เบื้องหลังภัยพิบัติของโลก ก็คือพวกเรา (หรือพวกมีพลังจิตแรงๆ) ที่ตอกย้ำภาพน่ากลัวให้กลายเป็นจริงหรือเปล่า ?

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Gow27, 28 พฤษภาคม 2009.

  1. Gow27

    Gow27 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +19
    ผมเพิ่งมีโอกาสเข้ามาในเว็บพลังจิตในช่วงที่กระแสเรื่องล้างโลกกำลังมาแรง และหลังจากได้เคยได้ยินได้ฟังข้อมูลข่าวสารตามฟอร์เวิร์ดเมล์ หรือสนทนากับผู้ที่เชื่อหรือใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์ในเรื่องเหล่านี้ รวมทั้งเห็นกระทู้ต่างๆ บนเว็บบอร์ดที่พยายามกระจายข่าวอย่างแพร่หลายแล้ว จึงอยากแสดงความเห็นด้วยความเป็นห่วงไว้ในกระทู้นี้ครับ

    เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินสัจธรรมเกี่ยวกับ "กฎแห่งแรงดึงดูด" ที่ฝรั่งเขาเพิ่งค้นพบและตื่นเต้นกันไปทั่วโลกแล้วใช่ไหม ?

    แท้จริงแล้วกฎแห่งการดึงดูดเป็นสัจธรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติมาตลอด พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและตีแผ่ไว้หลายพันปีในรูปของหลัก 'ปฏิจสมุปบาท' ที่กล่าวถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้รูปนามต่างๆ อุบัติขึ้น ดำเนินไปตามกระบวนการของธรรมชาติ ซึ่งหลักธรรมนี้เองที่ยืนยันว่า สิ่งที่จิตเราคิดปรุงแต่งจะเป็นมูลเหตุสำคัญในการชักนำ 'ภพ' หรือรูปแบบชีวิตหรือเหตุการณ์ต่างๆ ให้เกิดในชีวิตของเรา โดยสนองภาพในใจที่เรากำหนดหมายเอาไว้ก่อนหน้า

    ดังนั้น ผู้ที่เสพแต่ข่าวเรื่อง ความวิบัติหรือหายนะล้างโลกอะไรทำนองนี้เยอะๆ นะครับ........ คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าคุณกำลังมีส่วนให้สิ่งที่คุณกลัวเกิดขึ้นจริงๆ !!

    ขอร้องเถอะ ผมเห็นคนจำนวนมากตื่นกลัว แล้วก็สร้างภาพน่าพรั่นพรึงในจิตใจมาตั้งแต่ปี 2000 (ตามคำทำนายของนอสตราดามุสหรือในคัมภีร์ไบเบิล) ไล่มาจนถึงปี 2009 กระแสก็มาตกอยู่ที่ปฏิทินของชาวมายาหรือพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาที่อ้างว่าจะเกิดหายนะกวาดล้างมนุษย์ชาติจนแทบสูญสิ้นในปี 2012 ที่จะถึงนี้อีก จนทำให้ผมเริ่มกังวลจริงๆ เสียแล้วว่า ........

    สิ่งเหล่านี้มันจะสัมฤทธิ์ผลจริงๆ เพราะพวกเราเองนั่นแหละครับที่เผลออธิษฐานอย่างไม่รู้ตัว ฝังความรู้สึกบางอย่างโดยขาดสติ...จนมันสะสมพอกพูนกันมาเป็นสิบปีแล้ว ยิ่งคนที่มีพลังจิตสูง ยิ่งเชื่อ ยิ่งหวาดกลัว ยิ่งเพ่งจ้อง ...ตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าเมื่อไหร่ ภาพนิมิตของตัวเองจะเป็นจริงซักที (เพื่อจะได้ประกาศว่า "เห็นมะ เป็นไง กูบอกพวกมึงแล้วก็ไม่เชื่อ") การที่คุณทำแบบนี้ จะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเพราะขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎธรรมชาติ ก็เท่ากับพวกคุณใส่พลังงานเชิงลบเหล่านั้นเข้าไปในระบบธรรมชาติให้ปัจจัยที่เลวร้ายอยู่แล้ว แย่ลงอีกหลายเท่า และพวกคุณเองก็คือหนึ่งในฆาตรกรตัวจริง... ที่ทำให้ฟันเฟืองของหายนะเสร็จสมบูรณ์ สมกับการรอคอย (และเผลอใส่พลังผลักดันลงไปด้วยอวิชชา)

    น่ากลุ้มครับ -__-a
    สมัยพุทธกาล มีพระอรหันต์รูปหนึ่ง ท่านเป็นผู้ทรงอภิญญา สามารถล่วงรู้วิบากกรรมของผู้อื่นได้ ครั้งหนึ่งท่านเห็นสามเณรรูปหนึ่งชะตาถึงฆาต จะต้องตายภายใน 7 วัน ท่านจึงบอกเณรน้อยผู้นั้นให้ทราบและสั่งให้ไปร่ำลาพ่อแม่ เณรเดินทางไปตามคำของอาจารย์ ระหว่างทางพบปลาหลายตัวขึ้นเกยฝั่งกำลังดิ้นกระแด่วๆ อยู่ ท่านเกิดความสงสารเลยปล่อยปลานั้นลงแม่น้ำ และปรากฏว่า ผ่านไป 7 วันท่านก็ยังไม่ตายซักที

    อาจารย์สงสัยมาก ถามว่าระหว่างนั้น เธอไปทำอะไรมา? เณรตอบว่าได้ไปช่วยปลา อาจารย์ท่านจึงทราบว่าเพราะกรรมใหม่นั่นเองที่เปลี่ยนแปลงอนาคต โดยสารเณรผู้นั้นมีอายุยืนถึง 120 ปี เรื่องนี้แสดงไว้ในพระสูตร ... และประเด็นที่น่าจะเทียบเคียงได้ง่ายๆ ก็คือ
    (1) พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาในสมัยพุทธกาลรูปนั้น จะมีญาณด้อยกว่าพระเกจิอาจารย์หรือผู้มีญาณทั้งหลายในกลียุคนี้...ซึ่งเราไม่อาจทราบภูมิธรรมของท่านว่าบรรลุธรรมขั้นใด กระนั้นหรือ? ...และ (2) ถึงพระเกจิอาจารย์หลายท่านจะพร้อมใจกันเห็นภาพหายนะโดยมิได้นัดหมายก็ตาม ท่านก็เตือนพวกเราด้วยจิตที่ประกอบด้วยความเมตตากรุณา และความ "เป็นกลาง" ต่อนิมิตที่เห็นเหล่านั้น ซึ่ง (3) ไม่ใช่หน้าที่ของผู้รับสารที่จะเอา 'เจตนา' ที่ประกอบด้วบความหวาดกลัวหรือความวิตกกังวล จนขึ้นสมองไปปลูกฝังเพิ่มเติ่ม จนกลายเป็นอุปกรณ์ของกรรมที่จะทำให้กระบวนการนี้สมบูรณ์ ด้วยอำนาจอวิชชา ...และสาระทั้งหมดของเรื่องก็อยู่ตรงนี้แหละครับ

    ยิ่งคุณคิดหมกมุ่นกับสิ่งใดมาก พลังงานที่เกิดจากความคิดแง่ลบ (หรือบวก) ก็จะดึงปรากฎการณ์นั้นๆ ให้เกิดขึ้นจริง ตามอำนาจของจิตนิยาม ที่อาศัยกลไกของกรรม เป็นปัจจัยร่วม ...

