นิสิต นักศึกษา นักเรียน ในเวปมาทางนี้ครับ อัพเดทชื่อสมาชิกที่หน้าแรกครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Natthakorn, 3 กันยายน 2009.

  1. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ
     
  2. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
  3. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    <OBJECT id=music classid=CLSID:6BF52A52-394A-11d3-B153-00C04F79FAA6 width=410 height=64>
























    </OBJECT></P>ลองฟังดูนะครับ เพราะดี
     
  4. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ตื่นๆ กันเถิดชาวพุทธ

    ละชั่ว ทำดีทำจิตให้บริสุทธิ์ หลุดพ้น...

    อันว่าความหมายของอวิชชา

    อวิชชาไม่ได้แปลว่า ความไม่รู้ แต่แปลว่าสภาวะรู้ตามธรรมชาติที่ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลยที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากการตกอยู่ใต้อำนาจต่างๆอันจะทำให้จิตตัวเองเป็นอิสระได้

    เช่น คนดื่มเหล้าเขามีความรู้เรื่องดื่มเหล้า เขารู้ว่าจะทำอย่างไร ระหว่างเหล้ากับโซดาจึงจะได้รสอร่อยตามกิเกสของตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองตกอยู่ใต้กิเกสโดนอวิชชาครอบงำ ทำตามอยากของตัวเองซึ่งไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลยที่จะทำให้จิตใจตัวเองเป็นอิสระ


    วิชชา คือสภาวะรู้ตามธรรมชาติ ที่มีสาระแก่นสารที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากอำนาจต่างๆจนจิตใจตัวเองมีอิสระ อยู่เหนือดีเหนือชั่วที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้


    คุณน้า คุณอาทั้งหลายท่านครับจงพิจารณากันเถิดว่าโดนอวิชชาครอบงำตัวเองโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า

    อันว่าเรื่องของ ญานอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งไร้ค่า ซึ่งจะทำให้ตนเองเกิดความลุ่มหลง
    สิ่งที่ท่านได้มานั้นเป็นแค่เปลือกของพระพุทธศาสนาเท่านั้นหรืออาจจะไม่ใช้พระพุทธศาสนาเลยก็ได้

    มีบางท่านน่ะคิดว่า เราจะยังไม่เชื่อในพุทธศาสนาหรอก เราขอทำญานให้เกิดให้ได้เห็น นรก สวรรค์เสียก่อนจึงจะเชื่อในพระพุทธศาสนาหารู้ไม่ครับว่าท่านดูถูกพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว
    พระองค์ท่าน ไม่ทรงสรรเสริญในสิ่งนี้แต่หากเอาสิ่งนี้มาพิจารณาให้เกิดปัญญาต่างหาก


    การที่เราจะเชื่อในเรื่องของ นรก สวรรค์ นั้นมิได้สำคัญเท่าไร หรอกครับ แต่การทำให้ตนเองไม่ยึดถืออะไรใดๆเลย หรือคลายการเป็นตัวกูของกู ออกจากใจ ไม่ยึดถือสิ่งใดเป็นของตนนั้นสำคัญกว่า


    ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    การที่จะเป็นพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้แปลว่า เห็นนรก สวรรค์ แล้วจึงถือว่าเป็นพระพุทธศาสนา แต่การทำให้ตัวเองสละการยึดถือ การตกอยู่ใต้อำนาจต่างๆ จนจิตมีความอิสระต่างหากจึงจะเป็นพุทธโดยแท้


    <O:p></O:p>


    การที่เราคุยเฟื่องในเรื่องของสิ่งนี้ล้วนไม่มีแก่นสารอะไรเลยที่จะให้ตัวเองหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส





    ส่วนผมน่ะครับ เรื่องญานนี้ผมตัดทิ้งไปเลย เนื่องจากว่าไม่มีแก่นสารจริงๆ


    ท่านไม่ได้สอนให้เรากลัวนรก อยากมีวรรค์ แล้วจึงพากันปฏิบัติธรรมกันน่ะ แต่หากว่าให้เกรงกลัวต่อบาป ละอายต่อบาปก็เท่านั้น

    ท่านควรจะพิจารณาเอาน่ะครับ

    บางคนน่ะครับ ทำแต่สมถกรรมฐาน ไปจนวันตาย ก็ยังไม่หลุดพ้นเพราะมัวแต่ยึดถือ ไม่เคยได้ปล่อยวางอะไรเลย


    อันคำว่าโง่ หรือฉลาดนั้นไม่ได้มีโดยจริงกับใครเขา

    แต่การที่ตามใจกิเลส ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสเห็นกิเลสเกิดขึ้นมาแล้วไปทำตามกิเลส นี้จึงเรียกได้ว่า "โง่โดยแท้จริง"

