ชีวประวัติ "ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์" โดยพิสดาร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ShadowOfLife, 13 ธันวาคม 2008.

  1. ShadowOfLife

    ShadowOfLife สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +3
    อารัมภบท

    ก่อนที่จะอ่านชีวประวัติของท่าน ผู้จัดทำอยากจะทำความเข้าใจก่อนว่า ประวัติของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์นี้ เป็นการบันทึกจากหนังสือ "ของดีจากพืชสมุนไพร - ว่านยา โดย "จันทน์ขาว" ส่วนผู้พิมพ์ลงเว็บคือ คุณ Ann_siriket ซึ่งในประวัติบั้นปลายชีวิตของท่านนี้ จะมีความเป็นมาคล้ายกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเล่าไว้ตรงกันทุกอย่าง

    ชีวประวัติท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์

    บรมครูแพทย์แผนโบราณ
    [​IMG]


    "........ดอกบัวยังมีชาติกำเนิดมาจากโคลนตมธรรมดาคนจะดีจึงไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิดที่ดี หรืออยู่ที่ใด หากแต่อยู่ที่ คุณธรรม ความดี ความเสียสละเพื่อมนุษย์ชาติ ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าเพื่อสาธารณะชนทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม โดยไม่หวังผลตอบแทน"
    ".........บุคคลเช่นนี้ได้บังเกิดขึ้นแล้วในอดีตแม้ร่างจะล่วงลับดับขันธ์ไป แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณความดีของท่าน ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของคนในสมัยต่อมา ทั้งในด้านคุณธรรม ความสามารถ ปาฏิภาณความฉลาดเป็นเลิศในทุกด้าน จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นเอกอัครอภิมหาบูรพปรมาจารย์แห่งชมพูทวีป เมื่อ 2,600 ปีก่อน
    ..........ท่านผู้นั้นคือ หมอชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์แผนประจำองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีชื่อเสียงก้องโลกในทางว่านยาและสมุนไพรรักษาโรค ผู้ถือกำเนิดมาจากหญิงโสเภณีไม่ปรากฏบิดา"
    ท่านหมอโกมารภัจจ์ ณ วัดสิริเขตคีรี
    (วัดพระร่วง) อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย

    ในสมัยพุทธกาลเกือบ 3,000 ปีมาแล้ว ณ เมืองไพศาลี อันเป็นเมืองที่มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ ธัญญาหาร สิ่งก่อสร้างอันวิจิตรพิสดาร พรั่งพร้อมด้วยปราสาทราชวัง สระโบกขรณีถึง 7,707 อย่าง โดยเฉพาะอุดมพร้อมพรั่งด้วยหญิงงามเมือง จนได้ชื่อว่า “นครโสเภณี” (จะมีจำนวน 7707 คน หรือเปล่านั้นมิทราบได้ เพราะในพระวินัยปิฎกไม่ได้พรรณนาอธิบายไว้)

    ในสมัยนั้นใครเป็นหญิงงามเมืองถือว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ เพราะเป็นตำแหน่งที่พระราชาทรงแต่งตั้ง โดยคัดเอาสตรีที่มีเรือนร่างสะคราญตาที่สุดมีความสามารถในทางฟ้อนรำ ขับร้องประโคมดนตรี จึงจะมีตำแหน่งเป็นหญิงงามเมืองได้ ผิดกับหญิงโสเภณีสมัยนี้ หน้าตาไม่น่าจะมีราคาแถมยังไม่มีความสามารถอะไรเลย ก็ยังซื้อขายกันได้เป็นร้อยเป็นพัน

    นครโสเภณีสมัยนั้น ได้กลายเป็นแหล่งจรรโลงใจของชายหนุ่ม จากเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะพ่อค้าวาณิชที่มาติดต่อค้าจากแดนไกล ทำให้การค้าขายระหว่างเมืองราชคฤห์กับเมืองไพศาลีเจริญรุ่งเรืองขึ้น

    ต่อมาความสำคัญของหญิงโสเภณีได้ระบาดเป็นสมัยนิยมขึ้นที่เมืองราชคฤห์เป็นเมืองที่สอง ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ พระเจ้าพิมพิสาร ทรงเห็นชอบด้วยที่จะให้มีหญิงงามเมืองไว้เพื่อดึงดูดใจ โดยเฉพาะดึงดูดเงินจากพ่อค้าวาณิชที่ติดต่อค้าขายระหว่างเมือง

    พระเจ้าพิมพิสาร จึงรับสั่งให้คัดเลือกสตรีงามนางหนึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ เธอเป็นสาวงามแรกรุ่นดรุณี มีนามว่า “สาลวดี” มีอัตราค่าตัวสูงสำหรับผุ้ร่วมภิรมย์แต่ละคืนมีชายหนุ่มมาลุ่มหลงกันมากมาย

    ไม่นานนักนางสาลวดีก็ตั้งครรภ์ขึ้น โดยไม่ปรากฏบิดาเด็กในครรภ์ นางจึงงดรับแขก คอยจนครรภ์แก่จึงคลอดบุตรออกมาเป็นชาย ดึกสงัดของคืนที่ทารกจะลืมตาดูโลกโดยไม่มีโอกาสได้เห็นหน้ามารดาอีกเลย เพราะนางได้สั่งให้หญิงรับใช้นำทารกน้อยนั้นใส่กระด้งไปทิ้งไว้ที่กองขยะนอก เมือง

    เดชะบุญที่พรหมลิขิตขีดเส้นให้เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารเสด็จออกสูดอากาศในยามรุ่งอรุณของวันนั้น มุ่งพระพักตร์มายังกองขยะ เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นฝูงแร้งกาต่างบินลงมาที่กองขยะ เมื่อรับสั่งให้ทหารมหาดเล็กไปดู ก็เห็นทารกนอนดิ้นกระแด่วไขว่คว้าหาความอบอุ่นอยู่ในกระด้ง เจ้าฟ้าอภัยเกิดความสงสารจับใจ จึงนำมาชุบเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรมทรงขนานนามว่า “ชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งแปลว่า บุญยัง หมายความว่า ผู้ยังมีชีวิต”

    (ในตอนนี้ "ผู้จัดทำเว็บ" ขอสอดแทรกความเห็นไว้สักเล็กน้อย เพราะได้เคยศึกษาประวัติความเป็นมาของท่านจากที่อื่นๆ มีผู้สันนิษฐานว่า เจ้าฟ้าอภัย อาจจะเป็นพระบิดาจริงๆ ของท่านหมอโกมารภัจจ์ก็เป็นได้ จะเป็นเพราะเหตุใด ขอให้ท่านผู้อ่านไปคิดเองก็แล้วกัน)

    เดินทางไปศึกษา ณ เมืองตักศิลา

    เจ้าหนูน้อย “บุญยัง” เติบโตท่ามกลางลูกเจ้าลูกนายในรั้วในวัง จึงมีความเฉลียวลาดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ถือแววฉลาด เอาชนะเพื่อนรุ่นเดียวกันไปเสียทุกอย่าง ทำให้เกิดความอิจฉาริษยาในหมู่เพื่อนฝูง เกิดการล้อเลียนถึงชาติตระกูล และดูหมิ่นว่าเป็นเด็กข้างถนน เด็กไม่มีพ่อแม่

    คำพูดนี้เองทำให้เจ้าบุญยังเกิดความมานะ พยายามที่จะหาความรู้ใส่ตัวเพื่อลบล้างปมด้อยต่าง ๆ ให้ได้ แล้ววันนั้นก็มาถึง เขาได้มีโอกาสหนีออกจากวัง เดินทางไปกับพวกพ่อค้าโดยไม้ได้ทูลลาเจ้าชาย ผู้เป็นบิดาบุญธรรม มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองตักศิลาอันเป็นแหล่งสรรพวิชาทั่วโลก เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกที่ให้ความรู้ทุกด้านของชาวภารตะ

    ณ เมืองตักศิลา เจ้าบุญยังขณะนั้นเป็นหนุ่มแล้วได้เข้าไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มอบตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิชาแพทย์ศาสตร์ โดยช่วยทำงานรับใช้อาจารย์สารพัด ตั้งแต่ตักน้ำ ผ่าฟืน บีบนวด หุงหาอาหาร เป็นการตอบแทนค่าสอน 7 ปีให้หลังที่ชีวกหนุ่ม หรือเจ้าบุญยังที่ถูกแม่โสเภณีนำมาทิ้งกองขยะ ก็แตกฉานในสาขาวิชาแพทย์ศาสตร์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะแพทย์แผนโบราณที่ใช้ว่านยาสมุนไพรรักษา

    การเรียนในสมัยนั้นต้องมีการสอบเพื่อทดสอบความรู้ก่อนเลื่อนชั้น อาจารย์ทิศาปาโมกข์ จึงใช้ให้หนุ่มน้อยชีวกไปสำรวจดูต้นไม้ทุกต้นหญ้าทุกชนิด ทั่วทั้งสี่ทิศภายในรัศมี 400 เส้น ให้ดูว่าไม้ชนิดไหนใช้เป็นยาอะไรบ้าง อย่างไหนใช้ไม่ได้เลย แม้แต่ต้นหญ้าก็ให้บอกถึงชนิด และสรรพคุณให้ได้หมดทุกอย่าง

