อยากรู้วิธีประยุกต์การฝึกสมาธิเพื่อใช้ในกฎแห่งแรงดึงดุดอะค่ะ

ถ้าเรากำหนดสติโดยการฝึกสมาธิแล้วเนี่ย จะนำสิ่งที่ฝึกนี่ไปประยุกต์ใช้ใน(ทางโลก) หรือ กับ กฎแห่งแรงดึงดูดของจักรวาลได้ไหม แล้วมันจะมีขั้นตอนยังไง เช่น ต้องเข้าสมาธิระดับ... แล้วจินตนาการสิ่งที่ต้องการ แบบนี้จะได้ผลไหมค่ะ


ใครทราบวิธี หรือมี หนังสือแนะนำเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มั่งค่ะ

แสดงความคิดเห็นด้วย ขอบคุณค่ะ

 

ขอตอบตามความคิดเห็นของตัวเองนะครับ ในฐานะคนฝึกเรื่องกฏแห่งการดึงดูดของตัวเองนะครับ
ผมใช้วิธีในการทำสมาธิครับ ทำสมาธินี่แหละที่ทำให้เราจินตนาการในสิ่งที่เราอยากได้นั้นชัดเจนขึ้นมา วิธีที่ผมฝึกก็คือฝึกสมาธิเพิ่อบังคับความรู้สึกที่เราต้องการให้ชัดขึ้นครับ
และนอกจากนั้นผมก็จะดูจิตตลอดเวลาในแต่ละวันน่ะครับ ว่ามีความรู้สึกอะไรบ้างโดยการพยายามกำหนดความรู้สึกของเราให้ดีตลอดเวลา อย่างพอรู้ว่าผมโกรธผมก็จะพยายามเลิกโกรธและทำให้ตัวเองสงบสุขให้ได้ และจินตนาการไปตลอดวันน่ะครับ ได้ผลค่อนข้างใช้ได้เลยครับ ปีที่แล้วได้เจอแบงค์พันตกถึงครั้งนึงเลย แล้วก็มีคนทอนเงินมาเกินพันนึงแต่ครั้งนั้นผมก็คืนนะครับเพราะว่าไม่อยากได้เงินของใคร นอกจากนั้นในเรื่องอื่นๆก็ดีขึ้น แต่ถ้ายังไงๆใครพอทราบที่เจ้าของกระทู้ถามก็ลองมาตอบเค้าดูนะครับ

 

ต้องขอโทษที่จะขอกล่าวว่า คุณไม่มีความรู้เรื่องของการเจริญสติ สมาธิเอาเลย การฝึกสมาธิที่คุณกล่าวถึง ตามความจริงแล้วคือการ ฝึกให้รู้เห็นสภาวะจิตตามความเป็นจริง เพราะสิ่งต่างๆในโลก เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราไม่สามารถบังคับมันได้มันต้องเป็นไปตามกฎนี้
ขอแนะนำให้คุณไปศึกษาคำสอน ของพุทธองค์ให้ดีเสียก่อน จึงค่อยลงมือปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เข้ารกเข้าพง หรือสติแตกได้
ด้วยความปรารถนาดี.

 

เท่าที่อ่านคิดว่า จขกท. ถามถึงสมาธิที่ได้ผลเป็นอิทธิฤทธิ์ชนิดหนึ่งนะคะ


ก็มีอยู่นะคะ เพราะเรื่องฤทธิ์นี่ มีกันทั้งมารอสูร เทพ พรหม ไม่ใช่แต่เฉพาะเพื่อนิพพาน
ก็ไม่ได้เลวร้ายนะคะ การฝึกอะไรบางอย่างที่เราสนใจ โดยเฉพาะจิต เมื่อเราจะสำเร็จ
ขั้นสูงสุดนั้นแหละ เราถึงได้ค้นพบธรรม ดังนั้น ก็ไม่ใช่ว่าหลงทางไปเสียจนหาทางออก
ไม่ได้หรอกมั้งคะ