    อันว่าความฉลาด เมื่อมีกิเลสเกิดขึ้นมา แต่ไม่ทำตามกิเลสไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส จึงเรียกได้ว่า "ฉลาดโดยแท้จริง"

    ท่านจงเข้าใจครับว่า โง่ ฉลาด ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวใครเลยเกิดแต่กับท่านเองส่วนที่ว่าเกิดกับผู้อื่นนั้นเป็นแค่สมมุติเท่านั้นเอง



    อันว่าสมมุตินั้นใช้เพื่อบัญญัติให้รู้สิ่งต่างๆ แต่คนชอบหลงไปในสมมุติกันเสียหมด


    เช่นเมื่อผมเห็นผู้หญิงสวยน่ะครับ ก็ให้รู้ว่าสวย แต่ใจไม่ไปชอบ ไปหลง ในสิ่งที่ตาเห็นว่าสวยนี่ถึงจะเรียกว่า "รู้สมมุติ"

    แต่หากไปชื่นชมกับสิ่งนั้นจนลืมเนื้อลืมตัวนี้เรียกได้ว่า "หลงสมมุติ"



    อันว่า ดี และ ชั่ว

    สิ่งนี้ทั้งสองสิ่งเหมือนกัน แต่แตกต่างกันมากเพราะทั้งสองสิ่งนี้เกิดจากการกระทำทาง กาย วาจา ใจ

    แต่ความดี คือสิ่งที่กระทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น และตนเอง อันมีแต่ความสุขความสบายใจเพื่อให้จิตใกล้เคียงความบริสุทธิ์

    แต่ความชั่วนั้นเป็นสิ่งที่กระทำแล้วไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นมีแต่จะนำความเดือดร้อนใจมาให้เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ

    พระพุทธเจ้าท่านทรงสรรเสริญให้ละชั่ว ทำความดี แต่ท่านไม่ให้ยึดเอาความดีเป็นของๆ เรา

    การกระทำความดีและชั่วนั้นล้วนมาจากการกระทำด้วย กาย วาจา ใจมัน สักแต่ว่าเป็นการกระทำเท่านั้นเอง



    ส่วนที่เรียกว่าความดี และชั่วนั้นเกิดจากการที่เราพร้อมใจกันสรรเสริญว่า "สิ่งนั้นดีสิ่งนั้นไม่ได้"




    การจะอยู่เหนือความดีและชั่วนั้นให้เห็นว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นแค่การกระทำ มิใช้ยกตนข่มท่านน่ะ

    จงใช้สติปัญญาพิจารณา



    ศาสตร์มนุษย์ ของมนุษย์โดยมนุษย์(โดยมนุษย์ ก็คือ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะถูกสรรญเสริญว่า เป็นพระพุทธเจ้านั้น ท่านก็คือมนุษย์)เพื่อมนุษย์

    เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรกระทำกันควรศึกษาให้เกิดความเข้าใจโดยแท้จริง

    คือการลายการยึดถืออัน "ตัวกูของกู"


    พระองค์ท่านทรงสอนให้เจริญหลักธรรมของท่าน ดังที่ว่า "เมื่อใดเห็นธรรมมะ เมื่อนั้นเห็นเรา "


    มิได้ทรงให้กราบให้สักการะบูชาพระพุทธรูปน่ะ เพราะพุทธแท้น่ะ มิใช่ลักธิบูชาเทพเจ้า มัวแต่ขอพรอ้อนวอนแต่สั่งสักสิทธิ์ลุ่มหลงมัวเมาตกอยู่ใต้อำนาจความศรัทธาที่ผิด ๆ


    แต่การกราบนั้นเป็นการลดทิฏฐิของตัวเอง อัน "ตัวกูของกู"


    ท่านลองพิจารณาดูสิ เมื่อท่านการได้แม่กระทั้งรูปปั้น แล้วการที่ท่านจะน้อมเอาคำสั่งสอนของคนอื่นมาปรุบปรุงตัวเอง มีหรือที่ท่านจะทำไม่ได้



    พวกเราทั้งหลายนี้ อยู่กับภาพมายา หลอกตัวเองไปวันๆ อันว่าตัวกูของกูนั้นแหละ แท้ที่จริงแล้วตัวเราไม่ได้มีอยู่จริงเลยคนอื่นก็เหมือนกัน แต่มีอยู่โดยสมมุติ สมมุติโดยตัวตน ทุกคนไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงแต่มายึดเอาเท่านั้นเอง ทุกคนอยู่กับความว่างเปล่าแต่ไม่เคยค้นหาเลยไม่รู้อะไรเลยครับ


