางประทานพร หรือ ห้ามญาติ ทุกองค์เป็นของเก่าของแท้ งดงามหาที่ติไม่ได้ เป็นโบราณวัตถุที่ควรเคารพ ประมาณค่ามิได้เลย

    เด็กวัดทั้งหมดรวมทั้งผมด้วย รีบตาลีตาลานกระโจนขึ้นบันไดมณฑปด้วยความสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง และก็ตกตะลึงจังงัง เพราะประตูไม้ด้านหน้าของปูชนียสถานหลังนี้ ซึ่งแผ่นประตูทั้งสองที่มีศิลปะการแกะสลักลายรดน้ำดอกไม้พันธุ์พฤกษา ของเก่าแก่เปิดอ้าซ่าเต็มที่...เดาเหตุการณ์ได้ถูกในบัดดล ผู้ใหญ่บ้านเป็นขโมยเสียเอง น่าสลดหดหู่ใจเป็นที่ยิ่ง ทางเจ้าอาวาสไว้วางใจในตำแหน่งมรรคทายก ผู้รักษาดูแลผลประโยชน์ของวัด ทำกุญแจชุดสำรองมอบให้ผู้ใหญ่บ้านไว้ชุดหนึ่ง ปิดเปิดเข้านอกออกในได้ทุกแห่งในวัด ขณะนี้หอกกลับมาแทงตัวเองเข้าให้แล้ว

    ผู้รักษากุญแจ เอาลูกกุญแจเปิดมณฑปเข้าไปขโมย หรือทำลาย มิดีมิร้ายพระพุทธรูปภายในน่ะซิ พอได้สติ พวกเราทั้งหมดเฮโลพรวดพราดเข้าไปภายในมณฑปทันที คนหนึ่งเอื้อมมืออันสั่นระรัวขยุ้มไหล่ของผมอย่างลืมตัว เมื่อเห็นภาพที่สั่นสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งปรากฎต่อหน้าท่ามกลางแสงไฟฟ้า ซึ่งเปิดทิ้งค้างไว้ในมณฑป ทั้งไฟนีออน และหลอดไฟข้างผนัง

    พระพุทธรูปของเก่าแก่ดั้งเดิมสมบูรณ์แบบทุกองค์ ถูกทำลายยับเยินพินาศแทบไม่มีชิ้นดี บางองค์เศียรขาดหลุดหายไป อีก ๒-๓ องค์ ถูกทุบที่พระอุระเป็นรูกลวงขนาดใหญ่ เศษทองสัมฤทธิ์บริเวณนั้น ถูกลักลอบขโมยไป องค์อื่น ๆ โดยเฉพาะพระทรงเครื่องใหญ่สมัยอยุธยา และพระสมัยสุโขทัย พระวรกายท่อนบน คือตั้งแต่พระเศียรลงมาถึงบั้นพระองค์หายไปทั้งหมด เหลือเพียงส่วนหน้าตัก หรือทับเกษตรเหนือฐานปัทมี และฐานหน้ากระดานเท่านั้นเอง

    เศษชิ้นส่วนสัมฤทธิ์และทองคำเปลวภายนอก หลุดกระเด็นกระจัดกระจายที่พื้นห้องด้านในของมณฑประเกะระกะไปหมด มันเป็นภาพที่ทำลายจิตใจของพุทธมามกะอย่างพวกผมเด็กวัดเป็นยิ่งนัก ๒ องค์ มุมขวาสุดด้านใน เหลือเพียงแต่พระวรกาย พระพาหาหรือแขนทั้งสองข้างหายหลุดไปทั้งกะบิ ผมถึงกับร้องไห้โฮออกมาด้วยความรันทดใจในบัดดล ที่พบว่ามีคนมาเหยียบย่ำทำลายงานศิลปทางพระพุทธศาสนา มรดกวัฒนธรรมของชาติถึงขนาดนี้ ในขณะที่เด็กวัดคนอื่น ๆ ยกฝ่ามือปิดหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นทิวแถว

    เพื่อนของผมตัวสั่นเทาใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก พูดกับคนอื่น ๆ ซึ่งยืนปิดหน้าด้วยความสะเทือนอารมณ์ที่สุดในชีวิต ผู้ใหญ่บ้านกับลูกน้อง ๒ – ๓ คน ที่เห็นวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปไม่ถึงสิบนาทีที่ผ่านมานี้แหละ คือ ตัวการ โจรทำลายศาสนา ขโมยเอาพระพุทธรูปประติมากรรมบางชิ้นส่วนไป มาตัดทุบพระพุทธรูปก่อนหน้าที่พวกเราจะมาเห็นไม่นานนัก จำได้ว่าคนที่วิ่งหนีพวกเราไปนั้น ไม่ได้วิ่งไปตัวเปล่า อุ้มหรือแบกวัตถุอะไรอย่างหนึ่งซึ่งคงจะบรรจุอยู่ในผ้าไปกับตัวด้วย เห็นทนโท่ วัตถุนั้นไม่ผิดหรอกที่จะเป็นเศษชิ้นส่วนของพระพุทธรูป ซึ่งคนบาปหนาทั้งหลายเหล่านั้น ตัดทุบเอาตัดออกจากองค์จริงในนี้ไป เขาเอาไปทำไมกัน ใครบ้างที่ให้คำตอบได้