    หนุ่มน้อยชีวกผู้ชาญฉลาด ได้เดินทางออกจากมหาวิทยาลัยตักกะศิลาขึ้นป่าลุยดงไม้นานาชนิด สำรวจไปทั่วทั้ง 4 ทิศเป็นเวลาทั้งสิ้น 7 วัน จึงกลับออกมาพร้อมกับคำตอบที่ให้กับอาจารย์ว่า

    “ต้นไม้ใบหญ้า และสมุนไพรใด ๆ ในชมพูทวีปนี้ที่ใช้ทำยาไม่ได้นั้น ไม่มีเลย ทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น ขอรับ”

    อาจารย์ยิ้มพร้อมกับเอามือลูบศรีษะด้วยความดีใจ พร้อมกับกล่าวว่า

    “เอาละ เป็นอันว่าเธอเรียนจบหลักสูตรแล้ว ขอให้นำวิชานี้ไปใช้ประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ที่เจ็บไขได้ป่วย จะเป็นกุศลต่อเธอเอง”

    ครั้งแรกแห่งการรักษาโรคของ หมอชีวกโกมารภัจจ์

    “ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น และสมุนไพรใด ในชมพูทวีปที่ใช้ทำยาไม่ได้นั้นไม่มีเลย ทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น”

    นี่คือคำพูดของหมอหนุ่ม “ชีวก โกมารภัจจ์” ที่ตอบคำถามต่อพระฤาษีโรคา พฤกษตริณณ์ อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาแพทย์แผนโบราณให้เป็นคนแรก ภายหลังที่ได้ผ่านป่าดงพงพีข้ามถิ่นทุรกันดารคลุกคลีอยู่กับต้นไม้ทุกชนิดบน เทือกเขาสูงชันนานถึง 7 วัน 7 คืน จึงพบความจริงว่า...ต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น

    จึงไม่น่าแปลกใจอันใดเลยที่การรักษาโรคของสำนักอาจารย์ (ทรง) ต่าง ๆ จึงมีแต่เปลือกมังคุดบ้าง เปลือกเงาะบ้าง เปลือกไม้ หรือแม้แต่ต้นหญ้าคาที่เราเห็นเป็นสิ่งไร้ค่า มารักษาโรคแผนปัจจุบันอย่างได้ผลด้วยโรคร้ายแรงที่สุด นั่นคือโรคฝีดาษ

    ณ เมืองสาเกต แคว้นมหารัฐโกศล อยู่ระหว่างเมืองตักศิลาและเมืองราชคฤห์ หมอหนุ่มร่ำลาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มุ่งหน้าสู่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ด้วยปณิธานอันสูง ที่จะใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาพัฒนาและช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ผู้ประสบความทุกข์ยากทรมานด้วยโรคร้าย

    คนไข้คนแรกในชีวิตของแพทย์หนุ่มที่ทดสอบความรู้ทางแพทย์แผนโบราณ คือ ภรรยาเศรษฐีแห่งเมืองสาเกต ผู้ป่วยเป็นโรคศรีษะมานานถึง 8 ปี ไม่มีหมอยาคนใดรักษาให้หายได้ สิ้นเปลืองทรัพย์สินในการรักษาไปมากมาย จนภรรยาเศรษฐีท้อแท้อ่อนหนาระอาใจ นอนทุกข์ทรมานรอความตายไปให้พ้นวันหนึ่ง ๆ

    หนุ่มน้อย ชีวก โกมารภัจจ์ มุ่งหน้าเข้าสู่บ้านเศรษฐีแห่งเมืองสาเกตตามคำเล่าลือ ด้วยพลังใจอันสูงส่งที่จะช่วยดับทุกข์โศกโรคภัยของมนุษย์เพื่อนร่วมโลกโดย เสนอตัวช่วยเหลือตามที่ได้ร่ำเรียนมา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทาง

    คนรับใช้ไปรายงานภรรยาเศรษฐีที่กำลังงุ่นง่านหงุดหงิด ถึงความปรารถนาของท่านชีวกที่จะรักษาให้หายจากโรคปวดศรีษะเรื้อรังให้กับนาง ภรรยาเศรษฐีถามว่า “หนุ่มหรือแก่ ?”

    คนรับใช้บอกว่า “หมอหนุ่ม” นางจึงร้องตะหวาดลั่นด้วยความขุ่นเคืองใจ

    “ไล่มันไป...หนุ่ม ๆ จะมารักษาอะไรได้ ไม่เอาไล่มันไปไว ๆ..รำคาญจะตายแล้ว...หมอแก่มีวิชายังรักษาไม่หาย... คนหนุ่มจะมารักษาฉันได้อย่างไร”

    คนรับใช้ก็ออกไปเชิญให้หมอหนุ่มกลับไป ชีวกหนุ่มน้อยผู้เต็มไปด้วยแรงปณิธานที่จะขจัดทุกข์ให้กับมนุษย์ผู้เจ็บป่วย ไม่ละความตั้งใจจึงกล่าวว่า ”การรักษาคราวนี้จะไม่เอาอะไรเลย ถ้ารักษาไม่หาย” คำตอบที่มาจากใจอันสะอาดเปี่ยมไปด้วยความเมตตาของหมอหนุ่ม ทำให้ภรรยาเศรษฐีสนเท่ห์ ยอมให้ชีวกเข้าพบและยอมตกลงรักษา

    เขาเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบสมุฏฐานของโรคก่อน พบว่าต้องรักษาด้วยวิธีนัตถุ์ด้วยเนยใสไปเคี่ยวให้แก่ด้วยไฟ จนเปลี่ยนสีเปลี่ยนกลิ่น แล้วผสมเข้ากับว่านยาฉุนชนิดหนึ่ง ให้ภรรยาเศรษฐีนัตถุ์เข้าทางจมูก เพื่อให้ไหลออกทางปาก เพียงครั้งเดียว ปรากฏว่าอาการมึนงง ปวดร้าวกะโหลกศรีษะหายเป็นปลิดทิ้ง โล่ง..ปลอดโปร่ง..เหมือนยกภูเขาออกจากอก!

    เพียงครั้งเดียวในการรักษา แบบง่าย ๆ ใช้เวลาไม่กี่นาที แต่ได้ผลเกินความคาดหมาย ภรรยาเศรษฐีดีใจเหมือนได้แก้ว รีบมอบเงินเป็นค่าตอบแทนถึง 4,000 กหาปณะ หรือเท่ากับ 16,000 บาท ลูกสะใภ้ ลูกชายและตัวเศรษฐีให้อีกคนละ 4,000 กหาปณะ รวมทั้งหมดเป็นเงิน 16,000 กหาปณะลองคูณด้วย 4 จะเป็นเงินไทยเท่าไร

    ร่ำรวยมหาศาล แทบจะกลายเป็นเศรษฐีไปในบัลดล แถมยังได้ข้าทาสชายหญิง รถม้า และอื่น ๆ อีกมากมายเป็นของกำนัล หมอหนุ่มน้อมรับมาเพื่อไม่เป็นการขัดศรัทธา มุ่งหน้าสู่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธโดยเร็วเพื่อเฝ้าขออภัยพระบิดาบุญธรรม “อภัยราชกุมาร”

    ขณะเป็นแพทย์ประจำพระราชสำนัก

    หมอหนุ่มรวบรวมเงินทองจากการใช้วิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาจาก อาจารย์ได้มากเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว ก็อำลาครอบครัวเศรษฐีและชาวเมืองสาเกต ออกเดินทางไปยังเมืองมาตุภูมิทันที

    ไปถึงเมืองราชคฤห์ เขาได้รีบไปเฝ้าเสด็จพ่อเจ้าฟ้าอภัยราชกุมาร พระเจ้าอภัยตกพระทัยจู่ ๆ “เจ้าบุญยัง” ก็โผล่พรวดเข้ามาหลังจากหายหน้าไปตั้ง 7 ปี ครั้งแรกทรงมีพระพักตร์บึ้งตึง ที่โอรสบุญธรรมไปไหนมาไม่บอกกล่าว หมอหนุ่มกราบทูลสาเหตุที่ต้องหลบหนีออกจากพระราชวัง ไปศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองตักศิลา จนมีความชำนาญรักษาได้สารพัดโรค แล้วกราบทูลขอขมาโทษที่ทำการครั้งนี้โดยพลการ เสมือนมิรู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ทรงเมตตาอุปถัมภ์ชุบเลี้ยงมา แล้วนำเงินทองที่เหลือจากที่ใช้จ่ายทั้งหมดมาถวายแด่เสด็จพ่อ

    “เงินจำนวนนี้หม่อมฉันได้จากการรักษาภรรยาเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองสาเกตุ ขอทูลถวายเพื่อเป็นเครื่องบูชาพระเดชพระคุณที่ทรงเมตตาชุบเลี้ยงหม่อมฉัน”

    เจ้าฟ้าอภัยราชกุมารทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงแน่พระทัยว่า ที่ “เจ้าบุญยัง” กล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง ทรงชื่นชมในความกตัญญูรู้คุณของโอรสบุญธรรมจึงไม่ทรงรับเงินจำนวนนั้น หากแต่รับสั่งให้เขาเก็บไว้เป็นสมบัติของตนตั้งแต่นั้นมาเขาได้เป็นนายแพทย์คนโปรดประจำพระองค์เจ้าฟ้าอภัยอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย พร้อมกับจัดสร้างบ้านเรือนประทานให้แก่ชีวกโกมารภัจจ์ โดยแยกออกเป็นสัดส่วนต่างหาก

