ยิ่งใหญ่สูงสุดเพียงไหน ก็ไม่พ้นนินทา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 6 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    "อตุละ ข้อนั้นเขาเคยประพฤติกันมาตั้งแต่โบราณทีเดียว, ชนทั้งหลายติเตียนทั้งคนนิ่ง ทั้งคนพูดมาก ทั้งคนพูดน้อยทีเดียว, ด้วยว่าผู้อันเขาพึงติเตียนอย่างเดียวเท่านั้น หรือว่าผู้อันเขาพึงสรรเสริญอย่างเดียวไม่มีเลย; แม้พระราชาทั้งหลาย คนบางพวกก็นินทา บางพวกก็สรรเสริญ, แผ่นดินใหญ่ก็ดี, พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ดี, ธาตุมีอากาศเป็นต้นก็ดี, คนบางพวกนินทา บางพวกสรรเสริญ, แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประทับนั่งแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท ๔ บางพวกนินทา บางพวกสรรเสริญ; ก็การนินทาและสรรเสริญของพวกอันธพาลไม่เป็นประมาณ (คือเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ควรใส่ใจ); แต่ผู้ที่ถูกบัณฑิตผู้มีปัญญาติเตียน จึงชื่อว่าเป็นอันติเตียน ผู้อันบัณฑิตสรรเสริญแล้ว ชื่อว่าเป็นอันสรรเสริญ

    อตุละ การนินทาและสรรเสริญนั่นเป็นของเก่า"
    (พระพุทธภาษิต)


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    "แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประทับนั่งแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท ๔ บางพวกนินทา บางพวกสรรเสริญ"

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    "แม้พระราชาทั้งหลาย คนบางพวกก็นินทา บางพวกก็สรรเสริญ" <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    "แผ่นดินใหญ่ก็ดี, พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ดี, ธาตุมีอากาศเป็นต้นก็ดี, คนบางพวกนินทา บางพวกสรรเสริญ" <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ก็เมื่อการ"นินทา"เป็นสิ่งที่ใครๆ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่สูงสุดเพียงไหนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้วดังนี้ หากรู้ชัดว่า"ดีจริง" ตามธรรมและคิดจะ"ทำดีให้จริงๆ"เพื่อประโยชน์ตนและส่วนรวมให้ถึงขีดสุดแล้ว ก็จะต้องไปเกรงกริ่งกับคำนินทาว่าร้ายของคนพาลให้เสียการใหญ่ไปไย

    ที่สุด แม้พระพุทธองค์ก็ยังทรงภาษิตถึงกรณีนี้ไว้เลยทีเดียวว่า
    "การนินทาและสรรเสริญของพวกอันธพาล ไม่(ถือ)เป็นประมาณ (เป็นเรื่องเล็กน้อย, ไม่ควรค่าแก่การให้ราคาหรือใส่ใจไยดีใดๆ)"

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    คนชั้น"สามัญชน"จำนวนมาก เมื่อถูก"นินทา"มากระทบนิดๆหน่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดด้วยสาเหตุอันใด ก็ย่อมจะจิตตกเสียใจหรือโกรธแค้นไป 108 1009 นานาประการ

    บ้างก็ถึงขนาดน้อยอกน้อยใจที่จะเลิก"ทำดี" แล้วหันไป "ทำชั่ว"แทนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ก็มีมิใช่น้อย

    เพราะคิดเอาเองว่า เรื่องที่ตนเองประสพนั้น "หนักหนาสาหัส"เกินไปเป็นนักแล้ว

    แต่หารู้ไม่ว่า "ผู้ยิ่งใหญ่"หรือ"ผู้สูงสุด"ทั้งหลายในประวัติศาสตร์ ที่เพียบพร้อมไปด้วยอำนาจและยศศักดิ์ทรัพย์บารมีอันสูงยิ่ง ต่างก็ล้วนแต่ได้เจอะเจอกับ"นินทา"มาอย่างสาหัสยิ่งกว่าจนเทียบกันมิได้สักเพียงไหน..???

