รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ choosake ครับ

    อนุโมทนา จ้า
    เราควรจะฝึก แบบเดิมๆ ซ้ำๆ วนไปวนมาเรื่อย ๆหรือควรจะหาสิ่งใหม่ๆบาง
    รบกวนแนะนำด้วยครับ

    ฝึกของเดิมจนคล่อง และไม่ทิ้งของเดิม คล่องจนสามารถเข้าได้ตลอดเวลาที่ต้องการ นึกปุ้ปได้ปั้ป

    และฝึกของใหม่เพิ่มเข้าไปด้วย

    1.ของเดิมไม่ทิ้ง ทรงได้ ทำได้ จนวันตาย ทำได้ทุกภพชาติไป
    2.ฝึกของใหม่เพิ่ม จนแตกฉาน ทรงได้คล่องเหมือนของเก่าที่เราทำได้แล้ว
    3.ในแต่ละกรรมฐานมีอารมณ์ที่ละเอียดประณีต และแตกต่างกัน


    1.จับลมหายใจ เราเน้นตัวลมหยุด ตัวนิ่ง จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง ปราศจากความคิด
    จิตหยุด ไม่ซัดส่าย ตั้งมั่น นิ่ง แต่ลอยอยู่เบาๆ ไม่มีอาการหนัก ไม่มีอาการกดทับ ลอยนิ่ง สบายๆ เบาๆ

    2.เมตตาอัปปมาณฌาณ เราเน้น อารมณ์ชุ่มเย็น เบาสบาย อิ่มเอิบ อิ่มใจ ชุ่มเย็น แผ่ออกไปยังทั้งจักรวาล ยังทั้สังสารวัฏ ยิ่งแผ่ยิ่งเย็น ยิ่งแผ่ยิ่ง ใจแย้มยิ้ม

    3.ภาพพระเป็นเพชร ภาพพระใส สว่าง ประกายระยิบระยับ มีฉัพพรรณรังสี
    พระท่านแย้มยิ้ม ต้องเห็นพระท่านยิ้มชัดเจน
    จิตมีความนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าสุดขั้วหัวใจ ไม่มีสรณะใดที่เราจะเทิดทูนยิ่งกว่า
    น้อมยกพระบาทของพระองค์ไว้เหนือเศียรเราได้ทุกเมื่อ

    4.กสิณ 10 มีความคล่องแคล่ว เข้าออกได้ทุกเมื่อ สลับกสิณ สลับฌาณได้ดั่งใจนึกในทันที
    กสิณแต่ละกองมีอารมณ์ต่างกัน เช่น ไฟมีความร้อน นึกว่ากายทิพย์เราเข้าไปสัมผัสได้ถึงความร้อน
    น้ำมีความเย็น มีอาการเหลวของน้ำ กายทิพย์เราสัมผัสได้ถึงความเย็น เหลว

    5.อรูป จิตมีอารมณ์ว่าง โปร่งโล่ง เบาสบาย สีขาว แผ่ขยายออกไปสุดลูกหูลูกตา
    ว่างเป็นสีขาวไปหมด ไม่มีผนังไม่มีเพดาน ว่างแบบอวกาศ ว่างแบบไร้ขอบเขต
    สามารถเข้าออกได้ดั่งใจในทันทีทุกเมื่อ
    ใช้อรูปสลายสังโยชน์ กำหนดให้สังโยชน์สลายหายไปเป็นความว่างได้
    อารมณ์ว่างจากการปรุงแต่ง มีความสงบสุข เบาสบาย แต่เราเข้าใจว่ายังไม่ใช่พระนิพพาน

    6.มโนมยิทธิ ขึ้นไปกราบพระท่านบนพระนิพพานได้ทุกขณะจิต นึกขอบารมีพระท่าน
    ให้ได้รับสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ตลอดเวลาที่ต้องการ
    นั่งบนแท่นของเราให้ได้สม่ำเสมอ กำหนดจิตปักว่าตายเมื่อไหร่มาพระนิพพาน
    อารมณ์พระนิพพาน จะรู้สึกเย็น เบาสบายถึงที่สุด หมดภาระกิจ หมดหน้าที่ หมดการเวียนว่ายตายเกิด หมดทุกข์อย่างถาวร ได้สัมผัสความชุ่มเย็นเป็นสุข ชั่วนิจนิรันด์

    7.แล้วให้เราแผ่เมตตาควบอารมณ์พระนิพพานไปยังทุกๆดวงจิต ปรารถนาให้ทุกๆดวงจิตได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเฉกเช่นที่เราสัมผัสอยู่ ณ ขณะนี้
    อารมณืนี้จะเย็นเบาสบาย แผ่ขยายไปยังทุกๆดวงจิตอย่างถึงที่สุด

    ฝึกจนทรงอารมณ์พระนิพพาได้ทุกขณะจิต ไม่คลาดเคลื่อน จิตจะตัดเข้าสู่ความเป็นอริยะได้โดยง่าย
    ถ้าอารมณ์พระนิพพานไม่เคลื่อนตลอด24ชั่วโมง ตลอดไป นี่ก็อารมณ์พระอรหันต์แล้วครับ
    เรายังไม่ถึงขนาดนั้น ก็ฝึกจนทรงได้นานๆฝึกจนทรงได้คล่องแคล่วครับ

    8. ฝึกตัดสังโยชน์ ทรงอารมณ์พระอริยเจ้า ระดับพระโสดาบันให้ได้
    1.เคารพพระพุทธ พระธรรม พระอริยเจ้า สุดหัวใจ ไม่มีสรณะใดยิ่งกว่า
    2.มีศีล 5 บริสุทธิ์ตลอดไป ศีล5 เราไม่ละเมิดเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นละเมิด ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิดศีล5
    3.ความตายเป็นของเที่ยงชีวิตเราไม่เที่ยง ถ้าตายตอนนี้เราปักจิตว่าเราไปพระนิพพานเท่านั้น
    4.รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ถึงที่สุด คิดเสมอตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานเท่านั้น

    ลองฝึกตามนี้ไล่ให้ครบดูครับ คิดว่าตอนนี้ทำได้สบายแล้วครับ
    เน้นจี้อารมณ์แต่ละขั้นให้ละเอียดประณีตยิ่งๆขึ้นไป

    ขอให้มีความคล่องตัวในกรรมฐานทุกๆกอง และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    อนุโมทนาคับ แต่ก่อนยึดติดตอนนี้ไม่แล้วคับคอยตามดูว่ามันเฉยๆ แล้ว คับ ตอนนี้ก็เริ่มที่จะหายจากอาการหัวสั่นแล้วคับ