    ครั้งหนึ่งพระเจ้าพิมพิสาร มคธินทราธิราช ได้ทรงประชวรด้วยโรคริดสีดวงทวารหนักถึงขนาดพระภูษาเปื้อนเปรอะไปด้วยโลหิต สด ๆ เมื่อพระอภัยราชกุมารเข้าเฝ้า พระเจ้าพิมพิสารมีพระบัญชาให้เรียกแพทย์หลวงมาเยียวยารักษา พระเจ้าอภัยทูลว่า ”เกล้ากระหม่อมมีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือ ชีวกโกมารภัจจ์หรือพ่อบุญยัง มีความรู้ทางแพทย์ดีมากถ้าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าจะได้นำมารักษา”

    พระเจ้าพิมพิสารทรงบัญชาอนุญาต พระอภัยราชกุมาร จึงนำบุตรบุญธรรมที่ชุบเลี้ยงมาแต่แบเบาะ เข้าเฝ้าเพื่อตรวจพระอาการ หมอชีวกตรวจดูอาการของโรค ก็วางยาด้วยว่านยาชนิดหนึ่ง เข้าเครื่องยากับสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง ป้ายที่ปากแผลเพียงครั้งเดียว อาการประชวรด้วยโรคทรมานก็หายเป็นปลิดทิ้ง พระวรกายเป็นปกติ เป็นที่สบพระราชหฤทัยของพระเจ้าพิมพิสารเป็นอันมาก ทรงทึ่งในคุณภาพแห่งยาและกรรมวิธีการรักษาของหมอชีวกโกมารภัจจ์พระราชนัดดา บุญธรรม เป็นอันมาก

    หลังจากนั้น ได้พระราชทานรางวัลด้วยทรัพย์สินอันได้แก่ เครื่องมหัคฆภัณฑ์เพชรนิลจินดา ข้าทาส ชายหญิงอีก 500 คน พร้อมกับพระราชทานวาจาแก่ชีวกหนุ่มว่า ”ต่อไปนี้จงเป็นแพทย์ประจำราชสำนักเถิด เครื่องมหัคฆภัณฑ์กองนี้ พร้อมทั้งทาสชายหญิงเหล่านี้เรามอบให้เป็นสมบัติของเธอเป็นการตอบแทนบุญคุณของเธอที่รักษาโรคในตัวเราหาย”

    แต่หมอชีวกหนุ่มปฏิเสธไม่รับพระราชทาน เพราะเห็นเกินสมควรแก่ฐานะเกินวาสนาของตน จึงทูลถวายคืนพร้อมกับทูลว่า ”ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานทรัพย์สินและคนเหล่านี้แก่ข้าพระพุทธเจ้านั้น ก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นหาที่เปรียบมิได้ แต่ข้าพระพุทธเจ้าเล็งเห็นว่าไม่เหมาะสมกับภาวะของข้าพระพุทธเจ้าใช่จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันใดไม่ จึงขอน้อมเกล้าถวายทรัพย์สินและคนเหล่านี้คืนแด่ฝ่าละออง”

    พระเจ้าพิมพิสาร ทรงพอพระทัยในน้ำใจของหมอหนุ่มเป็นอันมาก ทรงโปรดแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นเอกอัครมหาอำมาตย์ เรียกตามภาษามคธว่า “เอโกอัคคมหามัจโจ ชีโว โกมาภัตติโก” แพทย์ประจำพระราชสำนักกรุงราชคฤห์แต่นั้นมา พร้อมกับพระราชทานเงินเดือนประจำและมอบคฤหาสน์บ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอย คนรับใช้ชายหญิง พร้อมด้วยอุทยานอัมพวัน (สวนป่ามะม่วง) ซึ่งเป็นที่ดินหลวงที่มีส่วยถึงปีละ 1 แสนกหาปณะ ชื่อเสียงเกียรติคุณของหมอหนุ่มขณะนั้นแผ่ขยายขจรขจายไปในหมู่ผู้คนทั่วกรุง ราชคฤห์

    ครั้งนั้นก็ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งป่วยเป็นโรคปวดศรีษะมานานถึง 7 ปีเช่นกัน ได้รับการรักษาจากหมอทุกประเภทแล้วก็ไม่หายมีแต่อาการจะทุกข์ทรมานยิ่งขึ้น เศรษฐีเกิดความท้อแท้ระอากับชีวิตเต็มที โดยเฉพาะยิ่งมาได้ยินหมอคนล่าสุดคาดหมายว่าจะต้องตายภายใน 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง เศรษฐีก็ยิ่งอยากจะกระโดดน้ำตาย ความเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงพระเจ้าพิมพิสาร จึงทรงมีบัญชาให้หมอชีวกไปตรวจดูอาการ

    หมอชีวก ไปตามพระราชบัญชาที่บ้านเศรษฐี ตรวจดูอาการป่วยพบว่าในสมองของเศรษฐีคนนั้นมีสัตว์ตัวเล็ก ๆ ชอนไชกินสมองในกะโหลกอยู่ต้องทำการผ่าตัดเอาสัตว์ตัวนี้ออก ดังนั้นหมอชีวกจึงกล่าวกับเศรษฐีว่า ”ผมจะมารักษาโรคของท่านโดยพระบรมราชโองการตรัสใช้ หากผมรักษาโรคของท่านหายท่านจะให้อะไรกับผม อยากทราบก่อนที่จะลงมือ”

    เศรษฐีตอบว่า ”ถ้าหายจริงแล้ว ผมจะยกทรัพย์สมบัติส่วนตัวของผมให้ท่าน พร้อมด้วยบุตรภริยา ข้าทาสชายหญิงก็จะยอมเป็นข้าทาสรับใช้ท่านตลอดไป”

    ชีวกหนุ่มได้ฟังก็ยิ้ม ถามเศรษฐีว่า ”เอาละเรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง แต่การรักษาครั้งนี้ท่านจะต้องนอนตะแคงขวาเป็นเวลา 7 เดือน แล้วก็นอนตะแคงซ้ายเป็นเวลา 7 เดือน และนอนหงายอีก 7 เดือนโดยไม่เปลี่ยนท่าจะทำได้ไหม” เศรษฐีผู้นั้นพยักหน้าพร้อมกับรับปาก

    “ถ้าอย่างนั้นผมตกลงรักษา” หมอชีวกกล่าวพร้อมกับจัดให้เศรษฐีนอนในท่าเตรียมการผ่าตัด ดำเนินการตามวิธีศัลยกรรมแพทย์แผนโบราณ โดยใช้มีดผ่าตัดผิวหนังที่คลุมกะโหลกศรีษะออก ใช้เครื่องมืองัดกะโหลกส่วนบนให้เปิดออกตามรอยประสาน ก็แลเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่สมัยนี้เรียกว่าพยาธิ 2 ตัว กำลังชอนไชกินเนื้อสมองอยู่ จึงเอาคีมคีบออกมาแสดงแก่คนทั้งหลายและพูดว่า”

    นี่พวกคุณดูสัตว์เล็ก ๆ 2 ตัวนี้ซิ ตัวนี้แหละที่มันจะกินมันสมองของเศรษฐีให้หมดไปภายใน 5 วัน หมดมันสมองเมื่อไหร่เศรษฐีก็ต้องตาย ”ดังนั้นหมอชีวกจึงทำลายพยาธิ 2 ตัวนั้นแล้วก็เอากะโหลกปิดตามรอยประสาน ทายาสมานแผลที่สกัดจากว่านยาสมุนไพรชนิดหนึ่งก็เป็นอันเสร็จพิธี จากนั้นก็ได้สั่งให้เศรษฐีนอนตะแคงขวา 7 วัน แล้วก็ตะแคงซ้าย 7 วันและนอนหงายอีก 7 วันแผลก็หายเป็นปกติ หายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง

    เมื่อเศรษฐีหายป่วยเป็นปกติแล้ว วันหนึ่งหมอชีวกก็ไปหาเศรษฐีพบว่ามีร่างกายแข็งแรงดีถามว่า “ศรีษะเป็นอย่างไรหายปวดไหม” เศรษฐีตอบว่า “หายเป็นปกติดีแล้ว” เศรษฐีสงสัยทำไมหมอจึงให้รับปากว่าจะนอนตะแคงขวา 7 เดือน ตะแคงซ้าย 7 เดือน และนอนหงายอีก 7 เดือนจึงถามหมอชีวกว่า “ไหนท่านให้ผมตั้งสัจจะว่าจะต้องนอนถึง 21 เดือนนี่เพียง 3 สัปดาห์ก็หายแล้ว”

    หมอชีวกหนุ่มหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่บอกให้เผื่อไว้อย่างนั้นที่ไหนท่านจะนอนได้ถึง 3 สัปดาห์” เศรษฐียิ้มในปัญญาของหมอ นายแพทย์หนุ่มจึงพูดถึงสัญญาค่ารักษาจากเศรษฐีว่า