    และท่านเหล่านั้น ก้าวล่วง"นินทา"จนขึ้นมายิ่งใหญ่เหนือดินเหนือฟ้า อันประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ด้วยความชื่นชมยกย่องตลอดไปด้วยอาการเช่นใด นับเป็นกรณีศึกษาที่น่าพินิจพิเคราะห์เป็นอย่างยิ่ง

    อาศัยเหตุตรงนี้ จะได้รวบรวมเอากรณีของบุคคลชั้นนำในประวัติศาสตร์ที่ถูก"นินทา"มาทยอยนำเสนอตามโอกาสอันควรเพื่อเป็นความรู้รอบตัวและเป็นคติเตือนใจสืบต่อไป

    แล้วบางคนก็อาจจะฉุกใจคิดพร้อมกับยิ้มออกมาทั้งน้ำตา(เพราะถูกนินทา)ก็ได้ว่า

    "เมื่อเทียบกับท่านเหล่านั้นแล้ว เรื่องของเรานั้น ช่างจิ๊บๆชิลด์ๆกระจอกๆอย่างสุดๆจริงๆ
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    "เมื่อพระพุทธเจ้าถูกด่า"

    ครั้งหนึ่ง ณ แคว้นปัญจาละที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นโกศล มีกรุงโกสัมพีเป็นเมืองหลวง เมื่อพระพุทธองค์เข้าไปในเมือง ทรงถูกเหล่าชนมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งได้รับสินจ้างจากพระนางมาคันทิยาผู้ผูกอาฆาตในพระพุทธองค์ ติดตามด่าประจานเฉพาะพระพักตร์(ต่อหน้า) ด้วยถ้อยคำชั้นต่ำ หยาบช้า ไม่ใช่ผู้ดีในทุกที่ทุกแห่งที่เสด็จไป จนท่านพระอานนท์ทนฟังไม่ไหว ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่าควรจะเสด็จหนีไปเมืองอื่นเสีย

    มูลเหตุที่นางมาคันทิยาผูกอาฆาตพระพุทธเจ้า เกิดจากเมื่อตอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปโปรดแสดงธรรมแก่บิดาและมารดาของนางมาคันทิยา(ตอนนั้นยังเป็นเด็กรุ่น) เมื่อบิดามารดาของนางคันทิยาเห็นพระสิริโฉมอันหล่อเหลางดงามที่สุดของพระพุทธเจ้า ก็ถูกอกถูกใจนักหนา จึงประสงค์จะยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของพระพุทธองค์ แต่พระพุทธเจ้ากลับตรัสตอบว่า

    พราหมณ์....เมื่อได้เห็นนางตัณหา นางราคา และนางอรดี ซึ่งทรงความงามเหนือสามโลก เราก็หาพอใจแต่น้อยไม่ ก็ทำไมเล่าเราจะพอใจในสรีระแห่งธิดาของท่านซึ่งเต็มไปด้วยมูตรและคูถ พราหมณ์เอย อย่าว่าแต่จะให้แตะต้องด้วยมือเลย เราไม่ปรารถนาจะแตะต้องธิดาของท่านแม้ด้วยเท้าหรอกนะ

    พระดำรัสตอนสุดท้ายของพระผู้มีพระภาคนี้ เป็นเสมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงบนใบหน้าของบุตรีพราหมณ์ นางรู้สึกร้อนผ่านไปหมดทั้งร่าง

    สำหรับสตรีสาว อะไรจะเป็นเรื่องเจ็บปวดยิ่งไปกว่าการเสนอตัวให้ชาย แล้วถูกเขาเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดี ดังนั้นนัยน์ตาซึ่งเคยหวานเยิ้มของนาง จึงถูกเคี่ยวให้เหือดแห้งไปด้วยไฟโทสะใบหน้าซึ่งเคยถูกชมว่างามเหมือนจันทร์เพ็ญนั้น บัดนี้ได้ถูกเมฆคือความโกรธเคลื่อนเข้ามาบดบังเสียแล้ว

    นางผูกใจเจ็บในพระศาสดาสุดประมาณพระตถาคตเจ้าสังเกตเห็นกิริยาอาการของนางโดยตลอดแต่หาสนพระทัยอันใดไม่ ทรงแสดงอนุปุพพิกถา พรรณนาถึงเรื่องทาน ศีล ผลแห่งทาน ศีล โทษของกาม และอานิสงส์แห่งการหลีกเร้นออกจากกาม ที่เรียกว่า เนกขัมมะ ฟอกอัธยาศัยแห่งพราหมณ์และพราหมณี จนทรงเห็นว่ามีจิตอ่อน ควรแก่พระธรรม เทศนา ชั้นสูง แล้วพระผู้มีพระภาคก็ทรงประกาศ สามุกกังสิกาธรรมเทศนา คือ อริยสัจ ๔ ประหนึ่งช่างย้อมผู้ฉลาด ฟอกผ้าให้สะอาดแล้วนำมาย้อมสีที่ตนต้องการ