สมาธิกำหนดเอาอะไรเป็นอารมณ์ก็ได้ กำหนดเป็นอารมณ์แล้วยังผลให้จิตรวมหนึ่งพ้น
ความฟุ้งซ่านและหม่นหมอง มีความเบาสบายผ่องใส กสิณนั้นเป็นเครื่องช่วย เราสามารถ
เอาธรรมชาติใดๆ มาเพ่งพิจารณาก็ได้ ในกรณีนี้ ถ้าให้ตรงใจคุณ จขกท. ก็ต้องเพ่ง
"หลุดดำ" ค่ะ


กสิณหลุมดำ (ตั้งชื่อเองเล่นๆ นะคะ) ทำอย่างนี้ค่ะ


หมุนลมปราณเวียนขวาแบบสมาธิหมุน หรือวิชชาธรรมจักร สลัดละทิ้งความคิดปรุงแต่ง
สิ่งต่างๆ ออกให้หมด ปล่อยจิตให้เป็นอิสระว่างเบาสบาย ไม่คิด ไม่กังวลใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อ
จิตว่างเบาสบายแล้ว จะเกิดภาวะ "ว่างสูญ" ตอนนี้จิตมีธรรมชาติคล้าย "หลุมดำ" แล้ว
และพร้อมที่จะดึงดูดพลังงานรอบตัวเข้าไป เป็นพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ ทำให้จิตบริสุทธิ์
ขึ้น เมื่อเคยชินกับภาวะ "จิตแบบหลุมดำ" นี้แล้ว


ก็ค่อยๆ ประยุกต์ไปใช้ในทางอิทธิฤทธิ์ คือ กำหนดดึงดูดสิ่งที่เราต้องการอีกที ซึ่งทุกครั้ง
ที่ดึงดูดนั้น ก็มีผลเสียและอันตรายกับตัวเองทั้งสิ้นนะคะ ดังนั้น ถ้ามีจิตบริสุทธิ์เป็นขั้วดึง
และดูดพลังบริสุทธิ์จากจักรวาลเข้ามาชะระล้างจิต อันนี้จะดีที่สุด พลังด้านลบอื่นๆ ต้อง
ระวังอย่าเพิ่งไปดึงมานะคะ และถ้าจะดึงจริงๆ ควรเริ่มแต่น้อยแล้วศึกษาผลกระทบของ
มันก่อนนะคะ (บางอย่าง ดึงเข้ามามากๆ สะเทือนธาตุสี่ในร่างกายทำให้ป่วยได้ค่ะ)

 

ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะค่ะ ^ ^

จะลองนำไปปฎิบัติดู

 

คิดดี ทำดี ได้ดี
วิธีฝึก เริ่มจากทำจิตให้นิ่งก่อน
จากนั้นทางด้านร่างกาย คือทำสีหน้าให้ปกติและวางเฉย

 

ซื้อหนังสือ the top secret มายัง เผื่อเข้าใจมากขึ้น
เราว่าทำสมาธิก็เพื่อให้คิดสิ่งที่ดีๆ ตลอด พอจะขอตามแบบกฏแรงดึงดูด
ก็จะได้อย่างที่ขอ แต่ต้องเชื่อจริงๆนะว่าจะได้ เชื่อแบบใส่ความรู้สึกด้วย
บางทีเราขอก็ได้จริงๆนั่นแหละ แต่บางทีก็ขอไม่ได้เพราะรู้สึกลังเล
ถ้าสงสัย หรือลังเลแม้แต่นิดเดียว ก็จะ้ไม่ได้อย่างที่เราขอ

 

*** หลักการ หลุดพ้น สู่พระนิพพาน ****

แรงโน้มถ่วง...คือ แรงดึงดูด
คือ สัญญา....คือ พันธะ

หลุดพ้น...คือ ไร้แรงโน้มถ่วง
ไร้แรงดึงดูด....คือ หมดความผูกพัน
หมดสัญญา...หมดพันธะ


