พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สลับกลับมาดูพระพิมพ์สายพระปฏิบัติที่สำนักงานหนึ่งจัดสร้างเป็นกรณีพิเศษ ก็ไม่ทราบว่าปัจจุบันยังมีเหลืออยู่หรือไม่นะครับ ผมได้รับมาเป็นเวลานานมากพอสมควร เรียกว่า "พระสมเด็จ ๙ อรหันต์"

    ที่มาที่ไปเป็นอย่างนี้ครับ ผมได้ภาพโบชัวร์พิธีพุทธาภิเษก และภาพมวลสารจากเวปหนึ่งดังภาพ เพื่อการเผยแพร่ ขอขอบคุณครับ

    พระสมเด็จ ๙ อรหันต์หรือ พระผงอังคาร ๙ อรหันต์ สร้างเมื่อปี พ.ศ.2538 สุดยอดความขลังเป็นที่สุดของมวลสารในการสร้างพระรุ่นนี้ขึ้นมาที่มาของพระรุ่นนี้คือได้มวลสารหลักๆ อาทิ

    1. พระผงรูปเหมือนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งด้านหลังบรรจุเกศาแท้ ๆ ของหลวงปู่มั่น สร้างโดยหลวงปู่เจี๊ยะ วัดป่าภูริทัตตะฯ จ.ปทุมธานี สมเด็จชานหมากของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ด้านหลังฝังเหล็กเปียกสร้างโดยพระอาจารย์โชติ อาภัคโค วัดภูเขาแก้ว จ.อุบลราชธานี
    2. พระผงรุ่นอายุยืน เส้นเกศา จีวร ชานหมาก ผิวสรีระบางส่วนที่ขูดออก ครั้งเปลี่ยนจีวร สีผึ้งที่ทำจากอุจจาระ ซึ่งก่อนมรณภาพหลวงปู่สี ฉันทสิริ ได้ขับถ่ายออกมาเป็นสีผึ้ง
    3. เส้นเกศา-อัฐิธาตุ-อังคารธาตุ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    4. อัฐิธาตุ-อังคารธาตุ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    5. อัฐิธาตุ-อังคารธาตุ หลวงปู่ขาว อนาลโย
    6. พระผงอังคารธาตุ หลวงปู่ชา สุภัทโท
    7. อัฐิธาตุ-อังคารธาตุ ชานหมากหลวงปู่สาม อกิญจโน
    8. อัฐิธาตุ-อังคารธาตุ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    9. อัฐิธาตุ-อังคารธาตุ หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส <O:p</O:p


    บวกด้วยผงธาตุกายสิทธิ์
    1. ผงอิทธิเจ ปถมัง มหาราช
    2. ผงว่าน ๑o๘
    3. ดินสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน
    4. ใบโพธิ์ ของต้นโพธิ์ตรัสรู้แท้ ๆ จากประเทศอินเดีย
    5. ผงแร่เกาะล้าน แร่เกาะคาม แร่เกาะภูเก็ต แร่เมฆพัด
    6. ผงแร่เหล็กไหลเพลิง
    7. ผงเหล็กไหลตาแรด หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด
    8. ผงธูป ผงพระเก่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    9. ดินกากยายักษ์ที่ใช้ผสมทำพระผงหลวงปู่ทวด
    10. ผงเกสรดอกไม้บูชาพระอาจารย์หลายรูป
    11. ผงพระเก่าหลวงพ่อมงคลบพิตร
    12. ผงพระธาตุพระสิวลี ชนิดสีขาวและสีดำ
    13. ผงสะเก็ดแก้ว พิสดาร

    ทั้งหมดคือมวลสารกายสิทธิ์ที่จัดสร้างสุดยอดพระผง สมเด็จ ๙ อรหันต์ ซึ่งควรค่าแก่การเก็บสะสม <O:p</O:p

    โดยมีพิธีอธิษฐานจิต-พุทธาภิเษก ถึง 3 ครั้ง

    ครั้งที่ ๑ ภายในโบสถ์มหาอุด วัดอินทราราม ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๘ ซึ่งตรงกับวันเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา โดยหลวงพ่อแดง นันทิโย และพระภิกษุผู้ทรงอิทธิจิตสูงส่งภายในวัดอินทรารามทั้งยังเป็นผู้สร้างพระสมเด็จ ๙ อรหันต์ ตามสูตรการสร้างพระสมเด็จที่สืบทอดมาจากหลวงปู่ใจวัดเสด็จ และ หลวงปู่หยอด วัดแก้วเจริญ <O:p</O:p


    ครั้งที่ ๒ พิธีมหาพุทธาภิเษก ภายในพระวิหารพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ โดยมีพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๙ รูป นั่งปรกแผ่เมตตาดังนี้
    1. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี
    2. หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม
    3. หลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้า
    4. หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ จ.สมุทรสงคราม
    5. หลวงพ่อยะ วัดท่าข้าม จ.นครปฐม
    6. หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม จ.นครปฐม
    7. หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม จ.นครปฐม
    8. หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม
    9. หลวงพ่อสง่า วัดหนองม่วง จ.ราชบุรี <O:p</O:p


    ครั้งที่ ๓ อธิษฐานจิตแผ่พลังโดยพระป่ากรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อีกจำนวนทั้งหมด ๒๒ รูป ดังนี้
    1. หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร
    2. หลวงปู่หลอด ปโมทิโต วัดสิริกมลาวาส กรุงเทพฯ
    3. หลวงพ่อคำพอง ติสโส วัดถ้ำกกดู่ จ.อุดรธานี
    4. พระอาจารย์กิ ธัมมุตตโม วัดสนามชัย จ.อุบลราชธานี
    5. พระอาจารย์ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน จ.เลย
    6. พระอาจารย์บุญเพ็ง กัปปโก วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม จ.ขอนแก่น
    7. หลวงปู่หลวง กตปุญโญ วัดป่าสำราญนิวาส จ.ลำปาง
    8. หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร
    9. พระอาจารย์โชติ อาภัคโค วัดภูเขาแก้ว น จ.อุบลราชธานี
    10. พระโพธินันทมุนี วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
    11. พระอาจารย์แปลง สุนทโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร
    12. พระครูอุดมสังวรคุณ วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ
    13. หลวงพ่อเพิ่ม กิตติวัฒฑโน วัดถ้ำไตรรัตน์ จ.นครราชสีมา
    14. หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ วัดถ้ำเสือวิปัสสนา จ.กระบี่
    15. พระอาจารย์สมาน ชิตมาโร วัดป่าศรัทธาราม จ.นครราชสีมา
    16. หลวงพ่อเที่ยง ผาสุโก วัดหลวงปรีชากูล จ.ปราจีนบุรี
    17. พระครูพิทักษ์มัชฌิมเขต วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม จ.นครราชสีมา
    18. พระอาจารย์เคล็ม ปิยธโร วัดกระสัง จ.บุรีรัมย์
    19. หลวงพ่อแดง นันทิโย วัดอินทราราม จ.สมุทรสงคราม
    20. พระอาจารย์เฉลียว วรกิจโจ วัดป่าโคกมน จ.เลย
    21. หลวงพ่อสิทธา เชตะวัน
    22. พระอาจารย์เกษมสุข เขมสุโข วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ กรุงเทพฯ <O:p</O:p

    ภาพด้านหลังพระพิมพ์เป็นพระยันต์พระมหามงกุฎพระพุทธเจ้า..