    อนุโมทนาด้วยครับ รักษาอารมณ์ใจที่สบายเอาไว้ครับ

    จากข้อความข้างบนนั้น แล้วมามองดูตัวผมเอง ในการฝึกนี้ มันข้ามไปข้ามมาไม่เป็นขั้นเป็นตอนเลย มีอยู่2อย่างจับจิตให้นิ่งและก็แผ่เมตตาเท่านั้นถ้าพูดกันตามความเป็นจริง ถามว่า หากจับรูปพระยังไม่ได้มีแต่เพียงประกายเพรช แล้วอย่างนี้ควรจะปฏิบัติให้อยู่ในขั้นตอนหรือ ปฏิบัติตามที่เคยปฏิบัติอย่างไร อนุโมทนาครับ<!-- google_ad_section_end -->
    ของเก่าทำจนคล่อง และรักษาเอาไว้

    เน้นเมตตาเพื่อคลายอารมณ์หนักครับ เมตตาเรายังพี๊คเย็นได้มากกว่านี้ครับ
    ศักยภาพในการแผ่เมตตาเรายังมีอีกเยอะ
    เน้นมากๆ จนกระทั่งพี๊คเย็น กระจาย คล้ายระเบิดความชุ่มเย็นไปยังทั้งจักรวาล

    ภาพพระที่ยังไม่ได้ เกิดจากอารมณ์หนักไปครับ ต้องทำใจสบายกว่านี้นิดนึง
    อย่าเพ่งให้เห็นภาพ ความชัดของภาพเกิดจาก
    1.อารมณ์ใจที่เบาสบาย
    2.พระท่านยิ้ม
    3.วิปัสสนาญาณ

    ตอนนี้ให้เราเน้นอารมณ์ใจที่สบาย เน้นเมตตาเยอะๆ และไม่เพ่ง กับพระท่านยิ้ม
    พอเมตตาเราเย็นกว่านี้แล้ว ภาพพระจะชัดเองครับ
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  3. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ถามหน่อยครับถ้าหากมันจำเป็นที่จะต้องผิดศีลจริงๆจนศีลขาด แล้วเราจะมาตั้งสมาทานศีลใหม่จะได้ไหมคับ หรือว่าขาดแล้วกว่าจะนำศีลให้บริสุทธิ์ได้ตามเดิมได้ก็กินเวลา และกว่าจะกลับมาทรงสมาธิได้อีกก็นานกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมรึเปล่าครับ หรือศีลขาดแล้วขาดเลยครับ
    ถ้าหากศีลขาดแล้วด้วยการที่ตั้งใจก็ดีไม่ได้ตั้งใจก็ดี
    มีเหตุๆอันใดที่ทำให้เผลอ สุดวิสัย หรือ ตั้งใจ แต่เราตั้งมั่นศีลอยากกลับไปบำเพ็ญศีลและทำกุศลคุณงามความดีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ถึงกับขั้นมือถือสากปากถือศีลหรอกคับ ยกตัวอย่าง เราตั้งใจฆ่ามดเพราะทำให้บ้านเราและขอบประตูผุผังถึงจะตั้งใจฆ่าแต่จิตก็แผ่กุศลไปให้ หรือ ฆ่าลูกน้ำก่อนที่จะเกิดเป็นยุงลาย เป็นต้น อนุโมทนากับการแก้ไขคลีคลายความสงสัยในแต่ละบุคคลขอให้ผลบุญกุศลนั้นกลับไปยังท่านที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อและมีเมตตาให้บรรลุมักผลทุกประกายได้สมดั่งใจนึกด้วยเทอญ สาธุ
     
  4. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    สวัสดีครับ คุณชัด
    ขอบคุณกับทุกคำตอบที่ให้ความกรุณา ตอนนี้เป็นช่วงเร่งฝึกครับ ต้องเก็บของเก่าให้ได้ไวๆ
     
  5. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    อยากทราบเรื่องเกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ ครับ ช่วงนี้มีทริปการฝึกที่ไหน เมื่อไหร่ครับ
    เคยได้ยินมา และคิดว่า กายในมันพร้อมจะออกเต็มที่ แต่ที่ไม่ออกคิดว่าคงฝึกไม่ถูกแบบครับ
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    วันอาทิตย์ที่ 26 นี้ มีการฝึกที่สวนลุมครับ

    เวลาประมาณ9.00 จนถึงทั้งวัน
    แต่ถ้าใครอยู่ไม่ครบวันก็ได้ครับ ไม่เป็นไร แต่อยากจะให้ได้ในช่วงแรกๆ
    เพราะจะเป็นการฝึกในขั้นพื้นฐาน คือลมสบาย กหับเมตตา ที่อยากจะให้ทำได้กันทุกคน

    โดยเนื้อหาจะเป็น ลมสบาย เมตตา กสิณ อรูป มโนมยิทธิ ตามเวลาที่เราพอจะให้ได้ครับ

    เดี้ยวจะนำกำหนดการณ์มาลงให้อีกทีครับ
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    ถามหน่อยครับถ้าหากมันจำเป็นที่จะต้องผิดศีลจริงๆจนศีลขาด แล้วเราจะมาตั้งสมาทานศีลใหม่จะได้ไหมคับ หรือว่าขาดแล้วกว่าจะนำศีลให้บริสุทธิ์ได้ตามเดิมได้ก็กินเวลา และกว่าจะกลับมาทรงสมาธิได้อีกก็นานกว่าจะกลับมาเหมือนเดิมรึเปล่าครับ หรือศีลขาดแล้วขาดเลยครับ

    ถ้าหากศีลขาดแล้วด้วยการที่ตั้งใจก็ดีไม่ได้ตั้งใจก็ดี
    มีเหตุๆอันใดที่ทำให้เผลอ สุดวิสัย หรือ ตั้งใจ แต่เราตั้งมั่นศีลอยากกลับไปบำเพ็ญศีลและทำกุศลคุณงามความดีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ถึงกับขั้นมือถือสากปากถือศีลหรอกคับ ยกตัวอย่าง เราตั้งใจฆ่ามดเพราะทำให้บ้านเราและขอบประตูผุผังถึงจะตั้งใจฆ่าแต่จิตก็แผ่กุศลไปให้ หรือ ฆ่าลูกน้ำก่อนที่จะเกิดเป็นยุงลาย เป็นต้น

    ถ้าศีลขาดปุ้ป เราสมาทานใหม่เลยครับ ว่าในใจก็ได้
    เพราะถ้าเราตายขณะที่เรารู้สึกว่าเราไม่มีศีลขึ้นมา เราจะไปไหนล่ะครับ
    ดังนั้นถ้าศีลขาดปุ้ป เราสมาทานใหม่ไว้ก่อน อย่างน้อยกันอบายภูมิ

