---- วิธีหนีกรรม ตัดกรรม ดีมากกกกก-----

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 1 กรกฎาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,239
    แค่ฟังชื่อก็อาจจะตกอกตกใจว่า….งวดนี้ผมเป็นอะไรไป เคยออกมาพูดเรื่อง " กรรม " ตั้งหลายครั้งว่า…." กรรม " นั้น ทุกๆ คนต้องรับ ต้องชดใช้ด้วยกันทั้งนั้น ทุกผู้ทุกนาม แล้วทำไมคราวนี้ ผมกลับมาพูดว่า จะสอนให้ " หนีกรรม "






    ผมมีเหตุผลของผมแน่นอนครับ…..ไม่ออกมาพูดพล่อย ๆ แต่…ต้องอ่านให้ดี ๆ อ่านให้ละเอียดนะครับ แล้วจะรู้ว่า….ที่บอกว่ามีวิธีการ " หนีกรรม " นั้น สามารถทำได้ จริงๆ แล้ว " กรรม " นั้น เป็นเหมือน " เงา " ยิ่งหนี ก็จะยิ่งติดตาม ยิ่งพยายามหลบเลี่ยง มันก็จะยิ่งวิ่งเข้ามาหาเรา

    " กรรม " สามารถติดตามเราได้ ( ในกรณีที่เป็นการกระทำของเราเอง ) ไม่มีขีดขั้นของสถานะ บุคคล หรือแม้แต่กาลเวลา ให้กี่ภพกี่ชาติ กี่แสนกี่ล้านปีชาติ ก็ไม่มีทางหนีหมด หรือไม่ต้องชดใช้ มีตัวอย่างมากมาย ที่คนเราในชาติปัจจุบันนี้ ต้องตามรับ " กรรม " จากอดีตชาติ ที่ติดตามมาทั้งเป็นการกระทำ และบางทีต้องตามรับ " กรรม " จากบุคคลที่ยังมีความอาฆาตจากอดีตชาติ เมื่อตามมาเกิดกันจนเจอในชาติปัจจุบัน ก็ยังต้องมาชดใช้รับ " กรรม " กันอีก

    คนบางคน….เมื่อในอดีตชาติเกิดก่อเวรก่อกรรมกับบุคคลหนึ่งเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป..และผ่านมาถึงชาติปัจจุบัน บุคคลทั้งสองที่ได้เคยก่อกรรมกันเอาไว้ ก็ต้องมาชดใช้กัน แม้ว่าจะต่างภพกันก็ตาม


    จึงมีเรื่องราวให้ได้รับรู้เสมอว่า……

    คนกับวิญญาณ โคจรกันมาเจอกัน อาฆาตกัน ร่วมกระทำเรื่องราวต่อกัน ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ที่จะบอกท่านก็คือ…..

    " กรรม " นั้น เมื่อมีการสร้างกรรมร่วมกัน ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต้องมีการชดใช้กันเสมอ ไม่เกี่ยงเรื่องเวลา หรือสถานะทางสังคมแต่อย่างใด " กรรม " นั้นจะเกิดขึ้น หรือจะมีการชดใช้ ต้องมีเงื่อนไข และองค์ประกอบหลายอย่าง



    เงื่อนไขของเวลา….เป็นประการสำคัญ

    แต่ที่สำคัญกว่า…ก็คือเรื่องของความหนักเบาของ " กรรม " ที่ได้กระทำไว้
    สมมติว่า

    วันที่ 1 คุณไปทำร้ายคนอื่นจนเลือดตกยางออก
    วันที่ 2 คุณไปขโมยของชาวบ้าน
    วันที่ 3 คุณทำสังฆทานด้วยจิตที่ศรัทธาในเรื่องการทำบุญกุศล
    วันที่ 4 คุณได้ศึกษาธรรมะ..จนได้ธรรมระดับสูง (อริยบุคคล)

    4 วันนี่….คุณว่า ผลของ " กรรม " ( ซึ่งหมายถึงทั้งการกระทำดีและไม่ดี ) จะส่งผลอย่างไร ? ได้รับผลกรรมนั้นอย่างไร ?


    ถ้าเป็นไปตามความเข้าใจทั่วไป….ของคนที่ยังไม่เข้าใจในเรื่อง " กรรม " อย่างถ่องแท้นั้น คงจะเข้าใจว่า ก็ต้องรับกรรม ตามวัน คือได้รับกรรมจากการกระทำเรียงตามลำดับ จากวันที่ 1 ก่อน (ทำร้ายคน) แล้วตามด้วยวันที่ 2 (ขโมยของ) วันที่ 3 (ทำสังฆทาน) และวันที่ 4 (ศึกษาธรรม)

    จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น…..ต้องได้รับกรรมตามการเรียงอย่างนี้……ได้รับกรรม (การกระทำ) วันแรกก่อน ก็ต้องได้จากการกระทำวันที่ 4 คือการศึกษาธรรม จนได้ธรรมะดับสูง ก่อนอื่นเลย แล้วตามด้วยข้อ 3 ทำสังฆทานด้วยจิตศรัทธา ตามด้วยข้อ 1 คือการทำร้ายคนจนเลือดตกยางออก จากนั้นก็เป็นข้อ 2 คือการมขโมยของ