    ดังนั้น ขอร้องผู้มีพลังจิตหรือนักปฏิบัติทั้งหลาย ได้โปรดศึกษากฎธรรมชาติที่มาจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ถ่องแท้แล้วสร้างทัศนคติที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นแทนจะดีกว่าไหม ?

    สิ่งที่เรารับทางอายตนะ เป็นผลพวงจากความคิด และการกระทำทางกายหรือวาจา ก็เป็น อนิจจัง..คือสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา รวมถึงเป็นอนัตตา...คือเกิดตามเหตุปัจจัยทุกกระเบียดนิ้ว รวมถึงเหตุปัจจัยปัจจุบันที่เราสร้างอยู่ทุกขณะจิตด้วย ! ถ้าปัจจุบันกรรมของคุณกำหนดภาพอนาคตที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย ความตาย และความย่อยยับไว้เป็นจุดหมาย ก็เท่ากับคุณได้ขีดเส้นอนาคต...ซึ่งเดิมที อยู่ในสภาพของโลกคู่ขนาน (ตามหลักธรรมะและควอนตัมฟิสิกส์) ให้มันลงเอยในกรอบที่คุณสร้าง ด้วยสภาพที่หมดหวังหรือปักใจเชื่ออย่างแรงกล้าว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น โดยปฏิเสธทางเลือกอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง

    เราต้องคิดแต่สิ่งดีๆ ย้ำนะครับ... คิดแต่สิ่งดีๆ
    คิดถึงภาพที่ร่มเย็นเป็นสุขของโลก ภาพที่ทุกอย่างสามารถคลี่คลายผ่านพ้นไปได้ด้วยดี โดยไม่เกิดเรื่องร้ายแรง ! แล้วมุ่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แทนการสร้างอกุศลจิตด้วยความตื่นกลัว หวาดผวา หรือเชื่อในมงคลตื่นข่าวพวกนี้อย่างงมงาย แต่ไม่เคยคิดลงมือแก้ไขอะไรเลย...

    หันมาดูแลสิ่งแวดล้อมต่างๆ อย่างจริงจัง ช่วยกันรณรงค์ปลูกต้นไม้ รักษาธรรมชาติ อย่าใช้พลังงานสิ้นเปลือง อย่าทิ้งขยะลงแม่น้ำ ลดการปล่อยมลพิษใส่อากาศ หรือบริโภคทรัพยากรเกินความจำเป็น แล้วก็สำนึกรู้บุญคุณของธรรมชาติที่เราละเลยมานาน ช่วงนี้ฝนตกบ่อยใครที่เดินไปไหนมาไหน ลองสังเกตพวกแมลงหรือสัตว์เล็กๆ เช่น มด กิ้งกือ ลูกอ๊อด ว่ามันกำลังจมน้ำหรือเกยต้นอยู่รึเปล่า ... ช่วยกันครับ คนละไม้คนละมือ ช่วยกันสร้างระบบความคิดที่ถูกหลักวิชาการและพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นรวมถึงสร้างกรรมดีให้ครบ ทั้ง ทาน ศีล ภาวนา และ พยายามอธิษฐานบุญเหล่านี้ให้เกิดผลเป็นสันติสุขและความสงบปลอดภัยของโลก และทุกสรรพสิ่งบนโลกอย่างเท่าเทียม อย่าช่วยหรือทำดีแต่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น

    ใครมีพลังจิต (ตามชื่อเว็บ) หรือพลังสมาธิภาวนาขั้นฌาน ก็ถึงเวลาใช้มันอย่างสร้างสรรค์แล้วครับ ร้อยคนก็ร้อยพลัง หมื่นคนก็หมื่นพลัง ยิ่งมากคนก็ยิ่งมีอานุภาพรุนแรงจนสามารถยับยั้งหรือลบล้างสิ่งที่ผู้มีญาณหรือครูบาอาจารย์ได้เตือนเอาไว้ ... แต่ถ้าใจเป็นหมื่นๆ แสนๆ คิดแต่เรื่องลบๆ ตกเป็นทาสของเชื่อในสิ่งจอมปลอมที่เปลี่ยนแปลงได้ (ด้วยกฎไตรลักษณ์) ... ไม่คิดเหรอครับว่าไอ้พลังงานเลวร้ายพวกนี้แหละที่จะพลิกแกนโลกจนน้ำท่วมจริงๆ เข้าซักวัน ?!

    เวลาเราไปดูหมอแล้วหมอดูบอกว่าวันพรุ่งนี้เราจะถูกรถชนตาย ทางแก้ไขคือการหลบอยู่ในบ้าน หรือถ้าจำเป็นต้องออกไปข้างนอกจริงๆ จะเดินเหินหรือขับรถก็ต้องระมัดระมังตัวเต็มที่ ปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท รวมถึงอัดบุญกุศลทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เช่น ควบคุมอารมณ์ตัวเอง เจริญสติ รักษาศีลข้อ 1 เคร่งครัด ช่วยเหลือทุกคนที่กำลังเดือดร้อน หรือซื้อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าไปปล่อยเยอะๆ เป็นต้น ก็น่าจะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้
    ... คุณไม่ได้ดูหมอเพื่องอมืองอเท้านอนรอความตาย แต่ดูเพื่อเตรียมตัวป้องกันและพยายามถึงที่สุดที่จะไม่ให้เรื่องร้ายเกิดขึ้นครับ

    ถ้าบุญของสัตว์ทั้งหลายมากพอ กุศลจะดลบันดาล นิยามต่างๆ ทั้ง อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม และธรรมนิยาม ให้ถึงพร้อมแก่การอยู่รอดของทุกคนเองครับ

    คิดใหม่ทำใหม่ เลิกกลัวลนลานหรือคิดแต่จะเอาตัวรอด แล้วหันมาสร้างกุศล (มหาชน) ที่เป็นรูปธรรมจริงจังกันเถอะนะ

    ปล. งานวิจัยเขาก็ระบุออกมาแล้วนะว่า ถ้ามนุษย์ไม่รีบแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ไม่เกิน 2-3 ปีนี้โลกก็จะเข้าสู่ภาวะที่ไม่มีทางฟื้นคืนได้ตลอดกาลแล้ว ข้อมูลการศึกษาต่างๆ พวกนี้มีให้เราเตรียมรับมือกับปัญหาก่อนมันจะเกิดขึ้น
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ไม่ใช่ครับ เหตุแห่งภัยพิบัติทั้งปวงเกิดจากผลของกรรมโดยรวมของชาวโลกทุกๆคนที่สะสมตัว