    แต่ก็ไม่ใช่เราก็ผิดศีลอยู่เรื่อยไปนะครับ
    เราต้องหาวิธี หรือเปลี่ยนวิธีการในการแก้ปัญหาใหม่
    เช่น มดหรือแมลง ลองเปลี่ยนเป็นการปลูกตะไคร้รอบบ้าน เพื่อให้มดยุง ไม่เข้าใกล้บ้านของเรา
    ถ้าจิตของเราจะถือศีล5 จริงๆ เดี้ยวเราก็เจอวิธีการเองครับ
    อยู่ที่ใจของเราครับ

    ถ้าเราฆ่าอยู่เรื่อยๆ ทำอยู่ทุกวัน มันก็จะกลายเป็น นิจจกรรม
    คือ กรรมที่เราทำอยู่เป็นนิจ แล้วมันก็เป็นฌาณในอุกศล เป็นความชินในการผิดศีล

    กิจ หรือ หน้าที่ที่เราต้อง ทำในศีล5 ได้แก่
    1.ไม่ละเมิดเอง

    2.ไม่สั่ง ไม่ใช้ ไม่ยุยง ให้ผู้อื่นทำแทนเรา
    ไม่ใช่เราไม่ฆ่ามด แล้วสั่งให้คนอื่นทำแทน
    แบบนี้เจอบาปสองเด้งครับ คือเราทำให้ตัวเองบาปด้วย
    และไปใช้เขาทำ ไปสั่งให้เขาบาปด้วย เราเลยโดนสองเด้งเลย
    โทษฐานทำให้ผู้อื่นบาปตามเรา

    3.ไม่ยินดี เมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล
    ตอนนี้เราไม่ทำละ ไม่ใช้ให้คนอื่นทำด้วย
    แต่อยู่ดีๆมีคนเดินผ่านมา แล้วฆ่ายุง
    เราก็คิดว่า เออ ตบยุงน่ะดีแล้ว

    นี่เราก็บาปเหมือนกัน เพราะ เมื่อเราโมทนาในบุญเราก็ได้บุญ
    คราวนี้เราโมทนาในบาป ก็ต้องได้บาปเช่นกัน
    ทีจะเอาบุญเราโมทนายังได้บุญ ทีนี้โมทนาบาป มันจะพ้นบาปได้ยังไง
    มันก็รับบาปเขามา80-90 เปอเซ็นต์ด้วย

    และศีล5 เป็นองค์ของพระโสดาบัน
    ศีล5 ที่แท้จริงควรจะออกมาจากดวงจิตของเรา ออกมาจากเมตตาของเรา
    ดังนั้นเมื่อเราเจริญเมตตาจนจิตของเรามันเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาต่อผู้อื่นอย่างถึงที่สุดแล้ว
    มันก็ละเมิดศีล5 ฆ่าใครทำร้ายใครไม่ลง มันจะทำไม่ลงเอง

    อันนี้เป็นศีลที่บริสุทธิ์ออกมาจากใจ
    เป็นศีลที่ไม่ต้องฝืนใจทำ เป็นเองโดยธรรมชาติ
    ซึ่งเป็นศีลของพระอริยเจ้า
    ดังนั้นหากเรายังละเมิดศีลอยู่ แปลว่าเมตตาของเราจะไม่เย็นถึงขีดสุด
    เพราะถ้าเย็นถึงที่สุดแล้ว มันทำไม่ลง ละเมิดศีล5ไม่ลง

    ถ้าศีล5ของเรายังไม่บริสุทธิ์ถาวร เราก็ยังตัดอารมณ์เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้เช่นกัน

    ดังนั้นศีล5 นี้มีความสำคัญมาก
    1.เป็นเครื่องปิดอบายภูมิ ไม่ต้องเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรกอีก
    2.เป็นองค์ของพระโสดาบัน ถ้ายังไม่ได้ศีล5ก็เป็นพระโสดาบันไม่ได้
    3.เกิดจากความเมตตาที่เรามีต่อผู้อื่น ยิ่งเมตตามากศีลยิ่งมีความบริบูรณ์มาก
    4.เป็นปัจจัยให้เกิดในสุคติภูมิ มีสวรรค์ พรหม พระนิพพานเป็นที่สุด

    ดังนั้นเราต้องรักษาศีลทั้ง5ข้อนี้ให้ได้

    ขอให้ทุกๆคน สามารถรักษาศีล5 ซึ่งเป็นเครื่องปิดอบายภูมินี้ได้ตลอดไป
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  8. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647

    ขอบคุณครับ
     
  9. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ผมควรฝึกอะไรเพิ่มดีครับ ต่อจาก เมตตาอัปปมาณฌาณ หน่ะครับ

    พี่ชัด เคยไหมครับ แบบว่า อยู่ดีๆ เดินไปเฉยๆ เราก็เหมือนมีความรู้เข้ามาในหัว แบบว่าไม่เคยรู้มาก่อน แต่พอเราเดินไปเรื่อยๆ แล้วมันรู้ขึ้นมาเอง ผมลองไปอ่านในหนังสือเกี่ยวกับเรื่องที่ผมรู้มา มันก็มีีที่เข้าบัญญัติอยู่จริงหน่ะครับ มันเป็นเพราะอะไรหรอครับ แล้วมันดีหรือไม่ดีครับ
     
  10. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    เท่าที่อ่านดูแล้ววันที่ 26 กรกฏา ผมไม่ว่างพอดีติดสอบครับ

    วันที่ 1-2สิงหานี้ พวกผมว่าจะไปกัน3-4 คน เพื่อนผม2คนเขาวิตกว่า ถ้าไปแล้วจะไปไม่ถึง ไปไม่คุ้ม แต่เขาก็ตอบตกลงไว้ ยังไม่รู้วิธีไปกันเลยครับ มีทางที่ไ่ม่ต้องนั่งแท๊กซี่ไหมครับ จากอนุสาวรีย์ชัย หรือปิ่นเกล้า เพราะพวกผมต้องนั่งรถตู้ไปจากนครปฐมหน่ะครับ

    เพื่อนผมเขาฝากถามว่าไปแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง มีฝึกอะไรยังไงบ้าง หน่ะครับ

    ช่วงหลังๆนี้ไม่ค่อยได้ทำสมาธิเลย เวลาไม่ค่อยมีทำจนเข้าญาณ ทำได้แค่ให้จิตสงบครับ

    ช่วงนี้ผมก็กินตามที่ร่างกายต้องการอย่างเดียวเองครับ ความรู้สึกหิว มันไม่มีเลยครับอดไปวันนึง ยังไม่รู้สึกหิวอะไรเลย มันดีรึปล่าวครับเป็นอย่างนี้
     