    เรียงตามข้อก็คือ 4 3 12
    ไม่ใช่ได้รับกรรมตามวันเวลา 1 2 3 4

    ถ้าพิจารณาก็จะเห็นว่า…การรับกรรมนั้นไม่ได้รับตามวันเวลาที่กระทำกรรมเอาไว้ แต่รับตามความหนักเบาของกรรมที่ได้กระทำเอาไว้
    ถ้าเป็นกรรมหนัก ก็ต้องได้รับก่อน เป็นกรรมเบา ก็จะรับทีหลัง คำว่าหนักเบานั้น หมายถึงทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เอามารวมกันได้ แล้วเปรียบเทียบกันดูว่าอะไรหนัก หรือเบามากกว่ากัน (เอามาเปรียบกันนะครับ ไม่ใช่เอามาหักล้างกัน เพราะกรรมดีไม่สามารถหักบ้างกรรมไม่ดีได้)


    หลักง่าย ๆ ก็คือ กรรมหรือการกระทำใดก็ตามทำให้คนเรามีสติ มีปัญญามาก ให้เกิดมรรคผลมาก สร้างให้คนอื่นได้รับความสุข ทั้งทางกายและใจมาก ไม่สร้างความเดือดร้อน หรือความไม่ดีให้กับคนอื่น ฯลฯ อย่างนี้เป็นกรรมดีมากกว่าไม่ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง……ต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป

    เพราะฉะนั้น…..เวลาเรารับกรรม ก็ต้องรับตามความหนักเบา จึงตอบข้อสงสัยได้ว่า…..ทำไมคนบางคนทำดีมาตั้งนานเป็นสิบ ๆ ปี ไม่เคยได้รับผลดีเลย นั่นแสดงว่า ในอดีตที่ผ่านมา ได้ทำกรรมที่หนักหนาสาหัสไว้มาก กรรมหนักนั้นย่อมส่งผลก่อน แต่พอกรรมหนักที่เคยทำนั้นหมด (ต้องชดใช้จนหมด) ก็ถึงเวลาที่ต้องได้รับกรรมดีบ้าง

    จำไว้ไห้ดีนะครับว่า…..กรรมต้องชดใช้ตามความหนักเบาที่ได้เคยกระทำเอาไว้ เคยได้ข่าวหรือไม่ครับ….ว่าคนที่ยากจนมาทั้งปีทั้งชาติ….เป็นสิบๆ ปี พอบทจะโชคดี กลับถูกรางวัลได้เงินเป็นสิบ ๆ ล้านในชั่วพริบตา

    วิเคราะห์ได้ว่า…..ก่อนหน้านี้ได้ทำกรรมหนักเอาไว้ แต่ก็เคยทำกรรมดีไว้มากเช่นกัน กรรมหนักทำมากกว่ากรรมดี พอกรรมหนักหมด ผลของกรรมดีก็ได้รับ
    กรรมนั้น ไม่ว่าจะดีจะชั่ว จะร้ายจะดี จะหนักจะเบา จะมากจะน้อย อย่างไร…ก็ต้องได้รับทุกกรรมที่ได้เคยทำเอาไว้ โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้……

    แต่…. แต่ก็มีบางอย่างที่หนีได้….ในที่นี้จะพูดแต่เรื่องการหนีกรรมที่ไม่ดี
    เพราะผลของกรรมดี..ไม่ค่อยมีใครอยากหนีเท่าไหร่ มีแต่อยากจะได้รับผลกรรมดีกันทั้งทั้งนั้น ผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้อยู่เหนือกรรมนั้น ก็คือ พระอรหันต์
    เพราะในภาวะจิตที่ท่านอยู่สูงสุดนั้น กรรมมันตามไปไม่ถึง เพราะท่านหลุดพ้น และอยู่เกินกำลังของกรรมที่จะตามไปถึง แต่ที่เราเห็นว่า พระอรหันต์ (ตามที่เราเข้าใจจากตัวเราเอง และจากปากของคนอื่น) ต้องรับกรรมนั้น มันก็ต้องมีเหตุบางอย่าง

    แต่ผมคงตอบไม่ได้ละเอียดในนี้ เนื่องด้วยผมยังมีกิเลสครบในตัว ไม่ควรเข้าไปล่วงเกินเรื่องของคนที่สูงกว่าเช่น
    พระอรหันต์ เอาไว้คุยกับคนที่อยากรู้จริงๆ นอกรอบดีกว่าครับ ท่านผู้รู้หลายท่าน ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ หลักการที่ " กรรม " ตามพระอรหันต์ไม่ทันเอามาใช้ ก็คือ " กรรม " มันจะวิ่งตามท่านผู้ประเสริฐ หรือพระอรหันต์ไม่ทัน


    เพราะพระอรหันต์ท่านทำความดี
    จิตท่านดี เป็นเหตุเป็นผลอย่างหนึ่งว่า ความชั่วจะตามความดีไม่ทัน (ในปริมาณความดีความเลวเท่าๆ กัน)
    เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่อยากให้กรรรมไม่ดีตามเราทัน เราก็ต้องทำกรรมที่ดีๆ ให้มากกว่ากรรมที่ไม่ดีที่เราเคยทำ เพื่อให้กรรมดีเป็นตัวผลักดันให้เรามีกรรมดีมากกว่ากรรมไม่ดี



    เมื่อเราทำกรรมดีให้มากๆ และมากๆ จนมากที่สุด ก็จะมีแรงผลักดันให้เราห่างกรรมไม่ดีมากขึ้น แต่เราก็ต้องทำกรรมให้ดีมากกว่า ให้เยอะกว่ากรรมไม่ดีที่เราได้ทำเอาไว้ แต่ปัญหามันอยู่ที่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราต้องกรรมดีให้มากกว่ากรรมไม่ดี….เพราะเราไม่รู้ว่าเราเคยทำกรรมไม่ดีเอาไว้ แต่ไหน อย่างไร รุนแรงหนักหนาแค่ไหน (ยกเว้นท่านที่ " ปฎิบัติ " จนรู้เรื่องราวในอดีต)