    ผมมีใบหน้าบึ้งตึงขมวดคิ้วย่น กรามขบกันเป็นสันนูน แช่งด่าสาปพวกทำลายศาสนาไม่หยุดปาก และคิดพิจารณาเดาเรื่องราวที่น่าจะเป็นไปได้ โอ๊ย..ตายแล้ว มันเลวกันถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่ ผู้ใหญ่บ้านทำความผิดขั้นอุกฤษณฎ์ที่อภัยไม่ได้จริง ๆ ยักยอกเงินทอดกฐินห้าหมื่นกว่าบาทที่เจ้าอาวาสมอบให้ไปซื้อทองสัมฤทธิ์ และทองคำเปลว รวมทั้งค่าจ้างช่างหล่อพระ ไปใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างน่าละอายอดสูใจที่สุด และ หาทางออกโดยมาตัดทุบสัมฤทธิ์องค์พระในมณฑปเหล่านี้เอาไปหลอม ใช้ไฟความร้อน รวบรวมเป็นโลหะใหม่ เพื่อเอาไปใช้ในวันหล่อพระนะซิ โกงชนิดแสนชั่วโดยไม่คำนึงถึงกรรมบาปบุญคุณโทษ เพราะความโลภเข้าครอบคลุมจิตใจ ไม่ต้องเสียสตางค์ค่าใช้จ่ายซื้อทองใหม่เลยแม้แต่บาทเดียว ทุบพระพุทธรูปเก่าทิ้ง เอาไปหลอมใหม่ ย้อมแมวขายใครจะรู้เล่า
    งานที่น่ารังเกียจชิ้นนี้คงทำกันเป็นทีม ร่วมมือกันทุกฝ่ายโดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้า ตกลงแผนการกับนายช่างปั้นหรือหล่อ ซึ่งเป็นพรรคพวกของตนดิบดีจนเป็นที่เข้าใจแล้ว จึงมาตัดเศียรพระและองค์พระในมณฑปนี้ไปหลอกลวงแหกตาคนอื่น ๆ ช่างเมื่อได้ชิ้นส่วนพระแล้ว ก็จะใช้ขี้ผึ้งเป็นหุ่นหล่อทับแกนที่สุกด้วยการเผา เดิมสัมฤทธิ์ที่เผาด้วยความร้อน ลอกออกจากผิวนอกของพระพุทธรูปในมณฑป เป็นการตบตาหลอกลวงคนทั่วไปในวันพุทธาภิเษกเททองหล่อพระวันนั้นแหละ หล่อพระมาเสร็จแล้ว โดยใช้ของเก่า เสียค่าใช้จ่ายไม่มากเสียด้วย ได้กำไรหลายเท่าตัว พอไปแบ่งสรรปันส่วนกันถ้วนหน้า ใครจะมายอมโง่ซื้อทองสัมฤทธิ์ ทองคำเปลว หรือเสียค่าแรง เสียเวลา อะไรจิปาถะหล่อใหม่ทั้งองค์เล่า
    ผมพูดสิ่งที่สงสัยวิเคราะห์นี้กับเพื่อน ๆ ซึ่งทุกคนก็ตาสว่าง มันสมเหตุสมผล ทำให้เห็นพ้องตามแนวความคิดของผม มันเป็นเรื่องเลวร้ายจริง ๆ จนเก็บไว้ไม่ได้แล้ว เราทั้งหมดวิ่งออกจากมณฑปเกือบจะพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ นำเรื่องสลดใจนี้ไปนมัสการกราบเรียนให้ท่านเจ้าอาวาสฟังทันที เพื่อรู้ตัวหาทางระงับยับยั้งมารศาสนากลุ่มนี้ แต่อนิจจาเอ๋ย... ท่านเจ้าอาวาสได้แต่นั่งน้ำตาไหลพราก ด้วยความเสียใจสะเทือนใจ ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ เพราะเกรงอิทธิพลมืด การรุกรานของผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งมีอำนาจ และความกักขฬะสามานย์ หมดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสิ้นเชิง ถ้าทำอะไรรุนแรงลงไปก็คงต้องย้ายวัด ตัวท่านเองพร้อมทั้งพระลูกวัดทั้งหมด ต้องเดือดร้อนอยู่โปรดสัตว์ไม่ได้ในตำบลนี้ เพราะการรังควานย่ำยีของจ่าบ้าน ซึ่งต้องตอบแทนแก้แค้นพระ ในฐานะที่ไปรู้ความลับความชั่วชนิดนรกานต์ นรกอเวจีถามหา ? และอ้าแขนรับ ของเขาเข้านะซี