    ผมก็ได้ค้นคว้ามาเพิ่มเติม จากข้อมูลมาหลายที่ เพื่อให้ความสมบูรณ์แห่งพระพิมพ์ ไหนๆจะบูชาก็ควรจะรู้องค์ประกอบของพระยันต์ประจำองค์พระกันไว้ เผื่อวันหน้าได้พบของดี จะได้ทราบกัน ก็ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของความรู้ข้อมูลเหล่านี้ ..


    เลข ๙ เป็นการย่อ หัวใจพระพุทธคุณ
    พระพุทธคุณ 9 ประการนี้ ย่อเหลือพระคุณละ 1 อักษร ดังนี้ คือ.-

    1)อะ (อรหัง)-เป็นพระอรหันต์ไกลจากกิเลส.....

    2)สัง(สัมมา สัมพุทโธ)-ตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เองโดยถูกต้อง.......

    3)วิ(วิชชาจรณะสัมปันโน)-ทรงสมบูรณืด้วยวิชาสมบัติและจริยาสมบัติ........

    4)สุ(สุคโต)-เสด็จไปดี......

    5)โล(โลกวิทู)-ทรงรู้เท่าทันโลกทั้ง 3..........

    6)ปุ(อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ)-ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน.......

    7)สะ(สัตถาเทวมนุสสานัง)-ทรงเป็นครูสอนทั้งเทวดาและมนุษย์........

    8)พุ(พุทโธ)-ทรงเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส.......

    9)ภะ(ภควา)-เป็นผู้ทรงแจกพระอมตะมรดก.......

    เลข๗ เป็นการย่อ หัวใจพระธรรม๗คัมภีร์ คือ
    สัง มาจาก พระสังคีณี ( กุสลาธมฺมา....... )
    วิพระวิภังค์ ( ปัญจักขันธา รูปักขันโธ .....)
    ธาพระธาตุกถา ( สังคะโห อะสังคะโห......)
    ปุพระปุคคะละปัญญัตติ (ฉะ ปัญญัตติโย ขันธะปัญญัติ ......)
    กะพระกถาวัตถุ(ปุคคะโล อุปะลัพภะติสัจฉิกัต...)
    ยะพระยมก ( เยเกจิ กุสลาธมฺมา....... )
    ปะพระมหาปัฏฐาน ( เหตุปัจจโย....... อวิคจปัจจโย )<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    กุศโลบายของโบราณจารย์ในอดีตช่างแยบคายยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นคาถา อักขระ เลขยันต์หรือแม้แต่เครื่องรางของขลัง ล้วนแฝงไว้ด้วยนัยยะแห่งพระสัทธรรมแทบทั้งสิ้น อักขระที่หมุนเวียนไปตามช่องตารางของยันต์มงกุฏพระพุทธเจ้าเสมือนหนึ่งการหมุนวนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดตัว"อิ"ที่อยู่ตรงกลางเปรียบดัง ธาตุรู้ ไม่ดับไม่ตายเป็น"อมตธรรม"นี่แหละจึงว่าโบราณจารย์ในกาลก่อนนั้นมิได้มุ่งแต่จะให้เห็นผลทางด้านอิทธิฤทธิ์แต่เพียงถ่ายเดียวแม้พระสัทธรรมที่ลึกซึ้งลงไปก็ได้แสดงไว้อย่างครบถ้วน
    ส่วนตัวเลขที่รายล้อมดวงยันต์อยู่นั้นเป็นการผูกกลบทตามแบบฉบับ"ตรีนิสิงเห"อีกสัมทับหนึ่งซึ่งสังเกตได้ว่าตำแหน่งของเลข 5 จะกระจายอยู่ทั้ง 4 ตำแหน่งเป็น 4 มุมแบบสี่เหลี่ยมจตุรัส
    และระหว่างมุมทั้ง 4 นั้นจะบวกกันแล้วได้เท่ากับ 10 เสมอ เช่น 3+7,4+6,1+9,2+8 (สามารถเปรียบเทียบได้กับยันต์ตรีนิสิงเหแบบสี่เหลี่ยมซึ่งมี 4 มุมแต่ละมุมแบ่งเป็น 2 ช่อง และทุกๆมุมจะบวกได้เท่ากับ 10 เสมอเช่นเดียวกัน

    ส่วนเลข 1,2,3,4นั้นก็จะกระจายออกเป็น 4 ทิศคือ ด้านล่าง-ด้านซ้าย+ด้านบน+ด้านขวาเป็นลักษณะเหลี่ยมขนมเปียกปูนตัดกันกับสี่เหลี่ยมจตุรัสที่ประกอบไปด้วยเลข 5 ดังกล่าวไปแล้วข้างต้น จึงรวมทั้งหมดเป็น 8 มุมครบ 8 ทิศหรือสวัสดิกะ และระหว่างเลข 1 ถึงเลข 2 นั้นจะบวกกันแล้วได้เท่ากับ 14

    ระหว่างเลข 2 ถึงเลข 3 นั้นจะบวกกันแล้วได้เท่ากับ 13

    ระหว่างเลข 3 ถึงเลข 4 นั้นจะบวกกันแล้วได้เท่ากับ 12

    ระหว่างเลข 4 ถึงเลข 1 นั้นจะบวกกันแล้วได้เท่ากับ 11 รวมกันทั้งสิ้นได้ 50

    ทั้งหมดต่างมีความสัมพัทธ์ สัมผัส สอดคล้องกันอย่างลงตัวและซ่อนไว้ด้วยธรรมปริศนาอันล้ำลึก กล่าวถึงตรีนิสิงเหนี้เป็นอีกหนึ่งวิชาที่ใช้ในการลบผงซึ่งล้วนมีความสลับซับซ้อนและประณีตละเอียดอ่อนยิ่งนักสูตรตรีนิสิงเหนี้ยังสามารถถอดกลบทยักย้ายถ่ายเทให้เป็นไปได้อีกหลายกลบทแต่แม้ในที่สุดแล้วก็จบลงที่สูญญังนิพพานังปรมังสูญ ทั้งสิ้นหากพิจารณาในแง่ธรรมมะแล้วไซร้จักได้เห็นพระสัทธรรมตามกฎไตรลักษณ์อย่างครบถ้วนกระบวนความคือนับตั้งแต่การเกิดก่อ ต่อตั้ง ปรวนแปร แลดับสูญ เข้ากับทุกขัง อนิจจังอนัตตาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนไปไหน โบราณจารย์จึงกำหนดวิชาตรีนิสิงเห ปถมัง มหาราชอิทธิเจ เหล่านี้เป็นกองกรรมฐานให้บัณฑิตผู้สนใจได้เจริญสมาธิ พากเพียรไตร่ตรองตราบจนบรรลุถึงเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ เป็นที่สุดแห่งกองกรรมฐานแล

    เสริมอีกนิดว่าเลข 5 นั้นไม่ได้หมายถึง นะโมพุทธายะอย่างเดียวแต่ยังเป็นได้อีกถึง 4 สถานคือ

    1.ปา อะ กา มุ สุ (ศีล 5) ปาณาอทินนา กาเม มุสา สุรา
    2.เก โล นะ ทะ ตะ (กรรมฐาน 5) เกษา โลมา นะขา ทันตาตะโจ
    3.รู เว สะ สัง วิ (ขันธ์ 5) รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    4.โส สะ อะ อะ นิ (อริยะ 5 ) โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์นิพพาน
    และอื่นๆอีกได้ตามแต่คติแห่งคณาจารย์นั้นๆ
    คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า มีอีกชื่อหนึ่งว่า อิติปิโสเรือนเตี้ย
    เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงเรียกชื่อแบบนี้
    บังเอิญไปพบบทความตอนหนึ่งในหนังสือรายปักษ์
    ผมเลยเอามาลงให้อ่านเพิ่มเติมครับ

    คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยนี้ เป็นคาถาที่หวังผลทางด้านสมานฉันท์
    หรือใช้ทำให้คนที่กระด้างกระเดื่อง เห็นผิดเป็นชอบยอมลดทิฐิมานะลงได้

    ขนาดที่ว่าทำให้หลังคาเรือนเตี้ยต่ำลงเพื่อให้คนที่มีมานะทิฐิไม่ยอมก้มหัวให้ใคร เมื่อเดินเข้าเรือนเจ้าของบ้านที่ใช้คาถานี้ ต้องยอมก้มหัวลงไม่สามารถเดินยืดหัวตัวตรงได้ เพราะไม่เช่นนั้น จะต้องชนกับขื่อบ้านจึงเหมือนเป็นการบังคับให้ทำความเคารพเจ้าบ้านไปในตัว
    ดังตัวอย่างพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จยุโรปหลวงปู่เอี่ยมก็ให้ใช้มนต์บทนี้ปราบม้าพยศ

    พระคาถานี้เข้าใจว่าคงมีใช้กันมานานแล้ว แต่ที่มีหลักฐานที่สามารถสืบสายวิชาเห็นได้ชัดๆ ก็คือ สมเด็จโตเพราะเป็นพระคาถาที่ท่านลงในสมุดขาวของท่านดังจะเห็นได้จากผ้ายันต์ปี2500 ของวัดกัลยา ก็คัดลอกมาจากสมุดขาวนี้อีกรูปที่มีหลักฐานแน่นอนว่าใช้พระคาถานี้ หลวงปู่เอี่ยมวัดหนังยุคต่อมาก็คือสายวัดพระปรางค์หลวงปู่ศรี และถ่ายทอดสู่หลวงพ่อกวยครับ
    <O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2009
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คู่มือ...ป้องกันการฆ่าตัวตาย

    ˹ѧʗ;ԁ?쁵Ԫ?҇ѹ : ˹ѧʗ;ԁ?줘??? ྗ荤س???ͧ?Ð෈

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>การตัดสินใจฆ่าตัวตาย ยังมีให้เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน ทำไมคนถึงฆ่าตัวตาย... อกหัก ช้ำรัก ผิดหวัง เสียใจ หาทางออกไม่ได้!!!

    ทั้งที่ทางออกมีอยู่มากมาย แต่อยู่ที่ว่าผู้นั้นจะปล่อยให้สติหรืออารมณ์เป็นตัวนำ

    เพราะไม่ต้องการเห็นคนฆ่าตัวตาย ทางกรมสุขภาพจิตจึงได้จัดทำหนังสือ "คู่มือการป้องกันการฆ่าตัวตาย" เพื่อเป็น "กำลังใจ" และ "ช่วย" แก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายขึ้นมา

    คู่มือเล่มนี้ได้ระบุว่า การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนทุกเพศทุกวัย แต่ปัญหาสามารถแก้ไขได้

    เริ่มจากต้องรู้ก่อนว่า "ทำไม" คนเราถึงเลือกฆ่าตัวตาย ซึ่งสาเหตุเกิดจาก!!

    มองไปทางไหนเห็นแต่ปัญหา ไม่มีทางออก เกิดความรู้สึกซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก หดหู่ ท้อแท้ หรือป่วยเป็นโรคจิต หลงผิดคิดว่ามีคนสั่งให้ไปตาย หรือระแวงว่าจะมีคนมาฆ่า หรือทางพฤติกรรมติดเหล้า ติดยา เสพจนเมาขาดสติ ชีวิตไม่มีใครเหลียวแล มีความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทางกาย จนไม่สามารถทนได้ จึงฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นทุกข์

    แล้วคนรอบข้างจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครอยากฆ่าตัวตาย ลองสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้

    หากเอาแต่พูดถึงความตาย หรือการฆ่าตัวตาย ไม่อยากเป็นภาระใคร รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า พูดหรือเขียนสั่งเสีย อีกทั้งยังมีนิสัยเศร้าซึม หมดอาลัยตายอยาก ร้องไห้บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ และดูถูกตนตัวเองตลอดเวลา

    นอกจากนี้อาการป่วยสามารถส่งผลถึงการฆ่าตัวตายได้ อย่างป่วยเป็นโรคจิต หรือมีความทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัวร้ายแรง ทั้งเอดส์ มะเร็ง พิการ หรือเสียความสวยงาม

    ส่วนคนที่สูญเสียคนหรือของรักที่มีความสำคัญต่อชีวิตในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ก็เข้าข่ายเช่นกัน รวมทั้งคนที่เป็นหนี้เป็นสินด้วย

    ถ้าพบว่าคนใกล้ตัว หรือคนรู้จัก มีลักษณะแบบข้างต้นให้ดำเนินช่วยเหลือโดยด่วน!!!

    โดยเข้าไปดูแลเอาใจใส่ พร้อมช่วยเหลือ หรือบอกญาติ คนในครอบครัวให้คอยระวังอย่างใกล้ชิด ให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ที่สามารถทำร้ายตัวเองได้ คอยพูดคุยให้คำปรึกษา ปลอบใจ

    เทคนิคการปลอบใจ มีทั้ง

    การพูดคุย เช่น "ทำใจดีๆ ไว้ พรุ่งนี้อาจจะดีขึ้น เพราะไม่มีอะไรที่คงที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันจะหมดไปสักวัน และพ้นผ่านไปเองในที่สุด"

    หรือ "ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข บางปัญหาต้องใช้เวลา ลองมาช่วยกันคิดหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหากันดีกว่า"

    การพูดเพื่อให้เขาได้ห่วงคนข้างหลัง "ถ้าขาดคุณเสียคน ลูกๆ จะทำอย่างไร" และการพูดให้เห็นข้อดีของการมีชีวิต เช่น "คุณยังมีอะไรดีๆ อยู่อีกมาก เช่น มีลูก มีสามี หรือภรรยาที่ดี ที่คอยหว่งใยให้กำลังใจ" หรือ "การมีชีวิตอยู่ยังได้ทำบุญ ทำประโยชน์ให้ครอบครัวให้สังคมได้"

    แต่หากเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!!

    พบเห็นคนฆ่าตัวตายให้รีบช่วยปฐมพยาบาล และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด รวมทั้งปลอบโยนญาติให้มีสติ ทำความเข้าใจกับชุมชนให้เห็นใจผู้ฆ่าตัวตาย พร้อมช่วยกันดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก

    ทุกคนย่อมเจอกับปัญหาที่แตกต่างกันไป และทุกปัญหาสามารถหาทางออกได้มากมาย ไม่ใช่เพียงแค่ "ฆ่าตัวตาย" เพราะคนที่ทุกข์ไม่ใช่เพียงตัวเอง แต่รวมถึงคนที่อยู่ข้างหลังด้วย
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ปัญหา"ทองราคาแพง

    ˹ѧʗ;ԁ?쁵Ԫ?҇ѹ : ˹ѧʗ;ԁ?줘??? ྗ荤س???ͧ?Ð෈

    โดย วินัย วงศ์สุรวัฒน์ คณะวิทยาการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ความตื่นตระหนกของประชาชนเวลาราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเป็นกรณีศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ที่น่าสนใจ ทั้งนี้ เพราะผู้คนส่วนมากมิได้มีความจำเป็นต้องใช้ทองคำในชีวิตประจำวันเหมือนอย่างที่จำเป็นต้องกินข้าวหรือซื้อน้ำมันมาเติมรถ