    ทางแก้ก็ไม่ยาก >>>

    ก็พยายามทำความดีให้มากๆ ทำให้มากๆ ทำไปโดยที่ไม่ต้องรู้นั้นแหละครับดี เพราะยิ่งทำความดี บุญ กุศลมากๆ จะได้อุ่นใจว่ามีมาก พอที่เจ้ากรรมไม่ดีจะตามเราไม่ทัน เข้าใจตรงนี้ก่อนนะครับ ว่ายิ่งทำกรรมดีมากๆ ก็จะยิ่งหนีกรรมไม่ดีได้แต่ถ้าเราทำกรรมดีไม่เพียงพอ กรรมไม่ดีก็จะตามทัน ตอนนั้นเราก็ต้องรับกรรมไม่ดีเหมือนวิ่งแข่งนั่นแหละครับ ยิ่งวิ่งหนี (ทำกรรมดี) คนที่วิ่งตามเรา (กรรมไม่ดี) ก็ตามไม่ทัน แต่ถ้าเราหยุดวิ่ง (หยุดทำความดี) คนที่วิ่งตามเรา (กรรมไม่ดี) ก็ตามมาทำร้ายเราได้

    นั่นคือกุศโลบายว่า…..เวลาที่ผ่านไปทุกวันนั้น อย่าหยุดทำความดี ไม่อย่างนั้นกรรมไม่ดีก็จะตามทันเรา มาเอาคืน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะหนีอย่างไร ก็ไม่สามารถจะพ้นได้ เพราะความเป็นจริงไม่มีใครสามารถทำความดีได้ตลอด 24 ชั่วโมง (ความจริงมีครับ…แต่น้อยมาก..ส่วนใหญ่มักจะเป็น " ผู้ปฏิบัติ " )

    แล้วอย่างนี้..อาจจะมีคนถามว่า แล้วเราจะหนีกรรมไปทำไม ??? ก็ต้องบอกว่า….บางครั้งนั้น คนเรายังไม่สามารถจะรับกรรมได้ในเวลาบางเวลา ยังไม่พร้อม หรือกรรมมันหนักมาก ขืนรับพร้อมกันทีเดียว จะตายเอาง่ายๆ ถ้า " จิต " ไม่เข้มพอ ก็ทำความดีมากๆ ให้มากๆ และมากๆ แล้วค่อยๆ ทยอยรับกรรมไม่ดีที่ได้เคยทำเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อย จนหมด แล้วเราจะได้รับกรรมดีไว้เอง


    ทำความดีให้มากๆ สามารถ " ผ่อน " กรรมไม่ดีได้



    แต่ไม่สามารถไม่ต้องชดใช้ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ยังงัย ๆ ก็ต้องรับกรรม แต่ถ้ามีกรรมดีเป็นตัวหนุนหลัง เราก็จะได้รับกรรมทีละเล็กละน้อย ถ้าบอกอย่างนี้ แล้วดูผิวเผินก็จะเห็นเพียงว่า เอาหลักการการวิ่งหนี (โดยการทำความดีให้มาก ๆ เผื่อไว้ว่าให้มากกว่ากรรมไม่ดี ที่เราไม่อาจรู้ได้) มาหนีกรรมที่กำลังจะมาส่งผล (คือจากกรรมที่ไม่ดีที่เราได้เคยทำเอาไว้) แต่ความจริง มีกุศโลบายมากกว่านั้น กับการบอกให้ทำความดี ทำบุญกุศลให้มาก ๆ เป็นกุศโลบาย 2 ต่อ

    ต่อแรก เพราะเมื่อเราทำความดี ทำบุญกุศลมาก ๆ ใจเราก็จะเบิกบาน มีความสุขกับการทำบุญทำกุศล .... เอาเถอะ ไม่ว่าคุณจะทำบุญทำกุศลด้วยเจตนาอย่างไร ด้วยความรู้สึกอย่างไร ก็ตาม คุณก็ได้บุญกุศลนั้นแล้ว ต่างกันที่ว่า ถ้าคุณทำบุญทำกุศลด้วยใจที่บริสุทธิ์ ด้วยการไม่หวังผลตอบแทน อานิสงส์จะมากตามไปด้วย

    แต่ถ้าทำบุญทำกุศลด้วยการหวังผลตอบแทน หรือยังไม่ศรัทธาในเรื่องการทำบุญทำกุศล อานิสงส์ก็จะน้อยกว่าแบบข้างบน แต่ไม่ว่าจะทำบุญทำกุศลอย่างไร แบบไหน..ได้หมดครับ ต่างกันที่มากหรือน้อย เมื่อเราได้ทำบุญทำกุศลแล้ว ใจเราเบิกบานแล้ว ก็จะมีความสุขในระดับหนึ่ง คนเราเมื่อมีความสุข ความสบายใจแล้ว การรับกรรมก็จะมีความเต็มใจ ยินดีรับกรรมนั้นอย่างหน้าชื่นตาบาน เพราะใจเรามีความสุข (จากการทำบุญทำกุศล)

    กรรมที่เราคิดว่าหนัก สาหัส และรุนแรงในตอนที่ยังไม่ได้ทำบุญทำกุศล ก็จะดูลดความหนักลงเพราะเราได้ทำบุญทำกุศล (จนจิตแจ่มใส เลิกบาน และมีความเข้มแข็ง)