    คนละเลยจากศีลธรรมความดีงามของจิตใจ

    โลภในการบริโภค กอบโกยทรัพยากร ของโลก

    โกรธ เกลียด แบ่งแยก เชื้อชาติ ศาสนาจน ฆ่่าฟัน ทำลายล้างกันอย่างไร้มนุษยธรรม

    หลงในวัตถุ หลงในมายาจนลืมเลือนธรรมครับ


    ลองพิจารณาให้ลึกซึ้งครับ

    ส่วนท่านที่ทรงพลังจิตอภิญญา ท่านเล็งเห็นด้วยญาณทัศนะ แล้วจึงเมตตากล่าวเตือน ชาวโลกด้วยเมตตา ปรารถนาให้กลับตัว กลับจิตใจกันเพื่อ ผ่อนหนักเป็นเบาก็ดี เพื่อบุคคลที่พึงมีวาสนาจะได้สร้างสมกุศลจนพ้นวิบากไปได้บ้าง

    ดังนั้นหากเราไปกล่าวโทษท่าน จะเกิดโทษ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่เจตนาได้
     
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ขอให้โลกสงบสุข ขอให้ทุกคนรักกัน รักตัวเอง เเล้วอย่าลืมรักคนรอบข้างนะคะ

    เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าวันสุดท้ายของชีวิตเราเป็นวันนี้

    คุณจะทำอะไรมั้ง?

    คุณจะบอกรักใครมั้ง?

    คุณจะขอบคุณใครมั้ง?

    ความตายไม่ได้น่ากลัวหรอกคะ

    เเต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การพลัดพราก

    ถ้าวันนี้ คือ วันสุดท้ายของชีวิตคุณ คุณจะทำอะไรมั้ง?

    ขอบคุณเเม่โลกที่มอบสิ่งต่างๆให้ตั้งเเต่เกิดจนวันนี้

    ถ้าหนูมีโอกาสบอกรักใครเป็นครั้งสุดท้าย

    หนูจะกราบแผ่นดิน

    หนูจะกราบอากาศ

    หนูจะกราบเเม่น้ำ

    หนูจะกราบธรรมชาติที่สร้างให้หนูเป็นคนดีทุกวันนี้

    ถ้าวันนี้หนูต้องตายหนูจะไม่เสียใจ

    ที่ได้ตายที่นี้ บนโลกใบนี้ที่สวยงาม

    ขอบคุณคะเเม่โลก

    หนูรักเเม่ที่สุดในจักรวาลคะ

    [​IMG]


    [music]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid[/music]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2009
  4. Gow27

    Gow27 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอบคุณสำหรับความเห็นนะครับ

    ลองอ่านละเอียดนิดหนึ่ง แล้วจะทราบว่าผมไม่เคยกล่าวโทษผู้มีอภิญญาที่ท่านมีญาณทัศนะนะครับ

    และที่กล่าวว่า สิ่งมนุษย์ต้องรับผลนั้น เป็นเพราะกรรมที่เราได้สร้างไว้ก็ถูกต้องเช่นกันครับ เพราะ อารมณ์ที่เรารับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ผ่านทาง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ นั้น ก็ล้วนเป้นผลมาจาก กุศลหรืออกุศลกรรมทั้งสิ้น

    แต่อย่าลืมนะครับว่า ทุกความคิด จิตทุกขณะที่เกิดขึ้น ก็ล้วนเป็นมโนกรรมเช่นกัน
    ถ้ารู้ข้อมูลแล้วจิตเราเกิด โลภะ โทสะ หรือโมหะ .... โดยเฉพาะในที่นี้สำหรับผู้ที่เกิด "โทสะ" หรือความหวาดกลัว ความวิกตกังวล ต่างๆ นั้นเท่ากับกำลังสร้างมโนกรรมใหม่ขึ้น ณ ปัจจุบันนั้นแล้วครับ และมโนกรรมที่ปราศจากสติระลึกรู้สภาพความเป้นจริงที่ปรากฏ เผลอสร้างภาพแห่งความวอดวาย "ต่อยอด" จากข้อมูลบริสุทธิ์ที่ได้รับ ... นั่นคือการสร้างกรรมใหม่ ที่เป็นอกุศลและยิ่งถ้าฝังใจกับความรู้สึกนี้มากๆ เชื่อมั่นมากๆ ก็จะเป็นผลทางจิตนิยาม ให้เกิดการสร้าง "ภพ" ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ไปขับเคลื่อนกลไกของความวอดวายให้เกิดขึ้นได้แน่นอนครับ

    ยกเว้นผู้ที่รู้ข้อมูลเหล่านี้แล้วจิตเกิดกุศล ด้วยทัศนคติที่เป็นบวก ผลที่เกิดสืบเนื่องต่อจากจิตลักษณะนี้ ก็จะสร้างวิบากให้แตกต่างกันออกไปครับ

    ถ้าใครบอกว่า กรรมเก่าถูกกำหนดมาแล้ว ยังไงก็ต้องเกิดขึ้นชัวร์... นั่นไม่ใช่พุทธศาสนานะครับ
    เพราะสังขารธรรมทั้งหลาย เกิด-ดับ อยู่ทุกขณะ ไม่มีอะไรที่เที่ยงได้เลย
     
  5. Gow27

    Gow27 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอตอบคุณ Kananun ดังนี้ครับ

    >>>ไม่ใช่ครับ เหตุแห่งภัยพิบัติทั้งปวงเกิดจากผลของกรรมโดยรวมของชาวโลกทุกๆคนที่สะสมตัว ....

    อันนี้ขอให้แยก กรรมเป็นสองส่วนใหญ่ๆ ก่อนนะครับ คือ 1.กรรมจากอดีต และ 2.กรรมจากปัจจุบัน

    กรรมจากอดีต เป็นผลให้ (อาจ) จะเกิดภัยพิบัติหรือเรื่องร้ายๆ ในอนาคตได้ แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับ ปัจจุบันขณะนั้นๆ ด้วยว่า เรากำลังสร้างกรรมอะไรในระหว่างทางไปถึงเวลาเสวยผลของกรรมเก่า

    ถ้าปัจจุบันเราไม่ได้สร้างกุศลกรรมใดๆ นอกจากต่อยอดเชื้อกรรมในอดีตให้เพิ่มพูนมากขึ้น ด้วยการทำทุจริตทางกาย วาจา และใจ รวมถึงที่น่ากลัวก็คือ ความไม่รู้ หรืออาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถึงการสร้างความรู้สึกทางใจบางอย่าง ก็อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติขึ้นจริงได้ (ตามกฎแห่งแรงดึงดูด -หลักปฏิจจสมุปบาท) เช่น ถ้าคนมีพลังจิตสูงคนหนึ่งเชื่อมั่นศรัทธาว่ามันต้อง "เกิดแน่ๆ" แล้วปักใจเชื่อเช่นนั้นเป็นจริงเป้นจัง ฝังภาพแบบนั้นทุกวัน พอไปนั่งสมาธิ ก็เอาสิ่งที่อยู่ในสัญญามาสร้างภาพต่อจนบรรเจิด แล้วก็ยึดมั่นในภาพทางจิตเหล่านั้น ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้แทรกแซงให้อนาคตนั้นๆ กลายเป็นจริงตามที่เห็นในนิมิตอีกด้วย