    พระธรรมเทศนา จบลงด้วยการสำเร็จมรรคผลของพราหมณ์และพราหมณี พระพุทธองค์เสด็จลุกจากอาสนะ ทิ้งมาคันทิยคามไว้เบื้องหลัง มุ่งสู่ชนบทอื่นเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ต่อไป

    ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด ในการที่จะแก้แค้นพระศาสดา เครื่องมือในการใช้ความพยายามของนางมีอย่างเดียวคือความงาม เมื่อมีความพยายาม ความสำเร็จยอมตามมาเสมอและในความพยายามนั้น ถ้าจังหวะดีก็จะทำให้สำเร็จเร็วขึ้นดังนั้นต่อมาไม่ช้านัก นางได้เป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนแห่งโกสัมพี โดยวิธีใดไม่แจ้ง นับว่าได้เป็นใหญ่เป็นโตพอที่จะหาทางแก้แค้นพระศาสดาได้โดยสะดวก ดังนั้นเมื่อนางทราบว่า พระตถาคตเจ้าเสด็จมาโกสัมพี นางจึงยินดียิ่งนัก จึงจ้างบริวารของนางบ้าง ทาสและกรรมกรบ้าง ให้เที่ยวติตตามต่าพระศาสดาทุกมุมเมือง ทุกหนทุกแห่งที่พระองค์ทรงเหยียบย่างไป ด้วยวัตถุเป็นเครื่องบริภาษ 10 ประการ ซึ่งถือว่า หยาบคาย บาดหูอย่างรุนแรงที่สุดในยุคสมัยนั้น คือ “เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นบ้า เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นวัว เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติของเจ้าไม่มี และเจ้าหวังได้ทุคติอย่างเดียว..ฯลฯ”

    แม้พระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบแล้วจะไม่ทรงรู้สึกหวั่นไหวไปตามคำด่าคำว่าของคนทั้งหลาย แต่พระอานนท์กลับทนมิได้ จึงกราบทูลแนะนำไปว่า

    “พระองค์ผู้เจริญ อย่าอยู่เลยที่นี่ คนเขาด่ามากเหลือเกิน”
    จะไปไหน อานนท์ พระศาสดาตรัส
    “ไปเมืองอื่นเถิดพระเจ้าข้า สาวัตถี ราชคฤห์ สาเกต หรือเมืองไหนๆ ก็ได้ ที่ไม่ใช่โกสัมพี”
    ถ้าเขาด่าเราที่นั่นอีก?
    “ก็ไปเมืองอื่นอีก พระเจ้าข้า”
    ถ้าที่เมืองนั้นเขาด่าเราอีก?
    “ไปต่อไป พระเจ้าข้า”
    “อย่าเลย อานนท์ เธออย่าพอใจให้ตถาคตทำอย่างนั้นถ้าจะต้องทำอย่างเธอว่า เราจะไม่มีแผ่นดินอยู่
    มนุษย์เราอยู่ที่ไหนจะไม่ให้มีคนรักคนชังนั้น เห็นจะไม่ไดเรื่องเกิดขึ้นที่ใดควรให้ระงับลง ณ ที่นั่นเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป อานนท์ เรื่องที่เกิดขึ้นแก่ตถาคตนั้นจะไม่ยืดยาวเกิน ๗ วัน คือจะต้องระงับลงภายใน ๗ วันเท่านั้น..."
    แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสต่อไปว่า

    "อานนท์...เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง ๔ เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว คอยแส่หาแต่โทษของผู้อื่น เธอจงดูเถิด...พระราชาทั้งหลายย่อมทรงราชพาหนะตัวที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ชุมนุมชน เป็นสัตว์ที่ออกชุมนุมชนได้ อานนท์เอยในหมู่มนุษย์นี้ ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับฝึกแล้ว จัดเป็นสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่คนที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น"

    ดูก่อน อานนท์ ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกัน เพราะเห็นว่าพอสู้กันได้(ยังถือว่าธรรมดาๆ) แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด
    ผู้มีความอดทน มีเมตตา ยอมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้ คุณธรรมทั้งมวล มีศีล สมาธิ เป็นต้น ยอมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น

    ในที่สุด ทาสและกรรมกรที่พระนางมาคันทิยาว่าจ้างมาด่าพระมหาสมณะก็เลิกราไปเอง เพราะเขาทั้งหลายรู้สึกว่าเขากำลังด่าเสาศิลาแท่งทึบ ซึ่งไม่หวั่นไหวเลยความพยายามของพระนางมาคันทิยาเป็นอันล้มเหลวอาวุโส..พระศาสดาเคยตรัสไว้ว่า