    ต่อที่ 2 ก็คือ การที่เราทำบุญทำกุศลไว้นั้น ก็คือการสะสมบุญกุศลเอาไว้ อย่างไรก็ตาม บุญกุศลที่ได้ทำไว้นั้นก็ไม่ไปไหน รอเวลาที่หมดกรรมหนักที่ทำรุนแรงไว้ก่อน ก็จะได้รับกรรมที่เราทำบุญทำกุศลไว้มาตอบแทนอีกที มีหลายคนครับ ที่ในขณะกำลังรับกรรมไม่ดีอยู่ แล้วก็ทำบุญทำกุศลหนักๆ ตามไปด้วย
    พอดีไปทำกรรมดีหนักๆ ที่มีอานิสงส์สูงกว่ากรรมไม่ดี ที่หนักที่เราเคยทำเอาไว้ ยังไม่ทันที่กรรมหนักจะหมดเลย ก็ได้รับกรรมดีก่อน เพราะกรรมดีนั้นได้รับผลจากความหนักเบาของการกระทำกรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้นทำกรรมดีไว้ให้หนัก ๆ บ่อยๆ มากๆ ด้วยจิตศรัทธาในเรื่องทำบุญทำกุศลให้ตลอด จะเป็นผลดีส่วนจะทำบุญทำกุศลใดเพื่อให้ได้อานิสงส์มากๆ นั้น ให้ดูในบทความที่ผมเขียนนะครับ แต่ที่จะบอกคร่าวๆ ก็คือ อานิสงส์ของการทำบุญทำกุศลที่ได้รับมากๆ นั้น ก็คือการปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน

    และอีกอย่างที่จะแนะนำก็คือ การขอให้คนที่มีกรรมผูกพันกับเรา " อภัย " ให้
    กรรมจะมี 2 อย่าง ก็คือ กรรมที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ กับกรรมที่มีเจ้าของ หรือที่เราเรียกว่า เจ้ากรรมนายเวร


    ยกตัวอย่าง ถ้าเราไปขโมยของคนอื่น กรรมก็จะเกิดขึ้น 2 แบบแล้ว นั่นก็คือ กรรมที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ก็คือกรรมที่เกิดจาก " การขโมย "และคนที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เราขโมยไปนั้น คือเป็นกรรมแบบที่มีเจ้าของ พูดง่ายๆว่าจ้าของทรัพย์สินก็เป็น " เจ้ากรรมนายเวร " ถ้าเราต้องรับกรรมทั้ง 2 อย่างพร้อมกัน ก็หนัก เป็น 2 เท่า แต่ถ้าเรา " ขอโทษ ขออภัย " จน " เจ้ากรรมนายเวร " ใจอ่อน ยกโทษให้ ก็เท่ากับว่าจะเหลือเพียง " กรรมอัตโนมัติ " อย่างเดียว ลดไปตั้งมากมาย

    เพราะฉะนั้น
    ครูบาอาจารย์ ท่านผู้รู้จึงมักขับอกให้เราแผ่เมตตา หรืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรให้ใจอ่อน ยกโทษให้ (แต่ต้องทำบ่อยๆ มากๆ และด้วยจิตที่ศรัทธา)และ…เมื่อเรารู้ว่า เราอยากให้เจ้ากรรมนายเวร "อภัย" ให้ (เพราะรู้ว่าเมื่อได้รับการ "อภัย" แล้ว กรรมจะลดน้อยลง)
    เราเองก็ต้องให้ " อภัย " คนอื่นด้วยเพราะเราเองก็เป็นทั้งคนที่มีเจ้ากรรมนายเวร และเราเองก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นด้วย


    เป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราให้ "อภัย" คนอื่น คนอื่นก็จะยิ่งให้ "อภัย" เรามากขึ้น ง่ายขึ้นเท่านั้น


    การให้ " อภัย " นั้น
    ถือว่าเป็นทานอย่างหนึ่ง มีอานิสงส์มหาศาล


    สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกว่า

    - กรรมนั้นจะหมดไปได้ ก็ต้องมีการชดใช้

    - กรรมดีกรรมชั่ว แบ่งแยกกันอย่างเด็ดขาด ไม่มีการเอากรรมดีมาแบ่งเบากรรมชั่วให้ลดน้อยลง

    - กรรมนั้นจะได้รับตามเงื่อนไขความหนักเบาของกรรม ไม่ใช่รับเรียงลำดับตามวันเวลาที่ทำกรรม

    - กรรมมี 2 อย่าง คือกรรมอัตโนมัติ และกรรมที่มีเจ้ากรรมนายเวร ถ้าลดกรรมที่มีเจ้ากรรมนายเวร ( ด้วยการ " ขออภัย " ) ก็จะทำให้กรรมนั้นลดน้อยลง

    - การทำบุญทำกุศลเพื่อหนีกรรมนั้น เป็นการ " หนี " เท่านั้น ไม่ใช่เป็นการ " ชดใช้ " วันใดเวลาใดก็ตามที่หยุดทำความดี หยุดทำบุญทำกุศล กรรมก็จะตามทัน

    ยังมีเรื่องอีกมากมายเกี่ยวกับกับ "กรรม" ที่อธิบายให้หมด ก็ไม่สามารถอธิบายได้ เพราะเป็นเรื่องละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อนต้องอธิบายเป็นเรื่องๆ ไป ถ้ายังอยากจะอ่านเรื่องราวอย่างนี้อีกบอกกันมาได้นะครับ…ยินดีครับ




    วิธีตัดกรรม !!!