    ในทางตรงข้าม ถ้าปัจจุบัน ณ กรรม เป็นกุศล คือหลังจากรู้คำพยากรณ์แล้วจิตใจไม่ได้ประกอบด้วยโลภะ โทสะ หรือโมหะ พูดง่ายๆ ว่าไม่มีความกังวล รับรู้ด้วยความสงบ และพยายามแก้ไขด้วยสติปัญญา รวมถึงมีการสร้างทัศนคติที่ดีในการรับมือปัญหา ผลของกุศลกรรมเหล่านี้ (แม้จะแค่ทางใจ) ก็สามารถที่จะไปแทรกแซงให้อนาคตเปลี่ยนแปลงไปในทางอื่นได้เช่นกัน

    ดังนั้น อนาคต จึงไม่มีทาง แน่นอน ได้เด็ดขาดครับ เพราะกรรมใหม่ถูกสร้างขึ้นทุกขณะจิต และเกิดจากการตัดสินใจใหม่ได้ทุกขณะเช่นกัน แล้วอนาคตที่ 'แน่นอน' มันจะมาจากไหนหรือครับ?

    >>>โลภในการบริโภค กอบโกยทรัพยากร ของโลก
    โกรธ เกลียด แบ่งแยก เชื้อชาติ ศาสนาจน ฆ่่าฟัน ทำลายล้างกันอย่างไร้มนุษยธรรม
    หลงในวัตถุ หลงในมายาจนลืมเลือนธรรมครับ

    พวกนี้ก็เป็นปัจจัยได้ทั้งเก่าและใหม่ ผมไมได้ปฏิเสธเลยครับ

    >>>ส่วนท่านที่ทรงพลังจิตอภิญญา ท่านเล็งเห็นด้วยญาณทัศนะ แล้วจึงเมตตากล่าวเตือน ชาวโลกด้วยเมตตา ปรารถนาให้กลับตัว กลับจิตใจกันเพื่อ ผ่อนหนักเป็นเบาก็ดี เพื่อบุคคลที่พึงมีวาสนาจะได้สร้างสมกุศลจนพ้นวิบากไปได้บ้าง

    ตรงนี้เราน่าจะเห็นตรงกันนะครับ ผมเขียนไว้แต่แรกแล้ว
    ผมแค่พูดในแง่ที่ คนที่รับรู้ข้อมูลจากท่านแล้วมาสร้างอกุศลจิต เช่น ความหวาดกลัว ความตื่นตระหนก ต่อน่ะครับ ว่ามันจะมีผลร้ายตามมาจริงๆ โดยเฉพาะยิ่งคนที่ฝึกแต่สมาธิจนจิตทรงพลังแต่ขาดปัญญา ยิ่งมีแนวโน้มจะทำให้อกุศลจิตเหล่านี้มีพลังและดึงดูดสิ่งร้ายๆ เข้ามาได้เร็วขึ้น

    ตอบน้องเมย์

    >>>ถึงเมย์ และ เพื่อนๆจะไม่นำมาโพสต์ ยังไงๆ ภัยพิบัติ ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ไม่เกี่ยวเลยค่ะว่าสมาชิกพลังจิตจะมาตอกย้ำให้น่ากลัว มันคนละเรื่องค่ะ

    ผมได้ตอบประเด็นนี้ไปแล้วข้างบนครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  6. namaste

    namaste Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +55
    เอาเป็นว่าภัยพิบัติก็ช่างมันเต๊อะ
    เอาลมหายใจนี้ก่อนนะ
    จะเกิดไม่เกิด เหลืออีกกี่ปี
    ก็อย่าเำพิ่งไปปักใจหมกมุ่นกับมันมากเลย
     
  7. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    น่าจะเป็นจากผลกรรมที่มนุษย์ทั้งหลายกระทํามากกว่าครับ อนุโมทนาครับ
     
  8. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เข้าใจท่านเจ้าของกระทู้ครับ ท่านที่ฝึกสมาธิทรงฌาณ ถ้าคิดอะไรก็ควรระวัง เพราะผล

    ที่ตามมามันมีครับ อย่าคิดว่าไม่มี พระพุทธเจ้าถึงบอกให้คิดแต่สิ่งที่ดี ไม่เพ่งโทษผู้อื่นไงครับ

    แต่ถ้าคิดว่าจะเกิดแล้วมัวแต่คิด อยากให้รีบเกิดมากกว่าไม่เกิด อันนี้คงจะเกิดไวแน่ๆ เลย

    แต่มันไม่ใช่แบบนั้นนี่นา ก็เมื่อรู้ ก็ทำบุญ หาทางให้ภัยชะลอ ป้องกันประเทศทุกทาง

    โดยเร่งทำบุญ ปฏิับัติ สร้างบุญใหญ่ โดยให้ทุกคน ช่วยกัน คนละนิด คนละหน่อย

    แบบที่เห็นในโครงการบุญต่างๆ ในฟอรั่มนี้ และยังมีอีกทั่วประเทศเลยที่เรายังไม่รู้

    แต่ก็มีกลุ่มต่างๆ พยายามเร่งสร้างบุญใหญ่กัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2009
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    กฎแห่งเเรงดึงดูดมีจริง ดูง่ายๆจากในห้องนี้

    คนที่ชอบอ่านเเต่ข่าวภัยพิบัติก็จะเจอเเต่ข่าวภัยพิบัติรอบตัว

    คนที่ชอบความสงบก็จะเจอเเต่ความสงบ

    ตนเเลเป็นที่พึงเเห่งตน เราทำตัวเรา ให้ จิตสงบพอเเล้วคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2009
  10. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    แท้จริงแล้วอยู่ที่วิสัยทัศน์ มุมมองแต่ละบุคคล...ความจริงแล้วภัยพิบัติอยู่คู่กับโลกวัฎฎะสงสารนี้มานานแล้ว...เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป...เพียงแต่เรายังไม่เจอเหตุการณ์เข้ากับตัวเอง เลยคิดว่าเป็นเรื่องห่างไกล...ถ้าบุคคลที่พิจารณาข่าวสารภัยพิบัติแล้วน้อมนำมาเจริญมรณานุสติกรรมฐานได้...เพื่อดำรงความไม่ประมาทในชีวิต ก็จะเกิดประโยชน์มหาศาล...