.......วิธีหลุดพ้น สู่พระนิพพาน

 

กฎแห่งการดึงดูด หรือ Law of Attraction คือการสะท้อนกลับของ พลังความคิดที่ส่งออกไป
หากคุณจะใช้สมาธิเพื่อประยุกต์ใช้กับกฎแรงดึงดูด
ต้องถามใจคุณก่อนครับว่า จะใช้กฎแรงดึงดูดพื่อวัตถุประสงค์อะไร

หากเพื่อ เงินทอง ความร่ำรวน สุขภาพ การงาน ความรักที่ดีขึ้น
เรียกว่า ใช้เพื่อทางโลก

ก็ให้จดจ่อกับสิ่งที่คุณปารถนาอย่างแรงกล้า
ซึ่งโดยปรกติจะเกิดขึ้นเองอยู่แล้ว แค่อยู่กับมันให้นานขึ้นจดจ่อกับมันให้มากขึ้นเท่านั้นเอง
สมาธิก็เกิดขึ้นแล้วครับ

สมาธิคือการตั้งมั่นของจิตที่จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ จะทำให้จิตมีกำลัง
และจะส่งพลังความคิดเป็นคลื่นความถี่ แล้วจิตใต้สำนึกจะน้อมนำภาพที่ปารถนาในใจนั้น
ไปเชื่อมโยงกับ พลังกำเนิดสากลแล้วจะ วกกลับมาสู่ประสบการณ์ชีวิตทางโลกกายภาพ
นั่นก็คือ จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงตามที่คุณได้ส่งความคิดออกไป
การวกกลับมาของคลื่นพลังนี้เองที่เรียกว่า กฎแห่งการดึงดูด

แต่สิ่งที่ปารถนานั้นจะได้เร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับกำลังของความคิดที่ตั้งมั่นหรือ สมาธินั่นเอง
คนส่วนใหญ่มักมีพลังจิตน้อย เพราะมีแรงต้านในใจมาก

แรงต้านในใจเกิดจากความลังเล สงสัย สับสน ในสิ่งที่ปารถนาว่าจะเป็นได้จริงได้หรือไม่
คนส่วนมากใช้ความเชื่อมาเป็นตัวตัดสินความเป็นไปได้ และความเชื่อนี้เกิดจาก
การมองโลก หรือชีวิตที่เป็นอยู่อย่างไร มองดีหรือมองร้าย
และการถูกปลูกฝังจากค่านิยมของสังคม หากถูกปลูกฝังมาให้เป็นคนไม่มั่นใจตนเอง
ไม่เชื่อมั่นในตนเอง
ก็จะเกิดแรงต้านมาก ทำให้ความปารถนาต่างๆก็เกิดเป็นจริงได้ยาก

คนที่ขาดความเชื่อมั่นตนเองมัก ไปหวังพึ่งสิ่งนอกตัวเช่น สิ่งศักดิสิทธิ์ หมอดู ไสยศาสตร์
เพื่อให้สมปารถนา

สิ่งนี้เองเป็นอุปสรรคที่ทำให้คนแตะละคนไม่อาจสมปารถนาได้

หากจะลดแรงต้าน ก็ต้องไปเพิ่มคลื่นความคิดเชิงบวกให้กับใจตัวเองก่อน
นั่นคือการมองอะไรๆในแง่ดี คิดดี พูดดี ทำดี บ่อยๆ แล้วแรงต้านในใจจะลดลง
ไปเอง แล้วพลังจิตจะเพิ่มขึ้นมาเอง หรือสมาธิจะเข้มแข็งขึ้น

แต่หากไม่มองบวก คิดบวก ให้เป็นปรกติ แล้วไปฝึกสมาธิแบบกำหนดจิตอะไรๆ ก็ไม่ได้ผลหรอกครับ
เสียเวลาเปล่า มีแต่จะทรมานตัวเอง