    จะทำอย่างไรดี ??? เมื่อกำลังเผชิญหน้ากับ" กรรม "

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>


    <TABLE width=550 border=0><TBODY><TR><TD>
    บทของกรรมในตอนหนึ่งจากหนังสือพระไตรปิฎกฉบับพิเศษ ธรรมธาตุ ธรรมชาติ แห่งสรรพสิ่ง




    [​IMG]




    อนึ่งการเผชิญภาวะต่างๆนั้นคือ " กรรมเก่า "

    การตัดสินใจเลือกการตอบสนองนั้นคือ" กรรมใหม่ "

    ตัวอย่างเช่น
    นายดำเคยประทุษร้ายบุคคลผู้ไม่ผิดแต่กาลก่อน มาในบัดนี้กรรมนั้นทำให้นายดำถูกประทุษร้ายโดยไม่ผิด
    เมื่ออยู่ในภาวะเผชิญเช่นนี้ นายดำสามารถเลือกตอบสนองได้ 3 วิธีคือ

    1. วางเฉย
    ก็เป็นอันว่าได้รับผลกรรมแล้ว กรรมนั้นก็สิ้นสุดลง

    2. ประทุษร้ายตอบ
    ก็เป็นอันว่ารับกรรมเก่าและก็สร้างกรรมดำใหม่ขึ้นอีก
    ในกาลต่อไปก็จักโดนประทุษร้ายอีกแน่นอน

    3. อภัยและเมตตา
    ก็เป็นอันว่ารับกรรมเก่าแล้ว ก็สร้างกรรมขาวใหม่ขึ้น
    ในกาลต่อไปศัตรูนั้นก็จักกลายมาเป็นมิตร



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระพุทธองค์ตรัสว่า " หว่านพืชเช่นไร ก็ได้รับผลเช่นนั้น "

    เพราะฉะนั้นต่อไปภายภายหน้าหากเราเกิดโมโหเพราะมีคนดูถูกเรา ก็จงย้อนระลึกนึกถามตัวเองก่อนว่า


    " เราเคยดูถูกคนอื่นบ้างไหม? " และควรจะบอกกับตัวเองว่า " สิ่งที่เราได้รับอยู่นี้เป็นผลจากการกระทำที่ไม่ดีของเราในอดีต เราควรยอมรับเคราะห์กรรมนี้โดยไม่เคือง?ค้นใครๆ เมื่อมันผ่านพ้นไปก็คือ เราได้ชดใช้หนี้กรรมของเราให้หมดไปครั้งหนึ่ง "

    แท้จริงแล้วการที่เราทำอย่างนี้ ไม่เพียงแต่ชดใช้หนี้กรรมเท่านั้น แต่เรายังได้พิจารณาอุปนิสัย
    มีความอดกลั้นแลฝึกหัดระงับอารมณ์ของเราด้วย ......






    ที่มา
    http://www.thai.to/anothai/old6.html
     
  2. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    อนุโมทนา สาธุครับ เป็นความรู้ที่ดีในระดับหนึ่งถ้ามีคนอ่านมากๆคงไม่มีใครไปเข้าพิธีตัดกรรมนะครับเพราะมีวิชาแล้วไม่หลงในอวิชาอีกขออนุโมทนาสาธุครับ
     
  3. nangfha

    nangfha สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +6
    อนุโมทนาสาธุค่ะ ได้ความรู้ขึ้นอีกมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
     
  4. l_nuni_l

    l_nuni_l เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +105
    -Happy Smile_ โมทนา สาธุด้วยค่ะ เป็นเนื้อหาสาระที่ดีและให้ความรู้มากๆๆๆ
     
  5. nna

    nna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +178
    -v- ขอบคุณค่ะ
     
  6. สัพเพ ธัมมา อะนัตตา

    สัพเพ ธัมมา อะนัตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    337
    ค่าพลัง:
    +104
    ดีมากเลยครับ ผมขออนุโมทนาสาธุกับผลบุญที่ได้ทำไว้ดีแล้วด้วยนะครับ
     
  7. adware

    adware เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +130
    อนุโทนาครับ ขอบคุณมากกับสิ่งดีที่มอบให้อ่านแล้ว ยิ่งเข้าใจ"กรรม"มากขึ้นครับ
     
  8. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    มีผู้เปรียบเทียบเรื่องของบุญบาปและวิธีการหลบเลี่ยงผลของกรรมชั่วไว้มากหลาย เริ่มต้นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปรียบเกลือคือบาป บุญคือน้ำ ถ้าบุญมาก เกลือก็เจือจาง เราก็จะไม่รู้สึกถึงความเค็มแต่เกลือก็ยังอยู่เท่าเดิม แต่ถ้าน้ำน้อย เกลือก็เข้มข้น เราจะรู้สึกถึงความเค็มทันที ดังนั้นจึงควรทำบุญไปเรื่อยๆ
    ปราชญ์บางท่านก็เปรียบเทียบเรื่องนี้ว่า บาปเหมือนหมาล่าเนื้อ ที่จะคอยวิ่งไล่ล่าเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราวิ่งหนีด้วยกำลังกาย ถ้าแรงดีก็อาจวิ่งหนีทัน แต่ถ้าแรงตกก็อาจถูกสุนัขขบกัดเอา บุญก็คือกำลังกายของเรา ซึ่งถ้าวิ่งไปนานๆก็อาจหมดแรงได้ ต้องเติมบุญคือกำลังอยู่ตลอดเวลา บางทีอาจมีบุญพิเศษเป็นตัวช่วย เช่นถ้าขี่จักรยานก็หนีหมาได้แบบฉิวเฉียด แต่ถ้าขี่รถยนต์ หมาวิ่งตามไม่ทันแน่ แต่ถ้าหยุดเมื่อไร สักวันหมามันก็ต้องตามมาทัน
    บางท่านก็เปรียบเทียบว่า ชีวิตเหมือนกับเรือ น้ำเปรียบเหมือนบุญ บาปก็เหมือนหลักตอใต้น้ำ ถ้าน้ำมาก เรือก็แล่นได้ แต้ถ้าน้ำน้อยเรือก็ติดหลักตอ เหมือนชีวิต ถ้าบุญมาก ชีวิตก็ก้าวหน้า แต่ถ้าบุญน้อย ชีวิตก็จะพบแต่อุปสรรค เคราะห์ร้าย หลักตอก็ทำให้เรือล่มได้