    "
    วันหนึ่งพระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์กราบทูลตอบว่า นึกถึงความตายวันละเจ็ดครั้งพระเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"


    คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) หน้า ๑๓๔

    ๗. มรณานุสสติกรรมฐาน

    มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตายเป็นของธรรมดาของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด ความตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของธรรมดาที่ใครๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์อะไร? ปัญหาข้อนี้ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดาจริง แต่ทว่าเห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึงตนเองหรือญาติ คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวาย ไม่ต้องการให้ความตายมาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายามทุกทางที่จะไม่ยอมตาย ปกติของคนเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใครจะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน เอะอะโวยวาย ต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้ เป็นการดิ้นรนเหนือธรรมดา ไม่มีทางทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไรความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดาเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็น
    จริงว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา ไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็นสามอย่างด้วยกัน คือ

    ๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของพระอรหันต์ ท่านเสร็จ
    กิจ แห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด คือกิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่า ตายขาดตอน ไม่กลับมาเกิดอีก

    ๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็กๆ น้อยๆ ท่านหมายเอาความตาย คือ ความดับหรือการ
    เคลื่อน ไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่งๆ วันเวลาล่วงไป ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอด คือตายดับทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือเป็นความตาย คือตายทุกลมหายใจออก และเกิดต่อทุกๆ ลมหายใจเข้า อาหารเก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราว เมื่อสิ้นอำนาจของอาหารเก่า ร่างกายต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทน แต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทน ชีวิตก็จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของอาหารเก่าท่านถือว่าร่างกายต้องตายไปแล้วยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน ชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระหนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหารเก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลมหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกายก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุนทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกาย ว่ามีความตายเป็นปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ตายทีละเล็กละน้อย หรือตายเล็กๆ น้อยๆ

    ๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ กาลมรณะ แปลว่า ตายตามกาลตามสมัย ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุ อย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้ อกาลมรณะ แปลว่า ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย การตายประเภทหลังนี้พอมีทางต่อให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมในอดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ พวกตายตามแบบกาลมรณะ ตายไปแล้วเสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายตามแบบอกาลมรณะนี้ ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสีแสวงหาที่เกิดก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำไว้ ขณะที่ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้น ต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ ท่องเที่ยวไปตามความต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า ตายโหงนั่นเอง เช่น ถูกฆ่าตาย คลอดลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัดตาย รวมความว่าตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตามธรรมดา เรียกว่า อกาลมรณะ คือตายก่อนกำหนดตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วยเหลือ สามารถช่วยให้พ้นตายได้ เช่นที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์ หรือต่ออายุ การสะเดาะเคราะห์ หรือต่ออายุนั้นต้องทำโดยธรรมจริงๆ และรู้จริงจึงใช้ได้ แต่ถ้าต่อแบบหมอต่อยังมืดมนท์ด้วยกิเลสแล้วไม่มีทางสำเร็จผล ไม่ต่อดีกว่า ขืนต่อก็เท่ากับไปต่อชีวิตหมอให้มีความสุข ส่วนผู้ต่อกลายเป็นผู้ต่อทุกข์ไป เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาในพระสูตร คือเรื่องของท่าน อายุวัฒนสามเณร

    เรื่องย่อดังนี้
    วันหนึ่ง บิดามารดาพาท่านเมื่อยังเกิดไม่กี่เดือนไปหาพระพุทธเจ้า (ขอเล่าลัดๆ) เมื่อบิดาลาพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า “ทีฆายุโก โหตุ” แปลว่า ขอเธอจงมีอายุยืนนาน พอแม่เข้าลาท่านก็ว่าอย่างนั้น ตอนท้ายสองผัวเมียให้ลูกชายกราบลาท่าน ท่านไม่พูด คือท่านเฉยเสีย สองผัวเมียแปลกใจ ถามว่า เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันสองผัวเมียกราบลาพระองค์ให้พรว่า ขอเธอจงมีอายุยืนนาน แต่พอเกล้ากระหม่อมฉันให้ลูกชายลา พระองค์ทรงนิ่ง เหตุอะไรจะมีแก่บุตรชายเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองหรือพระพุทธเจ้าข้า

    พระองค์ตรัสตอบว่า เพราะบุตรชายของเธอจะตายภายใน ๗ วันนี้ ตถาคตจึงไม่กล่าวอย่างนั้น สองผัวเมียฟังแล้วตกใจ ขอให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์สั่งให้ไปปลูกโรงพิธีกลางลานบ้าน แล้วให้เอาพระไปนั่งล้อมเด็กสวดพระปริตรครบ ๗ คืน ๗ วัน พอวันที่ ๗ เป็นวันตายของเด็ก เพราะยักษ์จะมาเอาชีวิตวันนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จเอง เมื่อพระองค์เสด็จ พรหมและเทวดาผู้ใหญ่มามาก ยักษ์เข้าไม่ถึง พอครบเวลาที่ยักษ์จะเอาชีวิต หมายความว่า ถ้าเลยเวลาเขาทำไม่ได้ เขาทำตามกฎของกรรมว่าจะให้ตายเวลาเท่าใด เวลาเท่านั้นเขาจะต้องทำให้ได้ ถ้าเลยเวลาแล้วเขาก็ไม่ทำ พอเลยเวลาที่เด็กจะต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านก็พาพระกลับ เลิกพิธี ก่อนกลับพระองค์ให้พรแก่เด็กว่า ทีฆายุโก โหตุ ต่อมาเด็กคนนั้นมาบวชเณรเมื่ออายุ ๗ ปี ได้สำเร็จพระอรหันต์ ท่านมีอายุครบ ๑๒๐ ปี จึงนิพพาน

    พวกอกาลมรณะนี้ต่อได้อย่างนี้ แต่การต่อต้องเป็นผู้รู้จริงทำถูกต้องจริง และการทำให้ต้องไม่ปรารภสินจ้างรางวัล ทำเพื่อการสงเคราะห์จริงๆ จึงเกิดผล ว่าจะพูดเรื่องตายเป็นกรรมฐาน แอบมาเป็นหมอต่ออายุเสียแล้ว ขอวกกลับไปเรื่องมรณานุสสติใหม่

    นึกถึงความตายมีประโยชน์

    ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย ทำให้เป็นคนไม่ประมาท เพราะรู้ตัวว่าจะตาย จะได้แสวงหาความดีใส่ตัว โดยรู้ตัวว่าชาตินี้จนเพราะชาติก่อนให้ทานไว้น้อย ถ้าชาติหน้าไม่ยากจนอีก ก็พยายามให้ทานเสมอๆ ตามกำลังทรัพย์ที่พอจะให้ได้ และอย่าให้จนหมดตัว จะเกินพอดี ต้องให้พอเหมาะพอดี ไม่เดือดร้อนภายหลังนั่นแหละจึงจะควร

    รู้ตัวว่ามีโรคมาก ป่วยไข้ไม่สบายเสมอๆ ของหายบ่อยๆ รูปร่างสวยน้อยไป คนในบังคับบัญชาดื้อด้าน วาจาไม่ศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ความจำเสื่อม ถ้าต้องการให้สิ่งบกพร่องเหล่านี้สมบูรณ์ในชาติหน้า จะได้พยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ครบถ้วนแล้ว ก็จะได้รับอานิสงส์ มีอายุยืน รูปสวย ไม่มีโรคภัยรบกวน ไม่มีภัยจากโจรรบกวนทรัพย์สมบัติ คนในบังคับบัญชาอยู่ในโอวาทเป็นอันดี ไม่มีใครดื้อด้าน มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรเป็นนั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์