    เจ้าอาวาสหันมาถามผมว่า ก็เมื่อจะปั้นพระขึ้นใหม่ หยาบและเล็กกว่าของจริงที่เป็นแบบ แล้วเผาเอาขี้ผึ้งหุ้ม ทำไมต้องตัดทุบกระเทาะชิ้นส่วนไป ทำไมไม่ยกเอาไปทั้งองค์เลยรู้แล้วรู้รอดไปเล่า ผู้ใหญ่เขามีอำนาจสิทธิขาดทำได้อยู่แล้วนี่ มันสะดวกดีด้วยประการทั้งปวง ดีกว่าตัดของเดิมจนชำรุดเสียหายอย่างนั้น ผมนมัสการตอบท่านไปว่า อาจจะทำอย่างที่ท่านพูดก็ได้ แต่ทำไม่ทันน่ะซิ เพราะพวกเราเด็กวัดเกิดมาพบเห็นเหตุการณ์เข้าเสียก่อน จึงทำไม่เสร็จ

    หรือไม่ก็เอาชิ้นส่วนบางชิ้น เช่น เศียร แขน พระวรกายไปให้เป็นแบบหรือตัวอย่างสำหรับช่างหล่อ ที่ชำนาญฝีมือช่ำชองจะหล่อได้ตามความเข้าใจเคยชิน โดยไม่จำเป็นต้องดูทั้งองค์ก็ได้นี่นา หรือไม่ก็ย้อนมายกหรือขนไปเรียบวุธ หมดทั้งมณฑปได้เมื่อไรเมื่อนั้นเช่นกัน เพราะผู้ใหญ่เองก็มีกุญแจสำรอง เข้านอกออกในได้สะดวกสบาย ไม่ยากหรอกปัญหาแค่นี้น่ะ...ท่านเจ้าอาวาสถึงกับสะอึก ใบหน้าเศร้าหมองร่วงโรย พร้อมกับพูดพึมพำออกมาแผ่ว ๆ ว่า อย่าทำจิตใจให้เศร้าหมองเลย อโหสิกรรมให้เขาเถิด กรรมเป็นเครื่องกำหนด จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง และคนที่สร้างกรรมนั้น ไม่เคยอยู่ค้ำฟ้าได้เลยสักคน ?

    และหลังจากแตกหักระหว่างพระกับมรรคทายก ซึ่งต้องกล้ำกลืนไว้ในใจ สงวนท่าทีชนิดหวานอมขมกลืน อึดอัดใจแทบจะเป็นบ้าตาย มาจนถึงวันสำคัญมาถึง นั่นคือ พิธีเททองหล่อพระพุทธาภิเษกเบิกพระเนตรพระพุทธรูปที่วัดหลวงในเมือง เจ้าอาวาส และพระลูกวัดทั้งหมด รวมทั้งผม และเหล่าศิษย์วัดและญาติโยม ผู้มีจิตศรัทธาในบวรพุทธศาสนา เดินทางออกจากหมู่บ้านไปร่วมงานมหามงคลยิ่งใหญ่นี้ ถ้วนทั่วพร้อมหน้าด้วยจิตผ่องแผ้วอนุโมทนาจิต
    ที่ขาดไม่ได้คือ หัวหน้ากลจักรสำคัญของงานนี้ ผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีหลังฉากอันแสนจะโสมม แต่หน้าฉากมรรคทายกผู้เคร่งน่าเลื่อมใสนิยมนับถือ เป็นเครื่องบังหน้า ปกปิดความชั่วไว้เท่านั้นเอง ผู้ใหญ่บ้านกระหยิ่มยิ้มย่อง อารมณ์ดี ท่าทางไม่ยี่หระสะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น คงจะภาคภูมิใจกับงานที่ไม่ต้องลงทุน แต่กลับได้กำไรตอบแทนของแกนั่นเอง เดินทางไปสู่บริเวณปะรำงานพิธี พร้อมด้วยลูกสมุนกระเรกะราด ล้อมหน้าล้อมหลังพร้อมพรั่ง