    เวลาข้าวราคาแพงหรือน้ำมันราคาขึ้น ประชาชนย่อมวิตกเพราะกลัวว่าจะขาดแคลนสินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน สำหรับทองคำนั้นถ้าเกิดมันแพงขึ้นมากๆ ก็เลิกซื้อมันเสียก็ได้ คนส่วนใหญ่คงจะมิได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรมากมาย หากไม่มีสร้อยทองมาแขวนคอ หรือไม่มีทองคำแท่งมาเก็บไว้ในตู้เซฟ

    ความตื่นตระหนกส่วนหนึ่งคงมาจากชาวบ้านที่พอมีอันจะกิน ชาวบ้านพวกนี้อาจรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อทองคำเก็บไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน เดือนก่อน หรือปีก่อนตอนราคาทองยังไม่แพงขนาดนี้ ความรู้สึกดังกล่าวสะท้อนความเสียดายที่พลาดโอกาสการทำเงินจากการเก็งกำไรในราคาทองคำนั่นเอง

    หากความตื่นตระหนกส่วนใหญ่เกิดจากความเสียดายของนักเก็งกำไร สังคมส่วนรวมก็คงไม่มีความจำเป็นต้องกังวลกับเรื่องราคาทองมากนัก ทั้งนี้ เพราะการเก็งกำไรนั้นไม่ใช่กิจกรรมที่เป็นประโยชน์และน่าสนับสนุนแต่อย่างใด ถ้าใครมีสตางค์เหลือเก็บ สู้เอาไปใช้ลงทุนในธุรกิจ (ไม่ว่าทางตรง เช่นการเปิดร้าน สร้างโรงงาน หรือทางอ้อม เช่นการฝากธนาคารหรือซื้อหุ้น) ยังจะเป็นประโยชน์เสียมากกว่าการเอาเงินมาเก็งกำไรในราคาทอง

    อย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลเรื่องราคาทองนั้น ดูเหมือนจะแผ่วงกว้างไปกว่าในหมู่นักเก็งกำไร ชาวบ้านธรรมดาที่หาเช้ากินค่ำ และมิได้มีเงินเหลือเฟือเอามาใช้เก็งกำไรราคาทอง ก็ดูเหมือนว่าจะสนใจและเป็นกังวลกับราคาทองคำที่แพงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

    อะไรคือต้นตอของความวิตกกังวลของชาวบ้านพวกนี้

    นักวิเคราะห์มองว่าราคาทองคำที่แพงขึ้นมีผลสืบเนื่องมาจากการสูญเสียความมั่นใจในค่าของเงินตรา หรือความกลัวเงินเฟ้อนั่นเอง เวลาเงินเฟ้อราคาสินค้าและบริการทุกอย่าง (อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค การศึกษา ความบันเทิง ฯลฯ) ก็จะพุ่งสูงขึ้น

    นอกจากนั้น มูลค่าหรืออำนาจการซื้อของเงินฝากในบัญชีธนาคารก็จะลดลง ปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจนขนาดไหน

    หากผู้คนต่างกังวลกันว่า ค่าของเงินกำลังมีแนวโน้มจะลดลง ทุกคนก็จะพยายามเปลี่ยนไปออมในรูปแบบอื่นๆ คนทั่วไปเวลากลัวเงินเฟ้อ ไม่รู้จะออมในรูปแบบใดแทนเงิน มองซ้าย-มองขวาแล้ว สุดท้ายก็มักจะตัดสินใจซื้อทองเก็บไว้

    สัญชาตญาณการใช้ทองเป็นเครื่องมือการเก็บออมมีรากฐานมาจากพฤติกรรม ค่านิยม และความเชื่อของคนตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ อย่างไรก็ดี หากมองกันแบบเป็นกลางแล้ว การออมในรูปทองคำก็มีความเสี่ยงไม่ต่างไปจากการลงทุนแบบอื่น เพราะราคาทองคำขึ้นอยู่กับอุปสงค์ (ความต้องการใช้ทองในอุตสาหกรรม และความนิยมของผู้คน) และอุปทาน (จำนวนเหมืองทองที่ค้นพบใหม่ และปริมาณที่ผลิตได้ในแต่ละปี)

    ดังนั้น ราคาทองคำจึงมีขึ้นมีลงได้เหมือนราคาสินค้าอื่นๆ การซื้อทองเก็บไว้จึงมิได้ดีไปกว่าการเอาเงินลงทุนกับอย่างอื่น เช่น การเก็งกำไรที่ดิน-คอนโดฯ การซื้อหุ้น หรือการลงทุนในการศึกษา แต่ประการใด

    ความวิตกกังวลเรื่องเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่น่าเห็นใจสำหรับประชาชนตาดำๆ เป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าพวกเขาจะขยันขันแข็ง เก็บหอมรอมริบเป็นเวลานานสักเพียงใด ฐานะความเป็นอยู่ของพวกเขาก็อาจไม่กระเตื้องขึ้นเลย เพราะมูลค่าเงินออมที่ฝากธนาคารไว้ถูกกัดกร่อนไปอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์ของเงินเฟ้อ

    สิ่งที่น่าทึ่งเป็นที่สุดก็คือ หากถามประชาชนตาดำๆ เหล่านี้ว่าต้นเหตุของเงินเฟ้อมาจากไหน พวกเขาก็มักพูดถึงปัญหาเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน หรือความโลภของนายทุน ทรรศนะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าบางครั้งเส้นผมเล็กๆ ก็สามารถเอามาใช้บังภูเขาทั้งลูกได้ หากมีเทคนิคการหลอกล่อที่ถูกต้อง

    ค่าของเงินถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานเหมือนกับสินค้าอื่นๆ หากปีใดเกษตรกรผลิตข้าวออกมามาก แต่ความต้องการบริโภคมิได้มากตาม ราคาข้าวก็จะตก ฉันใดก็ฉันนั้น หากมีใครสักคนพิมพ์เงินออกมามากกว่าปริมาณที่ใช้จ่ายกันตามปกติ "ราคาของเงิน" ก็จะตก ซึ่งนั่นก็คือคำจำกัดความของเงินเฟ้อนั่นเอง

    ใครสักคนที่มีอำนาจในการพิมพ์เงินก็คือรัฐบาล อภิสิทธิ์ในการเสกกระดาษเป็นเงินนั้นเป็นอำนาจที่เย้ายวนและชวนให้ใช้ในทางที่ผิดเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพราะเงินสามารถซื้อหาคะแนนนิยมและอำนาจทางการเมืองได้ ด้วยการจับจ่ายใช้สอยอย่างมือเติบภายใต้ข้ออ้างต่างๆ นานา เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ การประกันราคาไอ้โน่นไอ้นี่ และการสร้างความเข้มแข็งทางไอ้นั้นไอ้โน้น

    รัฐบาลไม่ว่ารัฐบาลไหนก็มักจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับว่าปัญหาเงินเฟ้อนั้นเป็นความผิดของรัฐ วิธีหลอกล่อให้ประชาชนสับสนที่ใช้ได้ผลดีที่สุดก็คือ โยนความผิดให้กับแพะรับบาป เช่น พวกต่างชาติ (เลวๆ) หรือไม่ก็พวกนายทุน (หน้าเลือด)

    แน่นอนว่าคนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายถลุงเงินดังกล่าวย่อมพึงพอใจ (อย่างน้อยก็ในช่วงสั้นๆ) แต่ในไม่นานทุกคนก็ย่อมเริ่มตั้งคำถามว่ารัฐบาลเอาเงินมากมายเหล่านี้มาจากไหน