    อย่างเช่นน่ะครับ ผมมีแม่อย่างนี้ แท้จริงแล้วแม่ไม่มี แต่มีโดยสมมุติ แล้วก็มีตัวตนโดยสมมุติเมื่อท่านตายไป(ตายในทางโลกน่ะ คือสภาวะร่างกายที่จิตวิญญาณนี้ไม่สามารถอยู่ได้ในร่ายกายได้เท่านั้นเอง) สมมุติก็จบลงก็คือไม่มีจริง เช่นตัวผมเองก็ไม่มีจริง แต่มีโดยสมมุติเท่านั้นเอง

    กระผมใช้ความรู้จากญาน ฌานนี้ มาพิจารณาจนรู้แจ้งในสัจจธรรม โดยแจ่มชัดในเรื่องของสมมุตินี้



    ท่านทั้งหลายจงทำตัวเองให้ "ตาย ก่อนตายเถิด"เมื่อท่านตายไปแล้วจะได้ไม่มีใครตาย



    แต่ก่อนผมก็ห้อยพระน่ะครับ หากแต่ว่าทำสิ่งนี้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้ประมาทในตัวเอง มัวแต่อิงไสยศาสตร์ มัวแต่จะให้สิ่งเหล่านั้นช่วยเราให้หลุดพ้น โดยแทนที่ตัวเองจะเจริญ สติ ศีล ปัญญาภาวนาเสีย จะได้ไม่ประมาท

    ดังคำของพระองค์ที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ตนนี้มิใช่ตน"
    เป็นเพราะว่า ตนนั้นไม่ได้มีอยู่จริง แต่คำว่า "ตน"นั้นใช้เรียกแทนตัวเองเฉยๆแต่เราไม่ยึดถือเอาเป็นตัวเราของเรา


    กระผมเองภาวนาเสียได้ฌาน ก็ได้สิ่งวิเศษความสามารถของฌานมา แต่มิได้ยึดเอาเป็นของเราแต่เอาสิ่งนั้นมาพิจารณาเป็นปัญญาให้หลุดพ้น





    ”เมื่อใดที่ไม่ละในสิ่งที่ได้มานั้น เมื่อนั้นมิใช่พุทธศาสนาแต่เป็นลักธิบูชาสิ่งนั้นอยู่”



    จงทำตนให้อยู่เหนือดี เหนือชั่วกันเถิดครับท่านทั้งหลาย


    ที่ผมอธิบายมานี้กระผมพิมพ์พิม์ประการใดขอท่านทั้งท่านอโหสิกรรมให้ด้วย และกระผมขอขอบพระคุณหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธทาส ที่ทำให้ผมเกิดปัญญานำหลักทำของท่านมาพิจารณาจนเกิดความแจ่มแจ้งในใจ

    อย่าลืมครับ ศีล สติ สมาธิ ปัญญาต้องเสมอกันครับ เมื่อขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือขาดความประมาทในตนเองผมเองก็ยังขาดสติที่มั่งคงอยู่เหมือนกันต้องไม่ประมาทกันน่ะครับ

    เมื่อตายไปแล้วจะต้องต่อสู้กับมรณสตินั้น เป็นเรื่องจริงน่ะครับเพราะเมื่อตายจะต่อต้านกับสติน่ะ ระวังไว้ให้ดีครับ ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนนั้นมิใช่ตน

    เวลาทำสมาธิอย่าลืม ภาวนามรณสติกันน่ะครับ คือภาวนาว่าทุกลมหายใจเราต้องตายอย่างแน่นอน

    เอาอย่างนี้น่ะครับ อย่ามัวเอาแต่ความสงบ เอาญาน หรือฌานเพราะสิ่งนี้จะมาของเขาเองครับผม



    <O:p“แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือ ทำเพื่อละความเป็นตัวกูของกู ทำเพื่อให้จิตหลุดพ้นน่ะ อย่าหลงในปัญญาผู้อื่น ปัญญาตัวเอง หรือแม้แต่ปัญญาของพระพุทธเจ้า ทำเพื่อละน่ะจำไว้ ไม่ใช่มีแล้วไม่ละ อย่าเอามาบูชา มิเช่นนั้นจะเป็นลัดธิบูชาไปเสีย”



    ขออนุโมทนาสาธุครับ ^.^

    ตั้มครับ


    หากท่านอยากคุยกับผมและคุณอาอ้อง ชัชวาลเพ่งวรรธนะ

    ได้ที่ หมวด อภิญญา / สมเด็จหลวงปู่โต / เรื่องเล่าของข้าพเจ้าเมื่อสวดพระคาถาชินบัญชร โดยคุณอาอ้อง : ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    อยู่กระทู้บนสุดอะครับ