    สรุปแล้วทั้งหมดก็คือ หมั่นสร้างบุญ ละบาป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2010
  9. ฉัตรดา

    ฉัตรดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +510
    อนุโมทนาด้วยนะค๊ะ เพิ่งจะได้เข้ามาอ่าน ดีจริง ๆ ค๊ะ ตอนนี้ดิฉันก็กำลังรับกรรมอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดจะวิ่งหนี เพราะวิ่งช้าค่ะ วิ่งไม่ทัน เลยยืนรอแล้วยิ้มรับกรรมดีกว่า ผ่อนใช้เขาหมดเมื่อไหร่ เราก็ได้เป็นไทเอง...ขอบคุณค่ะ
     
  10. นักขัต

    นักขัต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +777
    ผมก้อคนนึงที่ถูกคนทำร้ายมา
    ทุกวันนี้ยังเห็นเขาได้ดิบได้ดี การงานรุ่งเรือง ความรักก้อดี ดีทุกอย่าง
    เขากตัญญู เข้าวัดทำบุญ
    แล้วงี้พอเค้าทำความดีเยอะๆๆๆแล้ว กรรมก้อตามเขาไม่ถึงสิครับ

    แล้วความยุติธรรมอยู่ที่ไหน
     
  11. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    ขอคั่นรายการหน่อยนะ.....


    อยากชวนทำบุญถวายตู้พระไตรปิฎกชุดใหญ่และ CD เสียงอ่านพระไตรปิฎก ถวายหลวงปู่บุญญฤทธิ์...
    (10 เมษายน 2553..เวลา 11.30 น.) ด้วยกัน...

    อันนี้ร่วมทำกับเพื่อนๆๆ สมาชิกเวปพลังจิตค่ะ...ตั้งใจจัดขึ้นมาเอง....บุญใหญ่ บารมีมาก ทำคนหรือสองคน ไม่ดีแน่..
    เลยอยากขอเชิญชวนทุกท่าน ที่ผ่านมาเห็นข้อความนี้ มาร่วมสร้าง และสะสมปัญญาบารมีร่วมกันค่ะ.......

    ท่านสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์นี้นะคะ....

    บันทึกบาปและกรรมของข้าพเจ้า ห้องกฏแก่งกรรม เขียนโดย ปานโสม
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8....89898/page-90
     
  12. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398

    อย่าคิดอย่างนั้นเลยครับ คิดจะใช้กรรม แต่มันไม่หมดสักที ทั้งนี้เป็นเพราะบาปกรรมก็เหมือนทุกอย่างในโลกนี้ มันไม่ได้คงที่แต่มีการแปรผันตลอดเวลา ถ้าเราระลึกถึงบาป ใจขุ่นมัวเมื่อไร บาปมันจะขยายทันทีครับ ที่คิดว่าจะหมด มันก็ไม่ยอมหมดสักที มีก๊อก 2 ก๊อก 3 ตามมา ดังนั้นอดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด อย่าไปนึกถึงอีก แล้วก็ให้ใจอย่าได้ว่างจากบุญ หมั่นระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย บาปที่มีก็จะเล็กลง เหมือนบุญครับ ถ้าตามระลึกถึง บุญก็จะเพิ่มขึ้นทุกวินาที บาปก็ทำนองเดียวกัน
     
  13. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เห็นใจและเข้าใจนะครับ ผมก็เคยประสบมาก่อน แต่ความแค้นไม่ได้ทำร้ายใครนอกจากตัวเองครับ บาปกรรมเมื่อทำไว้ ก็จะติดตามผู้ทำนั้นเหมือนดังหมาล่าเนื้อ เมื่อบุญส่งผลอยู่ บาปกรรมก็ยังไม่ได้ช่อง แต่เมื่อใดบุญหย่อนลง บาปกรรมก็จะตามสนองผู้นั้นเอง ซึ่งอาจไม่ใช่ภพชาตินี้ นี่ละครับที่เรียกว่าความยุติธรรม เพราะกรรมจะตามสนองให้แก่เจ้าของกรรมนั้นๆอย่างเที่ยงตรงเสมอ แต่ว่าเราก็ไม่ควรยินดีในความหายนะของผู้ใดทั้งสิ้น แม้ว่าจะเป็นศตรูกันก็ตาม เพราะในภพชาติอันยืดยาว คนที่เคยเป็นอริกับคุณ ก็อาจเคยเกิดเป็นพ่อแม่ หรือพี่น้องกับคุณในชาติใดชาติหนึ่งกันมาก่อน บางชาติก็อาจทำไม่ดีต่อกัน บางชาติก็อาจอุปการะเป็นผู้มีพระคุณแก่เรา
    การผูกเวรกันไว้ มีแต่จะทำร้ายตัวเอง สิ่งที่คุณประสบในภพชาติปัจจุบัน บางทีอาจเป็นเพราะภพชาติในอดีตเคยทำร้ายเขาไว้ก่อน จึงเป็นเหตุให้เขามาเอาคืน ลองศึกษาเรื่องราวกับผูกเวรต่อกันจากที่พระพุทธองค์นำมาแสดงไว้เผื่อจะทำให้คุณคลายจากความแค้นนะครับ