    คำถามดังกล่าวย่อมนำไปสู่ความลังเลสงสัยในค่าของเงินในอนาคต และก่อให้เกิดอุปสงค์พิเศษสำหรับการออมในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งก็ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นนั่นเอง

    นายเลนินเคยกล่าวไว้ว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจเสรีคือ การบ่อนทำลายระบบการเงิน

    จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้บ่อนทำลายประเทศโดยการทำลายความน่าเชื่อถือของระบบการเงินมักจะเป็นรัฐบาลของประเทศนั้นเอง เช่น กรณีเงินเฟ้อวิกฤตในประเทศ เยอรมนี ฮังการี และ ซิมบับเว

    วิธีการป้องกันมิให้นักการเมืองบ่อนทำลายระบบการเงินด้วยการพิมพ์เงินมาถลุง โดยไม่ยั้งมือนั้นมิใช่เรื่องง่าย เพราะนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาลนั้นมักคิดว่าพวกตนมีสิทธิชอบธรรมที่จะทำอะไรก็ได้ บทเรียนประวัติศาสตร์สอนว่า การประกันเสรีภาพในการทำงานของธนาคารกลางนั้น อาจช่วยสร้างความมั่นคงให้กับระบบการเงินได้บ้าง

    การออกพันธบัตรที่จ่ายดอกเบี้ยตามอัตราเงินเฟ้อก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดแรงจูงใจในการสร้างเงินเฟ้อของรัฐบาล ทั้งนี้ เพราะหากรัฐไม่ระวังปล่อยให้เงินเฟ้อในอัตราสูง หนี้ที่รัฐกู้ประชาชนมาผ่านพันธบัตรก็จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงตามไปด้วย

    ปัจจุบันประเทศตะวันตกหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และ ฝรั่งเศส ต่างมีพันธบัตรรัฐบาลที่จ่ายดอกเบี้ยตามอัตราเงินเฟ้อให้นักลงทุนซื้อหากันได้แล้ว

    การออกพันธบัตรดังกล่าวเป็นการสร้างทางเลือกในการออมให้ประชาชนที่กลัวเงินเฟ้อ และทำให้พวกเขาไม่ต้องแห่กันไปซื้อทองเก็บไว้ในช่วงเวลาที่เกิดความหวาดระแวงในค่าของเงินตราอย่างเช่นในปัจจุบันนี้
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 79 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 74 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>:::เพชร:::, sithiphong+, chantasakuldecha+, psombat </TD></TR></TBODY></TABLE>
    มากมายจริงๆ...
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 79 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 75 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, chantasakuldecha+, psombat+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับ คุณเพชร ,น้องchantasakuldecha และคุณpsombat

    แล้วตกลงว่า พระที่อยู่ในหน้าที่.. ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 81 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 76 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, nongnooo+, chantasakuldecha+, psombat+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมมาฝากเนื้อฝากตัวกับท่านรอง:::เพชร::: และท่านรอง nongnooo ด้วยครับ
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่ะก็เพื่อนผมบอกแรงก้แรงชัวร์ครับ หุ หุ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "แค" ประโยชน์จากดอกไม้กินได้
    [​IMG]โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    17 พฤศจิกายน 2552 16:54 น.[​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    "ต้นแค" เป็นต้นไม้พื้นบ้านของเราอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยนิยมปลูก เพราะนอกจากใบแคที่ร่วงหล่นจะกลายเป็นปุ๋ยอย่างดีที่ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์แล้ว "ดอกแค" ก็ยังสามารถนำมาประกอบอาหาร และมีประโยชน์กับร่างกายมากอีกด้วย

    "ดอกแค" นั้น ถือเป็นอาหารที่คนโบราณจะกินแก้ไข้หัวลม หรืออาการไข้ที่จะเกิดในช่วงเปลี่ยนฤดู เปลี่ยนอากาศ ที่มักจะทำให้หลายๆ คนเกิดอาการไอ จาม ครั่นเนื้อครั่นตัวกันขึ้นมา โดยสารอาหารต่างๆนั้น ในดอกแค 100 กรัม หรือ 1 ขีด ให้พลังงานต่อร่างกาย 10 กิโลแคลอรี มีเส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง และวิตามินซี แต่การจะนำดอกแคมาทำอาหารนั้นจะต้องเด็ดเกสรสีเหลืองของดอกแคออกก่อนจะทำให้ไม่มีรสขม

    อาหารจากดอกแคที่เรานิยมกินกันนั้น ก็มีทั้งแกงส้มดอกแค ดอกแคชุบแป้งทอด หรือดอกแคลวกจิ้มน้ำพริก ก็เป็นเมนูที่น่าลิ้มลองในช่วงที่อากาศใกล้จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นฤดูหนาวในเวลาไม่นานนี้

    http://www.manager.co.th/Travel/View...=9520000139069
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปัจจุบันเรื่องของอาหารการกิน เป็นสิ่งที่อยู่กับตัวเราเป็นอย่างมาก ผมได้รวมรวมเรื่องราวของอาหารการกินที่มีประโยชน์ไว้ที่บอร์ดอกาลิโก ลองไปหาอ่านกันดูที่กระทู้ "108 เคล็ดกิน"ครับ

    บอร์ดอกาลิโก > อิ่มกาย อิ่มใจ > เมนูใจใส ใส่ใจสุขภาพ

    "108 เคล็ดกิน"

    "108 ���紡Թ" - ˹�� 8 - �����͡�����
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คำถามนี้อีกแล้ว ดีป่าว แรงป่าว อีกแล้ว ผมจะวิเคราะห์คำถามลักษณะนี้ให้ฟัง ถือว่าสนุกๆกันนะครับ..

    อย่างแรก"คนที่ถาม" เขาย่อมต้องมีพระพิมพ์ พระเครื่อง องค์นั้นอยู่ และแน่นอนว่า จะต้องเป็นของเขา ดังนั้นเขาย่อม คาดการณ์ ด้วยความ "รู้สึก" ของเขาว่า อยากได้ยิน "คนตอบ" ว่า ดี และแรง และเหนือกว่านั้นอยากได้ยินคำว่าว่า "แท้ และทันหลวงปู่เสกนะ" หากได้ยินแบบนี้จะรู้สึกว่า มันวิเศษมากนะ(จอร์ช)

    อย่างที่ ๒ หากคนตอบ เขาตอบว่า "ไม่ดี หรือไม่แรง" แบบนี้อาจจะเก็บอาการอยู่ แต่ที่แย่ไปกว่านั้น ได้ยินคำที่หยาบคายมากว่า "ไม่แท้นะ.." แบบนี้อาจจะเก็บอาการเสียฟอร์มเอาไว้ไม่อยู่ แต่ขอให้เชื่อเถอะว่าครั้งต่อไป เขาจะไม่ค่อยเอาของให้คุณได้ดูอีกเลย..

    สรุปแล้ว การจัดการกับคำถามดีป่าว แรงป่าวนี่ ต้องใช้ความรู้สึกจับให้ได้ว่า คนถามเขารู้จริงหรือเปล่า หรือแกล้งเย้าเล่นให้คนอื่นเขาอิจฉาเล่นๆ..

    กรณีศึกษานี้ต้องการบอกว่า หากไปหาพระมาเยอะแยะ แต่กลับสงสัยว่าแท้ ไม่แท้ประการใด จึงควรเอามาเพียง ๑ องค์ก่อน รู้ว่าดี และแรง และแท้ ก็ค่อยไปเอาทีหลังได้ ดีกว่าเอามาเป็นกูรูทแล้วมาถาม แบบนี้อาจจะเจอคำถามแบบที่ ๒ ไม่ดี ไม่แรง ไม่แท้ แบบนี้ก็มีสิทธิ์หมดแรงเอาดื้อๆนะครับ..