    ภูเขาศิลาล้วนยอมไม่หวั่นไหวด้วยลมจากทิศทั้ง ๔ ฉันใด บัณฑิตยอมไม่หวั่นไหว เพราะด่านินทาและคำสรรเสริญฉันนั้น

    และที่สุด ผลกรรมก็ตามทันพระนางมาคันทิยาอย่างสาสมที่สุด ภายหลังจากที่พระนางมาคันทิยากลั่นแกล้งพระศาสดาไม่สมประสงค์ก็หันมาริษยาหาโทษให้พระนางสามาวดี พระนางถูกกล่าวหาหลายเรื่องจนพระเจ้าอุเทนทรงเชื่อ และจะประหารชีวิตพระนางสามาวดี แต่พระองค์ทรงทราบข้อเท็จจริงภายหลัง จึงสั่งประหารชีวิตพระนางมาคันทิยาพร้อมทั้งบริวารและญาติ ด้วยวิธีที่ทารุณอย่างยิ่ง นั่นก็คือการขุดหลุมฝังพระนางมาคันทิยาพร้อมด้วยบริวารผู้สมคบคิดแล้วเผาทั้งเป็นก่อนที่จะใช้ไถคราดจนอวัยวะทั้งปวงขาดกระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างน่าสยดสยองที่สุด พระนางมาคันทิยาจึงจบชีวิตลงด้วยกรรมที่พระนางก่อขึ้นเองด้วยอาการดังนี้
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บุคคลผู้เข้มแข็งที่สุดในโลก

    ครั้งหนึ่ง ท่านพระอานนท์ พุทธอุปฐากผู้มีความจำเป็นเลิศได้มีพระปุจฉาต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐว่า

    “ ข้าแด่องค์พระบรมครูผู้ประเสริฐ ในโลกนี้มีผู้ใดกันเล่าได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุด ? ใช่คนที่มีอำนาจในแผ่นดินเฉกเช่นพระมหาจักรพรรดิ์ใช่หรือไม่ หรือเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมายมหาศาลเป็นอัครมหาเศรษฐี หรือ เป็นบุคคลผู้มีคุณธรรมสูงส่งล้ำเลิศ ขอพระองค์ทรงเมตตาวิสัชชนาด้วยเถิด? “
    พระบรมศาสดาทรงมีพระวิสัชชนาว่า

    “ ดูก่อนอานนท์ มิใช่บุคคลทั้งสามประเภทนี้ดอก บุคคลผู้เข้มแข็งที่สุดไม่ว่าในโลกนี้หรือกระทั่งในอเวจีอันมืดมิด คือ ผู้ที่สามารถอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามดูแคลนจากทั้งผู้อื่น ญาติมิตร แล คนรัก ได้โดยมิได้ตอบโต้แม้สักคำพูด แลการกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหยามเหยียดดูแคลนอันเกิดจากความเข้าใจผิดหรือไม่เป็นเรื่องจริง บุคคลเยี่ยงนี้จึ่งได้ชื่อว่า เป็นบุคคลผู้มีความเข้มแข็งที่สุดทั้งในโลกนี้แลกระทั่งในอเวจีอันมืดมิดนิรันด์กาล ”

    ตอนหนึ่งจากหนังสือแปลเรื่อง “ เคนอิจิโร่ “

     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เมื่อบูเช็คเทียนถูกด่าประจานทั่วแผ่นดิน

    <TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ธรรมดาในโลกประการหนึ่งก็คือ เมื่อคนเราไม่ชอบกัน หรือผลประโยชน์ขัดกัน ก็ย่อมต้องเกลียดต้องชังต้องหาทางทำร้ายทำลายกันเป็นปกติธรรมดา

    อย่างเบาที่สุด ก็คือการ"ด่าทอ"หรือ"ใส่ร้ายป้ายสี"กันและกันเป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งปรากฏให้ได้รู้ได้เห็นทุกยุคทุกสมัย

    แม้ผู้ที่ทรงอิสริยยศและอำนาจสูงสุด ก็ไม่มีข้อยกเว้นหรือรอดพ้นจากโลกธรรมข้อนี้แต่ประการใดทั้งสิ้นได้

    แม้แต่"พระนางหวู่เจ๋อเทียน"(บูเช็คเทียน) ฮ่องเต้หญิงองค์แรกและองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