หากจิตมีกำลังแล้ว แล้วพลังแห่งการดึงดูดจะวกกลับมาหาคนนั้นได้เร็วขึ้นนั่นเองครับ
นั่นก็คือ ความปารถนาทุกอย่างจะกิดขึ้นจริงได้

 

อ่ะฮ่า มีเหตุผล ข้าน้อย ขอคาระวะ อิอิ
;aa13

 

*** สมาธิ ****

สมาธิ....มีหลายแบบมากมาย
แต่ พระพุทธเจ้า สอนให้ใช้... "สมาธิพิจารณา"
เพราะ การจะหลุดพ้นทุกข์ หลุดพ้นจากโลกได้....ต้องใช้ สมาธิพิจารณาเท่านั้น
เป็น นิยามของการหลุดพ้นทุกข์ หลุดพ้นการเกิดใหม่ ...หลุดพ้นโลก

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

*** การปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นทุกข์พ้นโลก กับ สัจจะทำ ****

ตลอดเวลา....ที่เราปฏิบัติตน
ด้วยข้อ สัจจะทำ...ในการตัดลดนิสัย ที่กำหนดขึ้นมา นั้น
ในช่วงเวลาของสัจจะ....จะทำให้เกิด "สมาธิพิจารณา" ขึ้นมา
สัจจะ...จะคอยเตือนสติตัวเราเอง ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ
เกิดการพิจารณาตนเอง...ขึ้นตลอดเวลาของ สัจจะทำ

แต่ สิ่งสำคัญหนึ่ง ที่ทุกอย่างต้องเป็นไปตาม... "หลักสัจจะธรรม"
คือ ทุกการกระทำ ก่อให้เกิด "ตัวกระทำ" ขึ้นมา
พระพุทธเจ้า ได้กล่าวถึง หลักสัจจะธรรมไว้ว่า....
" ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน "

ตัวกระทำ จากสัจจะทำนี้...คือ ผู้จัดสรร สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปกับตัวเราในอนาคต ทั้งใกล้และไกล
การเกิดใหม่....ตัวกระทำที่ทำเอาไว้ ก็คือผู้จัดสรร
การหลุดพ้นโลก พ้นทุกข์...ก็ขึ้นกับ ตัวกระทำจากสัจจะทำ ที่ขจัดนิสัยได้จริง

เราไม่ควรห่างเหิน...สมาธิพิจารณา
เราไม่ควรห่างเหิน....การพิจารณาตนเอง
เราจึงไม่ควรที่จะห่างเหินจาก... "สัจจะทำ"
เพราะ เราทุกข์คนก็มุ่งหวัง....ที่จะหลุดพ้นทุกข์พ้นโลก
เราจึงได้มาพบ...ศาสนาของพระโคดม

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

เจ้าของกระทู้ก็พยายามเข้าละกันนะครับ อย่าไปฟังพวกตอบไม่ได้เรื่องทั้งหลายเลย
+ฮ่าๆๆ
ถ้าเจ้าของกระทู้ฝึกเรื่องกฏแห่งการดึงดูดสำเร็จเมื่อไหร่โลกนี้จะเป็นดั่งภาพมายาที่เราสามารถจะปั้นแต่งให้อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเราเองได้ แล้วเมื่อถึงจุดนั้นคุณจะเบื่อแล้วหยุดเกิดถึงพระนิพพานไปเอง
เป็นกำลังใจให้ฝึกสำเร็จนะครับ

 

*** ก้าวข้ามกรรม หลุดพ้นทุกข์ หลุดพ้นโลก ****

ใครอยากหลุดพ้น...ก็ต้องปลดนิสัยด้วยสัจจะ
คือ มีการกระทำขึ้นจริง

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

เข้ามาอ่านกระทู้ที่ตัวเองตอบเมื่อ2ปีที่แล้ว

กรรมจริงๆ สงสัยว่าทำไมตอนนั้นตัวเองตอบเกรียนขนาดนั้น -*-

55