    ถือว่าคุยสนุกๆกันก็แล้วกันครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 22 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 20 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    55555 มีอย่างที่3ครับ มีบางท่านต้องการ test และเชียร์ครับจึงเกิดเป็นคำถามนี้ขึ้นมาครับ แต่สำหรับลุงข้างบ้านผมนี่เข้าข่ายที่ว่า ถามให้อิจฉาเล่นครับ หุ หุ
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อ้อ.. มี 3 แบบหรือครับ จะดูว่า "คนที่ถาม"เขาจะมาแบบไหนอีกนอกจาก 3 solutionsแบบนี้แล้ว คิดว่าล็อคหมดแล้วนะครับ ไม่น่าจะมีอีก หรือว่าไงครับท่าน ..ดีป่าว..แรงป่าวครับ
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คืนนี้เขาว่ากันว่า มีฝนดาวตกช่วงตี 1 เศษๆ อีกทั้งเป็นวันอมาวสี และที่ดีกว่านั้น คือเป็นทั้งฤกษ์ราชาโชคด้วย หากจะทำพิธีขอพรจากฟ้าในคืนนี้ก็นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีของความมั่งคั่งนะครับ ช่วง 02.00 - 02.20 น. เหมาะแก่การตั้งกำปั่นที่บรรจุเงินทองไว้เต็มๆ วางไว้กลางแจ้ง และทำสมาธิ สวดพระคาถาเงินล้าน และคาถาจินดามณีมากครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถ้าผมถาม ผมกวนอารมณ์พวกแอบจิต (พวกเสี้ยนแอบเข้ามาดู โดยล่องหน)ครับ อิอิ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จ้งพ่านชินหลี : "ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลีกหนี"
    China - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>18 พฤศจิกายน 2552 06:50 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>
    众叛亲离

    众 (zhòng) อ่านว่า จ้ง แปลว่า ฝูงชน
    叛 (pàn)
    อ่านว่า พ่าน แปลว่า ต่อต้าน รังเกียจ
    亲 (qīn) อ่านว่า ชิน แปลว่า ญาติ
    离 (lí) อ่านว่า หลี แปลว่า หลีกหนี


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=297 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=297>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>ที่มา www.997788.com</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในสมัยชุนชิว องค์ชายรัฐเว่ย นาม โจวซีว์ เป็นผู้ที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงยิ่งนัก หลายต่อหลายครั้ง ถึงกับสมคบคิดกับบรรดาขุนนางโฉด วางแผนเพื่อปลงพระชนม์อ๋องเว่ยหวนกง ผู้เป็นพระเชษฐาแท้ๆ เพื่อจะช่วงชิงตำแหน่งเจ้าครองรัฐมาเป็นของตนเอง ทว่าแผนการณ์ดังกล่าวยังไม่สำเร็จลุล่วง

    719 ปีก่อนคริสตกาล เมื่ออ๋องโจวผิงหวังสวรรคตจากอาการประชวร อ๋องเว่ยหวนกงจึงตัดสินพระทัยที่จะออกเดินทางไปแสดงความเสียใจ เมื่อโจวซีว์ได้ทราบข่าวนี้ก็รู้สึกลิงโลดใจยิ่งนัก รีบลักลอบจัดเตรียมกองกำลังประมาณ 500 นาย ให้ไปดักซุ่มอยู่บริเวณนอกเมืองด้านประตูทิศตะวันตก

    เมื่อสองพี่น้องเดินทางมาถึงนอกเมืองด้านประตูทิศตะวันตก โจวซีว์ยกจอกสุราขึ้นเพื่อเป็นเสมือนการอำลาพี่ชาย ยามนั้น อ๋องเว่ยหวนกงยังคงไม่รู้เท่าทัน จึงได้ยกจอกสุราขึ้นตอบและดื่มจนหมด จากนั้นโจวซีว์จึงอาศัยทีเผลอร่วมมือกับพวก สังหารโหดอ๋องผู้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด และเดินทางกลับเข้าเมืองพร้อมกำลังพลที่จัดเตรียมไว้ หลังจากนั้นไม่นานจึงตั้งตนขึ้นเป็นอ๋องรัฐเว่ย

    โจวซีว์ปกครองราษฏรโดยการกดขี่ข่มเหง โหดร้ายทารุณ ประชาชนอยู่อย่างยากลำบาก จนเกิดกระแสความไม่พอใจไปทุกหัวระแหง โจวซีว์จึงใช้กำลังทหารสร้างการศึกภายนอก เพื่อมาเบี่ยงเบนความขัดแย้งในประเทศ ด้วยการทุ่มเทเงินทองไม่อั้น ดึงเอารัฐซ่ง เฉิน ไช่ เหล่านี้ มาร่วมมือในการโจมตีรัฐเจิ้ง

    ครั้งหนึ่ง อ๋องหลูหยิ่นกง แห่งรัฐหลู่ เคยปรารภกับเหล่าขุนนางถึงเหตุการณ์ช่วงชิงราชบังลังก์ของโจวซีว์ว่า "โจวซีว์ถือว่าก่อการสำเร็จหรือไม่?" ขุนนางจึงทูลว่า "เขายึดมั่นเพียงกำลังทหาร กระหายสงคราม แต่กลับนำความทุกข์ยาก เดือดร้อน มาสู่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้คน ทั้งยังสังหารพี่น้อง จึงทำให้ญาติมิตรหมดความเชื่อถือ ผู้คนพากันเมินหน้ารังเกียจ พี่น้องก็หลบลี้หนีห่าง จึงยากจะกล่าวว่าประสบความสำเร็จ"

    การณ์เป็นดั่งคาด...โจวซีว์ช่วงชิงอำนาจมาได้ไม่ถึงหนึ่งปี ก็ถูกสังหารไปในที่สุด

    ต่อมา ผู้คนใช้สำนวน "จ้งพ่านชินหลี" หรือ "ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลีกหนี" เพื่อเปรียบเปรยถึงสิ่งที่ไม่ถูกใจประชาชน ไม่ได้รับการยอมรับสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ การถูกทอดทิ้ง หรือถูกตีตัวออกห่าง

    สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งภาคแสดง(谓语) ส่วนขยายนาม(定语) หรือคำเสริมกริยา(补语)

    ตัวอย่างประโยค
    他坚持与人民为敌,以至众叛亲离,死无葬身之地。
    เขาทำตัวเป็นศัตรูกับประชาชนเสมอมา จน ~ แม้ตายยังไร้ที่กลบฝัง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เหลือบเรียลลิตี ปัญหาใหม่ของคนทีวี (ยอมรับว่าตั้งใจมาหลอก!!!)
    Daily News - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>18 พฤศจิกายน 2552 07:43 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>ผู้ด้อยโอกาสมักถูกจับจ้องหาผลประโยชน์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>เมย์-เหน่ง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>น้องอ้อมที่กำลังเป็นข่าวดัง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>สุชิน พันธุ์แตง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>สังคมไทย ถ้าจะพูดแบบเหมารวมอาจพูดได้ว่าเป็นสังคมที่มีความเอื้ออารี มีน้ำใจ เวลาเห็นใครเดือดร้อนก็มักจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ยิ่งปัจจุบันนี้ ด้วยอิทธิพลของสื่อก็ยิ่งทำให้เรื่องราวความยากลำบากของเพื่อนร่วมสังคมถูกกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง รวดเร็ว และจับใจคนได้มากขึ้นจากพลังการสร้างสรรค์บทโทรทัศน์ รายการ คนค้นฅน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน

    ไม่ต้องนับรายการรุ่นพี่อย่าง วงเวียนชีวิต หรือ สกู๊ปชีวิต ที่เป็นช่องทางการบริจาคแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคมมาก่อนนานแล้ว

    ความมีน้ำใจเป็นเรื่องที่ไม่อาจดูหมิ่นดูแคลนกันได้ อย่างไรก็ตาม ยามที่น้ำใจไหลรวมมากเข้า มันก็กลายเป็นแหล่งผลประโยชน์ชั้นดีที่ส่งกลิ่นให้เหลือบไรเข้ามารุมสูบเลือดสูบเนื้อ

    โด่งดังที่สุดในขณะนี้ เห็นจะหนีไม่พ้นกรณีของ น้องอ้อม หญิงสาวพิการที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังแห้งตกสะเก็ดและมีเลือดไหลซึมตามแผลจนมีลักษณะคล้ายดักแด้ ที่ปรากฏข่าวว่าถูกอดีตนักร้องดัง นาธาน โอมาน ยืมเงินไปกว่าหนึ่งแสนบาท โดยอ้างว่านำไปใช้ในการดำเนินงานการกุศลที่เกี่ยวข้องกับผู้ประสบภัยสึนามิ ตั้งแต่เมื่อปี 2548 และไม่ได้ใช้คืนจนกระทั่งน้องอ้อมเสียชีวิต เรื่องมาปูดภายหลังเมื่อยายของน้องอ้อมออกมาแฉผ่านสื่อ ว่านักร้องผู้นี้ยังเคยมาหยิบยืมเงินของยายและน้องอ้อมอีกหลายต่อหลายครั้ง

    สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ พิธีกรรายการคนค้นฅน มองว่าเรื่องทำนองนี้ มันเป็นการเอาเปรียบของคนที่จ้องหาประโยชน์จากคนอื่นอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับว่าจะออกสื่อหรือไม่ เพียงแต่เมื่อมีคนรู้จักผ่านสื่อ มันจึงถูกรับรู้ได้ง่ายขึ้น

    “ถ้าถามกลไกการป้องกัน ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่สื่อสามารถทำได้ก็ทำได้แค่บอกกล่าว เตือน หรือหยิบยกกรณีขึ้นเป็นอุทาหรณ์ โดยเฉพาะเรื่องเงิน เรื่องจริตส่วนตัว พูดได้เลยว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่เราเข้าไปก้าวล่วงมากไม่ได้ แม้จะเป็นความปรารถนาดีก็ตาม เพราะจริตของคน ณ เวลาที่จะหยิบยื่นอะไรให้ใคร มันเป็นเรื่องที่เขายังไม่ได้เรียนรู้อนาคตว่าจริงหรือหลอก แล้วกับของที่สาธารณะมอบให้เขา มันกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของเขา เราจะไปชี้นำให้เขาทำอย่างโน้นอย่างนี้ สภาพจิตของเขาก่อนที่จะมีปัญหา ด้วยฐานเหตุปัจจัยอีกแบบหนึ่ง เขาอาจจะไม่เชื่อ เหมือนกับยังไม่เจอ เราไปบอกเขาก็ไม่เข้าใจหรอก”

    ทางด้าน มณัชยา รักพานิชแสง ผู้ควบคุมและดูแลการผลิตรายการ ‘วงเวียนชีวิต’ ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางนำเสนอความทุกข์ยากลำบากของผู้คนด้อยโอกาสในสังคมกล่าวว่า จริงๆ แล้วไม่มีใครสามารถไปเอาเงินจากคนที่เราให้ความช่วยเหลือได้ นอกจากว่าเจ้าตัวจะยินยอมเอง เพราะฉะนั้น ในเวลาที่ไปถ่ายทำรายการ เธอจะบอกกับผู้ที่ได้รับบริจาคเสมอว่า เงินนี้เป็นเงินที่ได้รับบริจาคมา และมันเป็นการต่อยอดชีวิตของคน8oนั้น ให้เขาเก็บรักษาไว้ให้ดี

    “เพราะหากเขาเก็บไว้ไม่ดี วันหนึ่งมันก็หมด แล้วไม่มีใครมาช่วยเหลือให้เรื่อยๆ ฉะนั้น ต้องเก็บรักษาและใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด บางทีเจ้าตัวอาจจะประมาทหรือลืมตัวไปสักนิด เพราะปกติเขาไม่เคยมีเงินเยอะ พอมีเงินเข้ามาก็อาจจะทำให้เขารู้สึกประมาทไป ด้วยความใจดีก็อาจรู้สึกว่าตรงนี้เพียงพอแล้ว ก็อาจแบ่งปันให้ ก็อาจจะโดนหลอกโดยไม่รู้ตัว มันก็พูดยาก”

    จากประสบการณ์นับตั้งแต่ทำรายการนี้มาหลายปี มณัชยาบอกว่า คนที่มักมาคอยสูบเงินบริจาคจากผู้ยากไร้ก็มักจะเป็นลูกหลานหรือญาติพี่น้องของเจ้าตัวนั่นเอง จากเดิมที่ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากลูกหลานเลย หรือถูกทอดทิ้งไม่มีคนเหลียวแล แต่พอออกรายการโทรทัศน์แล้วได้รับความช่วยเหลือ ลูกหลานเหล่านี้ก็จะกลับมาขอเงิน พ่อแม่ใจอ่อนก็จะให้ไปจนกระทั่งเงินหมด

    “เขาก็จะแจ้งมาทางเราอีกว่า เงินหมดแล้ว ซึ่งเราก็บอกว่าคราวนี้เราไม่สามารถที่จะช่วยได้อีก เพราะว่าตอนไปจะให้ทีมงานบอกทุกครั้งว่า ใช้เงินนี้ให้ดีที่สุด ใช้ให้คุ้มที่สุด เพราะว่ามันไม่ได้ได้มาง่ายๆ คือเราจะมีเงินกองทุนของเราให้ก้อนหนึ่ง แล้วก็จะมีเงินจากสภาสังคมสงเคราะห์ให้ ซึ่งเงินตรงนี้เราจะไปเปิดบัญชีให้เขา พอหลังจากออกอากาศแล้วจะมีผู้ชมทางบ้านแจ้งเข้ามา เราก็จะให้โอนเข้าบัญชีนี้ได้เลยโดยไม่ต้องมาผ่านทางเรา ตรงนี้เขาก็ต้องบริหารจัดการเอง แต่ถ้าเขาดูแลไม่ได้หรือว่าเขาเป็นคนพิการก็จะตั้งคณะกรรมการให้ประมาณสามคน ให้ช่วยดูแลแล้วก็ทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้” มณัชยากล่าว

    ถ้าจะมองว่าเหตุใด รายการทำนองนี้ จึงสามารถระดมเงินบริจาคได้มากมาย จนกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนทำร้ายผู้ด้อยโอกาสและสะท้อนความเลวร้ายของสังคม ผศ.ดร.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ อธิบายว่า รายการประเภทนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสารคดีแบบเรียลลิตี ซึ่งนำเสนอความจริงของสังคม และที่สำคัญพอดูแล้ว ก็รู้สึกว่ามันความเป็นจริงสูง เมื่อเทียบกับรายการประเภทอื่นอย่างเกมโชว์ หรือละคร ประกอบกับในปัจจุบันนี้ มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยนำเสนอ ทำให้รายการมีความน่าสนใจและสามารถดึงดูดผู้ชมได้มากขึ้น