    การที่พระนางเป็น"หญิง" แต่อาจหาญกระทำการเสมอ"ชาย" ย่อมได้รับการต่อต้านและแรงเสียดทานรุนแรงกว่าปกติธรรมดา

    ยิ่งในยุคพันกว่าปีก่อน ที่ประเพณีจีนโบราณมีนโยบายกดเพศหญิงให้ต่ำเตี้ยติดดินเหมือนฝุ่นผงมากที่สุด การขึ้นมากุมอำนาจสูงสุดของพระนางบูเช็คเทียนดุจบุรุษเพศ ย่อมเป็นที่ขัดหูขัดตาและไม่สบอารมณ์ผู้ชายที่เป็นเชื้อพระวงศ์และข้าราชสำนักทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

    หนึ่งในนั้นคือ"หลี่จิ้งเย่"ซึ่งเป็นหลานชายของหลี่จี๋ พระสหายของถังไท่จงฮ่องเต้ ซึ่งได้ก่อกบถในการต่อมา เมื่อพระนางฤทธิ์เทียมฟ้าบูเหม่ยเหนียงออกว่าราชการหน้าม่าน ภายหลังที่พระเจ้าถังเกาจงสวรรคตได้ไม่นาน

    หลี่จิ้งเย่และเหล่าข้าราชการที่เสียผลประโยชน์เพราะผิดหวังในตำแหน่งได้รวมหัวกันก่อกบถ และได้ทำหนังสือด่าประจานพระนางบูเช็คเทียนส่งไปทั่วแผ่นดิน ด้วยคำด่าใส่ร้ายอย่างรุนแรงและไม่มีการคำนึงถึงความจริงความเท็จใดๆทั้งสิ้น ความว่า

    "นางบูเหม่ยเหนียงซึ่งออกว่าราชการโดยพลการ อุปนิสัยแข็งกระด้าง ชาติกำเนิดก็ต่ำต้อย เดิมเป็นนางกำนัลชั้นต่ำในพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ ปฏิบัติพระองค์ยังห้องพระบรรทม แต่มิได้คำนึงถึงศีลธรรม คบชู้สู่ชาย ปิดบังถังไท่จงฮ่องเต้ ลักลอบได้เสียกับคนรุ่นลูก เมื่อเข้าวัง ก็อิจฉาริษยา ไม่ยอมเห็นใครได้ดี ใช้เสน่ห์ยั่วยวนฮ่องเต้จนหลงใหลแล้วประทุษร้ายองค์ฮองเฮา ให้องค์ฮ่องเต้หมกมุ่นแต่กามารมณ์ เป็นนางแพศยาที่ดุร้ายดุจอสรพิษและสุนัขป่า ใส่ร้ายสังหารขุนนางที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน สังหารพี่สาวและพี่ชาย ลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้และวางยาพิษมารดาตนเอง เทพยดาฟ้าดินและคนทั้งปวงล้วนชิงชิงเคืองแค้นไปสิ้น

    บัดนี้ นางคิดกำเริบเสิบสาน คิดชิงราชสมบัติ จึงจับราชโอรสไปขังไว้ ส่งเสริมญาติพี่น้องตระกูลโจรของตนให้รับตำแหน่งสำคัญๆในราชการ เมื่อเหตุการณ์เลวร้ายลงเช่นนี้ เราหลี่จิ้งเย่สืบตระกูลขุนนางซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อราชวงศ์ถัง ได้รับพระมหากรุณาจากฮ่องเต้หลายพระองค์ต่อเนื่องกันมา สุดที่จะลืมได้ จำต้องชูธงแห่งคุณธรรมขึ้นมา เพื่อขจัดมารร้ายแก่แผ่นดิน

    เรารวบรวมกำลังได้ใหญ่หลวง มีอาณาเขตอันกว้างใหญ่ ผู้ใดขัดขวางเรา จักต้องถูกลงโทษถึงตาย..."


    เมื่อประกาศนี้ได้แพร่เข้าไปในเมืองลั่วหยาง และตกไปถึงมือของพระนางบูฮองไทเฮาในที่สุด เมื่อบูเหม่ยเหนียงฮองไทเฮาได้อ่านประกาศด่านี้แล้ว แทนที่จะทรงพิโรธ กลับทรงพระสรวลแล้วถามว่า

    "ผู้เขียนประกาศนี้ มันเป็นผู้ใด.???"