  11. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    อนุโมทนาครับ
     
  12. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    งานเข้าครับตอนนี้จิตเลิกปรามาสแล้วทีนี้มารมาเล่นทางคนใกล้ตัวเพื่อนร่วมงาน

    หรือครอบครัวจากไม่เคยมีปัญหาก้อทำให้มีทำให้อารมสมาธิไม่ดีเลยฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ

    หรือสวด

    มนต์เลยครับ

    เลยครับก้อแก้ปัญหานึกถึงพระอย่างเดียวครับบางทีก้อท้อก้อหยุดพออารมสบายก้อภาวนา

    ใหม่อุปสรรคเยอะจิงๆแต่วัน2วันนี้ปัญหามากเลยเล่นตอนนอนครับจับอานาสักพักเล่นพุ

    ทโธนึกถึงพระประกายพรึกจนหลับแบบนี้จะดีใหมครับ

    อีกอย่างเราจะรู้ได้ไงครับว่าเราปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกในปางก่อนส่วนใหญ่ก้อเป็น

    อภิญญาหรือเพิ่งมาชอบกันชาตินี้อะครับส่วนผมก้อชอบอภิญญาแต่ไม่เหมาะครับคน

    ธรรมดาเหมาะกะพระต้องเข้าป่าคนที่มีศีล5ได้อภิญญาเวลาจะเล่นจะโดนครูบาอาจารย์

    คอยกำกับไว้หมายถึงมาเตือนเพราะยังเป็นปุถุชนอารมโกรธยังมีเดวเดือดร้อนชาวบ้านจริง

    ไหมครับได้ยินมาอีกที
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    เท่าที่อ่านดูแล้ววันที่ 26 กรกฏา ผมไม่ว่างพอดีติดสอบครับ

    วันที่ 1-2สิงหานี้ พวกผมว่าจะไปกัน3-4 คน เพื่อนผม2คนเขาวิตกว่า ถ้าไปแล้วจะไปไม่ถึง ไปไม่คุ้ม แต่เขาก็ตอบตกลงไว้ ยังไม่รู้วิธีไปกันเลยครับ มีทางที่ไ่ม่ต้องนั่งแท๊กซี่ไหมครับ จากอนุสาวรีย์ชัย หรือปิ่นเกล้า เพราะพวกผมต้องนั่งรถตู้ไปจากนครปฐมหน่ะครับ

    เพื่อนผมเขาฝากถามว่าไปแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง มีฝึกอะไรยังไงบ้าง หน่ะครับ

    อันนี้แผนที่ครับ
    [​IMG]

    ให้เรานั่งรถไฟฟ้าจากสถานีอนุสาวรีย์ไปลงที่สถานีซอยอารีย์
    จากนั้นจะเดินไป หรือ นั่งเรียกแท็กซี่ก็ได้ครับ
    ผมกล้ารับประกันว่า ถ้าเรียกแท็กซี่จากสถานีซอยอารีย์ แท็กซี่แถวนั้นรู้จักซอยสายลม เกือบทุกคันครับ

    สิ่งที่ต้องเตรียม นั้นไม่มีอะไรเลยครับ
    นอกจากเหรียญ มูลค่ามากกว่า 1 สลึง 1เหรียญ เป็นค่าครู

    หากไปถึงตั้งแต่10โมงกว่าๆ จะมีเวลาไปถวายสังฆทานกับ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง องค์ปัจจุบันได้
    จะทำให้เราได้อานิสงค์ ของทาน ช่วยให้เวลาฝึกแจ่มใสกว่าเดิม
    เสร็จแล้วให้เราไปทานข้าวกลางวัน ตอน11โมง
    พอ11.30 ก็ให้ไปเข้าห้องฝึกมโน สำหรับผู้เริ่มต้น ที่ชั้น3ของตึกกรรมฐานได้เลยครับ

    ก่อนที่จะไปให้เราตั้งจิตขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์
    ตั้งกำลังใจว่าเราจะไปทำความดี เพื่อพระนิพพาน ทำความดีเพื่อความหลุดพ้น
    เพื่อนำเอาความรู้มาถ่ายทอดให้กับผู้อื่น
    เป็นสักขีพยานในสภาวะแห่งพระนิพพาน
    เพื่อเป็นการช่วยค้ำจุนบวรพระพุทธศาสนาในอนาคตต่อไป
    ขอบารมีพระท่านเมตตาให้ข้าพเจ้าได้เดินทางถึงจุดหมาย และฝึกมโนมยิทิได้ด้วยดีด้วยเทอญ

    ช่วงหลังๆนี้ไม่ค่อยได้ทำสมาธิเลย เวลาไม่ค่อยมีทำจนเข้าญาณ ทำได้แค่ให้จิตสงบครับ

    เน้นทรงอารมณ์ความสุขจากเมตตา ความชุ่มเย็น อิ่มเอิบอิ่มเอมจากเมตตาเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลาครับ

    ช่วงนี้ผมก็กินตามที่ร่างกายต้องการอย่างเดียวเองครับ ความรู้สึกหิว มันไม่มีเลยครับอดไปวันนึง ยังไม่รู้สึกหิวอะไรเลย มันดีรึปล่าวครับเป็นอย่างนี้<!-- google_ad_section_end -->

    ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติ หรือความอิ่มเอิบใจ พอใจในธรรม ก็สามารถอยู่ได้โดยไม่กินครับ
    แต่ก็ต้องเอาพอประมาณครับ ถ้าไม่กินนานเกินไป จะกลายเป็นความเครียดได้
    พอร่างกายมีอาการเครียด สมาธิก็จะตกลงเช่นกัน
    ดังนั้นให้เราผ่อนอารมณ์ ปรับขึ้นๆลงๆ ตามความเหมาะสมครับ
    จะได้เป็นทางสายกลาง เป็นอารมณ์ใจที่มีความสบาย ทั้งทางกายและใจครับ

    ผมควรฝึกอะไรเพิ่มดีครับ ต่อจาก เมตตาอัปปมาณฌาณ หน่ะครับ

    จริงๆแล้ว ความเย็นจากเมตตายังไม่ได้เย็นแค่นี้ครับ
    จริงๆยังต้องเย็นกว่านี้อีกมาก
    ดังนั้นให้เราหมั่นแผ่เมตตาเอาไว้เสมอ แล้วความเย็นจากเมตตาของเราจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเองครับ

    ต้องให้เมตตาของเราเย็นจนถึงขนาดที่ว่า บุคคลที่อยู่ใกล้ๆเราสัมผัสได้ถึงความเย็น
    เอาให้ถึงขนาดว่าแม้เขาไม่ได้แผ่เมตตาเอง แต่ยังรู้สึกชุ่มชื่น อิ่มเอิบใจ
    จนแค่เราแผ่เมตตาปุ้ป ทุกๆคนรอบๆเรานี่ จะต้องแย้มยิ้มด้วยความสุข
    เย็นจนศัตรูยังต้องใจอ่อนยอมกลายเป็นมิตร มิจฉากลับใจเป็นสัมมา
    เอาให้เย็นถึงสุดๆ ให้ได้เย็นแบบนี้ ให้ได้เย็นยิ่งกว่านี้เลยยิ่งดีครับ
    ถ้าเมตตาเย็นถึงที่สุดนี่ กลายเป็นอภิญญาได้เลยครับ


    จับลมสบาย ลองฝึกจับลมหายใจดูครับ
    เดี้ยวนำมาลงให้ครับ ขอเรียบเรียงถ้อยคำก่อนแปปนึงครับ

    พี่ชัด เคยไหมครับ แบบว่า อยู่ดีๆ เดินไปเฉยๆ เราก็เหมือนมีความรู้เข้ามาในหัว แบบว่าไม่เคยรู้มาก่อน แต่พอเราเดินไปเรื่อยๆ แล้วมันรู้ขึ้นมาเอง ผมลองไปอ่านในหนังสือเกี่ยวกับเรื่องที่ผมรู้มา มันก็มีีที่เข้าบัญญัติอยู่จริงหน่ะครับ มันเป็นเพราะอะไรหรอครับ แล้วมันดีหรือไม่ดีครับ

    อันนี้เป็นตัวรู้ครับ เป็นญาณทัศนะ เกิดจากกำลังของสมาธิครับ
    ถ้าเราฝึกมโนมยิทธิจนคล่องเราจะสามารถใช้ตัวรู้นี้ได้อย่างชำนาญเลยครับ
    ตัวรู้นี่ มีประโยชน์ทั้งทางโลก ทางธรรม
    กับทางโลก เราจะรุ้วิชา รู้ความรู้ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และจะเรียนได้เข้าใจง่ายกว่าคนปกติ
    ทางธรรม เราก็ใช้ตัวรู้ เป็นความสามารถเชิงตาทิพย์ได้
    และใช้เพื่อการเจริญวิปัสสนาญาณโดยการเข้าไปพิจารณาร่างกายของเราได้
    ร่างกายมีความสกปรกอย่างไร
    เราเข้าไปดูด้วยตัวรู้ ด้วยจิต ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ได้
    เราสามารถใช้ตัวรู้ที่ได้รับการฝึกดีแล้ว ในการแสกนโรค ตรวจโรคให้ผู้อื่นได้เช่นกันครับ
    หรือบางครั้งเราจะเริ่มรู้วาระจิต รู้ความคิดของบุคคลอื่นได้เช่นกัน
    โดยอาจจะคล้ายได้ยินเสียงของความคิดเขา หรือสัมผัสเป็นคลื่นอารมณ์ของเขา

    วันที่1-2สิงหาคมนี้
    ขอให้สามารถไปถึงซอยสายลม และฝึกมโนมยิทธิ
    จนเข้าถึงผลจากการปฏิบัติได้โดยง่ายดาย ฉับพลันทันใด มีความแจ่มใสในการฝึกมโนมยิทธิ
    ประจักษ์ซึ่งสภาวะแห่งพระนิพพานที่แท้จริงด้วยเทอญ

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  14. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ขอบคุณมากครับ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ therd2499 ครับ

    งานเข้าครับตอนนี้จิตเลิกปรามาสแล้วทีนี้มารมาเล่นทางคนใกล้ตัวเพื่อนร่วมงาน

    หรือครอบครัวจากไม่เคยมีปัญหาก้อทำให้มีทำให้อารมสมาธิไม่ดีเลยฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ

    หรือสวดมนต์เลยครับ

    เลยครับก้อแก้ปัญหานึกถึงพระอย่างเดียวครับบางทีก้อท้อก้อหยุดพออารมสบายก้อภาวนา

    ใหม่อุปสรรคเยอะจิงๆแต่วัน2วันนี้ปัญหามากเลยเล่นตอนนอนครับจับอานาสักพักเล่นพุ

    ทโธนึกถึงพระประกายพรึกจนหลับแบบนี้จะดีใหมครับ

    ได้ครับ เวลาทรงภาพพระ นอกจากจะเห็นท่านเป็นเพชรประกายพรึกแล้ว
    ควรที่จะให้เห็นท่านแย้มยิ้มด้วยครับ เน้นว่าพอเห็นพระท่านยิ้มแล้ว
    ใจของเราก็สบาย รู้สึกเอิบอิ่มแย้มยิ้มจากใจของเรา จนเรายิ้มออกมาทางกาย เหมือนที่ท่านยิ้ม

    อีกอย่างเราจะรู้ได้ไงครับว่าเราปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกในปางก่อนส่วนใหญ่ก้อเป็น

    เรื่องนี้เราต้องตั้งจิตถามพระท่านเองครับ
    ถ้าเราเป็นพุทธภุมิการถามพระนี่ ต้องทำให้ได้ครับ
    ให้เราได้ยินจากเสียงพระท่านเอง ว่าเราปรารถนาอะไร
    จะได้เป็นการรู้ตื่นจากภายในจิตของเราเอง
    ไม่ใช่ว่ามีคนมาบอกว่าเราเป็นเราก็เชื่อ
    ของแบบนี้เรารู้เองสัมผัสเอง จะดีที่สุดครับ

    ลองตั้งจิตแบบนี้ครับ
    ทรงภาพพระให้ชัดเจนแจ่มใส เป็นเพชร เห็นท่านแย้มยิ้มก่อน
    จากนั้นให้เราตั้งจิตว่า
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านเมตตาสงเคราะห์
    ช่วยให้ข้าพเจ้าได้ทราบว่าข้าพเจ้าปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกภูมิ
    เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้ปฏิบัติธรรม ได้ตรงตามวิสัยของข้าพเจ้า
    เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้มีความเจริญก้าวหน้าในธรรม
    และสามารถถ่ายทอดธรรมะของพระพุทธองค์
    จากจิตสู่จิตเพื่อความสุขของผู้อื่นได้ ในอนาคตกาลนี้ด้วยเทอญ

    เสร็จแล้ว หากว่าเราปรารถนาพุทธภุมิเราจะเห็นเป็นภาพพระพุทธเจ้า
    หากเราเป็นสาวกภูมิเราจะเห็นเป็นภาพพระสงฆ์ครับ