    “ผมว่าเมื่อสังคมก้าวไปสู่ทุนนิยมมากขึ้นเท่าไหร่ รายการแบบนี้ก็จะเป็นมุมกลับที่สะท้อนให้เห็นความไม่เท่าเทียม หรือความด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งก็จะเป็นช่องให้เกิดการทำบุญหรือบริจาคช่วยเหลือผ่านทางรายการ เพราะฉะนั้นหากจะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้มันก็สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของความเจริญก้าวหน้าของสังคมไปได้อีกก้าวหนึ่งว่า ถึงเราจะมีความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจในสังคมเมือง แต่มันก็อาจจะมีผลกระทบบ้าง จนทำให้เกิดผู้เสียโอกาส ด้อยโอกาสขึ้น ซึ่งการนำเสนอผ่านทางรายการแบบนี้ ก็จะทำให้คนจำนวนหนึ่งหันกลับมามองความจริงในสังคมมากขึ้น”

    กรณีการรุมทึ้งหรือหลอกลวงเอาผลประโยชน์จากผู้ด้อยโอกาส บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องที่พูดยากและละเอียดอ่อนดังที่สุทธิพงษ์และมณัชยาว่าไว้ ครั้นจะเข้าไปยุ่งย่ามมากก็จะกลายเป็นที่ครหา ถึงที่สุด นี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้ได้รับบริจาคจะต้องเรียนรู้และเท่าทัน
    สำหรับคนที่ต้องทำหน้าที่เป็นสื่อกลางอย่าง มณัชยา บอกว่าบางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยใจกับการที่คนเรามีน้ำใจให้ความช่วยเหลือ แต่กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาขึ้นมาอีก

    “ก็คือมันห้ามไม่ได้สำหรับคนที่มีจิตใจเป็นกุศลที่ต้องการจะช่วย แล้วมันก็ห้ามไม่ได้กับคนที่มีกิเลสอยากจะไปเอาของเขา คือต้องบอกเขาเลยว่า คุณต้องรักษาเงินของคุณให้ดีๆ นะ เพราะโอกาสแบบนี้มันไม่ได้มาบ่อยๆ ที่จะมีคนมาช่วยเหลือ”

    อย่างไรก็ตาม สุทธิพงษ์เตือนว่า

    “เราต้องแยกมองคืออย่ามองว่าความเมตตา สงสาร เห็นใจ เป็นปัญหา จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ การค้ำจุน เกื้อกูล แบ่งปัน ถ้ามันอยู่ในความเป็นมนุษย์ มันเป็นตัวที่จะทำให้ไม่เกิดปัญหา เพราะทำให้คนไม่เบียดเบียนกัน ปัญหามันคือตัวเบียดเบียนต่างหาก ฉะนั้น เมื่อมีกรณีแบบนี้ เราไม่ควรเสียศรัทธาต่อความเมตตาหรือการแบ่งปัน”

    ..........

    ย้อนรอยโกง

    กรณีมิจฉาชีพหรือผู้ที่ตั้งใจเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากเงินบริจาคของผู้ที่เดือดร้อนและด้อยโอกาสในสังคมมีมานานแล้ว ซ้ำหลายครั้งยังเป็นคนใกล้ชิดหรือญาติสนิทที่ต้องมาขัดแย้งเพราะเรื่องเงินๆ ทองๆ เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแค่ไหน

    เริ่มต้นด้วยข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน กรณีของสองพี่น้องยอดกตัญญู เมย์-เหน่ง ขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋เลี้ยงแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และพ่อที่เป็นโรคติดสุราเรื้อรัง ภายหลังที่รายการ คนค้นฅน นำเทปนี้ออกอากาศ เมื่อปี 2546 ภายใต้ชื่อตอน ‘แม่ไม่ต้องร้องไห้’ ยอดบริจาคที่หลั่งไหลสู่เมย์-เหน่งสูงกว่าหนึ่งล้านสี่แสนบาท ได้กลายเป็นปมขัดแย้งระหว่างญาติ ครู และทางรายการที่ต้องการตรวจสอบการใช้เงินบริจาคที่เหมาะสมเพื่ออนาคตของเด็กทั้งสอง จนเป็นข่าวโด่งดังอยู่พักใหญ่

    หรือกรณีของ สุชิน พันธุ์แตง สาวพิการขาลีบที่ต้องเดินด้วยมือ ภายหลังจากรายการคนค้นฅนได้นำเสนอเรื่องราวชีวิตรันทดของเธอเมื่อปี 2548 หลังออกอากาศไปไม่นาน มีผู้ชมทางบ้านเห็นใจในความสู้ชีวิตของเธอ บริจาคเงินช่วยเหลือแก่สุชินยอดรวมทั้งสิ้นเกือบ 6 ล้านบาท แต่ก็ต้องมาถูกหลอกไปจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีที่แท้จริงซึ่งมีภรรยาอยู่แล้ว กว่าจะรู้เธอก็สูญเงินไปนับล้านจนสุชินเหลือเพียงเงินในบัญชีออมทรัพย์เพียง 250 บาท

    อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เรื่องของเด็กหญิง สไบทอง อิ่มกระจ่าง เด็กหญิงหัวใจทองคำ ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต ทำงานหนักเพียงลำพังหาเลี้ยงครอบครัว เพื่อดูแลแม่และตาที่สติไม่สมประกอบ กลายเป็นที่จับตามองและวิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมอย่างมาก เพราะกรณีนี้ ‘ญาติ’ ได้พยายามเข้ามามีบทบาทในการจัดสรรเงินบริจาคของเด็กหญิงสไบทองอย่างชัดเจนหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งทางรายการต้องแยกให้เด็กหญิงสไบทองไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่น เพื่อหนีห่างจากการรุมทึ้งของญาติพี่น้อง

    แม้กระทั่งบุคคลที่กลายเป็นสัญลักษณ์คู่รายการคนค้นคน อย่างปู่ เย็น แก้วมณี ผู้ล่วงลับ ก็ยังเคยถูกโจรใจบาปแอบฉกเงินที่ผู้ชมทางบ้านร่วมกันบริจาคช่วยเหลือร่วม 7 หมื่นบาทไปจากในเรือ ทำให้ต้องนำเงินที่เหลืออีกประมาณ 1 แสนบาทไปฝากธนาคาร เพราะหากเก็บไว้ในเรือจะถูกขโมยอีก

    เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้แล้ว จึงอาจกล่าวได้ว่าในแง่หนึ่งเงินบริจาคที่มีผู้ให้มาเพราะความสงสารนั้น บางครั้งก็กลายเป็นดาบสองคมย้อนกลับมาทำร้ายตัวผู้รับเองบ่อยครั้ง จะด้วยความโลภ ความเห็นแก่ได้ของคนที่อยู่รอบข้าง หรือความประมาท ไม่ระวังตัวของผู้ที่ได้รับเงินบริจาคนั้นก็ตาม

    ..........

    เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
    ภาพ : ทีมภาพ CLICK

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ช่วงเช้าไปทำบุญ,ไหว้พระ ที่ มูลนิธิร่วมกตัญญู

    ผมขอน้อมอุทิศ กุศลผลบุญ แก่กัลยาณมิตร ทุกท่าน ครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  20. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    เรียนท่านเลขาฯ
    ผมส่งรูปบาตรชุดเต็ม 4 ชุดไปให้แล้วนะครับ แสงไม่พออย่ากันนะครับ อากาศที่นี่แปรปรวนเมื่อวานบ่ายก็ฝนตกหนัก...





    ทราบข่าวว่า เมื่อวานสมาชิกบางคน หารพระบูชาไม่ลงตัวหรือครับ (แซวเล่น ขำๆนะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...