    ---------------------------------------------------------------------

    เรื่องยักษิณีชื่อกาลี

    ที่เมืองสาวัตถี
    มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เมื่อบิดาสิ้นชีพแล้วก็ทำงานด้วยตนเองทั้งในบ้านและนอกบ้านเลี้ยงมารดาอยู่ มารดาสงสารเขาจึงบอกว่าจะนำหญิงคนหนึ่งมาให้เป็นภรรยาเพื่อจักได้แบ่งเบาภาระในบ้านไปเสียบ้าง แต่ลูกชายก็ห้ามเสียหลายครั้งหลายหนเขาบอกแม่ว่ายังไม่ต้องการ

    แต่ฝ่ายแม่ต้องการ จึงออกจากบ้านจะไปสู่ตระกูลหนึ่งลูกชายจึงว่า หากแม่จะไปนำหญิงมาให้ได้จริงๆ แล้ว ก็จงไปสู่สกุลที่ลูกชอบเขาได้บอกชื่อสกุลให้มารดา


    มารดาของเขาไปสู่ขอหญิงสกุลนั้นมาให้บุตรชายแล้วแต่หญิงนั้นเป็นหมัน หญิงผู้มารดาจึงพูดกับบุตรว่า อันตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมขาดสูญเพราะฉะนั้น แม่จะไปนำหญิงอีกคนหนึ่งมาให้ภรรยาของเจ้า บุตรชายกล่าวว่าอันการจะไปนำหญิงอื่นมาอีกคนหนึ่งนั้น ไม่จำเป็นแต่มารดาก็ยังพูดอยู่บ่อยๆ

    หญิงสะใภ้ได้ยินบ่อยๆ จึงคิดว่า "ธรรมดาบุตรย่อมฝืนมารดาไปได้ไม่นาน อีกสักหน่อยก็คงยอมให้นำสตรีอื่นมา หากเธอมีลูกตัวเราก็จะลดฐานะลงมาเป็นหญิงรับใช้ อย่ากระนั้นเลยเราควรจะจัดการหาหญิงนั้นเสียเองเพื่อจักได้อยู่ใต้อำนาจของเรา"

    นางคิดดังนี้แล้วจึงไปนำหญิงอันคุ้นเคยกับเธอจากตระกูลหนึ่งมา

    ทีแรกๆ ก็ดี แต่พอนานเข้ามีจิตริษยาบ้าง ด้วยความกลัวว่าตนจะตกต่ำ หากภรรยาน้อยมีลูกบ้างนางจึงคิดทำลายครรภ์ของภรรยาน้อย นางได้สั่งไว้ว่าเมื่อใดมีครรภ์ขอให้บอกนางแต่เนิ่นๆ

    ภรรยาน้อยพาซื่อ คิดว่าเขาหวังดีกับตัวพอตั้งครรภ์ก็บอก นางเมียหลวงจึงประกอบยาใส่ลงไปในอาหาร โดยทำนองนี้ครรภ์ของภรรยาน้อยจึงตกไป แท้งถึง 2 ครั้ง

    พอครั้งที่สามภรรยาน้อยไปปรึกษากับเพื่อน พวกเพื่อนๆ พูดเป็นทำนองให้เฉลียวใจถึงภรรยาหลวง นาง<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]จึงระวังตัว คราวนี้ไม่ยอมบอก</st1:personName> พยายามถนอมจนครรภ์แก่นางเมียหลวงไม่ได้ช่องที่จะผสมยาลงไปในอาหารได้ เพราะเขาระวังตัวอยู่จนกระทั่งครรภ์แก่ นางจึงได้โอกาส แต่ครรภ์ไม่ตก เพราะแก่เสียแล้วแต่กลับนอนขวาง

    ภรรยาน้อยได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสจนสิ้นชีวิตก่อนสิ้นชีพได้อธิษฐานขอจองเวรกับหญิงนั้นนางตายแล้วไปเกิดเป็นแมวตัวเมียในเรือนนั่นเอง

    ฝ่ายสามีของนางรู้ว่าภรรยาหลวงประกอบยาทำลายครรภ์ของภรรยาน้อยถึง 3 ครั้ง โกรธจัดประหารภรรยาหลวงเสียถึงตาย นางไปเกิดเป็นแม่ไก่

    พอแม่ไก่ตกไข่แมวก็ไปกินเสียถึง 3 ครั้ง แม่ไก่ผูกพยาบาทขอให้ได้เกิดเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่พอทำร้ายนางแมวได้แม่ไก่ไปเกิดเป็นแม่เสือเหลือง ส่วนนางแมวไปเกิดเป็นแม่เนื้อ พอแม่เนื้อคลอดลูกแม่เสือเหลืองก็มากินเสียทุกครั้ง

    แม่เนื้อผูกพยาบาทตายจากชาตินั้นไปเกิดเป็นนางยักษิณี แม่เสือไปเกิดเป็น

    หญิงชาวบ้านธรรมดาเมื่อหญิงนั้นคลอดลูก นางยักษิณีก็ปลอมแปลงตัวเป็น
    หญิงสหายของเธอมากินลูกเสียทุกครั้ง

    พอครั้งที่ 3 หญิงนั้นหนีไปคลอดลูกที่อื่นและนางยักษิณีก็ติดเข้าเวรส่งน้ำให้
    ท้าวเวสสุวรรณเสียหลายเดือนพอออกเวรก็รีบมายังบ้านของหญิงนั้น ทราบว่า เธอไปคลอดลูกที่บ้านเดิมคือบ้านพ่อแม่ของนาง