    เมื่อไปถึงบริเวณงาน ทุกคนถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้างด้วยความตื่นตาตื่นใจจนสุดระงับ งานพุทธาภิเษกวันนี้เป็นงานใหญ่โตมโหฬารจริง ๆ ชนิดที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนหลายปีดีดักแล้ว ทั้งพระและฆราวาส มากมายชนิดมืดฟ้ามัวดิน บรรดาเกจิอาจารย์ พระเถรานุเถระผู้ใหญ่ นั่งสวดมนต์ปลุกเสกทำพิธีกันในปะรำ เสนาสนะที่สมควร พุทธมามกะผู้มาร่วมงานด้วยใจอันอิ่มเอิบ นั่งอยู่ในเต๊นท์รับรอง ซึ่งมี ๓ – ๔ เต๊นท์ เต็มไปหมดทั่วลานพิธีวัด ซึ่งเคยกว้างขวางมาก่อน บัดนี้คับแคบไปถนัดใจ เพราะคลื่นมหาชนหลั่งไหลมาร่วมพิธีนั่นเอง วัดทุกวัดในจังหวัด จากทุกหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ มาร่วมงานหล่อพระพุทธรูปกันพร้อมหน้า รวมทั้งวัดของเจ้าอาวาสที่ผมเป็นเด็กวัดอยู่เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
    จุดสำคัญหรือหัวใจของพิธีคือ บ่อโบกปูนซิเม็นต์ขนาดใหญ่สี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาดกว้าง คาดคะเนด้วยสายตา ประมาณ ๓ เมตร ยาว ๓ เมตร และลึกเกือบสองฟุต ในบ่อปูนนี้ผู้ทำพิธีจะเอาทองคำเปลว และสัมฤทธิ์ทั้งท่อน หรือแผ่น มาบรรจุภายใน อาจจะเป็นโลหะซื้อมา หรือผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเพื่อบุญกุศลในชาติหน้า ในเวลาเริ่มพิธีเททอง จะมีผู้จุดไฟให้ความร้อน ทำให้ทองหรือโลหะต่าง ๆ ละลายเหลวเป็นน้ำ หรือของเหลว ใช้ไม้กวน หรือไม้ถือ กวนให้ทองคละเคล้าเข้ากัน ก่อนนำไปเทลงในแบบพิมพ์ขี้ผึ้ง ปั้นหล่อพระพุทธรูปต่อไป ตามประเพณีนั่นเอง

    ที่ด้านหนึ่งของบ่อซีเมนต์ มีไม้กระดานแผ่นยาวสัก ๓ – ๔ เมตร วางพาดขอบบ่อ ผูกติดกับเสา ๒ ต้น คล้ายไม้กระดกที่เด็กเล่นตามสนามเด็กเล่นทั่วไป ปลายข้างหนึ่งของไม้กระดานนี้ ยื่นลงไปในบ่อราวสัก ๒ ฟุต จุดนี้เป็นสถานที่ ที่ตัวแทนหรือหัวหน้าของวัดทุกแห่งที่มาร่วมพิธีเททองหล่อพระในวันนี้ จะมายืนถือไม้ถือ หรือเหล็กคน หรือตีทองให้เข้ากัน ในระหว่างไฟลุกไหม้อยู่ด้านหนึ่งของบ่อ นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูง สำหรับตัวแทนของวัดนั้น ๆ ที่จะทำหน้าที่แทนคนในหมู่บ้านของตน

    และขณะนี้วินาทีระทึกใจเริ่มขึ้นแล้ว ในตอนบ่ายราว ๒ โมงครึ่ง มีคนลำเลียงทองแผ่น ทองเปลว ทองจังโก้ ทองสัมฤทธิ์ ต่างขนาดมาใส่ลงในก้นบ่อปูนซีเมนต์ ชุลมุนสับสนวุ่นวายพอควร โดยมีพุทธศาสนิกชนต่างมายืน หรือนั่งล้อมรอบบ่อ เพื่อดูการเททองหล่อพระ
    พระเถระผู้ใหญ่เริ่มพิธีทางศาสนาตามประเพณี และทันใดนั้น ไฟก็ถูกจุดขึ้นที่จุดซึ่งทำเตรียมไว้ เพื่อให้ความร้อนละลายไหม้ทองในบ่อนั้น ผู้แทนของสงฆ์และวัด อันมีพระสงฆ์บ้าง ฆราวาสบ้าง พากันไปยืนเหยียบไม้กระดาน ทำหน้าที่คนทองให้เข้ากันตามธรรมเนียม