    ลองทำดูครับ

    อภิญญาหรือเพิ่งมาชอบกันชาตินี้อะครับส่วนผมก้อชอบอภิญญาแต่ไม่เหมาะครับคน

    ธรรมดาเหมาะกะพระต้องเข้าป่าคนที่มีศีล5ได้อภิญญาเวลาจะเล่นจะโดนครูบาอาจารย์

    คอยกำกับไว้หมายถึงมาเตือนเพราะยังเป็นปุถุชนอารมโกรธยังมีเดวเดือดร้อนชาวบ้านจริง

    ไหมครับได้ยินมาอีกที

    สัมมาอภิญญา อีกหน่อยจะเป็นสาธารณะ จนแม้แต่ปุถุชน ก็ทำกันได้เป็นของธรรมดา
    คนทั้งเมืองในยุคต่อไป จะเหาะกันได้ ทรงสัมมาอภิญญากันได้จนเป็นเรื่องธรรมดา
    แต่ ณ ปัจจุบันผู้ทรงอภิญญาส่วนมากจะเป็นพระ หรือพ่อขาวแม่ขาว ผู้ทรงศีล8
    ผู้ทรงศีล5 ก็ตั้งใจปฏิบัติไป รออีกซักระยะหนึ่งจึงจะเริ่มทำได้กันมากขึ้น

    ถ้าจะทรงอภิญญา ให้เป็นสัมมาอภิญญาจริงๆ
    ควรจะต้องให้เป็นอภิญญาที่เกิดจากความรักความเมตตาที่เรามีต่อผู้อื่น
    และควรจะทรงอารมณ์ในระดับพระโสดาบันให้ได้ เพื่อความปลอดภัยของเราเอง

    ถ้าวิสัยของเราเป็นวิสัยของอภิญญา ยังไงก็ต้องทำให้ได้อภิญญาครับ
    ถ้าไม่ได้มันจะเกิดความคาใจ จิตมันจะมีความลังเลสงสัย หรืออารมณ์ที่ยังคลาย ยังสลายไม่ได้

    ถ้าเรารู้สึกพอใจในอภิญญา เราก็เป็นวิสัยของอภิญญาแหละครับ
    แต่เราก็วางอารมณ์เฉยๆ ไม่อยากได้จนเกินไป
    คิดว่าถ้าเราจะได้อภิญญา เราก็ไม่ได้เอามาเพื่อเล่นสนุก
    แต่เราเอามาเพื่อช่วยคนเท่านั้น

    ในยุคต่อไป จะมีความยากลำบากมาก หากทรงอภิญญาได้ก็ช่วยคนได้เยอะ
    ตั้งกำลังใจเอาไว้ว่าอภิญญามีไว้เพื่อช่วยเหลือคนเพียงจุดเดียว
    แล้วกำลังใจของเรา จะเป็นสัมมาทิษฐิ ก่อให้เกิดเป็นสัมมาอภิญญา ที่มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่นเป็นสำคัญ
    <!-- google_ad_section_end -->
    ถ้าเรามีความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างถึงที่สุด ก็เกิดเป็นอภิญญาได้
    ถ้าเรามีความรักความเมตตาอย่างหาที่สุดหาที่ประมาณมิได้ ก็เกิดเป็อภิญญาได้เช่นกัน

    ขอให้มีอารมณ์จิตที่มีแต่ความละเอียด ประณีต ในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
     
  16. paritah

    paritah สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +7
    มีข้อสงสัยขอถามนิดนึงครับ

    <!-- google_ad_section_end -->เราก็มาดูก่อนครับ ว่าเราเป็นพุทธภูมิ หรือสาวกภูมิ
    ถ้าเป็นสาวกภูมิเราก็ ปฏิบัติตามแนวทางวิสัย 4 แล้วแต่คุณวิเศษที่เราอยากจะได้เมื่อบรรลุธรรรม

    เราจะดูได้ยังไงครับว่าอยู่ตรงไหน แล้วพุทธภูมินี่หมายถึงนิพพานหรือเปล่าครับ
    ไม่ค่อยเข้าใจครับ
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ paritah ครับ

    มีข้อสงสัยขอถามนิดนึงครับ

    <!-- google_ad_section_end -->เราก็มาดูก่อนครับ ว่าเราเป็นพุทธภูมิ หรือสาวกภูมิ
    ถ้าเป็นสาวกภูมิเราก็ ปฏิบัติตามแนวทางวิสัย 4 แล้วแต่คุณวิเศษที่เราอยากจะได้เมื่อบรรลุธรรรม

    เราจะดูได้ยังไงครับว่าอยู่ตรงไหน แล้วพุทธภูมินี่หมายถึงนิพพานหรือเปล่าครับ
    ไม่ค่อยเข้าใจครับ<!-- google_ad_section_end -->

    สาวกภูมิ คือผู้ที่ปรารถนาจะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    และเป็นอรหันต์เข้าพระนิพพานโดยเร็ว
    โดยมี4วิสัยในการปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางไว้ ซึ่งผมได้อธิบายไปแล้ว

    ส่วนพุทธภูมิ หมายถึงผู้ที่ตั้งจิตปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
    เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ให้ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    โดยจะต้องผ่านการบำเพ็ญบารมีเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
    เพราะว่าพุทธภูมิจำเป็นที่จะต้องเป็นครูของผู้อื่น
    ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกกรรมฐานจนได้ครบทั้ง40กอง
    และฝึกสรรพวิชาในพระพุทธศาสนาทั้งหมด
    รวมถึงความรู้ทางโลก ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นก็ต้องเก็บทั้งหมดเช่นกัน

    วิสัยของพุทธภูมิ มีทั้งทีปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้ว จะทรงประกาศพระศาสนา
    ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เมื่อทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์แล้ว จะไม่ทรงประกาศพระศาสนา
    อาจจะมีสอนบุคคลเป็นการพิเศษบ้าง จำนวนหนึ่ง แต่จะสอนไม่มาก

    วิสัยของพุทธภูมิ ในความเป็นจริงแล้ว ต้องเป็นผู้ที่ยอมเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขของผู้อื่น
    ยอมเหนื่อยได้ ยอมลำบากได้ ยอมสละชีวิตได้ เพื่อความสุขของผู้อื่น
    โดยที่เราไม่ได้สินจ้างรางวัลอะไรเลยเป็นการตอบแทน นอกจากการเห็นผู้อื่นมีความสุข

    ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อความยิ่งใหญ่ก็ดี เพื่อความเก่งก็ดี เพื่อความมากล้นด้วยทรัพย์สมบัติก็ดี
    หรือแม้แต่การตามหานางแก้วคู่บารมี และยึดจนเกินไปก็ดี
    ล้วนเป็นการตั้งกำลังใจที่ผิด และยังไม่เข้าใจว่าพุทธภูมิที่แท้จริงคืออะไร
    เมื่อรู้ถึงสภาพความเป็นจริงของพุทธภูมิแล้ว ส่วนมากก็จะลาเข้าสู่พระนิพพานไปในที่สุด