    ยักษิณี อันกำลังแห่งเวรให้อุตสาหะแล้วรีบวิ่งไปยังบ้านนั้น เวลานั้น หญิงคู่เวรคลอดลูกแล้ว กำลังกลับมาพร้อมด้วยสามีมาถึงสระแห่งหนึ่งหน้าวัดเชตวัน สามีลงอาบน้ำในสระ นางยืนอุ้มลูกให้ดื่มนมคอยอยู่เหลียวมาเห็นนางยักษ์กำลังวิ่งมาอย่างเร็ว จึงร้องตะโกนให้สามีขึ้นมาช่วยเมื่อเห็นว่าสามีจะขึ้นมาไม่ทัน นางยักษ์วิ่งมากระชั้นชิดแล้วนางจึงอุ้มลูกวิ่งหนีเข้าวัดเชตวัน

    เวลานั้นพระศาสดากำลังประทับแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัทในธรรมสภาเธอนำลูกไปวางไว้ใกล้บาทแห่งพระผู้มีพระภาค ละล่ำละลักทูลว่า "ขอได้โปรดเป็นที่พึ่งของเด็กคนนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

    นางยักษ์วิ่งไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด พอถึงประตูวัดเชตวัน สุมนเทพ ผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตูไม่ยอมให้เข้า

    พระศาสดาทรงทราบเหตุการณ์ทั้งปวงโดยตลอด รับสั่งให้พระอานนท์
    ไปนำนางยักษ์เข้ามาเมื่อหญิงนั้นเห็นนางยักษ์เข้ามาก็ตกใจกลัว ร้องขอให้พระศาสดาช่วยศาสดาตรัสปลอบว่า

    "
    อย่ากลัวเลย ณ ที่นี้ นางยักษ์จะทำอันตรายไม่ได้" ดังนี้ตรัสกับนางยักษ์ว่า

    "
    ดูก่อนยักษิณี และกุลธิดา เพราะเหตุไรเจ้าทั้งสองจึงจองเวรกันเช่นนี้ ถ้ามิได้พบตถาคต เวรของเจ้าทั้งสองก็จะดำรงอยู่ชั่วกัปป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน หมีกับไม้สะคร้อและ กากับนกเค้า เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนี่เป็นธรรมเก่า"

    พระศาสดาทรงยังพระธรรมเทศนาให้พิสดารโดยอเนกปริยายในการจบเทศนา นางยักษ์ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นโสดาบัน เป็นผู้มีศีล 5 สมบูรณ์ พระศาสดารับสั่งให้หญิงนั้นส่งลูกให้ยักษิณี กุลธิดากราบทูลว่า เธอกลัว พระศาสดาตรัสว่าอย่ากลัวเลย อันตรายจากยักษิณีไม่มีแล้ว นางจึงส่งลูกให้, นางยักษ์รับเด็กมากอดจูบแล้วส่งคืนให้มารดาแล้วร้องไห้ พระศาสดาตรัสถามว่าร้องไห้ทำไม นางทูลว่า

    "
    ข้าแต่พระองค์! เมื่อก่อนนี้ข้าพระพุทธเจ้า หากินโดยไม่เลือกทาง ก็ยังไม่สามารถหาอาหารมาให้พอเต็มท้องได้บัดนี้ ต่อจากนี้ไปข้าพระพุทธเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?"

    พระศาสดารับสั่งให้หญิงนั้นนำนางยักษ์ไปเลี้ยงไว้ที่บ้าน ให้ข้าวและน้ำกระทำอุปการะอย่างดี


    ยักษิณีรู้อุปการะของหญิงนั้นแล้ว ช่วยบอกว่าปีนี้ฝนจะตกมากให้ทำนาบนที่ดอน, ปีนี้ฝนจะตกน้อยให้ทำนาในที่ลุ่มกุลธิดาได้ทำตามคำแนะนำของยักษิณีได้ข้าวดีทุกปี

    คนชาวบ้านทั้งหลายรู้ข่าวเข้าก็ชวนกันมาถามบ้างยักษิณีก็บอกให้ คนทั้งหลายได้นำข้าว น้ำ และผลไม้มาให้ยักษิณีเป็นการตอบแทนทั้งสองฝ่ายต่างมีอุปการะซึ่งกันและกันด้วยประการฉะนี้

    เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวรแต่ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ดังพรรณนามาฉะนี้
    ----------------------------------------------------------------------------------

    เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไปครับ ความแค้นใดๆก็เป็นแค่เวรกรรมที่ผูกพันกันมา พระบรมศาสดาเมื่อตอนยังสร้างบารมีเป็นทีฆาวุกุมารก็แค้นคนที่ฆ่าพ่อ แต่ที่สุดแล้วพระองค์ก็ให้อภัยทานซึ่งกันและกัน ยังไงก็เอาอย่างพระบรมโพธิสัตว์เถอะครับ
     
  14. สีชมพู

    สีชมพู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +72
    ดีมาก ๆ เลยค่ะ ตอนนี้ก็กำลังรับกรรมอยู่ค่ะ แต่ก็ยังทำความดีอยู่เสมอๆ ขอบคุณนะคะ บทความนี้ให้ความกระจ่างเรื่องกรรมได้เยอะเลยค่ะ อนุโมทนาค่ะ
     
  15. pacio

    pacio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2009
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +536
    เข้าใจชีวิตได้อีกเยอะเลยครับ ขอบคุณมากครับ อนุโมทนาด้วยครับผม ^__^
     

แชร์หน้านี้

Loading...