    “ดีแล้ว..ต่อไปนี้เราจะคบกันอีกก็ยากเต็มที ท่านจะให้อะไรแก่ผมเป็นค่ารักษา” เศรษฐียังคงยืนยันที่จะให้ทรัพย์สินลูกเมีย ข้าทาส พร้อมตัวเองเป็นทาสรับใช้หมอชีวกตลอดไปตามที่ได้พูดไว้ หมอหนุ่มยิ้มด้วยความพอใจในน้ำใจและสัจจะวาจาที่ให้ไว้ของเศรษฐีจึงรีบตอบว่า

    “อย่าให้มันหนักหนาถึงขนาดนั้นเลย ท่านนี่ใจถึงมากควรนับถือ ผมไม่ใช่คนโลภลาภหาบเงินอะไรหรอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกันให้ผมเพียง 1 แสนกหาปณะทูลเกล้าไปเป็นของหลวง 1 แสนกหาปณะ” ก็เป็นอันตกลงตามที่หมอชีวกต้องการ จากนั้นชื่อเสียงของหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็ยิ่งแพร่ขยาย แซ่ซ้องสรรเสริญในกลุ่มข้าราชบริพารและขุนนางผู้ใหญ่เป็นอันมากทั่วกรุงราช คฤห์

    (เรื่องนี้ผู้เขียนนำมาจากชีวประวัติบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจจ์ที่ พระอริยเมธี ป. 9 เป็นผู้แปลขึ้นจากพระไตรปิฎก โดยมี ท่านเจ้าประคุณเปมังกโรภิกขุ เป็นผู้เรียบเรียง จากท้ายของการเขียนในตอนนี้ ผู้เรียบเรียงได้ให้ข้อทัศนะว่า)

    วิธีการรักษาของ “นายแพทย์ชีวก” นั้นเป็นที่น่าสงสัยว่าสัตว์หรือตัวพยาธินั้นมันเกิดขึ้นมาอย่างไร ในสมองของมนุษย์ในเมื่อกะโหลกศรีษะก็ไม่ได้ทะลุเป็นรูรั่ว หรือเกิดจากเส้นโลหิตมีทางเดินไปทั่วสรรพางค์กาย มันสมองของคนย่อมมีเยื่อหุ้ม เป็นถุงอยู่ภายในอีกชั้นหนึ่ง ต่อจากกะโหลกศรีษะลงไปเมื่ออวัยวะส่วนใดไม่เสีย ส่วนนั้นก็ไม่น่าจะเกิดสัตว์ที่มีชีวิตได้

    ที่น่าสังเกตก็คือ สัตว์ทุกชนิดย่อมมีลมปราณคือลมหายใจสมุฏฐานแห่งชีวิต เนื่องมาจากอากาศจึงยังชีวภาพให้เป็นอยู่ได้ เป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้ ซึ่งเป็นตอนหนึ่งในพระไตรปิฎก ไม่น่าจะเป็นจริง เพราะสัตว์นั้นอยู่ในกะโหลกของคนโดยไม่ได้อาศัยลมหายใจอยู่ได้อย่างไร

    และวิธีการรักษาของนายแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์ที่ว่างัดเปิดกะโหลกศรีษะออกตามรอยประสาน แล้วคีบเอาตัวพยาธิออกมาเช่นกัน ชวนให้สงสัยว่า เปิดปิดอย่างไร น่ากลัวศรีษะกะโหลกจะบิ่นแตกหรือร้าวป่นปี้ย่อยยับไปหมด เพราะศรีษะมนุษย์มันแข็งออกจะตาย คนที่ถูกตีหัวจนหัวแตกแต่กะโหลกศรีษะไม่แตกแยกจากกัน ก็แสดงว่ากะโหลกคนนี้แข็งมาก แต่ชีวกโกมารภัจจ์ กลับสามารถเปิดออกและปิดตามรอยเดิมได้อย่างง่ายดายเหมือนเปิดฝาตุ่มน้ำ คนโง่ไม่รู้วิชาแพทย์ย่อมจะต้องสงสัยเป็นธรรมดา

    เกี่ยวกับเรื่องสัตว์เข้าไปกินมันสมอง คนนี่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ญาติผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง พร้อมกับยืนยันว่าสัตว์ที่ชอบกินมันสมองคนนั้นมีจริง และสามารถจะแพร่พันธุ์ ออกลูกออกหลานกินสมองคนเป็นอาหารเจริญเติบโตได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยปราณหรือลมหายใจจากภายนอกอย่างที่ท่านเปมังกโรภิกขุ กล่าว

    ณ ตำบลบางขุนไทร อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี มีบ้านครอบครัวประมงอยู่หลังหนึ่ง มีเด็กสาวรับใช้นางหนึ่ง มักจะมีอาการซึมจำอะไรไม่ได้เลย วัน ๆ เอาแต่นั่งง่วงเหงาหาวนอนที่สำคัญ มีอาการคันที่กระหม่อมศรีษะอย่างรุนแรง เกาจนผมร่วงเป็นกระหย่อม

    สมัยก่อนย่านบางขุนไทร ซึ่งเป็นตำบลชายทะเลเลียบฝั่งทะเลจังหวัดเพชรบุรี นิยมหุงข้าวด้วยหม้อดิน ทุกวันบ้านนี้จะลุกขึ้นหุงข้าวใส่บาตร เด็กหญิงคนนี้จะมีหน้าที่หุงข้าวและทุกครั้งที่เธอหุงข้าวเธอจะเอาฝาละมี (ที่มีความร้อนจากไฟหุงข้าวมาอัง บริเวณกะหม่อมเป็นเวลานาน เพื่อให้คลายอาการคันบริเวณส่วนนั้นลง)

    นายจ้างสงสัยทำไมข้าวมันสุกช้า จึงเข้าไปมองในครัว เห็นเด็กรับใช้นั่งยอง ๆ เอาฝาละมีครอบหัว อารามโมโหที่เห็นข้าวสุกช้า เพราะมัวเอาฝาละมีมาอังกะหม่อมอยู่ จึงคว้าฝาละมีนั้นทุบลงไปบนหัวกะโหลกแตก ก็ปรากฎมีสัตว์เลื้อยคลานขนาดความยาวเท่าหนึ่งองคุลีความหนาประมาณเท่าก้าน ไม้ขีดไฟหรือเล็กกว่า ลำตัวสีน้ำตาลไต่ยุบยับไปหมดในกะโหลกศีรษะ

    เจ้าตัวชนิดนี้ภาคอื่นเขาเรียกว่าอะไร ผู้เขียนไม่ทราบ แต่ทางบ้านบางขุนไทร จังหวัดเพชรบุรีเขาเรียกกันว่า “ตัวแมงคาเรือง” มีลักษณะคล้ายตัวกิ้งกือแต่เล็กกว่าขนาดเท่าก้านไม้ขีดไฟ ลำตัวสีน้ำตาลอมแดง ขยี้ให้ตายจะมีสีเรืองแสงออกมาจากตัว เป็นสีฟอสฟอรัสคล้าย ๆ แสงหิงห้อย ชาวบ้านแถวนั้นกลัวกันมากเพราะมันชอบคลานจากที่ชื้นอับ มาเข้าหูแล้วเข้าไปกัดกินมันสมอง

    จริงเท็จอย่างไรไม่ขอยืนยันเพราะไม่ได้เห็นกับตา เพียงแต่ฟังจากคุณยายเล่าไว้ขณะยังมีชีวิตอยู่ คุณยายของผู้เขียนเป็นคนไม่ชอบพูดเท็จหรือปั้นน้ำเป็นตัว สิ่งที่เล่ามาก็คงน่าจะเชื่อถือได้ แต่ความเข้าใจของคนโบราณกับวงการแพทย์สมัยใหม่มันมักจะสวนทางกันอยู่เสมอ สิ่งที่เล่ามานี้ก็ขอให้พิจารณากันเอง ตามสติปัญญาของตนเกิดว่ามันจะเป็นไปได้สักแค่ไหน สำหรับผู้เขียนก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าจะเป็นไปได้ตามที่เล่ากันมา เมื่อได้ฟังมาก็เล่าไปเพื่อเรื่องจะได้ไม่สูญหาย

    กล่าวกันว่า เจ้าตัวประหลาดชนิดนี้จะมีชุกมากในหน้าฝน โดยเฉพาะตามบ้านที่มุงหลังคาจาก มักชอบอยู่ในที่อับชื้น ชอบเข้าหูคน สมัยที่ผู้เขียนเป็นเด็กจึงถูกบังคับให้ทาน้ำมันก๊าดไว้ตามรอบนอกของใบหู กันแมงคาเรืองเข้าไป จะนอนก็ไม่มีสุข ต้องผวากลัวไอ้ตัวประหลาดนี้ แต่เดี๋ยวนี้หายากเข้าทุกทีจนแทบจะไม่มีคนรู้จัก เนื่องจากบ้านเรืองของคนสมัยนี้จัดเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน ข้อสำคัญหลังคาบ้านไม่ได้มุงด้วยใบจากอย่างแต่ก่อน จึงหายห่วงไป

    “การใช้ปัญญาเอาตัวรอดของหมอชีวก”
     
  2. ShadowOfLife

    ShadowOfLife สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +3
    ศัลยกรรมการผ่าตัดลำไส้ของหมอชีวก

    การเรียนรู้ศิลปะวิชาแขนงใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียไม่ได้ในเรื่องนั้น ๆ ก็คือ
     