    พุทธภูมินั้นไม่ใช่ว่าจะเกิดเป็นแต่กษัตริย์ เป็นแต่วรรณะสูงๆ
    ในบางชาติ ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์บ้าง เป็นคนจนบ้าง เป็นขอทานยากไร้บ้าง หรือ แม้แต่ลงนรกบ้าง
    แต่แม้ว่าจะอัปจน หรือตกยากเพียงไร
    แต่พุทธภูมิก็ยังทำเพื่อผู้อื่น แม้จะยากจนข้นแค้นเพียงไร ก็ยังยินดีที่จะทำเพื่อผู้อื่นอยู่
    เราไม่มีอะไรจะให้แล้ว แต่ก็ยังควักดวงตาบ้าง ตัดแขนบ้าง สละชีวิตบ้าง เป็นทานให้กับผู้อื่นได้

    สิ่งที่จะขับเคลื่อนพุทธภูมิให้ไปสู่ยังจุดหมายได้
    ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ความมั่งคั่ง ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ความเก่ง ไม่ใช่นางแก้ว ที่จะพึงได้รับ
    แต่เป็นความรักความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ ความรู้สึกที่เราอยากจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ได้สัมผัสพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขชั่วนิจนิรันดร

    เพราะเราอยากเห็นผู้อื่นมีความสุข เราจึงยอมเหนื่อย ยอมลำบาก ยอมสละแม้ชีวิต แม้ลูกแม้ภรรยาได้ เพื่อความสุขของผู้อื่น
    ต้องเห็นความสุขของผู้อื่นมาก่อนความสุขของเราอยู่ทุกขณะจิต

    สำหรับผู้ที่เป็นพุทธภูมิ ลึกๆ เราจะรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว
    แต่เราจะมีความมั่นใจตั้งมั่น ชัดเจน
    ก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติธรรม จนได้ญาณ สามารถติดต่อกับพระท่านได้
    เมื่อนั้นหากเราตั้งจิตถามพระองค์ พระองค์ก็จะทรงยืนยันความเป็นพุทธภูมิของเรา
    เพื่อให้เรามีความตั้งมั่น แน่วแน่ ในการช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป

    และพุทธภูมิเอง ก็จะมีท่านที่ตั้งจิตอธิษฐานพิเศษ เช่น
    ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายบ้าง เป็นพุทธภูมิที่หนุนบารมีของพุทธภูมิท่านอื่นๆ
    เป็นเหมือนบรรไดให้พุทธภูมิท่านอื่นๆได้เหยียบขึ้นไปบ้าง

    และเมื่อพุทธภูมิยกระดับจิตขึ้นไปอีก
    พุทธภูมิท่านนั้นก็จะเริ่มเห็นว่า แท้ที่จริงแล้วงานภาพรวมจริงๆ ของพุทธภูมิ ไม่ใช่การให้ตัวเองได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น
    แต่งานจริงๆ คือการให้ทุกๆดวงจิต ครบทุกๆดวง ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่สมเด็จองค์ปฐมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกได้ทรงวางเอาไว้
    ตั้งแต่ครั้งพระองค์ได้ทรงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธญาณ เป็นพระองค์แรก

    ดังนั้นพุทธภุมิที่ยกจิตขึ้นมาถึงจุดนี้ จะคิดได้ว่า
    เราจำเป็นที่จะต้องหนุนบารมีของพุทธภูมิท่านอื่นๆ ให้มีพุทธภูมิที่ได้สำเร็จพระโพธิญาณเป็นจำนวนมากเท่าไหร่ได้ยิ่งดี

    กำลังใจในการบำเพ็ญบารมีจึงกลายเป็นว่า

    เราจะบำเพ็ญบารมีเพื่อบารมีของผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นได้สำเร็จพระโพธิญาณ หรือได้เข้าพระนิพพานในฐานะของสาวกภูมิ โดยไม่ต้องมารอบรรลุธรรมในศาสนาของเรา
    แต่เข้าพระนิพพานในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ได้ ยิ่งเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี

    ดังนั้นสำหรับผู้ที่เป็นพุทธภุมิ ขอให้ยกกำลังใจ ตั้งกำลังใจใหม่ว่า
    ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ปรารถนาที่จะเห็นทุกๆดวงจิต ทุกสรรพชีวิต ได้เข้าถึงซึ่่งพระนิพพานได้โดยไว
    ข้าพเจ้าขอยอมเหนื่อย ขอยอมลำบาก ขอยอมสละความสุขส่วนตัว ยอมทั้งหมดเพื่อความสุขของผู้อื่นเพียงจุดเดียว
    ด้วยอำนาจแห่งสัจจาธิษฐานนี้ ขอคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า เทพพรหมเทวดา ครูบาอาจารย์ พระโพธิสัตว์ ตลอดจนถึงทุกๆท่าน ผู้เป็นสัมมาทิษฐิ
    โปรดมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าตลอดไปทุกภพชาติ ตราบเท่าที่ข้าพเจ้าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน พร้อมๆกับสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคตกาลเบื้องหน้านี้ด้วยเทอญ

    ด้วยอำนาจแห่งการอธิษฐานเพื่อความสุขของผู้อื่นนี้
    ขอให้ทุกๆดวงจิตทั่วทั้งสังสารวัฏ ทั้งพุทธภุมิ และสาวกภูมิ ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยฉับพลันทันใด ได้โดยเร็วไว ได้ในชาติปัจจุบันนี้ ได้ยิ่งดีด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2009
  18. VKK

    VKK สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +19
    ตอนนั่งสมาธิหายใจไม่ทัน

    สวัสดีครับคุณ Xorce ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการนั่งสมาธิของผมคือว่านั่งไปสักพักกำหนดจิตดูลมหายใจกระทบพื้นที่บนริมฝีปากบน ผมจะหอบ เหมือนกับหายใจไม่ทันเลย แบบว่าขาดอากศหายใจ แล้วผมต้องหายใจให้เร็วและแรงขึ้น
    จะมีวีธีแก้ไขได้อย่างไรบ้างครับ
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ vkk ครับ

    สวัสดีครับคุณ Xorce ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการนั่งสมาธิของผมคือว่านั่งไปสักพักกำหนดจิตดูลมหายใจกระทบพื้นที่บนริมฝีปากบน ผมจะหอบ เหมือนกับหายใจไม่ทันเลย แบบว่าขาดอากศหายใจ แล้วผมต้องหายใจให้เร็วและแรงขึ้น
    จะมีวีธีแก้ไขได้อย่างไรบ้างครับ<!-- google_ad_section_end -->