    ถ้าเห็นว่า มีปัญญาน้อย ไม่ใคร่ทันเพื่อน ก็พยายามเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน พอมีฌานมีญาณเล็กน้อย ในชาติต่อไปก็จะเป็นคนมีปัญญาเลิศ

    ถ้าเห็นว่า ความเกิดเป็นโทษเป็นทุกข์ เพราะการเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร มีตระกูลสูงส่งประการใดก็ตาม ต้องประสบกับความทุกข์อย่างมหันต์ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องการความเกิดอีกก็เร่งรัดเจริญสมถะให้ได้ฌานต้น แล้วเจริญวิปัสสนาญาณให้จบกิจพระศาสนา ซึ่งเป็นของไม่หนักเลยสำหรับท่านที่นึกถึงความตายเป็นปกติ หรือที่เรียกว่า เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน เพราะกรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานหลักสำหรับเจริญวิปัสสนาญาณ ท่านจะได้ดี เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องอาศัยการปรารภความตายเป็นปกติ แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ทิ้งมรณานุสสติกรรมฐาน คือนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ วันหนึ่งพระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์กราบทูลตอบว่า นึกถึงความตายวันละเจ็ดครั้งพระเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก การนึกถึงความตายตามปกติเป็นของดี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย เพราะผู้ที่คิดถึงความตาย รู้ตัวว่าจะตายแล้วย่อมไม่สั่งสมความชั่ว คอยปลีกตัวออกจากความชั่ว และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตายมาถึงแล้ว เพราะคิดอยู่รู้อยู่เสมอว่าเราต้องตายแน่ ความตายนี้หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้ กำหนดการเกิดหมอบอกได้ แต่กำหนดเวลาตายไม่มีใครกำหนดได้แน่นอนสำหรับบุถุชนคนธรรมดา สำหรับพระอริยเจ้าหรือท่านที่ชำนาญในอานาปานานุสสติกรรมฐาน ท่านสามารถบอกเวลาตายที่แน่นอนของท่านได้ พระอริเจ้าที่จะบอกเวลาตายได้ ก็ต้องเป็นท่านที่ได้วิชชาสามเป็นอย่างน้อย ถ้ามีความรู้พิเศษต่ำกว่านั้นท่านก็กำหนดเวลาตายไม่ได้เหมือนกัน ท่านเปรียบชีวิตไว้คล้ายกับคนขีดเส้นบนผิวน้ำ ขีดพอปรากฏว่ามีเส้น แล้วในทันทีเส้นที่ขีดนั้นก็พลันสูญไป ชีวิตของสัตว์ที่เกิดมาก็เช่นเดียวกัน ความตายรออยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไร ก็สิ้นภาวะเมื่อนั้น เอาความยั่งยืนไม่ได้เลย

    ท่านเจริญมรณานุสสติกรรมฐาน เมื่อท่านคิดถึงความตายเป็นปกติ จนเห็นความตายเป็นปกติธรรมดา เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาพอสมควรแก่ความต้องการแล้ว ถ้าคิดให้ไกลไปอีกสักนิดว่า ความตายเป็นของมีแน่ เราไม่หนักใจแล้ว ความเกิดต่อไปก็มีแน่ จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม เต็มไปด้วยความทุกข์ หนีทุกข์ไม่พ้น เราไม่ต้องการความเกิดอันเป็นเหยื่อของวัฏฏะอีก แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่หวงแหนยิ่งจะต้องพังทลาย เรายังไม่มีเยื่อใย ก็สมบัติอะไรในโลกีย์ที่เราต้องการ เราไม่ต้องการอะไรอีก เทวโลก พรหมโลก เราไม่ต้องการ สิ่งที่พอใจที่สุดก็คือ พระนิพพาน ทำใจให้ว่างจากความเกิด ความเกาะในชาติภพ ปรารภพระนิพพานเป็นปกติ อย่างนี้ท่านมีหวังสิ้นชาติสิ้นภพ ประสบผลอย่างยอด คือ ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2009
  11. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    <table id="post604014" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">23-06-2007, 08:29 PM </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #535 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->kananun<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_604014", true); </script>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2006
    ข้อความ: 7,635
    Groans: 5
    Groaned at 13 Times in 13 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 29,277
    ได้รับอนุโมทนา 149,787 ครั้ง ใน 7,692 โพส
    พลังการให้คะแนน: 9508 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_604014" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- google_ad_section_start -->การเจริญมรณานุสติ

    แต่ก่อนที่ได้ศึกษามาว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสถามกับพระอานนท์ว่า พระอานนท์ท่านได้ระลึกถึง มรณานุสติ วันละกี่ครั้ง

    พระอานนท์ทูลตอบพระองค์ท่านว่า วันละเจ็ดครั้ง

    พระพุทธเจ้าท่าน ทรงตรัสตอบว่า ยังน้อยไป ตถาคตระลึกถึงมรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออก


    แต่ก่อนผมก็ยังมีความโง่แกมเลวอยู่มาก คิดเองว่า พระอานนท์ท่านก็ไม่น้อยแล้ว ระลึกถึงความตายได้ถึงวันละตั้ง เจ็ดครั้ง เราเองระลึกถึงความตายได้เช้าครั้ง ว่า" วันนี้เราอาจตายลงก็ได้พึงทำความดี ทำกุศลเอาไว้ให้มาก" อีกครั้งก่อนนอนครั้งก็ระลึกว่า "หากเราตายไปคืนนี้ เราจะไปที่ใด เราขอตั้งจิตเอาไว้ยังสุคติภูมิอันมีสวรรค์เป้นเบื้องต้น มีพระนิพพานเป็นที่สุด" ดังนี้

    แต่อีก หลายๆท่านนั้น ยังประมาทในความตายอยู่ปีหนึ่งได้ระลึกถึงความตายได้ซักครั้งหรือไม่ นับเป็นเรื่องที่น่าคิด แต่หลายๆท่านกลัวที่จะคิดถึงความตาย ด้วยเหตุเเห่งความกลัวว่า หากไปคิดถึงความตายมากๆ จะตายเข้าจริงๆ สิ่งนี้เป็นโมหะความหลง

    หลงว่าเรายังหนุ่ม เรายังสาว ยังไม่ตายหรอก
    หลงว่าคนอื่นตายแต่เรายังไม่ตายบ้าง
    หลงว่าตายแล้วสูญ นิพพานสูญ พึงกอบโกยความสุขในชาตินี้ให้มากเข้าไว้
    หลงว่าตายแล้วจะไปที่ไหน ไปที่ใดก็ไม่รู้ ขาดที่พึ่งที่อาศัย

    เป็นความจริงที่ทุกสรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่รักชีวิตเกรงกลัวความตายเป็นธรรมดา

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความกลัว ที่น่ากลัวอย่างที่สุดแต่คนเรากลับไม่กลัว โดยมีเหตุจากความไม่รู้เป็นสำคัญ

    สิ่งนั้นคือภัยในชาติภพ โดยแรงแห่งกรรมที่ส่งผลยาวนานสืบเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด

    หากเราประมาทในความตายแต่แรก โอกาสที่เราจะลงไปเกิดในอบายภูมิก็จะมีสูงมาก กว่าจะหมดกรรมมาเกิดในภพอันเป็นสัมมาทิษฐิได้ก็นานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

    เหตุนี้พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ให้เราทั้งหลาย
    -หมั่นพิจารณามรณานุสติเอาไว้ทุกลมหายใจ
    -อย่าประมาท(ในความตาย ในการทำความดี ในการละบาปอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย)
    </td></tr></tbody></table>
    <table id="post604033" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">23-06-2007, 08:55 PM </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #536 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->kananun<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_604033", true); </script>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2006
    ข้อความ: 7,635
    Groans: 5
    Groaned at 13 Times in 13 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 29,277
    ได้รับอนุโมทนา 149,787 ครั้ง ใน 7,692 โพส
    พลังการให้คะแนน: 9508 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_604033" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- google_ad_section_start -->แต่ ก่อนพิจารณามรณานุสติแต่เพียงว่า "เราเองก็ต้องตาย สัตว์ทั้งหลายก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วก็ต้องละต้องจากสมมุติทั้งหลายในโลกใบนี้ไม่ว่า จะเป็นบุคคลรอบด้าน ทรัพย์สินสมบัติทั้งหลาย เอาอะไรไปก็ไม่ได้ มีเพียงบุญกุศล บารมีความดีติดตัวเราไปเท่านั้น ปล่อยวางจากความยึดติดในวัตถุ คน สัตว์สิ่งของทั้งปวงในโลกใบนี้เสีย"

    พอมาไม่นานนี้ พระท่านมาสอนว่า ยังพิจารณาหยาบและยาวเกินไป

    "ท่านสอนให้จับลมสบาย แล้วพิจารณาจิตของตัวเราเอง แล้วให้หมั่นกำหนดรู้ด้วยญาณทัสนะร่วมกับมรณานุสติว่า "หากเราตายไปในขณะจิตนี้ เราจะไปไหน" เท่านั้นล่ะทุกสิ่งกระจ่างแก่ใจไปหมด ว่าการเจริญ มรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร และการปฏิบัตินี้มีผลอย่างไร

    -มีสติอยู่ในทุกขณะจิต
    -มีมรณานุสติทุกขณะจิต
    -มีญาณเครื่องรู้ในยถากรรม
    -เมื่อจิตสบายผ่องใสก็ พึงประคองอารมณ์ใจนี้ได้ เพราะรู้ว่าหากตายไปในขณะจิตนี้ก็ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป
    -เมื่อ จิตมีอกุศลกรรมแว่บเข้ามา ก็ย่อมเร่งเพิกทิ้งออกไปจากจิตใจทันทีก่อนมีการปรุงแต่งต่อไป เนื่องจากความกลัวในผลแห่งกรรมแห่งจิตใจของเราที่เศร้าหมองจะพาเราไปสู่ อบายภูมิ
    -ส่วนท่านที่ตั้งจิตไปนิพพานชาตินี้ก็พึงควบอารมณ์พระ นิพพานไปด้วย วางกำลังใจว่าทุกลมหายใจเข้าออก และในขณะจิตนี้หากเราตายไปเราตั้งจิตเอาไว้ที่พระนิพพานเป็นที่สุด

    เป็นการปฏิบัติที่ตัดลัดสั้นตรงต่อพระนิพพานที่สุด ในทุกขณะจิต ระลึกได้เมื่อไร ถามจิตเราเองว่าในขณะจิตนี้ตายไปเราไปไหน

    เมื่อปฏิบัติบ่อยๆเข้าที่สุด ครั้นจะถึงเวลาตายจริงจิตของเราก็จะรวมเข้าสู่ภพที่เราตั้งจิตเอาไว้โดยอัตโนมัติเอง

    ขอให้ลองค่อยๆทำค่อยๆพิจารณาดูครับ มีสติเมื่อไรถามจิตเราว่า จิตตอนนี้ตายแล้วไปไหน ถามทั้งที่เวลาจิตดี และถามทั้งเวลาที่จิตเราเลวแล้วคำตอบที่ได้จะทำให้ท่านสะดุ้งตกใจและเกิด หิริโอตปะไม่กล้าทำบาปอกุศลไปในที่สุด และเมื่อเราหยุดอกุศลได้ตั้งแต่แค่ความคิด ไม่ปรุงแต่งต่อไม่ให้ออกมาทางกาย ทางวาจาได้ ความชั่วหรือบาปก็จะลดลงไปอย่างมหาศาล เป็นธรรมดา

    ขอกราบโมทนาบุญในการปฏิบัติของทุกๆท่าน เพื่อความดีแห่งพระบวรพุทธศาสนาครับ สาธุ
    </td></tr></tbody></table>
     
  12. 2499

    2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,033
    มนุษย์จริงๆ แล้วมาจากไหน และอะไรเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติ?

    โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง



    <DD><DD>[​IMG]


    <DD>


    <DD>หลวงพ่อ "ที่ว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์มา เพราะว่าคนมีจิตบาปมาก ศีล ๕ ทำไม่ค่อยจะครบ เช่นปาณาติบาตเป็นต้น อายุมันจะน้อยลงทุกที จนกระทั่งอายุถึง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย <DD><DD><DD><DD><DD>ตอนนี้เกิด "มิคสัญญี" ไม่มีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน จะรบราฆ่าฟันกันมากพระอาทิตย์ท่านรำคาญเต็มที่ โผล่มาทีละ ๒ ดวง ๓ ดวง ๔ ดวง ตายหมด ทีนี้ถึง ๗ ดวง น้ำในมหาสมุทรก็แห้ง ต้นไม้แห้งกรอบจัด ผลที่สุดเป็นไฟลุก ไฟไม่ได้ไหม้มาจากไหน อาศัยน้ำแห้ง ต้นไม้แห้งกรอบเต็มที่ ความร้อนหนัก ก็เกิดไฟลุกขึ้นก็ล้างกันเสียทีหนึ่ง <DD><DD><DD><DD>เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามความเป็นจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนวันหนึ่ง ฉันนั่งคุมกรรมฐานอยู่ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้


    <DD>หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี จะมีไฟล้างโลกล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่ามันเริ่มความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี แล้วจากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรม เป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม


    <DD>โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษยโลกแม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื่น ต้นหญ้าต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้ <DD>


    <DD>หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้นทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิดสัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบโอปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวตนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสง มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละบุคคล คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ <DD>


    <DD>เรื่องอาหารนั้น ในระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอกจากกฎธรรมดา คือความเสื่อมของสังขาร <DD>


    <DD>เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีใคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ มีดวงอาทิตย์ ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลก เกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี <DD>


    <DD>คนสมัยนั้นมีอายุครองตนเองได้ ๔ หมื่นปี เป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้น พระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เขตที่ท่านลงมาตรัส สมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า พูดถึงไฟบรรลัยกัลป์แล้วน่ากลัวจริงๆ นะ แต่ถ้าคนชั่วมีมาก ก็ควรล้างกันเสียที"