  3. ShadowOfLife

    ShadowOfLife สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +3
    ศัลยกรรมการผ่าตัดลำไส้ของหมอชีวก

    การเรียนรู้ศิลปะวิชาแขนงใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียไม่ได้ในเรื่องนั้น ๆ ก็คือ “พลังจิต” อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุที่ หมอชีวกโกมารภัจจ์ สามารถรักษาคนไข้หายจากโรคร้ายได้ทุกราย โดยไม่ต้องวางยาซ้ำ นั่นก็คืออาศัยอำนาจจิตเร้นลับในตัว เป็นแรงหนุนเนื่อง

    มีเรื่องเล่าไว้ใน จีวรขันธกะ คัมภีร์พระวินัยปิฎก ว่า ท่านหมอชีวกได้ใช้พลังจิตตรวจสอบสมุฎฐาน และวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ เฉพาะโรคที่เกิดขึ้นภายในอย่างเช่น โรคปวดศีรษะเรื้อรังอันเนื่องจากโพรงจมูกอักเสบของภรรยาเศรษฐีเมืองสาเกต

    ซึ่งต้องรับรักษาโดย ใช้เนยใสเป็นน้ำมันหล่อลื่น เพื่อให้หนองในโพรงจมูกลื่นไหลออกมาทางช่องปากและตัวยาที่เข้าเนยใสก็จะซึม ซาบฆ่าเชื้อไวรัสได้หมดในเวลารวดเร็ว เมื่อหนองไม่มีอยู่ในโพรงจมูกการหายใจก็โล่ง อาการปวดศีรษะเรื้อรังก็หายโดยง่ายดาย และไม่จำเป็นต้องใช้ยาอื่นมากินมาทาให้เสียเวลา การวินิจฉัยโรคเร้นลับเช่นนี้ ถ้าไม่ใช้พลังจิตแล้วไฉนจะล่วงรู้ได้

    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของการวินิจฉัยโรคแนวใหม่ของท่านหมอชีวกที่สามารถล่วงรู้ส่วนเกิน ที่อยู่ในลำไส้ได้ชัดเจนเสียยิ่งกว่าใช้เครื่องเอ็กซเรย์ในปัจจุบัน เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ท่านหมอชีวกโกมาภัจจ์ มีพลังจิตเร้นลับในการวิเคราะห์สมุฏฐานของโรคอย่างเที่ยงตรง แน่นอน จนกล้าที่จะกล่าวได้ไม่มีผู้ใดเทียบเท่า แม้แพทย์แผนปัจจุบันที่เชี่ยวชาญเฉพาะโรคก็เถอะ

    ครั้งหนึ่ง ณ เมือง พาราณสี มีบุตรเศรษฐีคนหนึ่งมีอาการเซื่องซึม ผอม ตัวเหลือง รับประทานอาหารไม่ได้ กินอะไรเข้าไปก็จะเกิดอาการจุกเสียด แน่นเป็นลูกขึ้นมาถึงหน้าอก ได้รับความทุกข์ทรมานมาก เศรษฐีได้ยินกิตติศัพท์ การรักษาโรคของหมอชีวก จึงส่งคนไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสารขออนุญาตหมอชีวกไปรักษาบุตรของตน พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานอนุญาตให้หมอชีวกไปรักษาโดยให้เดินทางไปในวันนั้น

    เมื่อถึงบ้านหมอชีวก ผู้เชี่ยวชาญในการรักษารับตรวจดูอาการ หาสมุฏฐานของโรคโดยละเอียด พบว่า ลูกชายเศรษฐี เป็น โรควัณโรคในลำไส้ ต้องทำการผ่าตัด แต่สมัยนั้น การผ่าตัดเป็นเรื่องน่าหวาดสยองของคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ป่วยและผู้เป็นพ่อแม่ ย่อมไม่กล้าเสี่ยงที่จะเอาชีวิตเข้าแลกกับการผ่าตัด ดีไม่ดีความกลัวของคนอาจเป็นเหตุให้ตายเสียก่อนที่จะทำการรักษา

    หมอชีวกรู้จิตใจของคนไข้ดี จึงตั้งคำถามกับเศรษฐีว่า ”ใต้เท้าอยากให้ลูกชายหายไหม?” เศรษฐีผู้เป็นพ่อร้องลั่นว่า “บ๊ะ..แล้วกัน ไม่อยากให้หายแล้วจะตามหมอมาทำไมกัน ถามได้”

    “คืออย่างนี้ โรคนี้เป็นโรคร้ายแรงมาก ถ้าใต้เท้าไม่ตกลงรักษาตามวิธี และไม่ทำตามคำมั่นสัญญาของผม ลูกชายของท่านจะต้องตายแน่” หมอหนุ่มไขข้อกังขาพร้อมกับเอาสัญญากับเศรษฐี
    “เอาเถอะจะรักษาโดยวิธีใดก็ยอมทั้งนั้น ขอชีวิตลูกฉันก็แล้วกัน” เศรษฐีให้คำมั่น
    “การรักษาครั้งนี้จะต้องทำการผ่าตัดเอาไส้ออก” หมอหนุ่มกล่าวหนักแน่น ทำเอาเศรษฐีเบิกตาค้าง
    “หา! อะไรนะหมอ”
    “อย่าลืมว่าใต้เท้าให้สัญญาไว้แล้ว ผมต้องผ่าตัดลูกชายใต้เท้า ไม่งั้นลูกชายของท่านตายแน่ไม่รอด” หมอชีวกหนุ่มผู้ชาญฉลาดเริ่มทวงสัญญา
    เมื่อได้ยินคำว่าตายบ่อยเข้า จึงหันไปมองหน้าเมีย เห็นเมียมองอย่างท้อแท้ พยักหน้ายอมรับการรักษาตามวิธีของหมอชีวก ก็เลยต้องยอมตกลงตามเมีย เพราะไม่มีทางเลือก

    หมอชีวกจึงให้เศรษฐีจัดเตียงสำหรับคนไข้นอน จับคนไข้มัดมือมัดขาไว้กับเตีย จากนั้นได้ใช้มีดหมอทำการผ่าพุงลูกเศรษฐี ล้วงลำไส้ที่เป็นฝีทั้งหมดออกมาแสดงกับท่านเศรษฐีที่ยืนอกสั่นขวัญหายอยู่ข้าง ๆ พร้อมด้วยภริยาและลูกสะใภ้วงศาคณาญาติ ซึ่งแห่กันมาดูการผ่าตัดอันน่าขวัญสยอง

    หมอชีวกได้อธิบายและชี้ให้เศรษฐีดูว่า ฝีในลำไส้ของลูกชายนี้เกิดขึ้นจากการดื่มนมวัวที่ติดเชื้อวัณโรค เชื้อนั้นได้ออกมากับน้ำนม (เมื่อนำไปดื่มกินโดยไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อเสียก่อน) แล้วเข้าไปยึดแหล่งที่พักพิง ขยายพันธุ์ต่อไปจนกลายเป็นฝี

    เรื่องนี้ศาสตราจารย์ ดร.อวย เกตุสิงห์ ได้ให้ความเห็นไว้ในหนังสือสยามานุสรณ์ วิจารณ์ชีวประวัติหมอชีวกโกมารภัจจ์ไว้ว่า เนื่องจากชาวอินเดียชอบดื่มน้ำนมวัวเป็นอาหาร สมัยนั้นยังไม่มีการทำลายเชื้ออันจะเกิดจากแม่วัวมีเชื้อโรค ยังไม่มีความรู้เรื่องเชื้อจุลินทรีย์และกรรมวิธีทำลายเชื้อจึงเป็นการง่าย ที่ลูกเศรษฐีจะได้รับเชื้อวัณโรคเข้าไปกับน้ำนมแพร่เชื้อขยายพันธุ์ จนกลายเป็นฝีในลำไส้ขึ้น

    ผู้ที่เป็นโรคนี้ได้รับผลร้ายอยู่ 2 ทาง คือจากพิษของเชื้อวัณโรค และจากฝีที่อักเสบในลำไส้ ดังนั้นจึงทำให้ลูกเศรษฐีมีอาการจุกเสียดแน่นเวลารับประทานอาหารเข้าไป เมื่อร่างกายไม่มีอาหารก็ทำให้มีอาการผอมเหลืองเป็นธรรมดาbเนื่องจาก วัณโรคลำไส้ มักจะมีแหล่งโรคที่อื่นอีกด้วย โดยเฉพาะที่ปอด ซึ่งต้องรักษาด้วยยา

    หมอชีวกมียาพิเศษที่ปรุงขึ้นเอง มีคุณภาพสามารถรักษาวัณโรคเกิดในตำแหน่งอื่นให้หายไปได้ เพียงชั่วที่หมอชีวก ผ่าตัดเอาฝีร้ายออกจากลำไส้ชำระล้างสิ่งปฏิกูลแล้วใช้ยาทา ไม่กี่วันแผลก็หาย ลูกเศรษฐีมีอาการปกติ อ้วนท้วนสมบูรณ์เป็นคนละคน

    การรักษาของหมอชีวกดูเหมือนจะง่ายดาย เสียยิ่งกว่าปอกกล้วย คือใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จกรรมวิธีผ่าตัด ซึ่งสมัยนี้ต้องใช้เวลาเป็นเดือน กว่าจะอยู่ในสภาพปกติ แถมยังต้องจองคิวหมอ คิดเตียง ต้องมีค่าน้ำร้อนน้ำชา เงินหนาถึงจะได้หมอดี ห้องดี เหล่านี้เป็นต้น