    "เป็นเลาะปินอ๋อง หลินไห่เฉิน" ขุนนางกราบทูล

    ด้วยความที่ทรงโปรดคนที่เก่งกล้าสามารถทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋น แม้จะอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามหรือเป็นอริกันก็ตาม พระนางบูเช็คเทียนจึงกล่าวกับขุนนางทั้งหลายอย่างคาดไม่ถึงทีเดียวว่า

    "ผู้มีความรู้ปราดเปรื่องเยี่ยงนี้ เหตุไฉนพวกท่านจึงมิได้พบพาน และนำตัวมาช่วยราชการเราหนอ ช่างน่าเสียดายความรู้ความสามารถของเขายิ่งนัก.!?!"

     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หาเรื่องได้แม้ดอกไม้..!

    และเพราะเหตุที่เป็นสตรีเพศ พระนางอู่เจ๋อเทียนถึงถูกนักประวัติศาสตร์ที่เป็นบุรุษเพศนิยมสุดขั้วหาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีได้แทบทุกช็อตทุกเม็ด ตลอดระยะเวลาเป็นพันๆปีที่ผ่านมา....

    ใส่ความแม้กระทั่งว่า พระนางบูทรง"พาลหาเรื่องได้แม้กระทั่งกับดอกไม้"ถึงแก่เนรเทศไปต่างเมืองเพราะไม่บานตามพระทัยก็เคยมี..!!!???
    แต่เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง พระนางบูเช็คเทียนเกิดพระอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดี นัยว่า ทรงได้ข่าวมีผู้คิด
    "โตทางลัด"ริอ่านจะปฏิวัติรัฐประหารอีกแล้ว จึงทรงคิดจะสำแดงเดชานุภาพให้ปรากฏ เลยหาอุบายเสด็จประพาสอุทยานหลวง แต่ยามนั้น เป็นฤดูหนาว หิมะตกหนัก ไฉนเลยจักมีดอกไม้ใดผลิดอกออกช่อได้ จึงทรงแต่งกลอนขึ้นมาทีเดียวว่า

    "หมิงจ่าวโหยวซ่างหยวน
    หั่วซู่เป้าชุนจือ
    ฮวาซุยเหลียนเย่ฟะ

    โม่ต้ายเสี่ยวเฟิงชุย"

    ซึ่งก็แปลได้ความอย่างอนุรักษ์ที่สุดว่า
    "พรุ่งนี้ไปชมสวน
    ด่วนแจ้งวสันตกาล
    ดอกไม้ให้รีบบาน

    อย่าคร้านคอยลมโชย"

    แต่เมื่อทรงแต่งกลอนเสร็จ ก็มีรับสั่งให้ขันทีและนางพระกำนัลเร่งก่อกองไฟต้มน้ำให้ไอน้ำเดือดไปอังยังดอกไม้ที่ยังตูมอยู่ทั้งหมด ด้วยเหตุที่ทรงมีความรู้ทรงการเกษตรเป็นอย่างดี พอวันรุ่ง ก็สั่งให้ประชุมขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในอุทยานหลวงทั้งหมดเพื่อให้ชื่นชมพระบารมีที่อาจสามารถสั่งดอกไม้ให้บานผิดฤดูก็ย่อมได้ในทันที (จะได้เลิกคิดทำรสช,คมช,ปฏว.,รปห.,ฯลฯ) ก็เมื่อถึงเวลาจริง ขุนนางทั้งสิ้นก็ตาตื่นตาโตที่ดอกไม้ทั้งหมดในอุทยานต่างบานสะพรั่งผิดฤดูกาล พลางได้ชื่นชมยอมรับในบุญญาธิการของพระนางเป็นที่ยิ่ง

    ส่วนผู้ที่คิดก่อการอันเป็นทุรยศเห็นพระนางบูทำให้ดอกไม้บานผิดฤดูได้เช่นนั้น ต่างก็รีบพับแผนการลงลิ้นชักแทบไม่ทัน เพราะเกรงว่าจะสู้พระบารมีของพระนางไม่ได้ ดีไม่ดี ก็อาจจะถึงแก่กรรมด้วยอาการไม่ครบ 32 ก็เป็นไปได้สูงอย่างยิ่งอีกต่างหากด้วย!!!