    </DD>
    <DD>


    <DD>บทสรุป



    <DD>เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นจากจิตใจของคน ถ้ามีคนดีมีศีลธรรมมาก โลกก็ร่มเย็น ถ้ามีคนผิดศีลผิดธรรมมาก โลกก็จะเร่าร้อน เหมือนปัจจุบัน <DD><DD><DD>อากาศจะร้อนมาก และดูคนสมัยนี้ ผิดศีลผิดธรรมกันมาก เรื่องกามราคะ เรื่องสุราเมรัย คนบางคนไม่เคยมีศีลไม่เคยรักษาศีลเลย สร้างแต่กรรมชั่ว <DD><DD>ป้านิภาเคยบอกตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้น ๒ ดวง ถึงเราจะมองเห็นดวงเดียว
    แต่ความร้อนเหมือนพระอาทิตย์ ๒ ดวงจริงๆ ครับ



    คัดลอกจาก http://palungjit.org/threads/มนุษย์...ตุให้เกิดไฟบรรลัยกัลป์-โดยหลวงพ่อฤาษี.189431/


    </DD>
     
  13. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    กระทู้นี้ดี สนับสนุนความสร้างสรรค์คะ

    ขอให้พิจารณาภัยพิบัติ ด้วยความเมตตา เเละ เตือนสติให้ตนเองเป็นคนดีคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2009
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** พลังจิต vs ตัวกระทำ ****

    พลังจิต...เหมือนของเด็กเล่น
    แต่ ตัวกระทำ ที่เกิดจากการกระทำที่ได้ทำไปแล้ว ....เหมือนฟ้าดิน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. ประตูสู่ทางสว่าง

    ประตูสู่ทางสว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,173
    มันจะเกิด หรือไม่เกิดก็ชั่งมัน
    มุ่งมันทำความดี ปฎิบัติธรรม ต่อไป มันจะตายก็ตาย มันจะรอดก็รอด

    อนุโมทนา ครับ
     
  16. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    เล่าไปไร้สาระ
    ภัยพิบัติ มีอยู่ทุกที่ทุกวัน
    อืม เราก็รู้ข่าว
    เราวางใจให้สงบ (เกือบจะ)ไม่สนเรื่องข่าวลือ เพราะรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ^^"
    เพราะรู้ว่าสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องของธรรมชาติ
    มนุษย์ไปปรับโลกเอาเอง ก็ไม่แปลกเลย ที่จะเป็นแบบนี้
    ยิ่งพวกที่ฟังแล้วจิตตก ก็คงได้คิดกันไปอีก
    สำหรับอีกิมไล้ตอนนี้ รักธรรมชาติมากกว่ามนุษย์ไปแล้ว...(มนุษย์ก็ธรรมชาตินี่หว่า-*-)
    ฝนตก ก็ออกมาทักทายฝน (ชอบเล่นน้ำฝนมาก คุยกันด้วย)
    หากฝนตกหนักเราสามารถทำให้ฝนหยุดได้มั้ย? หากจิตเราแรงพอเราก็ทำได้^-^
    แต่ส่วนมากจะได้คำตอบจากน้ำฝนมาว่า มันเป็นกระบวนการของเค้าเอง
    ในเมื่อโลกไม่เหมือนเดิม ต้นไม้กลายเป็นปูน ไม่มีอะไรมากั้นทางลม
    เราก็เลยคิดไปว่ารุนแรง อุณหภูมิโลกเปลี่ยนไปนิดเดียว ก็ทำให้ความแรงลมเปลี่ยนไปได้มาก
    เข้าเรื่องต่อ เวลาฝนตก ฟ้าร้อง เราออกมาดู แต่ไม่ได้กลัวอะไรเลย
    เมื่อวานก็ไปหาของกินแถวๆๆแฟชั่นไอส์แลนด์ บ่ายๆๆฝนตก ลมแรงด้วย
    ร้านอาหารตามซอยเล็กๆๆนี่ ร่มคันใหญ่ๆๆที่บังหน้าร้านยังปลิวเลย
    ซึ่งเมื่อก่อนไม่รุนแรงขนาดนี้
    ภัยพิบัติเกิดจากกรรมมนุษย์จริงๆ
    ฟ้าร้องดังมาก นานแล้วไม่ได้เจอคุณฟ้าแบบนี้
    ยิ่งดูก็ยิ่งสนุก ภัยต่างๆๆก็แรงขึ้นได้ทุกวัน มากเข้าเรื่อยๆๆ แถมยังมีจินตนาการล่วงหน้ามาจากภาพยนตร์อีก
    ***ถ้าพวกคุณจำได้ว่าเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หลายๆๆอย่างที่เกิดขึ้นมาในตอนนี้
    สมัยก่อนมันเป็นเพียงแค่จินตนาการ
    คาดว่า กดแรงดึงดูด คงใช้ได้กับเรื่องภัยพิบัติเหมือนกัน
    คนทั่วโลกได้ชมภาพยนตร์แนวนี้ และหากเค้ายังติดกับภาพนั้นอยู่ ไม่นาน...........
    .
    .
    .
    .
    .
    สำหรับพวกเรา เราได้เรียนรู้มาว่า เจออะไรก็ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ขอแค่ทำใจให้สงบ
    เพราะเราเชื่อว่า ถ้าถึงเวลา เราก็ไปแน่ ถ้าเวลาว่างมาก ก็มาปฏิบัติ ช่วยคนที่ทุกข์กว่าตัวเองจะดีกว่า
    ขอให้แรงนั้นดึงไปในทางที่สงบเถิด
     
  17. atataya

    atataya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +278
    จะกลัวกันไปทำไมครับถึงเวลาตายมันก็ต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอกมันไม่มีสูตรสำเร็จที่เป็นนิรันดร ผมว่าดีเสียอีกที่มีข่าวภัยพิบัติออกมาเพราะจะได้เตือนให้มนุษย์ไม่ประมาท อย่าไปวิตกวิจารณ์ให้มันมากนักอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด สุตสูสัง ลภเตปัญยัง ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา
     
  18. Sinderking

    Sinderking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +673
    อย่าไปโทษฆราวาส อรหันต์ที่ทรงฌาณสมาบัติเลย ท่านส่งสาสน์ตามพระพุทธทำนาย เพื่อให้พวกเราเตรียมตัวกัน ทั้งทางด้านกรรมดี การบำเพ็ญ และที่หลบหนี (รู้ๆกันอยู่นะ ว่าอีสาน)

    จริงๆ มีกลุ่มคนที่ จขกท. บอกอยู่ กลุ่มคนผู้ทรงอภิญญาเหล่านี้ เคยอธิษฐานขอเลื่อนภัยพิบัติออกไปก่อน ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 แต่ได้แค่เลื่อนเท่านั้น เพราะลำพัง แค่ตัวอภิญญาของคนกลุ่มนึงจะหยุดกรรมเลวของคนทั้งโลก ก็ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว จึงทำได้แค่เลื่อนออกไปให้นานที่สุด

    ครับผม ...
     
  19. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2009
  20. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

แชร์หน้านี้

Loading...