    ท่ามกลางไฟร้อนแรง เปลวไฟควันลุกโขมงโชติช่วงจับท้องฟ้า ทองละลายกลายเป็นน้ำในบัดดล หมุนเร็วจี๋ทั่วบ่อ และท่ามกลางสายตาของทุกคน ที่จ้องมองชนิดไม่กระพริบตาคนแล้วคนเล่า ผ่านไปสำหรับตัวแทนของวัด
    จนมาถึงเวร หรือคิวของผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ มรรคทายกของวัดเรานั่นแหละ ผู้ใหญ่บ้านยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่แสดงกิริยาอาการสะทกสะท้านใด ๆ หยิบเหล็กแหลมยาว ไม้ถือคนทอง ซึ่งเป็นเครื่องมือในพิธีตอนนี้มาจากโต๊ะตัวหนึ่งข้างบ่อ และก้าวเท้าออกเดินอย่างช้า ๆ ก้าวขึ้นเหยียบบนไม้กระดานแผ่นนั้น ซึ่งปลายของมันยื่นลงไปในบ่อ ที่ขณะนั้นทองนานาชนิดแปรสภาพกลายเป็นวัตถุเหลวร้อน ควันลุกโขมงไปทั่วบริเวณ มันกำลังเดือดปุด ๆ เป็นฟองไอน้ำทั่วบริเวณ

    ทันใดนั้นเอง ตายแล้ว ! ช่วยด้วย ! อุบัติเหตุสยองเกิดขึ้นในวินาทีนั้นเอง ปาฏิหาริย์หรืออะไรก็เหลือเดา ผู้ใหญ่บานเสียหลัก เดินไม่ระวัง เท้าข้างหนึ่งไปสะดุดหัวเสาด้านขวา ซึ่งมีเชือกผูกไม้กระดานเป็นเงื่อนชนิดไม่แน่นหนา ตัวผู้ใหญ่บ้านเซแซ่ด ๆ เอียงกระเท่เร่ไม่เป็นท่า หัวทิ่มคะมำไปข้างหน้า ทันใดนั้นเงื่อนที่ผูก หลุดราวกับปาฏิหาริย์ ไม้กระดานแผ่นนั้นเลยกระดกกลับ ยกปลายด้านในที่อยู่นอกบ่อขึ้นสูงไปบนอากาศ

    ....ร่างของผู้ใหญ่บ้านที่ทรงตัวไว้ไม่อยู่เลยเสียหลัก หัวทิ่มพุ่งลงไปในบ่อทองซึ่งกำลังร้อนจัดเดือดพล่าน ท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดเสียวตกใจสุดขีดของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์

    .....ตูม ! วูบเดียว ร่างของคนบาปผู้ทำลายศาสนาจมดิ่งหายไปในทองเหลวที่ร้อนข้นคลั่กไอขึ้นในบ่อ.. ไม่มี อะไรเหลืออีกต่อไป ทั้งชีวิต วิญญาณ กระดูก เนื้อหนัง เหลือแต่ชื่อของผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น ให้คนกล่าวขวัญถึงกัน ในฐานที่คนทำกรรมชั่วเอาไว้มาก และกรรมนั้นก็ตอบสนองทันตาเห็น มาจนทุกวันนี้ นั่นเอง

    Fwdder.com - ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา จากหนังสือ กรรมกำหนด - โพสเมื่อ 2007-11-26 20:31:36

    fwdder.com
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ นัดเว็บท่าเซ็น MOU ใช้เกณฑ์เสนอข่าวเดียวกัน เริ่มต้นปีหน้า พร้อมฟันเว็บละเมิด
    CyberBiz - Manager Online

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

    ชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (Society for News media online Party- SONP) เชิญตัวแทน “เว็บท่า” ฟังคำชี้แจงเอ็มโอยู ในการใช้ข่าวและภาพ ป้องกันละเมิดลิขสิทธิ์และกระทำผิดจริยธรรม โดยนัดลงนามต้นปี 2553ระบุให้ใช้รูปแบบ rss และ embed แบบเฟรม ระยะเวลาไม่เกิน3 วัน พร้อมให้สมาชิกเก็บข้อมูลเตรียมดำเนินการทางกฎหมายกับเว็บไซต์ที่ยังลักลอบใช้ข่าว-ภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต


    ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ได้เชิญผู้แทนของเว็บท่า (portal web) ที่นำข่าวและภาพข่าวจากเว็บไซต์ของสมาชิกชมรมฯ ซึ่งเป็นสื่อกระแสหลัก ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยส่วนใหญ่เป็นเว็บในกลุ่ม 20 อันดับแรกตามการจัดอันดับของทรูฮิตส์ ร่วมประชุมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมกับชี้แจงเกี่ยวกับการทำบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) เรื่อง การอนุญาตให้ใช้ข่าวและภาพข่าวจากเว็บไซต์ในสังกัดของชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ โดยมี ตัวแทนเว็บท่าต่างๆ ร่วมประชุม ประมาณ 10 เว็บไซต์ อาทิ เกมส์ เกม ดูดวง ฟังเพลง เพลง หางาน ทำนายฝัน เกมส์แต่งตัว หาเพื่อน แชท กลอน ดารา : Sanook.com, <A href="http://www.kapook.com" target=_blank>?Ð?ء?ͷ?́ Ç?ࡁʬ ࡁ ?ٴǧ ?ѧ྅? ྅? ˒ྗ荹 ࡁʬ?풍ҋ҃ ?ō? ?풹҂?ѹ ?҃Ҡ?ص?ͅ ???¦lt;/a>, เกมส์ คลิป ดูดวง เกม ผลบอล ทำนายฝัน รถมือสอง เกมส์แต่งตัว กลอน :เอ็มไทยดอทคอม, ข่าวออนไลน์ - อะไรที่ไหน, วาไรตี้ บันเทิง สยามฮาดอทคอม, POSTJUNG.COM โพสท์จัง ดอท คอม, ??̓젫չՠ?ŧ??젍ajor Cineplex - ʘ???ͧ˹ѧᅐș?¬Ç?ǒ?ѹු?Ð?ѺⅡ ??䫵좍???Ñ?˹ѧ ⃧??¹?ì Í?˹ѧ Í??҂ ⃧˹ѧ ?ً?ѧ ˹ѧ ˹ѧ㋁蠴҃Ҡ?蒇 ?ч͂蒧˹ѧ wallpaper ?Ŕ? ??¹?ì ?ч͂蒧˹ѧ, ?ت??Ԫ?!!! ??䫵죹㨤س THAIZA.COM : ࡁʬ ࡁ game ?ٴǧ ?ѧ྅? ⋅?྅? ྅? ᪷ ˒?ҹ ˒ྗ荹 เป็นต้น

    นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ชี้แจงกับตัวแทนเว็บท่าที่เข้าร่วมประชุมว่า ที่ผ่านมา เว็บท่าหลายแห่ง ได้นำข่าวและภาพจากเว็บไซต์ของสมาชิกชมรมฯ จนกระทั่งเกิดปัญหาด้านกฎหมายและจริยธรรม กรณีที่นำเสนอข่าวมีข้อผิดพลาดและประเด็นคลาดเคลื่อน แต่ไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะการนำข้อมูล ข่าวสารไปใช้ ไม่มีการขออนุญาต หรือทำข้อตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขการใช้ที่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาทั้งในแง่ของการละเมิดลิขสิทธิ์ กรณี ใช้ข่าว ภาพข่าว บทความ รายงานพิเศษ ข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนที่เว็บไซต์สมาชิกสร้างสรรค์ขึ้นมาเองโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีปัญหาทางด้านจริยธรรมและกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นข่าวที่มีการคัดลอกนำไปเสนอเกิดความผิดพลาด แต่ไม่ได้รับการแก้ไขตามต้นฉบับ จากเว็บไซต์สมาชิก ซึ่งได้ทำการแก้ไขเนื้อหานั้นแล้ว ดังนั้น หากเว็บท่าต่างๆ มีความประสงค์จะใช้ข่าวและภาพข่าวจากเว็บไซต์สมาชิกชมรมฯ ก็จะต้องมีการลงนามในบันทึกความใจ เพื่อรับทราบกฎเกณฑ์ และเงื่อนไขการใช้ข่าวและภาพข่าวระหว่างเว็บท่าและเว็บไซต์สมาชิกให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกต่อไป

    สำหรับสาระสำคัญของ เอ็มโอยูที่เว็บไซต์สมาชิก เตรียมให้เว็บท่ามาร่วมลงนามนั้น เว็บไซต์สมาชิกจะอนุญาตให้เว็บท่าหรือ ผู้ขออนุญาต ใช้ข่าวและภาพข่าวจากเว็บไซต์สมาชิกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้ แบ่งประเภทการใช้งานในเชิงเทคนิคออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.RSS Feed ประกอบด้วย หัวข้อข่าว โปรยข่าว ภาพประกอบข่าว และต้องเชื่อมโยงลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์ผู้ให้อนุญาตเท่านั้น รวมสามารถนำเสนอเนื้อหา เผยแพร่ได้ในระยะเวลาเพียง 3 วัน โดยไม่สามารถสืบค้นย้อนหลังบนเว็บไซต์ของเว็บท่าได้

    ลักษณะที่ 2 ให้ใช้โดย embedded แบบ frame หัวข้อข่าว โปรยข่าว รูปภาพพร้อมลายน้ำ (url ของภาพ) และต้องดำเนินตาม API ที่ทางเว็บไซต์สมาชิกฯ กำหนด โดยอนุญาตให้ใช้เผยแพร่ได้เพียง 3 วัน และไม่สามารถสืบค้นย้อนหลังบนเว็บไซต์ของผู้ขออนุญาตได้เช่นกัน

    นอกจากนี้ เว็บไซต์สมาชิกจะไม่ทำการ feed ภาพข่าวต่างประเทศหรือภาพข่าวใดๆ ที่มาจากสำนักข่าวต่างๆ อาทิ AP, AFP, Reuters หากปรากฏว่าผู้ขออนุญาตนำภาพข่าวที่ไม่ได้รับอนุญาตไปใช้จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่เว็บไซต์และ/หรือบุคคลภายนอก ผู้ขออนุญาตจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น