    แต่ในคราวนั้น
    ยังมีดอกไม้ชนิดหนึ่ง คือดอกโบตั๋นกลับไม่บานเหมือนกับดอกไม้อื่นๆในอุทยาน พระนางบูเช็คเทียนก็ทรงให้นำไปศึกษาที่เมืองลั่วหยางว่า เป็นเพราะเหตุอันใดตามพระนิสัยที่ทรงรอบรู้ทางด้านการเกษตร ถึงกับเคยทรงนิพนธ์คู่มือตำราการเกษตรแผนใหม่"จ้าวเหยินเปิ่นเยียะจี้"แจกแก่เกษตรกรและข้าราชการทั่วแผ่นดินให้ไปศึกษาให้ดี เพื่อให้ได้ผลิตผลที่สูงสุด แต่นักประวัติศาสตร์รุ่นโบราณ ทั้งที่เป็น"ป้อจาย"แท้ๆ แต่ก็ได้ช่องบิดพู่กันใส่ความพระนางอู่จ้าวกันเซ็งแซ่ในทันทีทีเดียวว่า

    "บูเช็คเทียนกริ้วดอกโบตั๋นที่ไม่ยอมบานตามรับสั่ง เลยเนรเทศไปอยู่เมืองลั่วหยาง"มันเสียเลย..!!!!!

    ดู่ดู๊ดู ดูเขาทำ...........

    ช่างเป็นไปได้เน๊าะ...!?!?


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    แม้นี้ ก็คือการ"ปล่อยไก่"ตัวมหึมาของนักประวัติศาสตร์ที่"รังแกผู้หญิง"ด้วยใส่ความบูเม่ยเหนียงได้"ไม่เนียน"ให้คนรุ่นหลังจับไต๋และหัวเราะขบขันจนแทบดิ้นเห็นปานนั้นได้

    เพราะคงจะริษยาสตรีเพศจนหน้ามืดลืมนึกไปกระมังว่า เมืองลั่วหยางนี้ เป็นเมืองที่พระนางบูทรงโปรดปรานที่สุดเมืองหนึ่ง โดยได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ประทับอยู่ที่เมืองนี้

    ไม่ใช่นครฉางอานแต่อย่างไร

    แม้ตอนที่ขึ้นเถลิงราชย์เป็นฮ่องเต้หญิงองค์แรกและองค์เดียวในประวัติศาสตร์ ก็ทรงเลือกเมืองลั่วหยางนี่แหละเป็นเมืองหลวงแห่งราชวงศ์โจวอีกด้วย
    การที่พระนางบูเช็คเทียนให้นำดอกโบตั๋นไปลั่วหยาง ก็หมายที่จะศึกษาธรรมชาติของดอกไม้ชนิดนี้ให้ถ่องแท้ และทรงหาทางฟูมฟักจนพัฒนาสายพันธุ์ดอกโบตั๋นลั่วหยางนี้มีความสวยงามกว่าที่เมืองอื่นๆทั้งหมด ดังมีคำชมกันติดปากไปทั่วว่า

    "ลั่วหยางโหม่วตานเทียนเซี่ยตี้ยิ"

    ซึ่งแปลว่า

    "โบตั๋นลั่วหยางที่หนึ่งในแผ่นดิน..!!!!!"

    พวกนักประวัติศาสตร์แต่ก่อนช่างหาเรื่องบูเช็คเทียนได้แทบทุกเรื่อง ขนาดทำคุณให้ทางการเกษตรแท้ๆ ยังหาว่าพระนางใจร้ายถึงขนาดสั่งลงโทษเนรเทศดอกไม้ลงคอได้ฯ


    ที่สุด แม้แต่การเร่งความเจริญเติมโตให้ดอกไม้ด้วยการให้ไออุ่นหรือความร้อนแก่ดอกไม้จนบานสะพรั่งผิดฤดูกาลของพระนางบูนั้น ต่อมาเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า

    "ฮงฮวา" แปลตรงตัวก็คือ การให้ความร้อนแก่ดอกไม้ และมีอีกชื่อหนึ่งว่า
    "ถางฮวา" คือการเร่งให้ดอกไม้บานแบบราชวงศ์ถัง

    เรียกว่า นอกจากจะใส่ร้ายป้ายสีแล้ว ก็ยังมีการกีดกันกันอย่างสุดฤทธิ์ โดยยกประโยชน์ในการนี้ให้ราชวงศ์ถังแทนที่จะเป็นพระนางบูเช็คเทียนต้นตำรับเอาเสียดื้อๆอย่างนั่นแหละ

    ก็ขนาด"คนเหนือคน"ยังโดน"โลกธรรม"ถึงขนาดนี้ แล้วชาวบ้านอย่างเราท่านทั้งหลายจะไปเหลือไปพ้นอะไรได้เล่า..?????
    เอวํ...............................