    ในคัมภีร์ พระวินัยปีฎกไม่ได้กล่าวไว้ว่า ท่านชีวกให้พักฟื้นกี่วันและใช้ยาอะไรระงับปวดในขณะผ่าตัด และใช้ยาอะไรเป็นยาสลบ เรื่องนี้ผู้เขียนได้ค้นคว้าจากการติดต่อทางสมาธิ (ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะได้ข้อมูลจากผู้ที่มีสภาพเป็นโอปปาติกะอยู่คนละ ภพภูมิกับเราได้อย่างแม่นยำ)
    โดยกราบเรียนถามท่านชีวกโกมารภัจจ์ว่า ท่านใช้ยาอะไรเป็นยาระงับปวดและยาสลบ ท่านบอกผ่านทางสมาธิว่า ท่านใช้ยาสมุนไพรประเภทหนึ่งที่ชื่อ “สลัดได” โดยเข้ากับว่านยาอีก 2 ชนิดผสมกันใช้เป็นยาสลบได้ดี

    ส่วนยาระงับปวดท่านใช้ “ควินนิน” เข้าเครื่องยาสมุนไพรบางอย่างเคี่ยวให้เป็นสีผึ้งใช้ในยามปวดอย่างรุนแรง ส่วนการรักษานั้นท่านกล่าวว่า “ใช้พลังจิต” เข้าประกอบขณะทำศัลยกรรม จะเห็นว่าการผ่าตัดก็ดี การวางยาสลบก็ดี จะต้องมีว่านและยาสมุนไพรโบราณเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาทั้งสิ้น

    และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการรักษาคือการใช้ “พลังจิต” เข้าช่วยในขณะกระทำการอันเสี่ยงต่อชีวิตของผู้อื่นทุกครั้ง เรื่องนี้ผู้เขียนไม่อาจจะยืนยันได้แน่ชัดว่า ท่านชีวก โกมารภัจจ์ใช้พลังจิตตรวจสอบสมุฏฐานของโรค และรักษาโรคได้หรือไม่

    แต่ในชีวประวัติของท่านที่ได้จากคัมภีร์พระไตรปิฎกระบุอย่างแจ่มชัดว่า พระฤาษีโรคาพฤกษตริณณา ได้สอนวิชาลึกลับพิเศษเพิ่มเติมให้อีกในการผ่าตัด ซึ่งธรรมดาไม่สอนให้ใคร ท่านชีวกจึงมีความรู้และความสามารถเหนือกว่าคนอื่นทั้งหมด และได้กลายเป็นบรมแพทย์ซึ่งไม่มีใครเทียบได้เลย ในด้านการวินิจฉัยสมุฎฐานของโรคด้วย “กระแสญานทัศนะ”

    ((( โปรดติดตามตอน “การใช้ปัญญาเอาตัวรอดของหมอชีวก” )))
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. ShadowOfLife

    ShadowOfLife สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +3
    “การใช้ปัญญาเอาตัวรอดของหมอชีวก”

    พระเจ้าพิมพิสาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ทรงโปรดความมักน้อยและความสงบเสงี่ยม ของท่านชีวกเป็นอันมาก นอกจากจะทรงเปลี่ยนรางวัลจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับราชตระกูลชั้นสูง และนางสนม ข้าทาสชายหญิงจำนวน 500 คน พรั่งพร้อมด้วยเพชรนิลจินดามูลค่าคณนานับมาเป็นคฤหาสน์พร้อมด้วยข้า ทาสบริวาร ยานพาหนะกับตำแหน่งแพทย์หลวงประจำพระราชสำนักยังทรงแต่งตั้งตำแหน่ง “เอกอัครมหาอำมาตย์” ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดสำหรับข้าราชการอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย

    ความรู้ ความสามารถ ของท่านชีวกได้แพร่ขยายขจรขจายไปยังแคว้นใกล้เคียง นั่นคือกรุงอุชเชนี นครซึ่งเป็นเมืองหลวงของ แคว้นอวันตี (สมัยปัจจุบันตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำสิปรา เหนือแคว้นบอมเบย์ขึ้นมาหน่อย) มีพระมหากษัตริย์ชื่อ พระเจ้าจัณฑปัชโชโต ทรงทราบเกียรติศักดิ์ชื่อเสียงในการวินิจฉัยโรค การวางยาเพียงครั้งเดียว ก็หายจากโรคได้

    จึงได้ทรงส่งทูตมาขอตัวหมอชีวกต่อพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อไปรักษาโรคป่วยเรื้อรังทุกข์ทรมานมานานวัน ไม่มีแพทย์คนใดรักษาได้ พระเจ้าพิมพิสารทรงพระราชทานตรัสบัญชาอนุญาตให้หมอชีวกเดินทางไปรักษาพระเจ้าจัณฑปัชโชโต

    ท่านชีวกได้ตรวจพระอาการอย่างระมัดระวัง ตรวจสอบไปถึงอุปนิสัยจิตใจเพื่อหาสมุฏฐานของโรค โดยเฉพาะอารมณ์บางอย่างอันเป็นเหตุให้เกิดโรคทางกาย ในที่สุดก็พบว่าพระเจ้าจัณฑปัชโชโต ทรงมีพระโทสะร้าย มีพระอารมณ์ร้อน มีความปริวิตกมาก อันเป็นสมุฏฐานเบื้องต้นที่ทำให้พระโรคหายยาก แม้จะเยียวยาวิเศษอย่างไรก็ไม่อาจหายได้ แต่จะทำให้พระเจ้าจัณฑปัชโชโตละโทสะนั้นยาก จึงหาทางปรุงยาซึ่งจะต้องใช้เนยเหลวเป็นกระสาย

    แต่ทว่าพระเจ้าจัณฑปัชโชโต เกลียดเนยใสเป็นที่สุด ทรงอุทานตรัสสั่งห้ามทันทีที่ท่านชีวกทูลว่าจะต้องเสวยพระโอสถที่เข้าเนยใส ว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ เป็นอันขาด ปฏิกูลสำหรับฉัน เกิดมาไม่เคยล่วงลงคอเข้าไปเลย อย่าว่าแต่จะกินเข้าไปเลย เพียงแต่พูดถึงชื่อฉันก็ทนไม่ไหวอยู่แล้ว ตายเสียดีกว่าจะกินเนยใส ท่านจงเอายาอย่างอื่นมาดีกว่า”

    ท่านชีวกเล็งเห็นแต่ต้นแล้วว่า พระเจ้าจัณฑปัชโชโตมีพระโทสะร้ายและรังเกียจเนยเหลว การที่จะแข็งขืนให้เสวยด้วยวิชาทางแพทย์ แม้จะทำให้พระโรคหาย แต่ด้วยพระโทสะที่ท่านดื้อรั้น อาจทำให้ตัวหมอเองเป็นอันตรายได้ จึงได้วางแผนทางหนีทีไล่ไว้อย่างเรียบร้อย

    โดยทูลขอช้างพังตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นช้างที่มีความสามารถเดินทางวันละ 50 โยชน์ ช้างตัวนี้มีชื่อว่า “ภัททวดี” ส่วนอีกตัวเป็นช้างพลายชื่อ “นาฬาคีรี” สามารถเดินทางได้วันละ 100 โยชน์ ม้าอีก 2 ตัว ตัวหนึ่งชื่อ “เวลุกัณโณ” อีกตัวหนึ่งชื่อ “มุญชเกโส” ซึ่งสามารถเดินทางได้วันละ 120 โยชน์ และราชบุรุษอีก 1 คน เดินทางได้วันละ 60 โยชน์ ท่านชีวกได้ขอพระราชทานสิ่งเหล่านี้ก่อนจะวางยา โดยทูลว่าจะเปลี่ยนยาให้ตามประสงค์

    พระเจ้าจัณฑปัชโชโต ทรงอนุญาตจัดการตามความประสงค์ของท่านชีวก ในขณะที่หมอหนุ่มกลับไปนอนตรึกตรองถึงการประกอบยา คิดสำเร็จแล้วลุกขึ้นเอาเนยใสมาเคี่ยวให้แก่ไฟเพื่อแปรสีกลิ่นรสให้คล้าย คลึงกับยาสมุนไพรที่เตรียมไว้ ผสมได้ที่แล้วเก็บเตรียมเอาไว้ เมื่อได้เวลาที่จะเฝ้าถวายพระโอสถตอนหัวค่ำ กราบบังคมทูลถวายว่า “เสวยพระโอสถพระเจ้าข้า พระโอสถนี้ประสมด้วยน้ำฝาดสมุนไพรเป็นกระสาย”