    ทั้งนี้ ผู้ขออนุญาตไม่สามารถเก็บชิ้นข่าว และ/หรือภาพข่าวของสมาชิกชมรมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนในระบบฐานข้อมูล หรือไม่ว่าการจัดเก็บใดๆ นานเกิน 3 วัน และผู้ขออนุญาตไม่มีสิทธิในการนำข่าวที่ได้รับไปทำการดัดแปลงแก้ไข ทำซ้ำ เปลี่ยนแปลง เรียบเรียงใหม่ หรือไม่ว่าการกระทำโดยวิธีการใดอันทำให้ผิดไปจากต้นฉบับที่ได้รับจากเว็บไซต์สมาชิก

    นายชวรงค์ กล่าวอีกว่า เอ็มโอยู ที่กำหนดขึ้น เป็นเงื่อนไขร่วมกันเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของสมาชิกชมรมฯ อย่างไรก็ตาม การลงนามในเอ็มโอยูดังกล่าว ให้เป็นข้อตกลงระหว่างผู้ขออนุญาตกับเว็บไซต์สมาชิกเป็นรายๆ ไป ไม่ถือเป็นการกระทำระหว่างผู้ขออนุญาตกับ ชมรมฯ และทางชมรมฯ ไม่ได้สงวนสิทธิ์ หากเว็บท่าบางแห่งจะทำข้อตกลงหรือสัญญาพิเศษแตกต่างไปจากเอ็มโอยูดังกล่าว กับเว็บไซต์สมาชิกเป็นรายๆ ไป

    ด้านนายปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้บริหารเว็บไซต์ kapook.com ให้ความเห็นว่า โดยนัยของเอ็มโอยู ดังกล่าว เท่ากับว่า เว็บไซต์สมาชิกชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ไม่อนุญาตให้นำข่าวและภาพข่าวไปใช้โดยพลการ ซึ่งทางเว็บกะปุก ขอยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวโดยไม่โต้แย้ง อย่างไรก็ตาม ในการนำข่าวและภาพข่าวไปใช้นั้น หากเป็นรูปแบบ RSS จะเหมาะสำหรับเว็บที่ต้องการนำเสนอข่าวสารแต่เพียงอย่างเดียว และอาจไม่เหมาะสำหรับเว็บกะปุก ซึ่งไม่ใช่เว็บที่นำข่าวสารเท่านั้น แต่นำข่าวสารไปประกอบกับเรื่องราวอื่นๆ ดังนั้น หากจะมีการนำข่าวหรือภาพจากเว็บสมาชิกชมรมฯ ไปใช้ แต่ละเว็บอาจไปทำข้อตกลงพิเศษกับแต่ละเว็บเอาเอง ซึ่งตัวแทนจากเว็บ sanook.com ก็มีความเห็นสอดคล้องกัน

    ภายหลังจากประชุมร่วมกับตัวแทนเว็บท่าแล้ว กรรมการชมรมฯ ได้หารือกันอีกครั้ง โดยมีข้อสรุปว่า จะทำหนังสือแจ้งไปยังเว็บท่าต่างๆ เพื่อให้เว็บไซต์เหล่านั้นแจ้งความจำนงว่าต้องการจะใช้ข่าวและภาพข่าวจากเว็บไซต์สมาชิกรายใดบ้าง หลังจากนั้นจะนัดวันมาลงนามในเอ็มโอยูในช่วงเดือนมกราคม 2553

    อย่างไรก็ตาม ในการประชุมร่วมกับเว็บท่าครั้งนี้ ปรากฏว่ามีเว็บท่าหลายแห่งซึ่งได้ใช้ข่าวและภาพข่าวของเว็บไซต์สมาชิกมาโดยตลอด และเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ชมมากเป็นอันดับต้นๆ แต่เว็บไซต์เหล่านี้ ไม่ได้ส่งตัวแทนมาร่วมประชุม คณะกรรมการชมรมฯ จึงมีมติว่าจะทำการรวบรวมข้อมูลการใช้ข่าวและภาพข่าวของเว็บไซต์เหล่านี้ไว้ หากไม่มาร่วมลงนามใน เอ็มโอยูและยังคงมีการใช้ข่าวและภาพข่าวของเว็บไซต์สมาชิกฯ อยู่ ก็จะพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

    สำหรับชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ รวมตัวก่อตั้งขึ้นเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ให้ประชาชนผู้รับข้อมูลข่าวสารออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตระหนักในคุณค่าของงานสร้างสรรค์ที่ผ่านกระบวนการทางวารสารศาสตร์ และสนใจติดตามข้อมูลข่าวสารดังกล่าวจากเว็บไซต์ของผู้ผลิตข่าวสารแต่ละรายโดยตรง และส่งเสริมให้มีการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างสมาชิกกับผู้ประกอบการเว็บไซต์ที่ต้องการนำข่าวสารจากเว็บไซต์สมาชิกไปเผยแพร่ต่อในเชิงพาณิชย์ โดยยึดหลักความเคารพและคำนึงถึงลิขสิทธิ์ในการสร้างสรรค์งานเขียนและจริยธรรมทางธุรกิจ และประโยชน์ที่ผู้ผลิตข่าวออนไลน์จะได้รับด้วย

    สำหรับผู้ผลิตข่าวออนไลน์ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกชมรม ได้แก่
    บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด (Manager Online)
    บริษัท เทรนด์ วีจี 3 จำกัด (ข่าวไทยรัฐออนไลน์)
    บริษัท เดลินิวส์เว็บ จำกัด (Daily News Online)
    บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) (Matichon Online: ˹ѧʗ;ԁ?쁵Ԫ?͍?䅹젺 ˹ѧʗ;ԁ?줘??? ྗ荤س???ͧ?Ð෈, www.khaosod.co.th )
    บริษัท โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ( Govt scores poorly on economy, <A href="http://www.posttoday.com" target=_blank>⾊?젷٠?¬ ધ??臂?ҵԠ?҃?ͧ ?鍡?? ?Ô??թ ̀ԊԷ?Ԭ ??ҪՇР?٩?ӍҠ?Ղ? ?ѡɔ? ǔ?ĵ?҃৔? Ò?ҹ铁ѹ ?ͧ?Ӧlt;/a>, Guru : www.gurubangkok.com - Voice of a generation, www.student-weekly.com)
    บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้งคอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) (Thailand news, Rakesh Saxena , Thaksin , Hun Sen , Cambodia conflict ,15th Asean Summit in Cha Am / Hua Hin , Thai Politics , Bangkok Business, Thailand Tourism, Breaking News - Nationmultimedia.com, <A href="http://www.komchadluek.com" target=_blank>?蒇 ?҃?ͧ ?ѹු? ͒???Ã??ɰ?Ԩ ʑ????Ðःרͧ ?ٴǧ Ő?à??ѴŖ? ˹ѧʗ;ԁ?즬t;/a>, ?҃?ͧ, ?؃?Ԩ, ?҃৔??҃ŧ?ع, ͊ѧ˒Ô?Ñ?¬, ’?¹?쬠䍷խ?Ǒ??Ã? 䅿스?Ŭ - ?Ø?෾?؃?Ԩ ͍?䅹즬t;/a>)
    บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (www.siamsport.co.th, www.siamdara.com, www.siamsporttv.com, ʂҁ?ѹු? : ?ѹු?͍?䅹젡Ŕ蹍҂˹ѧʗ;ԁ?즬t;/a>,
    </TITLE><LINK href="style/main.css" type=text/css rel=stylesheet><LINK href="style/section.css" type=text/css rel=stylesheet><LINK href="style/fhm_girls.css" type=text/css rel=stylesheet><LINK target=_blank href="style/column.css" rel="styles) หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (<a href=" <a>หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ</A> http:>หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ</A>) </P><P>สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น (<A href="http://www.innnews.co.th" target=_blank>?ͨ??ç?Ðਃԭ)
    หนังสือพิมพ์สยามรัฐ (<A href="http://www.siamrath.co.th" target=_blank>หนังสือพิมพ์ สยามรัฐออนไลน์)
    หนังสือพิมพ์ดาราเดลี่ ( <A href="http://www.daradaily.com" target=_blank>:: daradaily.com :: เว็บแรกสู่โลกดารา :: ข่าวดารา ปาปาราซซี่ )
    หนังสือพิมพ์แนวหน้า (<A href="http://www.naewna.com" target=_blank><A href="http://www.naewna.com" target=_blank>www.naewna.com)
    และหนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์ ( <A href="http://www.chiangmainews.co.th" target=_blank>ક§㋁謠˹ѧʗ;ԁ?젪Ղ?㋁蹔NJ젋?ѧʗ;ԁ?샒‡ѹྗ荪҇?׍ online )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2009
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 14 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, newcomer+, dragonlord+, psombat+, avatar7 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 17 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 14 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, dragonlord+, psombat+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเช้าครับ

    เป็นอย่างไรบ้างครับคุณnongnooo คุณน้องรัก , คุณลูกน้อง สำหรับรูปที่ผมส่งให้ชม

    ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    5555 ผมว่าอยู่ในซีรีส์เดียวกันครับ เพียงแต่ 12งามกว่า05มากครับ หุ หุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...