    เราพร้อมจะช่วยท่านทั้งหลายให้เดินเพื่อละ
     
  5. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078

    ขอบคุณนะครับที่นมาให้ศึกษา แต่ผมยังมีข้อสงสัยและมีเหตุผลที่จะกล่าวดังนี้นะครับ
     
  6. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ขอถามว่าถ้าฤทธิ์เป็นสิ่งไร้ค่า แล้วถ้า ฤทธิ์นั้นรักษาคน จะเรียกว่ามีประโยชน์ไหม

    ขอถามว่าถ้าฤทธิ์เป็นสิ่งไร้ค่า พระพุทธเจ้าในบางครั้งท่านแสดงฤทธิ์แล้วพระญาติเลื่อมใส ละมานะ ฟังธรรมจนบรรลุ ฤทธิ์มีประโยชน์ไหม
    นี่เอาแค่ง่ายๆยังไม่ลงละเอียดลึก ประโยชน์ทั้งทางโลกทางธรรมมีอยู่ อยู่ที่ว่าจะใช้อย่างไร
    ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
     
  7. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
     
  8. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ยังมีอีกหลายข้อ แล้วจะมาขอคำอธิบายนะครับ
     
  9. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    สมถะและวิปัสสนา จะบรรลุต้องได้ทั้งคู่
    พระพุทธเจ้าท่านว่า
    บางคนต้องเจริญวิปัสนานำหน้าแล้วทำสมถะตาม
    บางคนต้องเจริญสมถะนำ แล้ววิปัสนาตาม
    บางคนต้องทำพร้อมๆกันแล้ว
    ตามแต่จริต ลองไปเปิดพระไตรปิฎกดูเถิด
    คนเราเกิดมาไมใช่ว่าอยู่จะบรรลุได้เลย ต้องใช้เวลาบำเพ็ญเพียร แล้วแต่ว่าจริตของแต่ละบุคคล
    ทำสมถะได้ทั้งชีวิต ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยทั้งชีวิตจริงไหมครับ

    คนเรามีหลายประเภท บางคนต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป
    บางคนก็ต้องใช้กุศโลบายให้เข้าถึงความดี
     
  10. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ถ้าห้อยพระแล้วเป็นเครื่องนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงความดีของท่าน เห็นแล้วเตือนสติว่าควรทำตามคำสอนท่าน เห็นเมื่อไหร่ก็นึกนึกพระ มีสติ ละอายชั่วเกรงกลัวบาป อย่างนี้ประโยชน์ไหมครับ ไม่ได้ยึดไม่ได้หลง อย่างนี้ก็ผิดหรือครับ
    เป็นกุศโลบายขั้นพื้นฐานให้คนหันหน้าเข้ามาทำดี
     
  11. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สวัสดีครับ

    ผมชื่อตั้มน่ะ ปวส 1 คอมพิวเตอร์บริหารธุรกิจ
     
  12. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    อยู่ม.6 อายุ17
     
  13. Alakazampkma

    Alakazampkma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +458
    ม.6 ขอนแก่น ครับ โรงเรียนเดี๋ยวขอบอกทีหลังครับ :cool:
     
  14. karatekung

    karatekung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,624
    ค่าพลัง:
    +2,195
    หนาวๆๆๆๆๆๆๆ หาไรแก้หนาวกินกันครับ
     
  15. bbooyy

    bbooyy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +60
    สวัสดีครับมีโครงการแบบนี้ดีมากเลยครับ อนุโมทนา สาธุ ครับ
    ผมชื่อ บอย ปี 3
    สำนักวิชา วิทยาศาสตร์การแพทย์
    มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา ครับผม

    คุยกัน supawat_b-boy@hotmail.com ออนประจำครับ

    มาข่าวบอกบุญด้วยครับ สาธุ
     
  16. Lord Aof

    Lord Aof สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2009
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +3
  17. Elvira

    Elvira สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +9
    สวัสดีค่า :D

    ชื่อบัน ศรีวิกรม์ ม.5 ค่ะ
     
  18. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ยินดีต้อนรับนะครับ
     
  19. alonesoul

    alonesoul Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2009
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +77
    สวัสดีครับ

    ผมชื่อ เคิร์ก เรียนอยู่ irpc ปวช ปี2 ครับ
     
  20. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ยังไม่ได้อัพเดทเลย แวะมาลงชื่อกันนะครับพี่ๆน้องๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...