เวลามีโทสะ เราโกรธ จะเอามันออกยังไง ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 19 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,861
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,507
    [​IMG]




    ถาม : เวลามีโทสะ เราโกรธ จะเอามันออกยังไง ?

    ตอบ: พยายามพิจารณาให้เห็นจริงว่าโทสะมันเกิดจากอะไร ? ส่วนใหญ่มันก็ไม่พอหูไม่พอตา แล้วก็พาให้ไม่พอใจ สิ่งที่เราเห็นแล้วไม่พอหู ไม่พอตา ทำให้ไม่พอใจ ก็คือคนอื่นทำทั้งนั้น ในเมื่อคนอื่นเขาทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ต้องดูว่าเขาเองปกติ ก็มีความทุกข์อยู่แล้ว แต่ว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเขานอนอยู่ท่ามกลางกองทุกข์ ยังพยายามสร้างสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษ เพื่อซ้ำเติมตัวเองให้มากขึ้นอีก

    คนทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วน่าสงสารมากกว่าน่าโกรธ เพราะว่าสิ่งที่เขาทำเป็นทุกข์เป็นโทษต่อผู้อื่นยังไม่พอ ยังเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ตัวเองด้วย ผู้ที่กระทำในลักษณะเหล่านั้น สภาพจิตเขายังหยาบอยู่ โอกาสที่จะไปเกิดในอบายภูมิสูงมาก ยิ่งทำมากเท่าไรโอกาสที่จะลงอบายภูมยิ่งมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราไม่น่าโกรธเขาหรอก ควรจะสงสารเขามากกว่า

    พยายามคิดให้อภัยเขาให้ได้ ให้เห็นว่าธรรมดามันเป็นอย่างนั้น
    บุคคลที่ยังเป็นพาลน่ะ พาละ...พาล แปลว่า ทั้งโง่ทั้งมืด ตกอยู่ในความมืดบอด ไม่รู้สิ่งดีสิ่งใดชั่ว เขาก็มีแต่จะกระทำสิ่งที่ไม่ดี...ไม่ดีเหล่านั้น ยิ่งทำมากเท่าไรแรงกรรมก็ยิ่งซ้ำเติมเขาให้ตกต่ำมากเท่านั้น

    ในเมื่อเขาเองก็มีความทุกข์ขนาดนั้นแล้ว เราทำไมต้องไปโกรธเขาให้เสียเวลา ไม่ต้องทำอะไรซ้ำเติมเป็นการตอบแทนเขาหรอก แค่คิดก็เป็นโทษแก่ตัวเราแล้ว เพราะเป็นมโนกรรม คำพูดก็เป็นโทษกับเราหนักขึ้นไปอีก เพราะเป็นวจีกรรม ถ้าลงมือทำยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ กลายเป็นกายกรรม กรรมทั้งสามไม่ว่าจะเป็นกาย วาจา หรือใจ พาให้เป็นทุกข์เป็นโทษทั้งนั้น
    เราไม่จำเป็นต้องซ้ำเติมเขาด้วยความคิด

    ในเมื่อเราให้อภัยเขาได้จิตใจของเราก็ปลดออก ปล่อยวางได้ มีความเบาสบายไม่ไปยิดติดอยู่ตรงนั้น เราก้าวพ้นจากครานั้นมาแล้ว ก็มีแต่จะหนีมันไปให้ไกล ๆ
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเพิ่งจะอยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก กำลังทำการก่อสร้างอยู่ คราวนี้จ้างช่างมาทำห้องกระจกที่ศาลาหลังโบสถ์เหล่านั้น ปรากฏว่าช่างมันรับทั้งค่าของค่าแรงไปหมดแล้ว ก็ไปนั่งตีไพ่จนหายเกลี้ยง แล้วมันก็เบี้ยวไม่มาทำงาน ตอนนั้นมันก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าไอ้เจ้านี่มันไม่รู้ว่ากูเป็นใคร

    สมัยก่อนมีคติประจำใจว่า เราไม่ทำอะไรเขาก็นับเป็นบุญของเจ้า ถ้าใครมาทำอะไรเรา มันซวยแน่ ๆ นี่สมัยก่อนความคิดแรงขนาดนั้น แล้วทำจริง ๆ ด้วย พอคิดว่ามันไม่รู้แล้วว่ากูเป็นใคร เพราะงั้นพรุ่งนี้จะไปเหยียบมันให้ดู ตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ พอตอนเช้ามืดยกกำลังใจขึ้นไปกราบพระข้างบน ท่านตรัสว่า

    “บุคคลที่ประกอบไปด้วยจิตกุศล เมื่อปฏิสนธิคือเกิดแล้ว ก็เร่งตั้งหน้าตั้งตากอปรกองบุญการกุศล เพื่อส่งตนให้พ้นจากบาปยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตราบจนกระทั่งหลุดพ้น บุคคลที่จิตประกอบด้วยอกุศล เมื่อปฏิสนธิแล้วความมืดบอดของกรรม ก็พาให้เขาทำแต่สิ่งชั่วช้าซ้ำเติมตัวเองให้ตกต่ำลงไปทุกที”

    แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า เราก้าวข้ามจุดนี้แล้ว ยังจะย้อนกลับไปอีกหรือ ? ฟังแล้วได้ความคิดจะไปเหยียบมันนี่หายจ้อยไปเลย เท่ากับว่าเราลงนรกด้วยความเต็มใจเอง พระด่านี่เพราะนะ ไม่มีคำหยาบแม้แต่คำเดียว ๑๐ ปีแล้วยังจำขึ้นใจเลย
    หมั่นคิดทบทวนลักษณะนี้บ่อย ๆ ให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิด เขาทำอย่างนั้นเขาต้องเกิดอีกนาน เขาต้องทุกข์อีกนาน เราไม่ต้องโกรธเขาหรอก ไม่ต้องเสียเวลาไปซ้ำเติมเขาด้วยกาย วาจา ใจ หรอก แค่นั้นมันก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว นรกแต่ละขุมกว่าจะรอดออกมาได้ระยะเวลามันยาวนานเหลือเกิน โอกาสจะพบพระพุทธเจ้านี่แทบจะเป็นศูนย์ไปเลย ในเมื่อเขาเองก็ทำกรรมหนักขนาดนั้นแล้ว แล้วยังมาซ้ำเติมตัวเองด้วยการทำในสิ่งที่ทำให้เราไม่พออกไม่พอใจอยู่

    ธรรมดาของบุคคลที่มืดบอด เขาก็มีการกระทำที่ไม่ดีแบบนั้น ในเมื่อธรรมดาของมันเป็นแบบนั้น เราเอง เราก็อย่าไปยุ่งไปเกี่ยวกับมันเลย พยายามแผ่เมตตาไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ให้คนที่เรารักก่อน จนกระทั่งกำลังใจทรงตัวมั่นคงก็แผ่เมตตาให้คนที่เรารักน้อย ต่อไปก็ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายโดยถ้วนหน้า ให้แก่คนที่เราเกลียดน้อย ให้แก่คนที่เราเกลียดปานกลาง จนกระทั่งให้คนที่เราเกลียดมากได้ เวลาเจอหน้าคนที่เราเกลียดมาก ๆ แล้วไม่มีความรู้สึก ไม่มีความหวั่นไหว เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกันกับเรา ปกติเขามีความทุกข์อยู่แล้ว ก็เป็นไปได้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ได้ เราก็จะทำ ถ้าสร้างกำลังใจแบบนี้ได้ต่อไปสบาย

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรารักราหุลลูกเขาเราเท่าไหร่ เราก็รักเทวทัตเท่านั้น คนอื่นเขาต้องคิดว่าโกหกแหง ๆ เลย ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดกับลูกที่รักที่สุด ท่านบอกว่าท่านรักเท่ากัน แต่ว่าถ้าเราทำถึงสักส่วนเสี้ยวหนึ่งของเมตตาบารมีที่แท้จริง เราจะรู้ว่าพระองค์ท่านตรัสออกจากใจจริงแท้ จิตใจของพระองค์ท่านเป็นอัปปมัญญา คือหาประมาณไม่ได้ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มีอคติลำเอียง ไม่ว่าจะลำเอียงด้วยรัก ลำเอียงด้วยโกรธ ลำเอียงด้วยกลัว ลำเอียงด้วยความหลง ไม่มีเลย

    สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ที่ท่านควรจะมีความกรุณาด้วยทั้งสิ้น ในเมื่อกำลังใจของท่านหาประมาณไม่ได้ขนาดนั้น ท่านถึงได้ตรัสได้เต็มปากเต็มคำ ว่าเรารักราหุลลูกของเราเท่าไหร่ เราก็รักเทวทัตเท่านั้น เราไม่ต้องเอาถึงขนาดนั้นหรอก เอาแค่ว่าคนที่เราเกลียด เราสามารถให้อภัยเขาได้ก็พอแล้ว

    บุคคลที่ตั้งหน้าทำความดีอย่างเช่นพวกเรายังมีความทุกข์ขนาดนี้ ขึ้นชื่อว่าคนแล้วจะไม่ทุกข์น่ะไม่มี เกิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นพยายามไปให้พ้น มันจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาเกิดอีกทุกข์อีก




    ช่วงแรกของเล่ม "มิงกะละบา เมียนมาร์" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=172840
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,608
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,019
    ความโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย ขอบคุณครับ
     
  3. TaoWan

    TaoWan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2009
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +33
    ขอบคุณสำหรับข้อความเตือนสติที่ดีค่ะ
    ขออนุโมทนา สาธุ ค่ะ
     
  4. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
  5. ใต้ร่มสุวีโร

    ใต้ร่มสุวีโร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +2
    อนุโมทนาสาธุค่ะ
    เป็นข้อเตือนสติที่ดีมาก น้อมรับปฏิบัติค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...