    www.gmwebsite.com

     
  9. nunattja

    nunattja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +1,035
    เห็นด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นคนระดับไหน จะหลีกเลี่ยงการถูกเอาไปพูดถึงนั้นหายาก
     
  10. jarung18

    jarung18 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2008
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +655
    สนุกจัง ครับ
     
  11. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
  12. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    สาธุ กรรมที่กระทำย่อมสะท้อนกลับต่อผู้กระทำนั้นเองแล มีคนหลายหลากมากเหลือที่มักนอนจมอยู่กับความคิดอันบาดใจตน ทั้งๆที่บางครั้งความคิดนั้นมันมาจากจิตที่คิดไปเอง คนใจแคบมักมองโลกเพียงด้านเดียว คนใจกว้างมักมองโลกทุกๆด้าน เพื่อให้ทราบถึงภาวะแห่งความจริงแท้ ส่วนผู้มีธรรมย่อมเข้าใจโลกอย่างถ่องแท้ ไม่ว่าจะมืดหรือสว่าง ย่อมรับได้โดยทั้งสิ้น ไม่มีคำว่า ทำมัย ทำมัย ทำมัย หรือ คำว่า น่าจะ น่าจะ น่าจะ ทุกๆสิ่งที่เกิดมันมาแต่เหตุของสิ่งนั้นแล้ว หากมัวมาแต่เหลียวแลในสิ่งไร้สาระ ไม่หัดตนให้พ้นจากภัยร้ายเสียเอง แล้วจะพ้นสังสารวัฏอันร้อนนี้ได้เมื่อไหร่กันหรือ

    บางครั้ง ธรรมะอาจจะเป็นคำเสียดสี เนื่องจากว่าธรรมะนั้นออกมาจากจิตของผู้หลงผิดคิดการอันชั่วช้า

    บางครั้ง คำตำหนิดุด่า อาจเป็นดั่งยามโหสถอันมีฤทธิ์ช่วยรักษาโรคอันร้ายแรงได้อย่างชงัดนักแล

    ธรรมบริสุทธิ์เมื่อจิตบริสุทธิ์ ธรรมไม่บริสุทธิ์เพราะจิตไม่บริสุทธิ์ จงระวังใจตนเถิด สาธุ ขออนุโมทนาด้วยใจ
     
  13. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    อนุโมทนาค่ะ
    โลกธรรม 8....เป็นธรรมคู่โลก
     
  14. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุบุญ

    เวลาเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ทุกคนได้รับเสมอกัน

    ไม่มีใครได้เปรียบ หรือเสียเปรียบกันเลย

    แม้แต่คนเดียว แต่ใครเล่าจะใช้เวลาในแต่ละวินาที

    อย่างมีค่า และคุ้มค่ากว่ากัน...นี่แหล่ะเป็นเรื่องน่าคิด
    (หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน)
     
  15. PandaBear

    PandaBear สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +7
    บางครั้ง ธรรมะอาจจะเป็นคำเสียดสี เนื่องจากว่าธรรมะนั้นออกมาจากจิตของผู้หลงผิดคิดการอันชั่วช้า

    บางครั้ง คำตำหนิดุด่า อาจเป็นดั่งยามโหสถอันมีฤทธิ์ช่วยรักษาโรคอันร้ายแรงได้อย่างชงัดนักแล

    ธรรมบริสุทธิ์เมื่อจิตบริสุทธิ์ ธรรมไม่บริสุทธิ์เพราะจิตไม่บริสุทธิ์ จงระวังใจตนเถิด สาธุ ขออนุโมทนาด้วยใจ
     
  16. PandaBear

    PandaBear สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +7
    เวลาเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ทุกคนได้รับเสมอกัน

    ไม่มีใครได้เปรียบ หรือเสียเปรียบกันเลย

    แม้แต่คนเดียว แต่ใครเล่าจะใช้เวลาในแต่ละวินาที

    อย่างมีค่า และคุ้มค่ากว่ากัน...นี่แหล่ะเป็นเรื่องน่าคิด
    (หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน)
     
  17. hidrolite

    hidrolite Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +62
    โดนคะ เรื่องจริงสุดๆ
     
  18. หงษ์

    หงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +821
    ร่วมอนุโมทนากับกระทู้นี้อย่างสูงเจ้าค่ะ ดีมากๆเลยค่ะ (y)(smile)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 49.jpg
      49.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.8 KB
      เปิดดู:
      35
    • soung50.jpg
      soung50.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.9 KB
      เปิดดู:
      42

แชร์หน้านี้

Loading...