    พระมหากษัตริย์ก็ทรงรับมาเสวย โดยมิได้ทรงทราบว่ายานั้นได้ประกอบเนยใส ท่านชีวกกราบถวายบังคมลา พร้อมกับทูลว่า “จะจัดพระโอสถ มาทูลเกล้าถวายอีก” ถวายบังคมลาจากที่เฝ้า ก็รีบไปยังโรงช้าง แจ้งความประสงค์ให้เจ้าพนักงานช้าง นำช้างพังภัททวดีมาให้เดี๋ยวนี้ พร้อมกับขึ้นขับหนีออกจากกรุงอุชเชนี เอาขอขนาบช้าง เร่งฝีเท้าให้เร็วเข้า ตกที่ลุ่มแล้วก็กระดอนขึ้นที่สูง โดนหัวตอ แล้วก็ชนตอไม้ เซไถลไปมา แต่ท่านชีวกก็ไม่ยอมหยุด ยิ่งเร่งมากก็ยิ่งรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้พ้นจากรัศมีการตามล่า เป็นเร็วที่สุด

    ข้างฝ่ายพระเจ้าจัณฑปัชโชโต หลังจากที่ได้เสวยพระโอสถไปแล้วก็เกิดอาการ “เรอออกมา” พาเอากลิ่นเนยฟุ้งออกมาไปทั่วพระนาสิก ทรงร้องด้วยความสะอิดสะเอียน
    “เอ๊ะ..เนยใส ทำกูได้ ฉิบหายตายกันวันนี้แน่” ว่าแล้วก็ตรัสเรียกมหาดเล็กเวรด้วยพระสุรเสียงอันลั่นให้ตามตัวหมอชีวกด่วน พร้อมกับทรงเรอออกมาถี่ ๆ อีกหลายตลบ มหาดเล็กไปตามตัวหมอชีวก ก็เงียบหายยิ่งทรง พิโรธ โกรธกริ้ว ทุบถีบเครื่องราชูปโภคใกล้เคียง แตกกระจุยกระจาย กระโถน ขันน้ำ พระเขนย ลอยเป็นลูกฟุตบอล

    มหาดเล็กกลับเข้ามาพร้อมกับทูลว่า “หมอชีวก ขี่ช้างพังภัททวดีออกจากพระนครไปนานแล้ว พระเจ้าข้า” เหมือนเพิ่มเชื้อไฟด้วยฟืนกองโต ทรงกริ้วจนพระพักตร์เขียว ตรัสว่า
    “ไอ้หมอเจ้าเล่ห์ ไอ้จัญไร หนีไปซิ ขืนอยู่หัวมันขาด ไปตามตัวไอ้กากมาให้กูเร็ว” (นายกากคือราชบุรุษที่เยี่ยมยิ่งในทางฝีเท้าเดินทางได้วันละ 60 โยชน์)

    กว่าจะได้ตัวนายกากก็จวนสว่างของวันใหม่ พระเจ้าจัณฑปัชโชโตก็แทบจะคลั่ง ครั้นได้ตัวนายกาก พระเจ้าจัณฑปัชโชโตก็รีบตรัสว่า “ไอ้กากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว หมอชีวกวางยาผิด แล้วหลบหน้า พาช้างภัททวดี แล้วเผ่นหนี มึงชำนาญทางดีแล้ว รีบไปตามตัวมาเร็ว มันหนีไปนานแล้ว อย่าชักช้า แต่เดี๋ยว กูจะเตือนมึง ไอ้หมอคนนี้ ท่าทีเล่ห์เหลี่ยม ของมันเห็นจะมากโขอยู่นะ

    แต่มึงนั่น กุมหัวโง่ ขี้เท่ออย่างกะหัวสากจงสำนึกตัว มึงดีแต่เดินเร็วเท่านั้น แต่กูมีปัญญาพอตัว เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน ยังไล่ความคิดมันไม่ทัน ถูกตกหลุมเนยใสของมันอยู่นี่ หากมึงไปทัน เข้ากลางทางแล้ว มันจะให้มึงกินอะไร อย่าไปกินของมัน ขืนกินเข้าไป มึงจะต้องตกหลุมของมันอีกคน เสียเกียรติชาวกรุงอุชเชนีหมด จำไว้นะ” ราชบุรุษกาโก หรือกากรับพระราชบัญชาแล้วกราบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า เตรียมเดินทางทันที

    เป็นไปตามที่หมอชีวกคาดคะเนเหตุการณ์ไว้ไม่มีผิด ท่านชีวกเดินทางมาถึงตำบลหนึ่งซึ่งอยู่กึ่งกลางใกล้กรุงโกสัมพี ก็หยุดลงจากหลังช้างพักกินอาหารเดินเที่ยวไปตามบริเวณที่พักพบต้นมะขามป้อม ต้นหนึ่งลูกดกจึงเก็บเอากำมือหนึ่งลองรับประทานดูจึงพบว่าลูกมะขามป้อมมีคุณ ภาพแก้ก ระหายน้ำเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า กินมากเป็นยาระบาย ขณะพิจารณาก็เห็นนายกากตามมายังที่ตนนั่ง จะหลบก็ไม่ทันจึงทำใจดีสู้เสือ รีบตะโกนทักขึ้นก่อนทันที
    “คุณกากครับ เชิญมาทางนี้ ผมอยู่นี่”

    มหาดเล็กกากเห็นหมอชีวก ทักเรียก จึงยิ้มยิงฟันขาวพูดขึ้นว่า ”คุณหมอ มีพระบรมราชโองการ ให้ผมมาเชิญคุณหมอกลับไปรับพระราชทานบำเหน็จการรักษาพระโรคว่าอย่างไร”
    ท่านชีวก ตอบขึ้นทันทีว่า
    “ก็กลับซิ คุณเป็นคนของพระมหากษัตริย์สำคัญคนหนึ่งในกรุงอุชเชนีผมก็เป็นคนของพระมหากษัตริย์สำคัญคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ ทำความเข้าใจกันได้ง่ายไม่ให้ต้องลำบากถึงกับมัดดอก นั่งลงรับประทานอาหารด้วยกันเถิด เดินทางมาไกล หิวน้ำแล้วมิใช่หรือ ?”

    นายกากนึกถึงคำเตือนของพระมหากษัตริย์ ตรัสห้ามมิให้กินอะไรในสิ่งที่หมอชีวกให้จึงยกมือพูดว่า “ไม่หรอกครับ คุณหมอรับประทานคนเดียวเถิด ผมเดินกินโรตีมาตามทางกำลังอิ่มแป้อยู่นี่ อยากกินแต่น้ำเท่านั้น มีน้ำจากหนองน้ำที่ไหนบ้าง”

    หมอชีวกได้ทีตอบว่า “อย่างนั้นรึ น้ำข้าพเจ้าก็มีในกระบอกนี่ แต่ท่านกินไม่ได้หรอก หมอเขาห้าม เดินทางตากแดดมาร้อน ๆ จะเกิดอาการความร้อนหลบในเป็นอันตราย ต้องกินผลมะขามป้อมแก้กระหายน้ำเสียก่อน”

    ว่าแล้วหมอชีวกก็เอามือล้วงลงไปในกระทายเครื่องยาใช้หัวนิ้วแม่มือกดลงไปที่ห่อยาถ่าย (ที่ปรุงขึ้นเอง) เอาติดเล็บแม่มือ แล้วไปจิกลงที่ผลมะขามป้อมผลหนึ่ง ส่งให้นายกากกินพร้อมกับพูดว่า “เอ้า กินผลเดียวก็พอ” นายกากรับมาเข้าปากเคี้ยวกินจนหมดลูก สักครู่หนึ่งชั่วขณะยังไม่ทันคุยจบก็ร้องขึ้นว่า

    “เอ๊ะ คุณหมอ ท้องผมมันเป็นอะไรนี่ มันปั่นป่วนครืดคราดเป็นลูกคลื่น วิ่งพล่านอย่างกะหนูวิ่งหนีแมวอยู่นี่” หมอชีวกจึงตอบว่า “ไม่เป็นไรเดี๋ยวหาย” นายกากว่า หายอะไร มันยิ่งแรงหนักขึ้น”

    นายกากนึกถึงพระวาจาตรัสห้ามของพระเจ้าจัณฑปัชโชโต แล้วก็ให้แค้นเคือง ที่เสียทีหมอชีวกจนได้ นึกด่าตัวเองไป ก็เอามือกุมท้องไปร้องถามหมอชีวกด้วยสายตาละห้อยว่า “คุณหมอทำอะไรผมนี่ โอ๊ย ปวดท้อง” เท่านั้นเอง ยังไม่ทันวิ่งไปหาที่ทุ่ง อุจจาระก็พุ่งจู๊ดไม่มีระยะหยุด พุ่งจนหมดท้อง ยังผลให้นายกากหน้าดำตาโบ๋ ล้มลงนอนหมดแรง อุจจาระกองเต็มผ้านุ่ง ตรงนั้นเอง ครางเสียงแหบ แผ่วเบาว่า “ฮือ ตายแน่แล้ว คุณหมอ พุทโธ่ไม่น่าทำผมได้ลงคอเลย”

    หมอชีวกจึงก้มลงพูดปลอบใจว่า
    “เพื่อนเอ๋ย ไม่เป็นไรดอกเชื่อผม มันเป็นยาถ่าย ไม่ใช่ยาพิษ นึกเสียว่า ถ่ายท้องเสียก็แล้วกัน เพราะมันสะสมหมักหมมกันมานานแล้ว ถ่ายเสียบ้างก็ดี หมดพิษยาถ่ายแล้ว เรี่ยวแรงก็จะมาอย่าตกใจ ต่อไปจะเป็นคนมีสุขภาพดีที่สุด ผิวพรรณผุดผ่องเดินคล่องว่องไว เดินทางได้วันหนึ่ง 60 โยชน์