    เราวางอารมณ์หนักไปครับ
    เราต้องปรับอารมณ์ใหม่ วางอารมณ์ใจให้เบาสบาย
    เวลาเราดูลมหายใจ ยิ่งเราดูไปนานเท่าไหร่
    ลมหายใจจะต้องยิ่งช้าลง เบาลง ใจของเราจะสัมผัสได้ถึงความเบาสบาย
    เนียนนุ่ม ลื่นไหล ชุ่มเย็น ของลมหายใจ

    ให้เราเน้นไปที่สัมผัสความเย็น สบาย ของลมหายใจ
    ถ้าจิตของเราได้สัมผัสกับความเย็น สบายของลมหายใจแล้ว
    จิตของเราก็จะมีความเบาสบาย พอจิตเบาสบาย ลมหายใจก็จะสงบ ระงับลง เบาลง
    ลมหายใจ จะเนียนนุ่ม ลื่นไหล เบาลง ช้าลง จนลมหายใจหยุดไป

    พอลมหายใจหยุดจิตจะมีอาการหยุดนิ่ง หยุดคิด ปราศจากความคิด
    จิตจะหยุด มีความตั้งมั่น ไม่ซัดส่าย อารมณ์จะเบาสบาย ไม่มีความหนัก แต่นิ่ง ลอยอยู่เบาๆ

    พอเราเข้าถึงอารมณ์นี้แล้ว ให้ประคองอารมณ์ใจที่มีความเบาสบายนี้เอาไว้ซักระยะหนึ่ง
    จากนั้นให้เราตั้งจิตอธิษฐาน วสี เพื่อให้เกิดความคล่องในการเข้าออกสมาธิ

    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งลมสบาย การจับลมหายใจด้วยอารมณ์สบาย จนลมหายใจหยุดไปนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไป สาม ครั้ง

    จากนั้นให้เราทรงสมาธิเอาไว้นานตราบเท่าที่เราต้องการ

    พอเราต้องการจะออกจากสมาธิให้เราหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ สามครั้ง
    หายใจเข้าครั้งที่หนึ่ง ภาวนา พุทธ หายใจออกภาวนา โธ
    หายใจเข้าครั้งที่สอง ภาวนา ธัม หายใจออกภาวนา โม
    หายใจเข้าครั้งที่สาม ภาวนา สัง หายใจออกภาวนา โฆ

    แล้วจึงค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ

    ลองนำไปปฏิบัติดูครับ
    ขอให้เข้าถึงซึ่งอารมณ์ใจที่มีความเบาสบาย ได้อย่างง่ายดาย โดยฉับพลันทันใดด้วยเทอญ
     
  20. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    สวัสดีครับคุัณชัด วันนี้ได้ไปปฏิบัติ กับ อาจารย์เล็ก แล้วปรกติคนเราจะหายใจเข้าออก แต่ที่ผมเป็นลมหายใจค่อยๆแคบลงและ็ก็ยาวขึ้น บางทีจะหยุดหายใจดื้อๆโดยที่อารมณ์เป็นกลาง แต่ ร่างกายมันพยายามจะหายใจก็กำหนดจิตตามดู ขณะนั้น ก็กำหนดจิตตาม อาจารย์ไปด้วย ถึงจะเห็นบ้างไม่เห็นบ้างแต่จิตก็คอยตาม อาจารย์ไป ช่วงแรกๆก็ยังมองไม่ชัดเหมือนเคย แต่ ตอนหลังจะมีอยู่ช่วงนึงที่ ลมหายใจมันหายไปและเหมือนกับอะไรมารวมตัวกัน ไอเสียงวิ้งๆนั้นก็เหมือนกับ ลอยขึ้นไปข้างบน ทำให้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยมีแต่เสียงวิ้งๆนั่น กำลังรวมๆตัวกันเสียงดังขึ้นแต่ไม่ได้ลำคาญแต่รู้ว่าัมันดังขึ้น สีต่างๆที่เป็นจุดๆตอนแรกเป็นประกายเพรชสีขาวๆระยิบ ลมหายใจไม่มีผมก็แผ่เมตตาตัวก็เบามันโล่งๆค่อยขยายออก พอมันจะรวมกันเป็นก้อนกลมๆ กลับเป็นสีม่วงๆระยิบระยับกำลังเคลื่อนตัว จะว่าไปคล้ายๆกับจรวจอวกาศที่กำลังปล่อยกระสวยยังไงยังงั้นเลย แล้วก็อารมณ์คืออยากจะลุกขึ้นมา หรืออาจจะเป็นเพราะอารมณ์ของผมหนักไปแต่ผมรู้ถ้ามันหนักมันจะเกร็งเพราะอารมณ์เกร็งผมเคยผ่านมาแล้ว อารมณ์นี้ยังไม่เคยเจอ อารมณ์นี้หนักไปรึเปล่าครับแต่ ผมก็ฝึกตามที่ ครูเล็กบอก อัดลม และ พอถึงจุดๆนึงก็แผ่เมตตา ลมหายใจก่อนหน้านั้นแค่คำบริกรรมหายไปแต่ตอนนี้ลมหายใจมันหายไปครับ ไม่หายใจ เป็นพักๆแล้วลมหายใจก็อยู่ตรงกลาง หลังจากที่รวมตัวกันกำลังดันขึ้นเหมือนตอนที่ผมรู้สึกตอนที่กำลังจะถอดจิตตอนนอนหลับเลย แต่คราวนี้ชัดกว่ารู้สึกตัวกว่ามีสติมากกว่าตอนนอน ตอนนี้เห็นภาพไม่ชัดอภิญญาก็ยังไม่มีแล้วเกิดถอดจิตได้ึขึ้นมาโดยที่ไม่สำเร็จอะไรเลย มันจะเป็นไปได้ไหมครับ เพราะผมรู้สึกอยากจะลุกขึ้นมาเฉยๆ และก็การขอบารมีพระท่าน จะขนลุกทุกทีที่ขอ และ ก็ แผ่เมตตาด้วย และเมื่อขอบารมีและแผ่เมตตาในขณะนั่งสมาธิ จะรู้สึกตัวพองๆและก็ขนลุกทุกที

    อ่อแล้ววันนี้หลังจากที่ออกจากสมาธิกลับบ้านก็ยังหายใจบ้างบางทีก็หยุดหายใจเหมือนกับทรงอารมณ์ ที่เค้าเรียกกันว่าทรงอารมณ์ให้ได้ทั้งวัน ก็คือแบบนี้รึเปล่าครับ

    อารมณ์ที่ว่านี้ดีหรือไม่อย่างไร หนักไปรึเปล่า เพราะมันเหมือนกับการลังเลว่าจะไปต่อดีไหมก็เลยรู้สึกเหมือนถูกดึงกลับมาที่เดิม
    อนุโมทนาครับคุณชัด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กรกฎาคม 2009
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...