    ต่อไปนี้อาจเพิ่มกำลังขึ้นได้อีกวันละ 70 โยชน์ก็ได้ มันเป็นความจำเป็นของผมที่ต้องทำอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นเราก็จะต้องอยู่กัน 2 คนในป่านี้เอง เพื่อนมีแรงหายแล้ว ขี่ช้างกลับบ้านเมืองเสียนะ ผมจะกลับไปเมืองผม ลานะ ครางให้ดัง ๆ หน่อย เดี๋ยวช้างจะได้เดินมาเหยียบตายเอาล่ะ ลาที”

    หมอชีวกพูดเสร็จก็เดินจากไปมุ่งหน้าสู่พระมหานครราชคฤห์ รอนแรมไม่กี่เพลาก็ถึงโดยสวัสดิภาพ ทูลเล่าเรื่องทั้งปวงอันเนื่องด้วยความจำเป็นที่ต้องกระทำตั้งแต่ต้นจนอวสานให้พระเจ้าพิมพิสารฟัง

    พระองค์ทรงยกย่องสรรเสริญความฉลาด ความสามารถของหมอชีวกพระราชนัดดาบุญธรรม ที่รู้จักเอาตัวรอด โดยไม่เสียทีเสียชีวิตลง ณ กรุงอุชเชนี แต่ก็เกรงจะเป็นเหตุให้เกิดสงครามขึ้นในระหว่าง 2 แคว้น เพราะการที่ส่งหมอชีวกไปนั้นเพื่อประสงค์จะสมานพระราชไมตรี แต่การกระทำของพระเจ้าจันฑปัชโชโต เป็นการทำลายมิตร ไม่ตรงกันแล้วซิทรงคิดใคร่ครวญรอเหตุการณ์อยู่

    ข้างฝ่ายมหาดเล็กราชบุรุษกาก เมื่อหมอชีวกจากไปแล้ว ไม่ช้าก็ค่อยมีเรี่ยวแรงขึ้น พอลุกขึ้นได้ก็เรียกช้างปีนขึ้นหลังกลับกรุงอุชเชนี เฝ้าพระเจ้าจัณฑปัชโชโต ทูลเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยอาการกลัวเป็นกำลัง เพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องถูกลงพระอาญาฐานไม่ทำตามพระกระแสรับสั่ง แต่ปรากฏผิดความคาดหมาย

    เนื่องจากพระโรคของพระเจ้าจัณฑปัชโชโตหาย ตั้งแต่ที่หมอชีวกวางยาไว้เพียงครั้งเดียว เมื่อพระวรกายหายเป็นปกติดีแล้ว พระองค์ก็ทรงรำลึกถึงความดี และความสามารถของหมอชีวกขึ้นมาทันที จึงมีพระราชบัญชาให้จัดผ้าเนื้อดีที่ทอจากฝีมืออันประณีตของชนชาวกาสี เมืองหลวงคือ พาราณสี ซึ่งนิยมกันในสมัยนั้นว่าเป็นผ้าเนื้อดี ฝีมือเยี่ยมกว่าประเทศใด ๆ ในโลก

    พระองค์เลือกสรรเอาแต่ชนิดที่ดีเยี่ยม ให้ทูตนำมาพระราชทานแก่หมอชีวกถึงกรุงราชคฤห์ เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณเป็นจำนวนหลายพับ หมอชีวกรับแล้วตรวจดู เห็นไม่สมควรจะนำมาใช้สอยด้วยตระหนักใจว่า ฐานะของตนไม่สมกับราคาของผ้า จึงเก็บนิ่งไว้ เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าพิมพิสาร แต่พระเจ้าพิมพิสารไม่ทรงรับกลับให้คืนแก่หมอชีวก.

    ((( โปรดติดตามตอน หมอชีวกถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้า )))
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2008
  5. ShadowOfLife

    ShadowOfLife สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +3
    หมอชีวกถวายผ้าแด่พระพุทธเจ้า

    หมอชีวก นึกถึงสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นมาทันที เห็นว่าผ้านี้เป็นผ้าเนี้อดีหาได้ยาก ควรจักนำไปถวายพระพุทธเจ้า จึงนำไปยังเวฬุวนาราม ตั้งใจจะถวายแด่พระพุทธองค์

    แต่สมัยนั้นพระภิกษุสงฆ์ถือผ้าบังสุกุลอย่างเดียว คือท่านแสวงหาเศษผ้าที่ชาวบ้านเขาทิ้งแล้ว เช่น ผ้าห่อศพ มาเย็บทำจีวรเอง และใช้สอยเพียงสามผืนเท่านั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตให้รับผ้าจีวรที่คฤหัสถ์ทำถวาย

    ตอนเมื่อพระพุทธองค์เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว และพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายฉันอาหารเสร็จแล้ว ชีวกโกมารภัจจ์นำผ้าสิวัยยะกะ 2 พับเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบถวายบังคมแล้วทูลขอพระพุทธองค์ว่า

    “พระสงฆ์พุทธสาวกทั้งหลาย ยินดีอยู่ตามป่า นิยมถือผ้าบังสุกุลเป็นการปฏิบัติประจำ ไม่ยอมรับผ้าจีวรที่คฤหบดีถวาย เพราะฝ่าพระบาทยังมิได้ทรงอนุญาตให้รับ ขอจงทรงพระกรุณาโปรดอนุญาตให้พระสงฆ์พุทธสาวกทั้งหลายรับผ้าจีวรที่คฤหัสบดี ถวายเถิด ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผิดชอบอย่างไรที่ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอนี้ แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า”

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงสดับแล้ว ก็ทรงพิจารณาถึงประโยชน์ ทรงเห็นว่าชอบดีควรอนุญาต จึงได้ตรัสประทานอนุญาต เพื่ออนุเคราะห์แก่พระสาวก และทายกผู้ถวายด้วย

    หมอชีวก เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาต แสดงอาการให้เห็นว่าเกิดปีติปราโมทย์มาก ยกผ้า 2 พับ ขึ้นแสดงแล้วทูลว่า “ผ้าสิวัยยะกะคู่นี้เป็นผ้าเนื้อดีพิเศษกว่าผ้าอื่น ๆ พระมหากษัตริย์จัณฑปัชโชโต กรุงอุชเชนีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ไปรักษาพระโรค ณ กาลครั้งนั้น ได้ทรงพระกรุณาส่งมาพระราชทานแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้เอง เป็นผ้าสมควรแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า และสมเด็จพระเจ้าพิมพิสาร จะพึงทรงใช้

    คิดเห็นดังนี้แล้วก็เก็บไว้เพื่อถวายแด่ฝ่าพระบาท การทำบุญใหญ่กันวันนี้ จึงนำมาด้วย ขอฝ่าพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า จงทรงรับผ้านี้ไว้ทรงใช้สอยเถิดพระเจ้าข้า จักเป็นผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่แก่ข้าพระพุทธเจ้า” แล้วก็น้อมเกล้าถวายผ้าคู่นั้น

    พระพุทธองค์ทรงรับแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนา ในการกุศลทานของชีวกโกมารภัจจ์ และของมหาชน ซึ่งร่วมกันบำเพ็ญในคราวเดียวกัน ณ กาลครั้งนั้น เมื่อจบพระธรรมเทศนาลง พระอรรถกถาจารย์นักเพิ่มเติมเสริมต่อ กล่าวไว้ว่า ชีวกโกมารภัจจ์ถึงกับได้บรรลุผลเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาปัตติผล เป็นพระอริยะเบื้องต้นในพระพุทธศาสนา

    เมื่อชาวบ้านได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์รับผ้าหรือจีวรที่ชาวบ้านถวายได้ ต่างก็ดีใจ พากันนำจีวรมาถวายเป็นจำนวนมาก เนื้อดีบ้างเนื้อหยาบบ้าง ทอด้วยวัตถุดิบต่าง ๆ กัน พระสงฆ์เลยเกิดความสงสัยว่า จีวรชนิดไหนไม่ควรรับ

    จึงนำความเข้าทูลถามพระพุทธองค์พระพุทธองค์จึงตรัสอนุญาตไว้ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตจีวร 6 ชนิด คือ จีวร..
    ทำด้วยเปลือกไม้ 1
    ทำด้วยฝ้าย 1
    ทำด้วยไหม 1
    ทำด้วยขนสัตว์ 1
    ทำด้วยป่าน 1
    ทำด้วยของทั้งห้าอย่างนั้นเจือกัน 1

    ที่มา : http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=8153
     
  6. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    เอาภาพหมอชีวกโกมารภัจจ์จาก ร.พ.สงฆ์มาให้ชมครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • .jpg
      .jpg
      ขนาดไฟล์:
      132.4 KB
      เปิดดู:
      1,357
  7. godman

    godman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,254
    อ่านจบแล้ว แต่ว่า มันขาดช่วงของที่มาที่ไปในการเป็นแพทย์ประจำพระองค์หรือเปล่าอ่ะ หมายความเช่น พระพุทธเจ้าตรัสยอมรับในการมาเป็นแพทย์ประจำพระองค์ อะไรประมาณนี้น่ะ หรือผมอ่านไม่เจอเอง หว่า?
     

แชร์หน้านี้

Loading...